• Connect with us

    Enter Books

    ซยงหนู

    ทดลองอ่าน ซยงหนู ทัณฑ์สวรรค์ อาถรรพ์ต้องสาป เล่ม 1 บทที่ 1-2

    ว่ากันตามวันที่ที่เขียนอยู่บนกระดาษตารางของซุ่นจื่อ วันนั้นน่าจะเป็นค่ำวันที่ 29 เดือนพฤษภาคม ผมเพิ่งกลับจากการติดตามศาสตราจารย์ไปประชุมที่อื่น ตอนเข้ามาถึงเขตที่พักผมก็โทรหาเจ๊ผิงเพื่อจะเอากุญแจ เพราะก่อนออกจากห้องผมได้ฝากกุญแจไว้กับเจ๊ผิง ไหว้วานให้เธอช่วยเลี้ยงปลาให้ผมหน่อย น้ำเสียงของเจ๊ผิงที่ลอยมาตามสายฟังดูตื่นเต้นไม่น้อย

    ‘เสี่ยวอิ้น นายรีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลย! ตอนนี้ฉันอยู่ใต้ตึก มีเรื่องอยากคุยกับนายพอดี! ธุระสำคัญมากด้วย!’

    หลังเจ๊ผิงจับได้ว่าสามีแอบไปมีกิ๊ก สามีของเจ๊ผิงก็ตกลงยอมยกห้องชุดสองห้องในมหาวิทยาลัยให้เธอ เจ๊ผิงติดประกาศมีห้องให้เช่าไว้ที่อาคารเรียนของพวกนักศึกษาปริญญาโท ช่วงนั้นผมกำลังเตรียมออกเดินทาง ‘ค้าขาย’ ไม่สะดวกที่จะพักอยู่หอ ดังนั้นเจ๊ผิงก็เลยกลายเป็นเจ้าของห้องเช่าของผม คิดๆ ดูแล้วผมเป็นลูกบ้านเจ๊ผิงมาก็เกือบจะสองปีได้แล้ว ตอนนั้นผมเพิ่งจะสอบเข้าเป็นนักศึกษาปริญญาโทสาขาเฉพาะทางด้านโบราณคดีและการวินิจฉัยประเมินค่าวัตถุโบราณได้ไม่นาน เพราะเหตุบังเอิญผมได้รู้จักกับพวกพ่อค้าวัตถุโบราณก๊วนหนึ่งเข้า ทำให้มีโอกาสจับพลัดจับผลูเข้าไปทำการค้าอยู่ในย่านค้าของเก่า

    พอนึกถึงข้าวของดีๆ ที่เก็บอยู่ในห้อง เพื่อความปลอดภัย หลังจากจ่ายเงินค่าเช่าเสร็จผมก็รีบเปลี่ยนกลอนประตูเสียใหม่ แต่พอไปมาหาสู่กันบ่อยเข้าผมก็รู้สึกว่าเจ๊ผิงนิสัยไม่เลว ดังนั้นทุกครั้งที่ออกเดินทางไกลผมจึงวางใจฝากกุญแจห้องไว้กับเธอ

    เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นตามจังหวะและโอกาส ไม่มีเหตุผลใดๆ ให้ยกขึ้นอ้าง คืนนั้น หลังฟังไอเดียหาเงินเจ๋งๆ ของเจ๊ผิงจบผมก็ตื่นเต้นตลอดทั้งคืน ใครจะไปนึกว่า ‘ไอเดียเจ๋งๆ’ ที่เจ๊ผิงเอามาบอกผมจะนำเรื่องราวที่ทั้งน่ากลัวทั้งน่าตื่นเต้นมาให้ผมมากมาย บางครั้งผมก็คิด…ถ้าวันนั้นไม่มีไอเดียเจ๋งๆ ของเจ๊ผิง ถ้าวันนั้นความทรงจำของผมถูกฉีกทิ้งไปเหมือนกับปฏิทินแล้วละก็ เรื่องแปลกประหลาดชวนขวัญผวาพวกนั้นก็คงไม่เกิดขึ้นไปตลอดกาล แต่ความจริงยังไงก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง คำว่า ‘ถ้า’ ออกจะฟังดูน่าขำไม่เอาไหนเกินไปสักหน่อย

    เจ๊ผิงประคองกล่องข้าวไว้ในมือวิ่งตรงเข้ามาหาผม แต่แทนที่จะทักทายอะไรกันสักคำก่อน เจ๊ผิงกลับรีบผลักผมขึ้นตึก ที่อยู่ในกล่องข้าวคือเป็ดตากที่มีอยู่มากกว่าครึ่งกล่อง เจ๊ผิงรีบสาวเท้าขึ้นตึก ปากก็พล่ามพูดเรื่อยเปื่อย ‘เสี่ยวฮุ่ยจื่อกินได้ไม่กี่คำก็ต้องกลับโรงเรียนแล้ว เดือนหนึ่งได้หยุดก็แค่สองวัน เล่นเอาเขาหัวปั่น…’ ที่เจ๊ผิงพูดถึงคือลูกชายที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.4 ของเธอ เขาเป็นเด็กนักเรียนประจำอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ชอบก่อเรื่องปวดหัวให้เจ๊ผิงอยู่เสมอ แต่ทุกครั้งที่พูดถึงเจ้าตัวแสบนั่นเจ๊ผิงก็มักแสดงอาการตื่นเต้นดีใจออกมาให้เห็น

    เพียงไม่นานผมก็มาถึงหน้าประตู พอเข้าไปในห้อง เห็นผมนั่งลงเตรียมกิน เจ๊ผิงก็ตีมือผม บอกให้ผมไปหยิบเบียร์สองกระป๋องในตู้เย็นที่เธอแช่ไว้ตอนแวะมาให้อาหารปลาออกมาก่อน ถึงเจ๊ผิงจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ นิสัยเหมือนกับพวกผู้ชาย แต่ผมก็ไม่เคยเห็นเธอกินเหล้ามาก่อน หรือว่ามีเรื่องใหญ่เรื่องโตจริงๆ

    หลังจากดื่มไปได้สองคำจู่ๆ เจ๊ผิงก็ถามผม ‘เสี่ยวอิ้น นายอยากได้เงินหรือเปล่า’ ได้ยินแบบนั้นผมก็แทบสำลักเบียร์ที่กลืนลงคอไปแล้วครึ่งหนึ่ง

    ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปาก เจ๊ผิงก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน ใครใช้ให้สมองคนเราไม่เห็นคำว่า ‘อยากได้เงินหรือเปล่า’ เป็นประโยคคำถามทั่วไปเล่า

    บริษัทขายอัญมณีที่ฮ่องกงร้านหนึ่งกำลังเตรียมเปิดตลาดที่แผ่นดินใหญ่ ต้องการเปิดสาขาแรกที่นี่ พวกเขาเหมาช่วงไพร์มไทม์ของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นครึ่งปีให้ออกโฆษณาแปลกประหลาดสารพัดรูปแบบ เมื่อสองวันก่อนพวกเขาเปิดกิจกรรม ‘พลิกเมืองล่าสมบัติ’ เริ่มแรกฝ่ายผู้จัดจะเอา ‘สมบัติ’ ไปซ่อนไว้ในที่ไหนสักแห่งในพื้นที่จัดกิจกรรม หลังจากนั้นก็ให้ผู้ที่เข้าร่วมเล่นเกมค้นหาสมบัติไปตามแผนที่ที่มีลักษณะคล้ายเกมลับสมอง คนที่หาสมบัติพบก่อนจะเป็นผู้ชนะ และสมบัติที่ว่าจะถูกแบ่งให้กับสมาชิกทั้งสามของทีม

    ฟังเจ๊ผิงพูดมาถึงตรงนี้ อารมณ์คึกคักที่ถูกเธอกระตุ้นจนพุ่งขึ้นสูงปรี๊ดก่อนหน้านี้ของผมก็หายลับไปเกือบครึ่ง เรื่องนี้ผมพอจะสรุปได้ว่ามันก็แค่เกมเท่านั้น ด้านหนึ่งสถานีโทรทัศน์กำลังสร้างรายการบันเทิงที่เปิดโอกาสให้คนดูทุกคนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วม เอารายการประเภทที่มีป้ายสปอนเซอร์หลากหลายเข้ามาแทนละครโทรทัศน์ที่ออกอากาศช่วงไพร์มไทม์ชั่วคราว อีกด้านก็เปิดโอกาสให้พวกหัวหน้าสถานีโทรทัศน์หรือไม่ก็สามีภรรยาของพวกเขาสามารถรับซองแดงซองโตๆ ได้อย่างสบายๆ

    เนื่องจากเงินที่ปรากฏเด่นชัดเป็นสัญลักษณ์อยู่บนสมุดบัญชีของสถานีโทรทัศน์นั้นถือเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพยายามใช้ถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อที่สามารถซึมลึกถึงกระดูก ดึงดูดให้พวกผู้หญิงที่ได้แต่อยู่ว่างๆ และชอบช็อปของถูกอย่างพวกเจ๊ผิงเข้าร่วม ดังนั้น ‘สมบัติ’ ที่ว่าก็คงไม่แคล้วเป็นพวกบัตรกำนัลร้านค้าของร้านไหนสักร้าน บัตรลดร้านอาหารของที่ไหนสักที่ หรืออย่างมากก็เป็นของรางวัลจำพวกหม้อหุงข้าวไฟฟ้าอะไรเทือกนั้น ใช่แล้ว! คราวนี้สปอนเซอร์เป็นบริษัทขายอัญมณีนี่นา หนำซ้ำยังเป็นบริษัทจากฮ่องกงอีก ไม่แน่บางทีอาจใจกว้างมากกว่านั้น แต่ต่อให้ใจกว้างสักขนาดไหนอย่างมากก็คงแค่แหวนทองหนึ่งหรือสองสลึงเท่านั้น เทียบกันแล้วไปเดินวนรอบย่านค้าของเก่าสักรอบยังทำกำไรได้มากกว่าอีก

    แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้พูดตัดบทอะไรเจ๊ผิง ยังคงปล่อยให้เธอตื่นเต้นดีใจต่อไปเรื่อยๆ ส่วนผมก็ลงมือกินเป็ดตากกับเบียร์ของตัวเองต่อ แต่พอเจ๊ผิงพูดประเด็นสำคัญสองอย่างจบผมก็สำลักเบียร์ที่อยู่ในปากออกมาจริงๆ

    ประเด็นแรก คนที่รับหน้าที่ออกแบบแผนที่ค้นหาสมบัติมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามคน เป็นคนที่บริษัททางฮ่องกงจัดหามาสองคน อีกคนคือเฒ่าเสิ่น ผู้กำกับและคนเขียนบทของสถานีโทรทัศน์ที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเจ๊ผิง ซึ่งนั่นก็แปลว่าพวกเราสามารถรู้ที่ซ่อนสมบัติอย่างน้อยก็ชิ้นหนึ่งได้ก่อนล่วงหน้า

    ประเด็นที่สอง สมบัติคือทองเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์สามแท่ง มูลค่าในท้องตลาดของแต่ละแท่งไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนเหรียญ

    เจ๊ผิงเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเบียร์ที่สำลักออกจากปากผมพลางยิ้มด่า ‘เห็นเงินแล้วตาโตเชียว!’ ผมรีบถามให้แน่ใจว่าเฒ่าเสิ่นจะยอมร่วมมือด้วยจริงหรือเปล่า เจ๊ผิงยิ้มพูด ‘พี่สาวของนายคนนี้มีหรือจะคิดแผนการแบบนี้ออกมาได้ ไอเดียนี้ก็เขานั่นแหละที่เป็นคนเสนอ หนำซ้ำยังสำรองที่ไว้ให้พวกเราหนึ่งกลุ่มสามคนอีกด้วย’

    หลังจากนั้นพวกเราก็เรียกเฒ่าเสิ่นมาพบ รวมหัวจัดการวางแผนทั้งหมดทั้งมวลจบภายในคืนเดียว

    เฒ่าเสิ่นเอาสำเนาแผนที่มาด้วย ที่แท้สถานที่จัดการแข่งขันคราวนี้ก็อยู่ที่ ‘ตูซื่อชุน’ ในย่านชานเมืองที่เปิดกิจการมานานครึ่งปีแล้วแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากชาวเมืองสักเท่าไหร่นั่นเอง จากโปสเตอร์ใบปลิว สิ่งปลูกสร้างด้านในทั้งหมดทำจากดินและไม้เท่านั้น ไม่มีการใช้โลหะหรือปูนซีเมนต์ใดๆ จำลองทัศนียภาพของหมู่บ้านชื่อดังจากทั่วโลก ถ้าหากของจริงสร้างขึ้นจากโลหะ พวกเขาก็จะคัดสรรเลือกใช้วัตถุดิบชนิดใหม่ที่ไม่มีโลหะผสมแทน โดยมีจุดขายหลักอยู่ที่ ‘สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์’ ให้พวกเศรษฐีได้เข้าไปทดลองใช้ชีวิตพร้อมค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่วจนน่าใจหาย

    เพราะได้ยินเฒ่าเสิ่นแนะนำพวกเราถึงได้รู้ว่าตูซื่อชุนกับบริษัทค้าอัญมณีที่สนับสนุนกิจกรรมในครั้งนี้ที่แท้ก็เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน ดูท่าไม่แคล้วต้องมีการเปิดตัวด้วยโฆษณาใหญ่โตอีกรอบเป็นแน่ แต่จะอะไรยังไงก็ช่าง พวกผมใช่ว่าจะใส่ใจอะไรมากมายกับเรื่องนั้น เป้าหมายของพวกเราชัดแจ้งอยู่แล้วว่าคือ ‘การเอาทองมาให้ได้ เสร็จแล้วค่อยขายแบ่งเงินกันไป’

    ตำแหน่งที่กำหนดให้เป็นที่ซ่อนสมบัติอยู่ตรงไหนนั้น มีเพียงนักออกแบบสองคนของบริษัทเท่านั้นที่รู้ ส่วนเฒ่าเสิ่นมีหน้าที่ก็แค่คอยให้การสนับสนุนเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอจะระบุถึงที่ซ่อนสมบัติคร่าวๆ ได้อยู่

    แผนผังที่เฒ่าเสิ่นเอามาด้วยนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าทางสถานีโทรทัศน์ทำเพียงส่งเจ้าหน้าที่หลักจำนวนหนึ่งเข้าไปติดตามถ่ายทอด พวกเขาจะตามถ่ายผู้เข้าร่วมการแข่งขันแต่ละกลุ่มอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะยกช่วงเวลาที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวคอยตามถ่าย เมื่อเก็บงานเสร็จเป็นที่เรียบร้อยก็จะกลับไปที่สถานีโทรทัศน์เพื่อทำการตัดต่อ และเพราะเฒ่าเสิ่นมีหน้าที่แบ่งกลุ่มเจ้าหน้าที่ เขาย่อมสามารถพาตัวเองเข้ามาอยู่รวมกลุ่มกับพวกเราได้อย่างไม่เป็นที่น่าสงสัย พร้อมกับเครื่องตรวจสอบโลหะแบบพกพา

    ตามกฎกติกาของทางรายการ ทีมหนึ่งจะมีสมาชิกอยู่ด้วยกันสามคน ดังนั้นเฒ่าเสิ่นจึงจำต้องปรากฏตัวในฐานะของเจ้าหน้าที่สถานีโทรทัศน์ ดังนั้นกลุ่มของผมในเวลานี้จึงมีแค่ผมกับเจ๊ผิงเพียงสองคน เลยต้องหาสมาชิกมาเพิ่มอีกหนึ่ง หนำซ้ำยังต้องแบ่งเงินให้อีกฝ่ายด้วย ผมคิดวิธีที่ทุกคนต่างรู้สึกว่าพอใช้การได้ออกวิธีหนึ่งก็คือการ ’จ้างคน’ ดังนั้นวันรุ่งขึ้นผมจึงใช้เงินห้าร้อยเหรียญจ้างซุ่นจื่อให้เข้ามาร่วมทีมด้วย

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ซยงหนู

    นิยายยอดนิยม

    Facebook