• Connect with us

    Enter Books

    ซยงหนู

    ทดลองอ่าน ซยงหนู ทัณฑ์สวรรค์ อาถรรพ์ต้องสาป เล่ม 1 บทที่ 1-2

    แต่ต่อให้เป็นเพียงธนูโบราณธรรมดาๆ ยังไงมันก็มีมูลค่าราคาไม่น้อย แล้วใครที่ไหนกันถึงตัดใจใช้ธนูโบราณแบบนี้เอาชีวิตคนเร่ร่อนอย่างซุ่นจื่อได้ลง

    “ไอ้หนุ่ม เปลี่ยนได้แล้ว” ความคิดของผมสะดุดลงด้วยคำพูดนายตำรวจสูงวัยที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ พอเห็นเขายื่นบุหรี่มวนหนึ่งให้ ผมก็รู้สึกได้ถึงความร้อนจากขี้บุหรี่ในมือ หลังจัดการกับบันทึกก่อนปล่อยตัวเสร็จ จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ถึงกระเป๋าผ้าใบที่ซุ่นจื่อยังคงกำไว้แน่นหลังล้มลง ผมหันไปถามว่าในกระเป๋านั้นใส่อะไรไว้ นายตำรวจสูงวัยถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะพาผมไปยังห้องที่อยู่เยื้องๆ กัน ในห้องมีนายตำรวจหนุ่มนั่งอยู่สองสามนาย กระเป๋าผ้าใบวางตั้งอยู่บนโต๊ะที่มีผ้าพลาสติกปูทับไว้ ด้านข้างคือจดหมายที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือด บนซองมีตัวอักษรเขียนไว้ พอหยิบขึ้นมาอ่านดูก็พบว่าที่แท้ตัวหนังสือโย้ไปเย้มาพวกนั้นคือชื่อของผมเอง

    ผมเปิดซองจดหมาย ดึงเอาของที่อยู่ข้างในออกมา ในใจเจ็บปวดราวกับถูกมีดทื่อๆ กรีดเฉือน…เงินปึกหนึ่ง ในซองยังมีจดหมายอีกฉบับ ลายมือไก่เขี่ยเขียนว่า

     

    ‘พี่เสี่ยวอิ้น ขอบคุณที่พี่คอยดูแลกันมาตลอด ขอบคุณ!’

     

    ที่อยู่ด้านล่างคือกระดาษตารางยับๆ ที่ใช้กาวน้ำทาแปะไว้ ขอบกระดาษเหนียวติดมือเล็กน้อยคงเพราะกาวน้ำที่ทาไว้ยังไม่แห้งสนิทดี

    บนกระดาษตารางนั้นเขียนว่า

     

    ‘ปี 2009 เดือนธันวาคม วันที่ 7 พี่เสี่ยวอิ้นปิดการค้าสำเร็จ อาศัยจังหวะพี่เขากำลังดีใจ ขอเงินร้อยเหรียญ

    ปี 2010 เดือนมีนาคม วันที่ 10 พี่เสี่ยวอิ้นไม่มีการค้า ผมหิวแล้ว เลยตีมึนยืมเงินมาสามสิบเหรียญ

    ปี 2010 เดือนกรกฎาคม วันที่ 1 พี่เสี่ยวอิ้นกลับมาจากข้างนอก ผมช่วยเรียกแขก พี่เสี่ยวอิ้นให้เงินผมสองร้อยเหรียญ

    ปี 2011 เดือนพฤษภาคม วันที่ 30 พี่เสี่ยวอิ้นจ้างผมห้าร้อยเหรียญ

    ปี 2011 เดือนพฤษภาคม วันที่ 31 อาศัยใบบุญพี่เสี่ยวอิ้นได้ที่แขวนดาบมา เงินห้าร้อยเหรียญเมื่อวานถือว่ายืมพี่เสี่ยวอิ้นมา

    ปี 2011 เดือนมิถุนายน วันที่ 5 ถ้ายังไม่จ่ายค่าเล่นเน็ต เถ้าแก่เจ้าของร้านเน็ตจะไล่ผมไม่ให้เข้าไปอีก เพราะกลัวจะไม่มีที่ซุกหัวนอนเลยไปหลอกเอาเงินสองพันเหรียญจากพี่เสี่ยวอิ้น

    รวมทั้งหมด สามพันเจ็ดร้อยห้าสิบเหรียญ’

     

    นายตำรวจสูงวัยถอนหายใจติดๆ อยู่อีกด้าน “ในกระเป๋านั่นมีก็แต่จดหมายที่เหมือนกับจดหมายของนาย พวกเราตรวจสอบดูแล้ว ล้วนแต่เป็นเงินที่ติดค้างผู้คนบนถนนย่านค้าของเก่าทั้งนั้น” ผมยื่นมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเหมือนไม่นึกอยากเชื่อ ตำรวจหนุ่มที่อยู่อีกด้านคิดขวาง แต่กลับถูกนายตำรวจสูงวัยปรามไว้ และก็เป็นจริงอย่างที่นายตำรวจสูงวัยพูด ในนั้นยังมีจดหมายที่จ่าหน้าถึงเจ้าของสมญานามคุ้นหูอย่างต้าหูจื่อ เปาเหยีย ด้านในของจดหมายแต่ละซองล้วนมีกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง นอกจากใบแสดงรายการยืมเงินแล้วยังมีคำขอบคุณเขียนไว้

    “เป็นเด็กดีแท้ๆ อายุเพิ่งจะสิบห้าเท่านั้น นายลองกลับไปคิดดูว่าเขาเคยล่วงเกินใครบ้างไหม ระยะนี้ไปร่ำรวยมีลาภลอยอะไรจนตกเป็นเป้าสายตาคนอื่นบ้างหรือเปล่า” ผมรู้ได้ทันทีว่าตำรวจสูงวัยคนนี้กำลังพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของผมอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นผมยังคงแกล้งถาม

    “ลูกธนูดอกนั้นไม่ใช่ของในยุคนี้ใช่หรือเปล่า” นายตำรวจสูงวัยเหมือนจะเตรียมใจกับคำถามนี้มาก่อนแล้ว สีหน้าถึงได้ราบเรียบไม่มีอะไรผิดปกติ เขาฝืนยิ้มพลางพูดกระเซ้า

    “โรคบ้าของเก่าของคนอย่างพวกนายสินะ” แต่สีหน้าแปลกๆ ของพวกนายตำรวจหนุ่มที่อยู่ข้างๆ กลับอ่านได้ไม่ยาก เห็นชัดว่านายตำรวจสูงวัยกำลังแกล้งโง่ เขาตบไหล่ผม “เรื่องนี้ปล่อยให้พวกเราจัดการกันเองดีกว่า ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร ถึงตอนนั้นพวกเราคงต้องแวะเวียนไปรบกวนนายอีกรอบ”

    ผมหันหลังเดินจากไป ไม่ได้พูดอะไรมากความอีก แต่หลังจากเดินพ้นออกจากสถานีตำรวจไปได้ไม่กี่ก้าว นายตำรวจสูงวัยคนนั้นก็ไล่ตามมาพร้อมตะโกนเรียกผมให้หยุด ท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูด แต่สุดท้ายเขากลับชะงักค้างไว้แค่นั้น

    “ระยะนี้ระวังตัวให้มากหน่อยก็แล้วกัน” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งเหมือนยังอยากพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายกลับทำเพียงกลืนคำพูดพวกนั้นกลับลงท้อง

    มืดค่ำ อากาศเปียกชื้น ฝนเพิ่งจะหยุดตกไปได้ไม่นาน

    ในเวลานี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวส่องสว่างราวกับดวงตาหลายร้อยหลายพันคู่

    เมฆดำพวกนั้นยังกับโผล่ขึ้นเพื่อช่วยปิดบังอำพรางคนที่ยิงธนูเอาชีวิตซุ่นจื่อ ผมนึกสงสัย อดไม่ได้ที่จะคิดวุ่นวายไปสารพัดว่าบางทีลูกธนูดอกนั้นอาจถูกยิงออกมาจากเมฆดำนั่นจริงๆ ก็ได้ แต่ทันทีที่ความคิดแบบนั้นโผล่ขึ้นในหัวก็ต้องห้ามตัวเองไม่ให้คิดต่อ เพราะถ้าขืนยังดึงดันผมคงไม่แคล้วต้องกลายเป็นคนวิกลจริตไปแน่ๆ

    ผมโบกมือเรียกรถแท็กซี่ มุ่งหน้าตรงกลับไปยังห้องเช่า

    ผมหยิบมือถือออกมาเข้าอินเตอร์เน็ต ตั้งใจว่าจะค้นหาเรื่องลูกธนูหมิงตี ผมรับไม่ได้กับการที่ซุ่นจื่อถูกฆ่าตายด้วยของแบบนี้โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงไม่ได้เชื่อมตัวเองเข้ากับเรื่องที่ซุ่นจื่อถูกฆ่าด้วยลูกธนูโบราณ บางทีอาจเพราะความคิดอ่านของผมจดจ่ออยู่กับเรื่องลูกธนูโบราณดอกนั้นจนลืมนึกสนใจถึงสาเหตุอื่น หรือบางทีอาจเพราะพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมศิวิไลซ์นานเกินไป ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเชื่อว่าเรื่องพิลึกพิลั่นนั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเองง่ายๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นขนาดไหนมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ เกิดขึ้นได้ทุกวัน และมักมีคนโชคดีไม่ก็โชคร้ายอยู่เป็นประจำไม่ได้ขาด ถ้าไม่ใช่คุณก็เป็นเขา หรืออาจเป็นผม เมื่อไรก็ตามที่เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ถึงตอนนั้นจะบอกให้ไม่เชื่อก็คงเป็นไปไม่ได้

     

    บทที่ 2 วัตถุโบราณเมื่อสองพันปีก่อน

     

    ผมเริ่มรับรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวผมทันทีที่อีเมลฉบับนั้นเด้งขึ้นมาในกล่องเมลในมือถือของผม

     

    ‘หัวข้อ :  คำสั่งของท่านข่านแห่งจักรวรรดิซยงหนู

    เนื้อความ :

    ท่านข่านผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากฟ้า ประสงค์จะนำกองกำลังของจักรวรรดิซยงหนูหวนคืน จำต้องได้เทียนฉีเพื่อครอบครองใต้หล้า แต่เพราะดาบพกของท่านข่านที่ผนึกเทียนฉีสาบสูญ จึงไม่อาจเปิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดแตะต้องดาบพกของท่านข่านตามอำเภอใจ แม้นไม่ส่งคืนกลับในเวลาที่กำหนด จักต้องตายด้วยน้ำมือทหารกล้าแห่งซยงหนู

    ผู้ส่ง : ผู้รับใช้โม่ตู๋’

     

    ผมลองเช็กข้อมูลเกี่ยวกับคนที่ส่งอีเมลมา แต่กลับพบก็แต่เพียงคำว่า ‘ผู้รับใช้โม่ตู๋’ ที่ลงท้ายทิ้งเอาไว้เท่านั้น ส่วนเมลแอดเดรสของอีกฝ่ายกลับว่างเปล่า คิดว่าคงใช้วิธีการอะไรบางอย่างซ่อนมันเอาไว้

    ถึงจะบอกว่าผมห้าวไม่กลัวใครมาตั้งแต่เด็ก แต่การที่จู่ๆ ก็ได้รับอีเมลแบบนี้ ยังไงใจของผมก็อดสั่นไหวไม่ได้ ตอนนี้รูปร่างของ ‘ดาบพก’ เล่มนั้นถึงเพิ่งจะปรากฏขึ้นในหัวผม ความตายของซุ่นจื่อเพิ่งจะถูกผูกโยงเข้ากับตัวผม

    หรือว่าดาบพกที่ได้มาฟรีๆ ซึ่งมีคราบสนิมสำริดสีเขียวคร่ำคร่าขึ้นเต็มไปหมดเล่มนั้นจะเป็นดาบพกของข่านโม่ตู๋

    ไม่ตลกไปหน่อยหรือไง! น่าขำชะมัดยาด!

    ตอนสมัย ม.ปลาย เจ้าอ้วนงี่เง่าที่มาสอนประวัติศาสตร์เคยบังคับให้ผมท่องเนื้อหาที่ว่าสองร้อยเก้าปีก่อนคริสตกาลซึ่งตรงกับปีเริ่มรัชศกของจักรพรรดิฉินที่สอง โม่ตู๋สังหารบิดา ตั้งตนขึ้นเป็นข่าน ครองแผ่นดินจวบจนกระทั่งหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสี่ปีก่อนคริสตกาล ทรงเป็นนักการทหารมากความสามารถอันดับหนึ่งในหมู่ชนกลุ่มน้อยของประเทศเรา ที่ผมจำเนื้อความท่อนนี้ได้ชัดยังกับเพิ่งอ่านมาหยกๆ ก็เพราะเจ้าอ้วนนั่นดื่มเหล้าเมาก่อนเข้าสอน ขณะที่ผมกับเขากำลังเถียงกันว่าชื่อของคนคนนี้ควรอ่านว่าโม่ตู๋หรือเม่าตุ้นกันแน่ เขาก็เหวี่ยงเท้าใส่ผมสองทีอย่างไร้เหตุผล

    ผู้รับใช้โม่ตู๋ส่งอีเมลเป็นกับเขาด้วย? หรือว่าผู้รับใช้โม่ตู๋ที่มีชีวิตอยู่เมื่อสองพันกว่าปีก่อนยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้? หรือว่าสุสานของโม่ตู๋หรือไม่ก็วิญญาณของเขาได้รับการดูแลจากผู้รับใช้จากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งตลอดสองพันกว่าปีที่ผ่านมา? หรือความจริงข่านโม่ตู๋ยังมีชีวิตอยู่?

    ผมไม่ใช่พวกวัตถุนิยม แต่ต่อให้ผมเป็นพวกอุดมคตินิยมสักแค่ไหน ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะอุดมคตินิยมได้ถึงขนาดที่สมองจะเต็มไปด้วยเทพนิยายเหลวไหลพวกนี้

    ผมเริ่มต้นเรียบเรียงความคิดใหม่ ซุ่นจื่อเรียกผมไปหาก็เพราะต้องการคืนเงินให้ผม การที่คนยากจนข้นแค้นจิตใจท้อแท้มาโดยตลอดอย่างซุ่นจื่อจู่ๆ ก็มีเงินขึ้นมา เป็นไปได้ว่าบางทีเขาเอาที่แขวนดาบที่ผมแบ่งให้ไปขายแล้วก็ได้ เช่นนั้นคนที่ส่งอีเมลมาบางทีอาจเป็นคนที่ซื้อที่แขวนดาบของซุ่นจื่อไป หรือไม่ก็เป็นคนที่อาจรู้ข่าวเรื่องดาบพกต่อจากซุ่นจื่ออีกที และเป็นไปได้ที่คนคนนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของซุ่นจื่อ ไม่ว่าจะยังไงตอนนี้ผมก็เชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของไอ้ชั่วคนไหนสักคนที่นึกอยากได้ดาบพกเล่มนั้นของผม

    แน่นอน ตั้งแต่เริ่มจนจบคนที่รู้ว่าดาบพกเล่มนั้นอยู่ในมือของผมไม่ได้มีแค่ซุ่นจื่อคนเดียว แต่ยังมีเจ๊ผิงกับเฒ่าเสิ่นอีก

    ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องกันแบบไหนยังไง ถ้าจะให้พูดก็คงต้องเล่าย้อนไปถึงตอนเริ่มแรก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะพวกเราต่างมีความอยากในสิ่งเดียวกัน นั่นก็คืออยากรวย

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ซยงหนู

    นิยายยอดนิยม

    Facebook