• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 18 บทที่ 3

    บทที่ 3

    ศัตรูลวง

     

    เฝิงอี้ก่วงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ากลางวันแสกๆ ตนเองจะซุ่มอยู่ในที่แห่งนี้

    เหมือนเช่นยามปกติ มันนำลูกน้องกองลาดตระเวนขี่ม้าทั้งหมดสามสิบสี่นายมายังลุ่มแม่น้ำผืนเล็กริมฝั่งทางทิศใต้ของแม่น้ำซิวสุ่ยประมาณยามบ่าย ให้ม้ากินน้ำพักผ่อน มันกับลูกน้องหลบอยู่ใต้ร่มไม้อาศัยความเย็น กินเนื้อแห้งกับแป้งทอดที่พกมา และดื่มสุราเล็กน้อย

    ขณะอยู่หนานชางและได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ ณ ที่แห่งนี้ แม่ทัพหลิงสืออีได้เตือนพวกมันแล้วว่า ครั้งนี้คือสงครามแท้จริง ไม่เหมือนออกปล้นบ้านเรือนก่อนหน้า ต้องระมัดระวังทุกสิ่งทุกอย่าง ขณะลาดตระเวน เส้นทางและการเดินทางในทุกๆ วันมิอาจเหมือนกัน อีกทั้งห้ามดื่มเกินขนาดเป็นอันขาด

    แต่คำพูดเหล่านี้เฝิงอี้ก่วงลบลืมไปตั้งแต่มาอำเภออู่หนิงไม่กี่วัน เทียบกับทัพใหญ่ที่กำลังเตรียมเข้าสู่หนานจิงทางบุรพทิศ พวกมันมาอู่หนิงที่เล็กๆ แห่งนี้ทางประจิมทิศ นับเป็นพื้นที่แนวหลัง ภารกิจมีเพียงลาดตระเวนดูว่าสองฟากฝั่งแม่น้ำซิวสุ่ยไปจนถึงชายแดนมณฑลหูก่วงมีความผิดปกติหรือไม่ สิ่งที่กุนซือตำหนักอ๋องกังวลคือกองทัพราชสำนักที่ประจำการอยู่หูก่วงอาจมารุกราน บุกจู่โจมหนานชางจากด้านหลัง อีกทั้งควบคุมเส้นทางน้ำไว้ใช้ขนส่งกำลังบำรุง แต่เฝิงอี้ก่วงคิดว่าหนิงอ๋องเพิ่งประกาศก่อกบฏไม่กี่วัน กองทัพทางการที่ตอบสนองล่าช้ามาโดยตลอดไหนเลยจะรวมพลยกทัพได้เร็วเพียงนี้ มันที่เดิมมีภูมิหลังเป็นโจรกระจ่างต่อเรื่องนี้ที่สุด

    เหตุที่เฝิงอี้ก่วงเข้าร่วมตำหนักหนิงอ๋องคือสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย ปล้นชิงฆ่าคนแม้สะใจ แต่มันไม่อยากสู้ในสงครามที่แท้จริง ได้รับมอบหมายงานง่ายสบายๆ เช่นนี้ประจวบเหมาะกับเจตนาของมันพอดี

    บ่ายวันนี้มันจึงนั่งดื่มสุราคุยเล่นกับลูกน้องใต้ต้นไม้ตามปกติ อาวุธดาบทวนอันหนักอึ้งต่างก็วางอยู่ข้างต้นไม้

    ฉะนั้นขณะศัตรูคนแรกปรากฏตัว ทหารกบฏสามสิบห้านายนี้จึงมิได้ตอบสนองอย่างสิ้นเชิง

    ศัตรูผู้นั้นปรากฏตัวจากท้องฟ้า

    กล่าวให้ถูกต้องกว่าคือจากบนต้นไม้

    ปากของเฝิงอี้ก่วงยังคงกัดเนื้อแห้งครึ่งแผ่นอยู่ขณะมองเห็นเงาร่างทะลวงใบไม้หนาทึบลงมาจากที่สูงจั้งกว่า ท่วงท่านั้นดุจดั่งลิงค่างใหญ่ป่าเถื่อนตัวหนึ่ง สองมือชูวัตถุทรงยาวชิ้นหนึ่งขึ้นสูงก่อนฟาดลงกลางกลุ่มลูกน้องมัน

    พร้อมกับที่กะโหลกลูกน้องนายหนึ่งบังเกิดเสียงแตกร้าว เนื้อแห้งในปากของเฝิงอี้ก่วงก็หล่นลงมา

     

    ฆ่าพวกมันให้หมด

    ถงจิ้งที่หมอบซุ่มอยู่หลังโขดหินก้มมองศัตรูสามสิบกว่านายบนลุ่มน้ำเบื้องล่างจากที่สูง ราวกับได้ยินสุ้มเสียงหนึ่งในสมองตนเองกล่าวเช่นนี้ไม่หยุด

    ฆ่าพวกมันให้หมด

    ถงจิ้งจำแนกไม่ออกว่าสุ้มเสียงนั้นเป็นบุรุษหรือสตรี เป็นคนชราหรือผู้เยาว์กันแน่ นางถึงขั้นไม่แน่ใจว่าตนเอง ‘ได้ยิน’ หรือไม่ หรือว่านางกำลังบอกให้ตนเองได้ยิน นางรู้เพียงความคิดเรียบง่ายนั้นปรากฏอยู่ในจิตใต้สำนึกนางตลอด ทำให้นางแทบมิอาจครุ่นคิดเรื่องอื่นได้อีก

    ความรู้สึกเช่นนี้น่ากลัวยิ่งนัก ถงจิ้งกัดริมฝีปากล่างแน่นจนเลือดแทบจะทะลักออกมา ร่างของนางที่ซุกซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมสั่นไหวเล็กน้อย

    แต่คนข้างกายล้วนมิได้สนใจอาการผิดปกติของนาง ชาวบ้านอำเภออู่หนิงร้อยกว่าคนนั้นต่างถืออุปกรณ์เช่นดาบผ่าฟืนและขวานต่างอาวุธ เฝ้าจับตามองกองทัพกบฏบนหาดหินด้วยกันกับนาง ทุกคนล้วนเคร่งเครียดจนร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น

    เยียนเหิงที่ยืนอยู่หน้าถงจิ้งสวมเสื้อคลุมสีเข้มเช่นเดียวกับนางเพื่ออำพราง มันหาได้หันหน้ามองดูนางไม่ เพียงตั้งสมาธิจับตามองศัตรู เตรียมโจมตีทุกเมื่อ

    ถงจิ้งมิได้โทษเยียนเหิง เหตุการณ์เช่นนี้ในอดีต นางไม่ต้องให้มันเป็นห่วงเลย นางมองดูเงาหลังของเยียนเหิงที่สงบนิ่งดั่งภูเขา ยามปกติขอเพียงมองดูมันเช่นนี้หัวใจของถงจิ้งก็สงบลงได้ แต่ครานี้ไม่เหมือนกัน

    ฆ่าพวกมันให้หมด

    ถงจิ้งรู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากสังหารหานซานหู่ด้วยกระบี่เร็วท่านั้น หัวใจของนางก็ถูกปิดด้วยเงามืด ชั่วขณะที่ออกกระบี่ จิตใจดุจดั่งม้าป่าหลุดจากเชือกบังเหียน วิ่งเข้าในโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่รู้จัก ประสบการณ์นั้นทำให้นางกลัวอย่างยิ่ง ถึงขั้นกลัวจนมิกล้าขอความช่วยเหลือจากเยียนเหิงหรือเลี่ยนเฟยหง

    หลายวันมานี้มิได้ปรากฏอาการผิดปกติอีก ถงจิ้งคิดว่าไม่เป็นไรแล้ว แต่บัดนี้เผชิญหน้าการต่อสู้อีกครั้ง เงามืดก็ปรากฏขึ้นในซอกมุมหนึ่งของจิตใจอีก…

    ถงจิ้งระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ พยายามระงับสุ้มเสียงในสมอง แต่กลับเสียแรงเปล่า ยิ่งจะข่มมันเอาไว้ คำพูดประโยคนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เหมือนเช่นยิ่งพยายามลืมเรื่องหนึ่งก็ยิ่งจำมันได้

    หากมิใช่พยายามควบคุมตัวเองอยู่ ขณะนี้ถงจิ้งคงเปล่งเสียงตะโกนระบายนานแล้ว

    ข้า…หรือว่าข้าบ้าไปแล้ว…เหมือนเช่นเหลยจิ่วตี้…

    จากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น

    ถงจิ้งมองเห็นจากไกลๆ ว่าจิงเลี่ยที่ซุ่มซ่อนอยู่บนยอดไม้ลอยร่วงไปในหมู่ศัตรู และอาศัยแรงตกลงมาฟาดไม้พายลงไปด้วยสองมือ

    กะโหลกของทหารกองทัพกบฏตำหนักหนิงอ๋องนายหนึ่งแตกร้าวภายใต้การโจมตีของไม้พาย พวยพุ่งออกเป็นโลหิตสีแดงสด…ถงจิ้งมิได้มองเห็นคนตายเป็นครั้งแรก แต่ขณะนี้นางรู้สึกไวต่อการเข่นฆ่าอย่างไม่เคยเป็น สีแดงโลหิตนั้นราวกับพุ่งตรงสู่รูม่านตา ทำให้นางมิอาจทนรับได้

    หลังจิงเลี่ยแตะสัมผัสพื้นก็ถือโอกาสหมุนกลิ้งอย่างแยบยล ใช้ไม้พายฟาดขวางห่างพื้นฉื่อกว่า ข้อต่อหัวเข่าของทหารกบฏอีกนายหนึ่งฉีกขาด น่องบิดเบี้ยวไปยังมุมที่ไม่ปกติ เสียงแผดร้องดังก้องริมฝั่ง ถงจิ้งรู้สึกเหมือนแก้วหูดั่งถูกเข็มแทง

    จากนั้นเป็นเสียงหวูดหวิวแหวกฝ่าอากาศที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงสองเสียง แยกกันดังขึ้นจากด้านตะวันออกและตะวันตกตกของลุ่มน้ำ ทหารกบฏนายหนึ่งถูกลูกเกาทัณฑ์ขนนกทะลุผ่านลำคอ อีกนายหนึ่งเพิ่งยื่นมือจับด้ามดาบที่วางอยู่ข้างต้นไม้ แผ่นหลังก็ถูกปักด้วยมีดบินเล่มหนึ่ง ล้มคะมำอยู่บนหินอย่างแรงเสมือนลมรั่วจากร่าง

    ตกตาย คาวเลือด แผดร้อง

    “ฆ่าพวกมันให้หมด ฆ่าพวกมันให้หมด ฆ่าพวกมันให้หมด”

    ถงจิ้งรู้สึกว่าหัวสมองเหมือนถูกอัดแน่นจนจวนจะแตกออก

    เสื้อคลุมตัวหนึ่งลอยออกไป ประกายคมสั้นยาวของกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียระยิบระยับใต้ดวงอาทิตย์ เยียนเหิงพกพาอำนาจไร้เทียบเทียม วิ่งไปยังชายฝั่งตามเนินลาด ชาวบ้านร้อยกว่าคนนั้นต่างก็ถือดาบขวาน ร้องตะโกนพลางติดตามมันพุ่งลงไป

    ถงจิ้งเดิมทีสมควรไปกับพวกมันเช่นกัน แต่นางเหมือนเจอผีก็มิปาน ร่างถูกตรึงอยู่ที่เดิมมิอาจขยับเขยื้อน ร่างสั่นไหวรุนแรงกว่าเดิม นางกำลังพยายามระงับความมืดมิดส่วนนั้นในจิตใจ

    มิได้ ตอนนี้มิใช่เวลา

    คนเหล่านั้นล้วนต้องการข้า

    พวกพ้องล้วนต้องการข้า

    ถงจิ้งรู้สึกว่าตนเองเหมือนอยู่ท่ามกลางความปั่นป่วน ถูกพลังต่างทิศทางฉุดกระชากไม่หยุด ผลสุดท้ายเพียงสูญเสียการควบคุมหมุนกลิ้งอยู่ที่เดิม

    คนทั้งหมดล้วนวิ่งผ่านนางไปแล้ว ตรงไปยังลุ่มน้ำ

    มิได้ นางบอกตนเองเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร ต้องขยับให้ได้

    ถึงแม้ต้องปล่อยตัวเอง ขยับตามความปั่นป่วนนั้น

    มือซ้ายนางกระชากเสื้อคลุมลงอย่างแรง ฝ่ามือขวายกกระบี่ผึ้งผาด พ่นลมเค้นเสียง “ฆ่า” จากไรฟัน

    จากนั้นถงจิ้งเหมือนเช่นถูกปลดเปลื้องโซ่ตรวนกะทันหัน ร่างกายเบาหวิวยิ่งขึ้น ฝีเท้าเร่งตามเข้าไปราวลอยเหาะ

    จิงเลี่ยที่ฝ่าเข้าในหมู่ศัตรูคนแรกสุด ยามนี้ขว้างไม้พายทิ้งไปนานแล้ว มือซ้ายและขวาต่างชักดาบปีกปักษากับดาบเศียรวิหคออกมา คมทั้งสองฉวัดเฉวียนเคลื่อนที่ไม่หยุดยั้ง ก่อกำเนิดพายุโลหิตขึ้นหอบแล้วหอบเล่า

    กองทัพกบฏตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แม้หมู่นี้พวกมันเคยเปิดหูเปิดตาวิชาประหลาดของนักสู้สำนักอู่ตังในตำหนักหนิงอ๋อง แต่อย่างไรก็เพียงชมดูอยู่ด้านข้าง บัดนี้บุรุษแปลกประหลาดผมยุ่งพลันใช้พลังดาบและวรยุทธ์ที่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นรองยอดฝีมืออู่ตังเป็นอันขาดจู่โจมมาหาพวกมันกะทันหัน ทหารกบฏมิอาจไม่ตระหนก กอปรกับพวกมันนั่งอยู่นานอีกทั้งดื่มสุรา ไม่อยู่ในภาวะทำศึกเลย ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าต้องอาศัยจำนวนคนล้อมปราบ มีเพียงไม่กี่นายที่เก็บอาวุธกลับมาต้านรับป้องกันตัวได้ทัน ทหารกบฏนายอื่นๆ วิ่งหนีอุตลุดไปทุกแห่ง

    เฝิงอี้ก่วงเองก็ตื่นกลัวสุดบรรยาย ลืมบัญชาการอย่างสิ้นเชิง ทำเพียงอาศัยลูกน้องคุ้มกันวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปหาม้าที่อยู่ริมฝั่ง

    มีทหารบางนายไม่สนใจขี่ม้าอีก ตั้งมั่นคิดเพียงวิ่งหนีออกจากลุ่มน้ำไปต่างทิศต่างทาง แต่พอเดินเข้าในป่า ก็พบเจอดาบเหยี่ยไท่ของหู่หลิงหลันกับกระบี่ราชสีห์ฮึกหาญของเลี่ยนเฟยหง ไม่มีผู้ใดผ่านพวกมันได้

    พริบตากองลาดตระเวนของกองทัพกบฏก็ล้มลงแน่นิ่งเกินกว่าสิบนาย ซ้ำผู้เหลือรอดยังมองเห็นกองทัพศัตรูบุกฝ่ามาจากเนินเขาทางใต้ มองไปแวบหนึ่งอย่างน้อยมีร้อยคน ในสายตาพวกมันเปล่งประกายสิ้นหวังออกมา

    แต่ร้อยกว่าคนนั้นเดินถึงริมหาดหินก็มิได้บุกต่ออีก เพียงเรียงกันเป็นกำแพงมนุษย์ ใช้ขวานในมือจามต้นไม้หรือก้อนหินไม่หยุด อีกทั้งเปล่งเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลออกมา

    นี่คือคำสั่งที่หกกระบี่บ้านแตกให้พวกมันก่อนหน้า ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมต่อสู้ ทั้งหมดเพียงมอบให้พวกมันทั้งห้า

    ในขณะที่กองทัพกบฏกำลังคิดว่าอาจได้พักหายใจบ้าง คนผู้หนึ่งในขบวนศัตรูกลับพุ่งมาดั่งลูกเกาทัณฑ์ ในมือคนผู้นั้นแกว่งประกายสองสาย

    ประกายที่ถึงแก่ชีวิต

    เหล่าทหารกบฏเริ่มใช้เลือดเนื้อร่างกายรับรู้วิชากระบี่สำนักชิงเฉิง ม้าริมฝั่งตกใจการเข่นฆ่านี้ ต่างร้องพลางวิ่งพล่าน

    เฝิงอี้ก่วงกับลูกน้องนายหนึ่งจับเชือกบังเหียนของม้าสองตัวในนั้นเอาไว้ได้ทัน พวกมันล้วนเป็นโจรปล้นม้าที่ใช้ชีวิตบนอานมาหลายปี มีฝีมือเก่งกาจ ใช้เพียงสองมือจับเชือกก็พลิกตัวขึ้นคร่อมบนหลังม้าได้

    คมอาวุธสี่เล่มของจิงเลี่ยกับเยียนเหิงบุกฝ่าไปมา ไม่นานก็ทำให้ทหารกบฏที่ยังคงยืนอยู่ลดน้อยลงอีกเจ็ดนาย ทหารกบฏถืออาวุธจำนวนหนึ่งที่เหลือ ยามนี้มองเห็นสถานการณ์ชัดเจน ทัพใหญ่นั้นที่ยืนอยู่ทางใต้เป็นเพียงทัพชาวบ้านขู่ขวัญตบตา ความจริงพวกมันเพียงถูกไม่กี่คนล้อมโจมตี พอรู้จุดนี้พวกมันก็ปลุกความกล้าหมายตีฝ่าเอาชีวิตรอด ทหารกบฏห้านายในนั้นถือดาบทวนฝ่าไปยังกึ่งกลางชาวบ้าน ชาวบ้านอู่หนิงเหล่านั้นเดิมทีมิได้เตรียมสู้รบ พอเห็นว่ามีทหารกบฏตอบโต้ฝ่ามา สีหน้าก็ซีดเผือดทันที หยุดเคาะตีและร้องตะโกน

    ทหารกบฏห้านายนั้นเห็นฝ่ายตรงข้ามขลาดกลัวเช่นนี้ จิตสังหารก็เพิ่มมากขึ้น

    ฆ่าเพียงไม่กี่คนแล้วค่อยหาจับตัวประกัน อาจหนีรอดได้!

    ทว่าก่อนที่ทั้งห้าจะฝ่าเข้าฝูงชน ในหมู่ชาวบ้านกลับมีเงาร่างอรชรถลันออกมา ในมือถือกระบี่ปลายเรียวเล็กเล่มหนึ่ง

    ฟันผู้ที่ยืดอกต่อต้านคนแรกให้ล้มลง…นี่คือหลักการที่พวกมันทั้งห้าเคยใช้ขณะปล้นชิงทุกครั้ง

    ทหารกบฏผู้นั้นที่อยู่หน้าสุดในห้านาย สองมือถือทวนพู่ พุ่งตรงไปยังถงจิ้ง เตรียมยกแขนแทงปลายทวนออกไปอย่างแรง

    มันกับถงจิ้งประจันหน้ากัน มองเห็นใบหน้าของนางชัดเจน ดวงตานี้ทำให้มันตกตะลึง มันไม่เคยคิดมาก่อนว่าใบหน้าที่แดงปลั่งงดงามและน่ารักจะชวนให้หนาวใจได้เช่นนี้

    ไม่เหมือนมนุษย์โดยแท้…

    ทหารกบฏที่ถือทวนผู้นั้นพลันรู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ ด้ามทวนตกลงมาจากมือขวา เข่าขวาเองก็พลันพับงออย่างไร้เรี่ยวแรง หลังล้มลงโลหิตสดจึงพุ่งออกจากปากแผลที่หน้าแขนและต้นขาของมัน

    สี่คนนั้นด้านหลังไม่ทันมองเห็นว่ามันถูกกระบี่เช่นไร ได้ยินเพียงสุ้มเสียงสั่นสะเทือนที่แหลมเล็กและประหลาด จากนั้นพวกมันก็ถูกกระบี่เร็วที่มองไม่เห็นนั้นทีละคน

    “ฆ่าพวกมันให้หมด”

    ถงจิ้งมิได้ระงับสุ้มเสียงนี้อีก แต่กลับโอบกอดมัน

    กระบี่ของนางเองถูกปลดปล่อยด้วยเหตุนี้

    ชาวบ้านร้อยคนที่ยืนอยู่ด้านหลังมองดูเงาหลังปราดเปรียวที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกมันเคลื่อนไหวอย่างพิสดาร ความเร็วนั้นมากจนดวงตาพวกมันมิอาจจับภาพได้ ถงจิ้งพลันดูคล้ายแปรจากร่างจริงเป็นเงามายาในสายตาพวกมัน

    เสียงสั่นของปลายกระบี่ผึ้งผาดทำให้คนทั้งหมดรอบข้างแสบแก้วหู

    ทหารกบฏที่ถืออาวุธสี่นาย มิได้ฟันออกแม้แต่ดาบเดียว สองนายในนั้นลำคอกระเซ็นโลหิต นายที่สามป้องตาซ้ายที่แปรเป็นโพรงเลือด นายที่สี่วิ่งหนี แต่เพิ่งหมุนตัวแผ่นหลังก็ถูกปลายกระบี่แทงทะลุตรงเข้าสู่ปอดสูญเสียเรี่ยวแรงล้มกลิ้ง

    ครั้นถงจิ้งหดกระบี่กลับคืนก็ฉวยท่าพุ่งปราดโจมตีคำรบห้า ชีวิตของมือกระบี่ในสายตานั้นก็จบสิ้นแล้ว

    ชาวบ้านที่เห็นทุกสิ่งนี้กับตาล้วนตื่นตะลึง พวกมันคิดมาตลอดว่าในทั้งห้าคนที่มาฆ่าโจร ดรุณีนางนี้ต้องอ่อนแอที่สุดเป็นแน่ อย่างมากก็แค่สนับสนุนอยู่ด้านข้าง พวกมันมิอาจเชื่อว่าในร่างเล็กอรชรเช่นนี้กลับมีเทพมรณะที่น่ากลัวอาศัยอยู่

    ถงจิ้งหลังสังหารห้าคนกลับมิได้หยุดลง นางวิ่งเข้าไปช่วยเหลือเยียนเหิงและจิงเลี่ยกำจัดศัตรูที่หลงเหลือสืบต่อ

    ทหารกบฏที่ยังคงมีชีวิตอยู่บัดนี้เหลือเพียงเจ็ดนาย ยิ่งมิอาจเป็นคู่ต่อสู้ของหกกระบี่บ้านแตกได้

    แต่ในนั้นมีสองนายคือเฝิงอี้ก่วงกับลูกน้องอีกนายหนึ่งที่ขึ้นม้าแล้ว ม้าทั้งสองพุ่งไปข้างหน้าด้วยขาทั้งแปด วิ่งไปตามส่วนตื้นของลุ่มน้ำ มุ่งสู่ทิศตะวันตกเพื่อหนีตาย

    ผู้ที่เฝ้าอยู่ทางตะวันตกของลุ่มน้ำคือเลี่ยนเฟยหง มันเพิ่งแกว่งกระบี่สังหารทหารกบฏที่หนีมาสองนายในป่า ครั้นได้ยินเสียงกับเท้าม้าย่ำน้ำก็วิ่งไปบริเวณนั้นทันที มือซ้ายชักคมบินส่งวิญญาณเล่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ออกมา ซัดออกใส่ผู้ที่อยู่ห่างสองจั้ง

    การลงมือด้วยมีดบินนี้ของเลี่ยนเฟยหงเร็วเกินไปเล็กน้อย ระยะห่างนั้นก็ใกล้ขีดจำกัดของการซัดมีดบิน อีกทั้งเป้าหมายคือทหารม้าที่เคลื่อนที่รวดเร็ว ถึงแม้ใช้ทักษะแปดมหาเลิศคงถงของมัน ความแม่นยำก็ยังคงคลาดเคลื่อนเล็กน้อย มีดบินที่หมุนออกเพียงกรีดผ่านแผ่นหลังเฝิงอี้ก่วงเฉียดๆ

    แผ่นหลังเฝิงอี้ก่วงกระเซ็นขึ้นด้วยเลือดกองหนึ่ง ความเจ็บปวดแสบร้อนวูบตรงผ่านขึ้นหัวสมอง มันกัดฟันฝืนทน ยังคงจดจ่ออยู่กับการควบม้าฝ่าวงล้อม หาได้ตกลงจากอานม้าไม่

    หู่หลิงหลันวิ่งออกมาจากป่าทางตะวันออก ในมือถือคันเกาทัณฑ์ยาวที่พาดลูกเกาทัณฑ์แล้ว นางคุกเข่าน้าวสายเกาทัณฑ์เล็งผู้ขี่ม้าสองคนนั้นที่ไกลห่างออกไปเรื่อยๆ

    ขณะเดียวกันเงาร่างเงาหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงและถือโอกาสกระโดดหลังย่างสามก้าว ตกลงอย่างเบาหวิวบนหลังม้าศึกที่วิ่งพล่านด้วยความตื่นตระหนกตัวหนึ่ง ชาวบ้านมองดูเห็นเป็นถงจิ้ง มือขวานางยังคงกุมกระบี่ มือซ้ายควบคุมเชือกบังเหียน ยับยั้งม้าตัวนั้นเอาไว้อย่างยอดเยี่ยมและยังหันหัวม้าใช้สันกระบี่ตบสะโพกมันเบาๆ ตาม พลางตวาดบงการให้ม้าสาวเท้าไล่ตามทหารกบฏที่หนีตายสองนายนั้นในทันที

    กำลังอยู่กึ่งกลางสมรภูมิเหมือนกัน แต่การตอบสนองของถงจิ้งกลับเร็วกว่าจิงเลี่ยและเยียนเหิงเสียอีก แม้กระทั่งพวกมันทั้งสองเองก็รู้สึกตะลึง

    หู่หลิงหลันที่คุกเข่าควบคุมการหายใจ น้าวสายเกาทัณฑ์จนตึง ดวงตาตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับเงาหลังเล็กๆ นั้นในที่ไกล

    “เด็กดี อย่ารบกวนข้ายามนี้…”

    นางภาวนาในใจ ดวงตา ร่างกาย ลมหายใจเป็นหนึ่งเดียว นิ้วมือที่คล้องสายของหู่หลิงหลันปล่อยออก

    ลูกเกาทัณฑ์ยาวลอยผ่านเลียบผิวน้ำไปอย่างรวดเร็วด้วยวิถีโค้งเล็กน้อย ยิงเข้าแผ่นหลังของลูกน้องด้านหลังเฝิงอี้ก่วงอย่างแม่นยำไร้เทียบเทียม ผู้ถูกเกาทัณฑ์ร้องพลางล้มกลิ้งตกลงจากม้า

    เฝิงอี้ก่วงมิได้หันหน้ามองดูสักแวบ ขณะนี้มันมีเพียงความคิดเดียว

    ต้องรอดจากที่นี่! หากการใหญ่ของหนิงอ๋องสำเร็จยังมีเงินทอง ทรัพย์สมบัติ และสตรีมากมายรอข้าอยู่!

    ขอเพียงหนีรอดกลับถึงทัพใหญ่ ข้าก็จะนำกองกำลังหนึ่งพันกว่ามาทันทีแล้วฆ่าพวกมันแต่ละคนให้สิ้น!

    ถงจิ้งขี่ม้าเร็ววิ่งตะบึงตามลุ่มน้ำตื้น ไล่ตามเฝิงอี้ก่วงสุดความเร็ว ท่าขี่ม้าของนางงดงามอย่างยิ่ง ประสานกับจังหวะขึ้นลงจากการวิ่งของลำตัวม้าอย่างสมบูรณ์ ลดภาระของม้าศึกจนถึงที่สุด กีบเท้าทั้งสี่นั้นเหมือนลอยขึ้นบนน้ำตื้นก็ปาน

    ขณะควบม้ารุนแรงเช่นนี้ ใบหน้าของถงจิ้งกลับเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ดวงตาจ้องเงาหลังเล็กๆ ของศัตรูที่หลบหนีโดยไม่มีความรู้สึกสักนิด การจดจ่อเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในหลายปีที่นางฝึกยุทธ์และต่อสู้

    เหลือเพียงคนเดียว ฆ่าให้หมด

    สุ้มเสียงนั้นในใจนางกล่าว

    บนลุ่มน้ำ เยียนเหิงเก็บกระบี่คู่ สกัดม้าตัวหนึ่งเอาไว้อย่างรวดเร็วแล้วกระโดดขึ้นหลังควบขี่ไล่ตามถงจิ้งไป อีกด้านหนึ่งจิงเลี่ยเองก็ขึ้นม้าแล้วเช่นกัน คนทั้งสองแทบจะวิ่งในแนวเดียวกัน

    จุดสำคัญของการจู่โจมครั้งนี้คือต้องกำจัดคนของฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด มิอาจให้หนีรอดแม้แต่คนเดียว หกกระบี่บ้านแตกอาศัยเพียงห้าคนกับการล้อมโจมตี อึดใจเดียวก็โค่นล้มสามสิบสี่คน นับเป็นการกระทำที่ไม่ง่ายดายโดยแท้จริง แต่ขอเพียงมีผู้หนึ่งหนีรอด วันนี้ก็ยังคงล้มเหลว จิงเลี่ยควบม้าสุดความเร็วหวังเพียงไล่ตามให้ทัน

    เยียนเหิงกลับกังวลกว่าจิงเลี่ยเท่าหนึ่ง เมื่อครู่มันมองเห็นสีหน้าท่าทางขณะถงจิ้งควบม้าผ่าน พลันรู้สึกว่านางผิดปกติอย่างมาก หลังจากการต่อสู้ที่กั้นเจียงวันนั้น มันก็สังเกตว่าถงจิ้งแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่ตลอดมานางปฏิเสธที่จะกล่าวกับมันว่าเกิดอะไรขึ้นขณะสังหารหานซานหู่ การต่อสู้ในวันนี้มันจึงจัดให้ถงจิ้งอยู่ลำดับสุดท้าย รับหน้าที่เพียงดูแลชาวบ้านที่ขู่ขวัญตบตาเหล่านั้น

    ไม่ว่าเป็นอาการผิดปกติอันใด ก็คล้ายปะทุขึ้นแล้วขณะนี้…

    ถงจิ้งที่ไร้เดียงสาและเปี่ยมด้วยพลังมาตลอด ไม่เคยทำให้เยียนเหิงเป็นห่วงเหมือนตอนนี้

    ยามนี้เฝิงอี้ก่วงหลุดออกจากลุ่มน้ำแล้ว มันออกห่างจากฝั่งแม่น้ำซิวสุ่ยไปตามทางขึ้นเนินเล็กๆ สายหนึ่ง ปากแผลมีดบินบนหลังมันยังคงหลั่งเลือดไม่หยุด ทุกย่างก้าวของกีบเท้าม้าเหมือนด้านหลังถูกคนลงแส้ แต่มันฝืนทนความเจ็บปวดเอาไว้แล้วเร่งม้าวิ่งไปอย่างไม่หยุด

    มันลาดตระเวนที่ชานเมืองตะวันตกของอำเภออู่หนิงแห่งนี้หลายวันแล้ว คุ้นเคยกับทางแยกของลักษณะพื้นที่ รู้ว่าด้านหน้ามีป่าทึบผืนหนึ่ง และมีทางเล็กๆ แบ่งแยกหลายสาย ขอเพียงเข้าไปได้ ศัตรูก็ยากจะตามหามันได้อีก

    แต่ยามนี้กลับมีเสียงกีบเท้าม้าเร่งร้อนถ่ายทอดมาจากเบื้องหลัง แรกเริ่มเฝิงอี้ก่วงคิดว่าเป็นพาหนะของลูกน้องที่ตกม้าผู้นั้นตามมาเสียอีก แต่ครั้นเหลือบหันไปมองเล็กน้อย กลับเห็นบนม้าด้านหลังที่ไล่ตามมีเงาร่างเล็กๆ เงาหนึ่ง อีกทั้งกระบี่ในมือเปล่งประกายเย็นยะเยือก

    ถงจิ้งควบม้าขึ้นเนินเขา พลังของนางยังคงว่องไวดุจลูกเกาทัณฑ์ เฝิงอี้ก่วงเห็นแล้วลนลานอย่างมาก

    เหตุใดเร็วเพียงนี้

    เฝิงอี้ก่วงมีภูมิหลังเป็นโจรปล้นม้า ทักษะการขี่ม้าเก่งกาจ ยังคงเชื่อมั่นในตนเองว่าอาศัยความได้เปรียบที่นำหน้าอยู่หนึ่งช่วงใหญ่นี้ เพียงพอที่จะสลัดฝ่ายตรงข้ามหลุด จึงหันหน้ากลับก้มหมอบร่างกาย สะโพกและขาห่างจากอานม้า สั่งการพาหนะให้วิ่งเร็วขึ้นอีก

    ใบหน้าของถงจิ้งยังคงไร้อารมณ์ ดวงตาจ้องเขม็งไปยังเงาหลังที่ใหญ่ขึ้นของเฝิงอี้ก่วง

    ห้านิ้วมือขวาของนางกุมด้ามกระบี่ผึ้งผาดเบาๆ ให้ข้อนิ้วผ่อนคลายบ้าง เตรียมกำเนิดเสียงสั่นประหลาดนั้นอีกครั้งทุกเมื่อ

     

    ขณะที่เยียนเหิงและจิงเลี่ยขึ้นสู่ยอดเนินด้านนอกป่าผืนนั้นก็มองไม่เห็นเงาร่างของถงจิ้งและเฝิงอี้ก่วงแล้ว สิ่งที่เห็นตรงหน้ามีเส้นทางเล็กๆ สี่สายผ่านเข้าสู่ป่า ความกว้างของทางสามสายในนั้นเพียงพอที่ม้าจะเดินได้ คนทั้งสองยากชี้ขาดได้ว่าถงจิ้งกับศัตรูเข้าทางสายใดกันแน่ จำต้องชะลอม้าลง

    จิงเลี่ยขี่ม้าทอดน่องไปพลางก้มตัวมองดูรอยย่ำดินทรายและวัชพืชบนพื้นอย่างละเอียดไปพลาง เสาะหาร่องรอยควบม้าผ่านของถงจิ้ง

    เยียนเหิงร้อนใจยิ่งนัก แต่มันรู้ว่าประสบการณ์เสี่ยงอันตรายของพี่จิงโชกโชน การตามรอยหาเส้นทางนี้ต้องเป็นทักษะที่ชำนาญที่สุดอย่างแน่นอน จำต้องอดทนรอคอย

    ขณะจิงเลี่ยคลำหาร่องรอยกีบเท้าม้าสดใหม่สายนั้น คนทั้งสองกลับได้ยินว่ามีสุ้มเสียงกีบเท้าม้าทอดน่องถ่ายทอดมาจากเส้นทางของป่าสายหนึ่งในนั้น พวกมันระแวดระวังขึ้นทันที ต่างวางมือบนด้ามอาวุธที่แผ่นหลังและข้างเอว

    พวกมันกลับเห็นผู้ที่เลี้ยวออกมาจากเส้นทางเล็กๆ ในป่านั้นมิใช่ผู้ใด เป็นถงจิ้ง ในฝ่ามือซ้ายที่จูงเชือกบังเหียนม้าของนางพลิกจับกระบี่ผึ้งผาดอยู่ ปลายกระบี่เรียวเล็กนั้นเปื้อนเต็มไปด้วยเลือดที่ยังไม่ถูกเช็ดทำความสะอาด มือขวาลากเชือกบังเหยียนของม้าอีกตัวหนึ่ง ม้าสองตัวเดินออกมาช้าๆ หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง

    เยียนเหิงและจิงเลี่ยมองเห็น เฝิงอี้ก่วงนอนขวางอยู่บนอานของม้าตัวที่สองเสมือนผ้าอ่อนม้วนหนึ่ง ใบหน้าห้อยอยู่ด้านข้าง ยังคงมีโลหิตสดซึมลงมาตามตัวม้า

    ลักษณะของถงจิ้งคล้ายคืนสู่ปกติแล้ว นางมองดูเยียนเหิงจากไกลๆ หัวคิ้วขมวดแค่นยิ้ม คล้ายเหนื่อยล้าสุดขีด ใบหน้าขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด

    เยียนเหิงเห็นแล้วรู้สึกแปลกประหลาด เมื่อครู่แม้ถงจิ้งควบม้าไล่ล่าศัตรูสุดความเร็วหลังผ่านการต่อสู้รอบหนึ่ง แต่ด้วยทักษะในปัจจุบันของนาง การสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเช่นนี้คือเรื่องผิดปกติยิ่งนัก ไม่อาจอ่อนเปลี้ยถึงขั้นนี้ได้เป็นอันขาด

    ยามนี้ถงจิ้งเห็นเยียนเหิงก็เหมือนวางใจแล้ว สีหน้าที่ตึงเครียดแต่เดิมพลันผ่อนคลาย หนังตาตกหมดสติล้มพับบนหลังม้าในทันใด

    ก่อนร่างนางจะไถลลงมาจากอาน เยียนเหิงก็กระโดดลงมาจากม้าตนเองแล้ว มันวิ่งไปหลายก้าวจนถึงข้างม้าถงจิ้ง รับร่างกายอ่อนระทวยของนางเอาไว้ทันเวลา

    ถึงแม้อยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้ มือของถงจิ้งก็ยังมิได้ปล่อยด้ามกระบี่ผึ้งผาด

     

    เมื่อถงจิ้งลืมตาขึ้นอีกครั้งก็รับรู้ได้ถึงแสงแดดที่ส่องต้องบนหน้าจากช่องโหว่ของใบไม้ ทำให้นางสบายยิ่งยวด

    ก่อนหน้านางกลัวเหลือเกินว่าตนเองจะมิอาจกลับสู่ความอบอุ่นกับความสว่างไสวได้อีก

    ถงจิ้งระบายลมหายใจช้าๆ หลายเฮือก และตั้งสติจึงรู้ว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในป่าอันเงียบสงัดผืนหนึ่ง เยียนเหิงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายให้ศีรษะของนางหนุนอยู่บนตักตนเอง มันถือผ้าที่ชุบน้ำสะอาดผืนหนึ่งเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมาบนหน้านาง

    ถงจิ้งแหงนมองเยียนเหิงเงียบๆ ภายใต้การประสานสายตาของคนทั้งสอง นางจึงค่อยๆ นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ นางมองดูป่าไม้ซ้ายขวา

    “คนอื่นเล่า…”

    เยียนเหิงครุ่นคิดจึงตอบ “พวกพี่จิงกับชาวบ้านกำลังจัดการธุระอยู่บนลุ่มน้ำ…ธุระเช่นนั้น เจ้าอย่ามองจะดีกว่า พวกมันจึงให้เราอยู่ที่นี่”

    ถงจิ้งรู้ว่าสิ่งที่พวกจิงเลี่ยจะ ‘จัดการ’ คืออะไรบ้าง นางหวนนึกถึงก่อนหน้านี้ การตอบสนองของตนเองขณะเห็นโลหิตกับตา นางมิกล้าจินตนาการ ทำได้เพียงพยักหน้า

    “จิ้ง…” เยียนเหิงยามนี้อดมิได้ที่จะถาม “นับจากที่กั้นเจียงวันนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าต้องบอกข้านะ พวกเรา…มีอะไรล้วนบอกกันมิใช่หรือ”

    มันลูบไล้ปรางแก้มของนางเบาๆ

    ถงจิ้งได้ยินเยียนเหิงกล่าวเช่นนี้ก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างสูญเสียการควบคุมทันที แต่อารมณ์ของนางยังคงสงบ เพียงหลั่งน้ำตาไปพลางบอกเล่าประสบการณ์จิตใจอันน่ากลัวขณะสังหารหานซานหู่ในวันนั้นของตนเองไปพลาง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นริมฝั่งเมื่อครู่ เยียนเหิงขมวดคิ้วพลางสดับฟังอย่างละเอียด ในขณะเดียวกันเช็ดน้ำตาให้นางไม่หยุด

    “ข้ากลัวยิ่งนัก” ถงจิ้งริมฝีปากสั่นระริกขณะกล่าว “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าจะกลับตัวมิได้หรือไม่ จะกลายเป็นคนบ้าจริงๆ หรือไม่”

    เยียนเหิงฟังพลางนึกโยงถึงประสบการณ์ก่อนหน้าของตนเองขณะฝึกปรือก้นหอยภูผาขึ้นมาทันที นั่นคล้ายคลึงกับถงจิ้งอย่างยิ่ง

    ในอดีตไม่ว่าจิงเลี่ย เลี่ยนเฟยหง เหยาเหลียนโจว ไปจนถึงเหลยจิ่วตี้ ล้วนชี้ขาดว่าถงจิ้งมีพรสวรรค์วิชายุทธ์ไม่ธรรมดาสามัญ และดูจากเส้นทางวิชากระบี่ที่นางเดินในหลายปีมานี้ ความสามารถอันน่าอัศจรรย์ของนางเห็นได้ชัดว่าเกิดจากภายใน

    เมื่อฟังคำบอกเล่าของถงจิ้ง เยียนเหิงประเมินว่าถงจิ้งต้องมีพลังแท้โดยกำเนิดที่สูงล้ำกว่าผู้อื่นอย่างแน่นอน พอผ่านการเปิดใช้ หากผสมผสานกับการกระตุ้นของวิชายืมภาวะขั้นสูง…อย่างเช่นจำพวกภาวะเทพสถิตของเหลยจิ่วตี้ก็เพียงพอที่จะออกกระบวนท่ากระบี่เร็วยิ่งที่ไร้ผู้ต้านทานได้

    แต่พลังแท้โดยกำเนิดอันฉับไวอย่างยิ่งนั้นครั้นปลดปล่อย จิตใจของถงจิ้งก็ฉับไวผิดปกติขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ปรากฏจินตนาการมืด นางจะรับรู้ถึงขั้นถูกมันพิชิตได้ง่ายดายยิ่งนัก ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ถ้าหากไม่มีวิธีควบคุมการฝึกฝนที่เหมาะสมก็จะอันตรายอย่างยิ่ง…เหมือนเช่นเยียนเหิงที่เกือบจะตกอยู่ในอาการบ้าคลั่งขณะฝึกก้นหอยภูผา สภาพการณ์ของเหลยจิ่วตี้ก็คล้ายกัน

    นี่คือเรื่องราวที่มิอาจหลีกเลี่ยง วิถียุทธ์เหนือสามัญชนก็คือเส้นทางโหดร้ายสายหนึ่ง

    “เจ้าสมควรบอกข้าให้เร็วหน่อย” เยียนเหิงกล่าวกับถงจิ้งหลังฟังจบพลางลูบไล้เรือนผมของนางเบาๆ มันเองก็เล่าประสบการณ์น่ากลัวขณะฝึกปรือลำพังที่เขาไห่หยางของตนเองออกมาอย่างละเอียด

    ถงจิ้งเมื่อรู้ว่าเยียนเหิงเคยประสบกับการทดสอบจิตใจที่ใกล้เคียงกับตนเองเช่นกัน ก็รู้สึกตื้นตันอย่างมาก นางยื่นมือจับฝ่ามือของมันเอาไว้แน่น การมีคนผู้หนึ่งที่เข้าใจตนเอง ไม่มีสิ่งใดทำให้นางซาบซึ้งไปกว่านี้อีกแล้ว

    “ข้าข้ามผ่านด่านนั้นได้แล้ว เจ้าเองก็ทำได้” เยียนเหิงทอดสายตาให้กำลังใจไปยังนาง “ภายหลังพวกเราค่อยขอคำชี้แนะจากเลี่ยนเฟยหงว่ามีวิธีอะไรช่วยได้หรือไม่ ตอนนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ปล่อยวางเรื่องเกี่ยวกับการใช้กระบี่ลงชั่วคราว ในวันนั้นข้าเองก็เป็นเช่นนี้”

    “แต่ตอนนี้พวกเรากำลังสู้รบอยู่นะ” ถงจิ้งส่ายหน้าเบาๆ “ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ข้าไม่อาจวางลงได้”

    เยียนเหิงอ้ำอึ้ง ตอนนี้เผชิญหน้าตำหนักหนิงอ๋อง กองทัพคุณธรรมอยู่ในภาวะแย่อย่างยิ่งยวด หกกระบี่บ้านแตกกำลังจะใช้กำลังของคนเพียงห้าคนช่วยเหลือหวังโส่วเหรินพลิกสถานการณ์นี้กลับมา หากช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ขาดกระบี่เล่มนี้ของถงจิ้ง โอกาสชนะก็จะลดน้อยลงอีก

    “แต่เจ้ามิอาจเสี่ยงอันตราย…” เยียนเหิงกล่าว

    “ไม่” ถงจิ้งหยุดร้องไห้และตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “พวกเราทุกคนล้วนกำลังเสี่ยงอันตราย สงครามสนามนี้สำคัญกว่าพวกเราทุกคน”

    เยียนเหิงมองดูนางพลางแค่นหัวเราะ แน่นอนว่ามันกระจ่างยิ่งนัก ในเรื่องที่สำคัญเช่นนี้นางไม่มีทางถอยหลังยอมแพ้

    และนี่คือจุดที่เยียนเหิงชมชอบนาง มันไม่เคยลืมสถานการณ์ที่นางยืดอกปกป้องมันที่ถูกขังอยู่ในตาข่าย ในสาขาใหญ่พรรคหม่าไผขณะแรกรู้จักกัน ณ เฉิงตู

    นางไม่เคยเปลี่ยนแปลง

    “เช่นนั้นก็ได้” เยียนเหิงดึงฝ่ามือของนางแนบอกตนเอง “หากพบเจอช่วงเวลามืดมิดนั้นอีก เจ้าก็นึกถึงข้า จำไว้ว่าข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป”

    ถงจิ้งฟังแล้วผุดลุกขึ้น หัวคิ้วที่ขมวดอยู่ตลอดขณะนี้ผ่อนคลายในที่สุด หว่างคิ้วปรากฏความองอาจเช่นยามปกติอีกครั้ง นางมองดูเยียนเหิงพลางพยักหน้า

     

    หลังเลี่ยนเฟยหงจัดการทหารม้ากองทัพกบฏที่ยังไม่ขาดใจนายสุดท้าย ก็เตะซากศพจนกระเด็นออก ใช้ผ้าเช็ดรอยเลือดบนกระบี่ราชสีห์ฮึกหาญแล้วสอดคืนลงในฝักก่อนถอนหายใจ

    แต่มันยังพักผ่อนไม่ได้ เลี่ยนเฟยหงหมุนไหล่ทั้งสองที่ปวดเมื่อยและแข็งทื่อเล็กน้อย คัดเลือกขวานที่ใหญ่ที่สุดเล่มหนึ่งมาจากในกองอาวุธที่ชาวบ้านวางไว้ มันแกว่งขวานกลางอากาศหลายหน ซ้ำยังเคาะตัวคมสดับฟังสุ้มเสียงอย่างละเอียด ให้แน่ใจว่าการประกอบด้ามขวานแข็งแรง วัสดุคมขวานไม่แย่เกินไป

    ชาวบ้านสิบกว่าคนกำลังรวบรวมซากศพทหารกบฏ พวกมันล้วนเป็นผู้ที่ค่อนข้างกล้าหาญในหมู่บ้านใกล้เคียงอำเภออู่หนิง ครั้นมองเห็นซากศพก็ไม่รู้สึกกลัว…อนึ่งคนที่ตายยังเป็นทหารจากตำหนักหนิงอ๋องที่พวกมันเคียดแค้นชิงชัง กองทำกบฏหนิงอ๋องเหล่านี้เกะกะระรานในเขตเมืองหนานชางมาโดยตลอด ฆ่าคนปล้นชิงตามอำเภอใจ แม้กระทั่งทางการท้องถิ่นก็ไม่มีกำลังยับยั้งปราบปราม ชาวบ้านเห็นมันเหมือนดั่งเสือพยัคฆ์ บัดนี้เห็นพวกมันถูกสังหารจึงรู้สึกเพียงสะใจ

    นี่คือเหตุผลที่หกกระบี่บ้านแตกพอบรรลุถึงอู่หนิงก็ระดมชาวบ้านมากมายมาช่วยเหลือได้

    นอกจากชาวบ้านสิบกว่าคนที่อยู่บนลุ่มน้ำในขณะนี้แล้ว จิงเลี่ยยังคัดเลือกผู้ที่ขี่ม้าเป็นแปดคน ตามมันไปนำม้าศึกศัตรูที่ตกใจหนีเตลิดไปก่อนหน้ากลับมา ส่วนอีกหนึ่งร้อยคนมีภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่าคือเมื่อพวกมันถึงที่ว่างผืนหนึ่งทางตะวันออกของลุ่มน้ำ ก็รับหน้าที่ก่ออิฐสร้างเตาดินจุดกองไฟมากมาย หลังสร้างร่องรอยการเผาค่อยใช้ดินทรายอำพราง ซ้ำยังขุดหลุมบนพื้น สร้างหลักฐานเท็จว่าเคยมีกองกำลังกลุ่มใหญ่พักแรมค้างคืนบนที่ว่างผืนนี้

    แผนลวงทหารนี้จิงเลี่ยเป็นผู้คิด หลายปีก่อนมันร่ำเรียนมาจากแม่ทัพพื้นเมืองนายหนึ่ง ขณะช่วยเหลืออาณาจักรท้องถิ่นที่หนานหมานปราบโจร

    เมื่อเลี่ยนเฟยหงเลือกขวานได้แล้วก็เลือกหินก้อนใหญ่ที่เหมาะสมก้อนหนึ่งใต้ต้นไม้ข้างลุ่มน้ำ กำชับให้ชาวบ้านก่อก้อนหินข้างกองศพ และวางซากศพแรกลงไป ให้ลำคอยื่นออกมาจากขอบก้อนหิน

    “วีรบุรุษเฒ่า…” ชาวบ้านเยาว์วัยคนหนึ่งกล่าว “เมื่อครู่ฆ่าโจรอย่างห้าวหาญ ข้าเห็นท่านเองก็เหนื่อยแล้ว เรื่องนี้มิสู้…มอบให้พวกเราทำ ไม่จำเป็นต้องลำบากท่านอีก”

    เลี่ยนเฟยหงกลับส่ายหน้าอย่างแม่นมั่น คอนขวานไว้บนไหล่

    “มิได้ พวกเจ้ากลับบ้าน ยังต้องเป็นคนทั่วไป ยังต้องกอดภรรยาและให้กำเนิดบุตรอย่างสุขสำราญ เรื่องน่ารังเกียจนี้ให้คนชราเช่นข้าทำเอง” เลี่ยนเฟยหงยิ้มน้อยๆ กล่าวอีก “ถึงอย่างไรเรื่องที่ข้าเคยเห็นและเคยทำก็มีมากเหลือเกินแล้ว”

    เลี่ยนเฟยหงแม้เป็นนักสู้ที่บ้าบิ่น แต่มันเกลียดสงคราม…ถึงแม้เป็นสงครามที่จำเป็นต้องเดิมพันด้วยความเป็นความตายเช่นเดียวกัน แต่สงครามกับการตัดสินของนักสู้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในสงครามต้องฆ่าล้างผู้ที่สูญเสียปณิธานต่อต้านไปแล้วให้หมดสิ้น ทั้งยังมีเรื่องราวน่าชังและเรื่องราวที่แม้ไม่ยินยอมแต่ก็ต้องทำมากยิ่งกว่า

    อย่างเช่นตัดศีรษะของคนที่สิ้นชีพสามสิบกว่าคน

    “แล้วก็เจ้า เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องมา มอบให้ข้าทั้งหมดก็พอแล้ว”

    เลี่ยนเฟยหงกล่าวเช่นนี้ เป็นเพราะมันเหลือบเห็นหู่หลิงหลันกำลังถือดาบเหยี่ยไท่ เดินมาจากริมแม่น้ำ บนหน้านางยังคงเต็มไปด้วยหยดน้ำ ผมเผ้าล้วนเปียกทั้งหมด เมื่อครู่นางไปล้างหน้าริมแม่น้ำเพราะไม่สบายตัวเล็กน้อย

    “เพราะเหตุใด” หู่หลิงหลันขมวดคิ้วถาม

    “เรื่องเช่นนี้ไม่ประเสริฐต่อเด็ก”

    หู่หลิงหลันฟังแล้วปรางแก้มแดงฉาน

    ถึงอย่างไรประสบการณ์ชีวิตของเลี่ยนเฟยหงก็ค่อนข้างโชกโชน ในศึกหนีตายที่กั้นเจียงก่อนหน้าก็สังเกตเห็นแล้วว่าหู่หลิงหลันตั้งครรภ์

    หู่หลิงหลันโบกมือ ขับไล่ชาวบ้านหลายคนที่ยืนอยู่ค่อนข้างใกล้ออกไป เดินไปกล่าวเสียงเบาเบื้องหน้าเลี่ยนเฟยหง “เรื่องนี้ท่านอย่าบอกมัน”

    เลี่ยนเฟยหงย่อมรู้ว่า ‘มัน’ คือจิงเลี่ย

    “ข้ายังสู้ได้” หู่หลิงหลันกล่าวสืบต่อ “ด้านหน้าคือศึกใหญ่ ข้าไม่อยากให้มันเสียสมาธิสักนิดเพราะข้า นี่คือหน้าที่ของข้า ทุกสิ่งค่อยว่ากันหลังชนะ”

    เลี่ยนเฟยหงฟังพลางพยักหน้า อุปนิสัยเด็ดเดี่ยวของสตรีต่างแคว้นนางนี้ทำให้มันเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง

    “ประเสริฐ เช่นนั้นเจ้าไปพักผ่อนริมแม่น้ำ” เลี่ยนเฟยหงแกว่งขวานบนไหล่ขณะกล่าว

    หู่หลิงหลันส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆ ให้เลี่ยนเฟยหง

    “ข้ากับบุตรของจิงเลี่ยจะไม่เป็นคนธรรมดา” นางลูบไล้หน้าท้องกล่าว “เด็กคนนี้จะไม่กลัวการต่อสู้และความตาย ภายหน้าเขาจะผ่านสิ่งต่างๆ มากมายเช่นกัน”

    เลี่ยนเฟยหงฟังแล้วแค่นยิ้มส่ายหน้า

    “นี่ไม่เร็วเกินไปหรือ…เรื่องเลวร้ายในโลกล้วนสมควรให้ข้าคนชราเช่นนี้ไปแบกรับ”

    หู่หลิงหลันมิได้สนใจฟัง นางชักคมยาวของดาบเหยี่ยไท่ออกจากฝักช้าๆ

     

    หลังตัดศีรษะทั้งสามสิบห้าลงมา ชาวบ้านใช้เส้นผมผูกมันเป็นหลายกอง เตรียมนำออกไป

    ชาวบ้านที่รับหน้าที่สร้างร่องรอยค่ายพักปลอมทยอยกันกลับมา บังเอิญพบเจอกับพวกจิงเลี่ยที่นำม้ากลับมาพอดี

    หลังจิงเลี่ยแน่ใจว่าทุกเรื่องล้วนจัดการอย่างเหมาะสม ก็เลือกม้ามาหกตัวสำหรับพวกมันหกกระบี่บ้านแตกใช้เดินทาง (ตัวหนึ่งในนั้นใช้เป็นกองหนุนและแบกขนสิ่งของ) แล้วจึงมอบม้าที่เหลือให้ชาวบ้าน

    “หลังออกจากที่นี่หาที่ซุกซ่อนศีรษะเหล่านั้น” จิงเลี่ยกล่าวสั่งการ “นอกจากนั้นไม่ต้องทิ้งม้าเอาไว้ พวกเจ้าแยกย้ายกันกลับไปที่หมู่บ้านของตัวเอง รีบเชือดม้าที่แบ่งมาโดยเร็ว ต้องซุกซ่อนอานม้าและเชือกบังเหียนไว้ชั่วคราวเช่นกัน”

    ชาวบ้านโห่ร้อง มีคนลูบไล้ม้าพลางรู้สึกเสียดาย ม้าศึกพ่วงพียี่สิบกว่าตัวนี้ควรค่าพอที่จะซื้อหมู่บ้านของพวกมันได้

    จิงเลี่ยโบกมือสั่งพวกมันให้สงบลง “หากมีวิธีอื่น ข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้” มันมองดูม้าเหล่านั้นแวบหนึ่ง ในสายตามีความเสียใจ “แต่ถ้าถูกฝ่ายตรงข้ามพบว่าพวกเจ้าทิ้งตัวหนึ่งในนั้นไว้ มิเพียงทุกสิ่งในวันนี้จะเสียแรงเปล่า ทุกผู้คนในหมู่บ้านแห่งนั้นที่ถูกพบก็รับเคราะห์ได้ทุกเมื่อ อย่าลืมเป็นอันขาด ทหารกบฏของตำหนักหนิงอ๋องเป็นคนเช่นไร”

    เหล่าชาวบ้านย่อมไม่ลืม พวกมันเข้าใจเหตุผลของจิงเลี่ยแล้วจึงมิได้รำพันอีก

    “พวกเรากำลังทำสงคราม” จิงเลี่ยใช้สายตามาดมั่นกวาดมองพวกมันทุกคน

    “เพื่อปกป้องคนสำคัญกับสิ่งของที่มิอาจทดแทน ใครก็ต้องเสียสละ หากไม่อยากเสียสละโดยเปล่า เช่นนั้นก็เดิมพันชีวิตเอาชนะเถอะ”

     

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ เพลงกลอนคลั่งยุทธ์เล่ม 18 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook