• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 20 บทที่ 2

    บทที่ 2

    เปลวเพลิงโจมตี

     

    แสงอรุณรำไรแผ่ขึ้นจากเส้นขอบฟ้าไกลๆ อู่เหวินติ้งยืนอยู่ตรงหัวเรือของเรือรบ ก้มศีรษะมองดูเกลียวคลื่นที่แหวกออกพลางขบคิด

    หนวดเคราใต้คางของมันส่วนใหญ่หงิกงอเหลืองเกรียมเพราะถูกเปลวไฟแผดเผาในการต่อสู้เมื่อวาน หลังจบศึกมันนอนน้อยอย่างยิ่ง ฟ้ายังไม่สว่างก็ตื่นขึ้นมารีบไปตรวจสอบความคืบหน้าการเตรียมรบที่ริมน้ำ กระทั่งเห็นช่างและทหารจัดเตรียมอาวุธที่จำเป็นต่อกลยุทธ์ตลอดทั้งคืนจนแล้วเสร็จจึงโล่งใจอย่างมาก ยามนี้อู่เหวินติ้งสีหน้าเหนื่อยล้า นอกจากนอนไม่พอแล้ว ยังมีความอ่อนเพลียที่สะสมจากศึกใหญ่สองวันติดต่อกัน ทุกข้อต่อของร่างกายเหมือนถูกตรึงแน่น อาการปวดแปลบของกล้ามเนื้อจู่โจมเป็นพักๆ

    ทว่าอู่เหวินติ้งไม่มีความอยากนอนแม้แต่น้อย มันอยู่ในภาวะอ่อนล้าไร้เทียบเทียมแต่ก็ตื่นตัวอย่างยิ่ง ภาวะนี้หาได้ไม่คุ้นเคย…ทุกครั้งที่ทำศึกมันมักต้องพบเจอ

    มันพยายามยืนตรงเพื่อไม่ให้ทหารด้านหลังมองเห็นความอ่อนล้า ผ่านศึกใหญ่บนทะเลสาบที่พลิกผันท่ามกลางอันตรายสนามนั้นเมื่อวาน ซ้ำยังต้องปลุกใจเหล่าทหารกองทัพคุณธรรมให้ต่อสู้อีกครั้งหนึ่งในทันที หาใช่เรื่องที่ง่ายดายไม่…พวกมันเพิ่งรอดชีวิตมาจากขอบความตายอย่างยากลำบาก กลับยังต้องเอาชีวิตออกมาเดิมพันอีกครั้ง ต่อให้มีขวัญกำลังใจแห่งชัยชนะก็มิได้ยินยอมพร้อมใจเช่นนั้น อนึ่งกองทัพคุณธรรมขบวนนี้อย่างไรก็หาใช่ทหารที่ได้รับการฝึกปรือไม่ กว่าครึ่งล้วนเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไป

    เคราะห์ดีในกองทัพมีคนผู้หนึ่ง…หวังโส่วเหริน

    ‘พรุ่งนี้พวกเราก็จะยุติทุกสิ่งได้!’ เมื่อวานผู้ตรวจการหวังชี้แนะและให้กำลังใจต่อเหล่าทหารด้วยตัวเอง การปลุกใจอันยิ่งใหญ่ของหวังโส่วเหริน อู่เหวินติ้งที่มีประสบการณ์โชกโชนไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ‘ชัยชนะที่แท้จริงอยู่เบื้องหน้าแล้ว! เพียงพวกเรายกมือเด็ดมันลงมาด้วยแรงเฮือกสุดท้ายนี้!’

    แม้ผิดทำนองครองธรรมอยู่บ้าง แต่บางครั้งอู่เหวินติ้งก็อดมิได้ที่จะคิดว่าหากใต้เท้าหวังถือกำเนิดในยุคที่วุ่นวายยิ่งกว่า หากอ่านตำราปราชญ์น้อยลงสักหน่อย อาจเป็นวีรบุรุษแห่งยุคที่สถาปนาแคว้นเป็นกษัตริย์เหมือนจักรพรรดิไท่จู่…

    มันคิดถึงตรงนี้ก็อดมิได้ที่จะหัวเราะ ถ้าหากผู้ตรวจการหวังเป็นบุคคลนั้นล่ะก็ข้าคงไม่เลื่อมใสมันเพียงนี้…อู่เหวินติ้งกล่าวกับตนเองในใจ

    อู่เหวินติ้งหันหน้ามองดูทหารจำนวนมากบนดาดฟ้าเรือรบ อาวุธยุทโธปกรณ์หลากชนิดล้วนเตรียมพร้อมแล้ว เหล่าทหารไม่มีอะไรให้ทำอีก แต่ละนายพักผ่อนรอคอยคำสั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือ บางนายยืนอยู่ริมเรือเหมือนอู่เหวินติ้ง ชมดูทิวทัศน์ทะเลสาบผอหยางยามรุ่งอรุณเงียบๆ ก่อนทำศึกนี้ทหารชาวบ้านไม่น้อยในกองทัพคุณธรรมไม่เคยนั่งเรือ แรกเริ่มจึงเวียนศีรษะอาเจียนง่ายดายยิ่งนัก แต่หลังผ่านการเดินทัพและศึกทางน้ำก็เอาชนะอาการเหล่านั้นได้

    แต่ก่อนพวกมันล้วนไม่เคยจินตนาการว่าในชีวิตของตนเองจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้ ต้องจากบ้านเกิดมาไกล มองเห็นทิวทัศน์แปลกตามากมาย ฝากชีวิตไว้กับคนที่ไม่รู้จักมากมายเพียงนี้ ฆ่าคน มองดูคนถูกฆ่า เห็นบุคคลที่เสมือนหลุดมาจากตำนานกับตา แบกรับความหวาดกลัวรุนแรง ความเศร้าโศก และการมีชีวิตอยู่ สงครามสนามนี้คือประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดาที่สุดในชีวิตพวกมัน แต่นี่นับว่าโชคดีหรือโชคร้าย ไม่มีผู้ใดบอกได้ รู้เพียงพวกมันล้วนถูกพายุผลักเข้าสู่สงครามสนามนี้ มิใช่สิ่งที่ตนเองเลือก

    ความกล้าส่วนนี้คือความยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้บันทึกลงในประวัติศาสตร์

    แม้เหล่าทหารดูเบื่อหน่ายไม่ได้ทำอะไร แต่อู่เหวินติ้งมองดูเพียงแวบเดียว พอรับรู้ถึงบรรยากาศก็แน่ใจว่าพวกมันเตรียมพร้อมแล้ว จนอดมิได้ที่จะเลื่อมใสต่อความเป็นผู้นำของหวังโส่วเหรินอีกครั้ง

    ครั้นพวกมันสัมผัสได้ถึงสายตาอู่เหวินติ้ง ต่างก็เผยสีหน้าเคารพนับถือออกมาทันที และยืนตรงผงกศีรษะแสดงมารยาท ในสายตาเหล่าทหาร อู่เหวินติ้งที่เมื่อวานยืนอยู่หน้าขบวนเรือ แม้ไฟไหม้เคราก็ยังคงแน่วนิ่งดั่งขุนเขาประดุจเทพสงครามที่มีชีวิต

    อู่เหวินติ้งมองดูเบื้องหน้าอีกครั้ง บนผิวน้ำด้านหน้าเรือรบหลักยังมีเรือเล็กจำนวนไม่แน่ชัดที่กำลังแล่นฝ่าคลื่น รักษารูปขบวนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เรือเล็กว่องไวเหล่านี้ต่างหากคือกำลังหลักของศึกสุดท้ายวันนี้

    อู่เหวินติ้งรู้ว่าเมื่อวานยังมีอีกสองคนนอนน้อยยิ่งกว่ามัน คนหนึ่งย่อมเป็นใต้เท้าหวัง ตามที่ทหารบอกเล่า ตลอดทั้งคืนในกระโจมใต้เท้าหวังแทบจะไม่ได้หลับตา จุดตะเกียงก้าวเดินไปมาครุ่นคิดไม่หยุด ตรวจสอบกลยุทธ์ว่ายังมีจุดบกพร่องหรือไม่ หรือมีจุดใดที่ทำให้สมบูรณ์แบบได้ยิ่งขึ้น

    หลังศึกตัดสินเมื่อวานกองทัพคุณธรรมควบคุมชัยชนะกว่าครึ่งแล้ว แต่หวังโส่วเหรินรู้ว่าช่วงเวลาเช่นนี้ต่างหากอันตรายที่สุด ยิ่งหลงในความสำเร็จที่ยังไม่สมบูรณ์ก็ยิ่งง่ายต่อการเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามพลิกฟื้น ด้วยเหตุนี้มันจึงยืนหยัดให้กองทัพคุณธรรมต้านความอ่อนล้าเอาไว้แล้วบุกโจมตีในอึดใจเดียวช่วงเช้าวันนี้ เพื่อไม่ให้กองทัพกบฏหนิงอ๋องมีเวลาหายใจและรวบรวมทหารแตกทัพ คว้าโอกาสทองในการยุติสงครามสนามนี้ในคราวเดียว

    ตราบใดที่จูเฉินเหายังอยู่ที่นั่น ก็ยังคงเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อใต้หล้า

    ศึกใหญ่ทะเลสาบผอหยางเมื่อวาน ความจริงแพ้ชนะมีโอกาสพลิกผันเพียงเล็กน้อย ชีวิตของทหารชาวบ้านกองทัพคุณธรรมจำนวนมากล้วนรอดกลับมาได้ไม่ง่าย หวังโส่วเหรินไม่อยากเห็นพวกมันเสียสละอีกเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้จึงพยายามใช้กลยุทธ์ที่มั่นคงที่สุดและมีโอกาสที่สุดบุกโจมตีให้กองทัพกบฏแตกพ่าย และฝ่ายตนเองบาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด

    จิตใจที่เห็นทหารเป็นเหมือนลูกหลานเช่นนี้คือเคล็ดลับในการบริหารกองทัพของหวังโส่วเหริน

    ผู้ที่นอนน้อยอย่างยิ่งอีกคนหนึ่งคือจิงเลี่ย อู่เหวินติ้งคิดไม่ตกโดยแท้จริงว่าร่างของบุรุษประหลาดผู้นี้ทำจากอะไรกันแน่ มันบุกทะลวงวงล้อมข้าศึกในทะเลสาบผอหยาง ใช้พลังยุทธ์ของตัวเองจู่โจมสายฟ้าแลบสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า หลังต่อสู้อย่างดุเดือดครึ่งค่อนวันทำความดีความชอบนับไม่ถ้วน ยังไม่เคยคิดพักผ่อน นำนักรบทางทะเลแห่งจางโจวกลุ่มเล็กๆ มุ่งหน้าไปสะกดรอยตามสอดแนมสถานการณ์การรวมพลอีกครั้งของกองทัพกบฏหนิงอ๋อง แรงกายไม่สิ้นสุดเสมือนมนุษย์เหล็กนั้นทำให้อู่เหวินติ้งประหลาดใจ

    อาศัยข้อมูลที่จิงเลี่ยนำกลับมา หวังโส่วเหรินจึงเลือกยุทธวิธีในวันนี้ได้ ขณะกองทัพคุณธรรมใช้เวลาทั้งคืนเตรียมพร้อม จิงเลี่ยกลับยังคงตรวจตราและบัญชาการอยู่ริมฝั่ง

    นักสู้ไม่กี่คนนี้มีประโยชน์จริงๆ…ผู้ตรวจการหวังได้รับการประคับประคองจากพวกมัน คือลิขิตสวรรค์โดยแท้จริง

    ตั้งแต่อารักขาหวังโส่วเหรินหนีรอดจากการไล่ล่า ก่อกวนตรึงกำลังในแดนศัตรูยื้อวันยกทัพของตำหนักหนิงอ๋อง ลอบเข้าไปประสานงานที่หนานชาง พิชิตเมืองศัตรูในคืนเดียว กระทั่งจู่โจมสายฟ้าแลบหลากหลายรูปแบบในศึกทะเลสาบผอหยาง หกกระบี่บ้านแตกล้วนมีส่วนร่วมในผลลัพธ์ทุกขั้นของสงครามทั้งสนามนี้ หากจะพรรณนาว่าสิ่งที่มันสร้างคือ ‘ความชอบแห่งยุค’ ก็ไม่กล่าวเกินจริงอย่างแน่นอน

    แต่คนประหลาดที่เสี่ยงชีวิตสู้เพื่อปุถุชนกลุ่มนี้กลับเป็นนักโทษตามหมายจับของราชสำนัก…

    อู่เหวินติ้งคิดถึงตรงนี้อดมิได้ที่จะปล่อยหัวเราะ ครานี้หากปราบจลาจลสำเร็จราชสำนักต้องประทานรางวัลเป็นแน่ แต่จะเพียงพอแก้ไขข้อกล่าวหาของหกกระบี่บ้านแตกหรือไม่ อู่เหวินติ้งเองก็มิกล้าแน่ใจ และสิ่งที่มันกังวลยิ่งกว่าคือยามนั้นถ้าหากหวังโส่วเหรินต่อสู้ด้วยเหตุผลเพื่อหกกระบี่บ้านแตกก็จะทำให้ทรชนฉวยโอกาสโจมตี ถึงขั้นพลิกกลับมาสืบสาวโทษให้ที่พักพิงนักโทษหมายจับจากมัน…

    ไม่…ข้าต้องปกป้องผู้ตรวจการหวัง! ถึงเวลาก็ให้ข้าวิงวอนเพื่อหกกระบี่บ้านแตกแทนมันเถอะ! อย่างมากข้าก็เพียงเสียตำแหน่งขุนนางนี้เท่านั้น คงจะยังไม่ถึงขั้นต้องตัดศีรษะกระมัง กลัวก็แต่เพียงตำแหน่งขุนนางข้าต่ำต้อย ไปกระทำเรื่องนี้มิได้…

    อู่เหวินติ้งไม่ได้สนใจตำแหน่งขุนนางมากเกินไปนัก วันนี้หากรบชนะ รางวัลใหญ่ที่สุดที่มันจะได้รับคือบันทึกชื่อลงในประวัติศาสตร์…และเป็นขุนนางผู้มีความชอบแถวเดียวกับบุคคลยิ่งใหญ่เช่นหวังโส่วเหริน

    ชีวิตมาถึงจุดนี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

    เพียงแต่นั่นล้วนเป็นเรื่องในภายหลัง ตรงหน้าต้องรบชนะศึกนี้ก่อน

    อู่เหวินติ้งทอดมองทะเลสาบกับเรือเบื้องหน้าอีกครั้งขณะรอคอยเสียงสัญญาณที่กำลังจะดังก้องฟากฟ้า ขอเพียงเรือเร็วแนวหน้าที่แล่นอยู่ด้านหน้าสุดของขบวนรบมองเห็นที่อยู่ของศัตรู ลูกเรือก็จะเป่าแตรสัญญาณขึ้น

    เพื่อลดความเสียหายให้น้อยที่สุด วันนี้หวังโส่วเหรินยังคงบุกโจมตีทั้งกองทัพ สำแดงความได้เปรียบด้านจำนวนสยบฝ่ายตรงข้าม นอกจากทัพกลางที่บุกมายังตำบลเฉียวเซ่อจากทิศตะวันตกวันนี้แล้ว สิงสวินเจ้าเมืองกั้นโจวแม่ทัพผู้ห้าวหาญแห่งกองทัพคุณธรรมอีกคนหนึ่งนำทัพซ้าย สวีเหลี่ยนเจ้าเมืองหยวนโจวและไต้เต๋อหรูเจ้าเมืองหลินเจียงนำทัพขวา ทั้งยังมีอวี๋เอินขุนนางบัญชาการแห่งกั้นโจวนำกองทัพเคลื่อนตีหลายขบวน ทั้งหมดล้วนออกเดินทางขณะฟ้ายังไม่สาง กระจายกันล้อมปราบรอบด้านขบวนศัตรูล่วงหน้า

    ในกองทัพเคลื่อนตีขบวนหนึ่ง เยียนเหิงโดยสารเรืออินทรีที่มีขนาดเล็กแต่รวดเร็วคล่องแคล่วอย่างยิ่ง ในเรือลำเดียวกันยังมีลูกเรือและทหารชาวบ้านยี่สิบนาย พวกมันมี ‘มือกระบี่เทพ’ ผู้นี้อยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่าสบายใจเป็นพิเศษ

    วันนี้เรือเร็วเคลื่อนตีเหล่านี้หาได้มีบทบาทโจมตีแนวหน้าสุดเหมือนศึกตัดสินเมื่อวาน แต่กลับรั้งท้ายรอคอยขณะฝ่ายศัตรูพังทลายหนีเตลิดค่อยตามจับ โดยยึดหนิงอ๋องจูเฉินเหาและบรรดาคนสนิทเป็นเป้าหมายสำคัญ จะไม่ยอมให้พวกมันอาศัยความชุลมุนหนีออกทะเลสาบผอหยางเป็นอันขาด

    เนื่องจากหัวหน้ากองทัพกบฏอาจมีองครักษ์ยอดฝีมือ หวังโส่วเหรินเชื้อเชิญหกกระบี่บ้านแตกเข้าร่วมเพื่อการจับกุมที่ราบรื่นและไม่ต้องให้พวกมันสู้รบแนวหน้าอีก

    ‘ครั้งนี้ขอเชิญจอมยุทธ์ทุกท่านรวบตาข่ายให้ข้า’ หวังโส่วเหรินกล่าวเมื่อคืน ‘จับกุมหนิงอ๋องสำคัญกว่าสิ่งใด หาไม่วันหน้าเถ้าถ่านอาจคุโชน’

    เพื่อขยายตาข่ายให้กว้างขึ้นขณะตามจับ หกกระบี่บ้านแตกสี่คนล้วนแยกกันโดยสารเรือเร็วต่างขบวน เยียนเหิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในหมู่นักรบ หลับตาลงเบาๆ ร่างโยกเอนตามคลื่น ในความเคลื่อนไหวมีความสงบนิ่งไร้เทียบเทียม

    แต่ในใจเยียนเหิงกระเพื่อมไม่หยุดเฉกเช่นคลื่นในทะเลสาบ เพียงเพราะจิตใจมันยังคงมิได้ฟื้นคืนกลับมาจากศึกตัดสินกับเยี่ยเฉินยวนเมื่อวาน

    จากเมื่อคืนจนถึงวันนี้ ไม่ว่าเยียนเหิงจะตื่นหรือเข้านอนล้วนมีเงาดำทะมึนเงาหนึ่งวนเวียนในหัวสมองมันสำแดงท่าเหยี่ยวดำโจมตีกระบวนนั้นหนแล้วหนเล่า

    หลังการศึกเมื่อวานยุติ เยียนเหิงจึงมีเวลาว่างหวนระลึกถึงทุกสิ่งในการประลองกระบี่กับเยี่ยเฉินยวน อีกทั้งรู้ว่าความจริงตนเองในช่วงเวลานั้นอยู่ในสภาพแวดล้อมอันตรายเพียงไร

    ทักษะแปรพลังไท่จี๋ที่แฝงอยู่ในกระบี่ของเยี่ยเฉินยวนอาจละเอียดเลิศล้ำกว่าทักษะกระบี่คู่ขจัดพลังที่ทำลายท่านภาทลายของอาจารย์ในปีนั้นหนึ่งขุม

    เยียนเหิงหวนคิดว่าหากตนเองปล่อยท่าสะบัดเกล็ดไม่ทันเวลา หรือพลังหมุนของท่าสะบัดเกล็ดน้อยสักนิดหนึ่ง ผู้ที่ถูกทำลายท่าและแทงทะลุหัวใจก็คงมิใช่เยี่ยเฉินยวน แต่เป็นตนเอง

    และผลสุดท้ายกลับเป็นเยียนเหิงชนะ ชัยชนะนี้มิใช่เพราะเยี่ยเฉินยวนสูญเสียแขนข้างหนึ่ง หรือชรากว่าเมื่อก่อนจึงจัดการได้อย่างง่ายดายขึ้นเป็นอันขาด

    ท่าเหยี่ยวดำโจมตีนั้นนอกจากวิชากระบี่ไท่จี๋อันแยบยลแล้ว ยังผสมผสานกระบี่มังกรเหินที่เยียนเหิงไม่เคยเห็นมาก่อน และมีท่ากระบี่นภาทลายของสำนักชิงเฉิง เยียนเหิงรู้ว่าโหวอิงจื้อฝึกฝนอยู่ในเขาอู่ตังมาหลายปี ทั้งยังเข้าใจเพลงกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียของเยี่ยเฉินยวนเป็นอย่างดีจึงไม่รู้สึกเหนือคาด มันเพียงคิดไม่ถึงว่าที่แท้วิชากระบี่ชิงเฉิงก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นนี้ ท่าเหยี่ยวดำโจมตียังบุกเบิกเส้นทางความคิดใหม่บนมรรคากระบี่ของเยียนเหิง

    เยียนเหิงนั่งขัดสมาธิบนเรือพลางหวนระลึกและครุ่นคิดถึงการประลองกระบี่เมื่อวานไม่หยุด กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างมันทำให้เหล่าทหารรอบกายล้วนรู้สึกหายใจเร่งกระชั้นขึ้น มันสำแดงภาวะมังกรและภาวะพยัคฆ์ติดต่อกันเป็นครั้งแรกในการต่อสู้จริง ความอาจหาญก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น อีกทั้งไม่จำเป็นต้องสงวนท่าทีในสมรภูมินี้ ภายใต้การปลดปล่อยตามอำเภอใจทำให้คนรอบกายล้วนได้รับผลกระทบ

    เหมือนเช่นเหอจื้อเซิ่งในศึกสุดท้าย

    มันมิอาจนำศึกเมื่อวานมาเปรียบเทียบกับการสัประยุทธ์ระหว่างอาจารย์และเยี่ยเฉินยวนในปีนั้นได้ เยี่ยเฉินยวนในตอนนั้นใช้ท่าไม้ตายเหยี่ยวดำโจมตีนี้ได้หรือ ย่อมมิใช่ และถ้าเหอจื้อเซิ่งในตอนนั้นเผชิญหน้าท่าเหยี่ยวดำโจมตีจะทำลายได้หรือไม่ หากทำได้ขั้นตอนการทำลายจะอันตรายเหมือนมันหรือไม่

    ไม่รู้

    และคำว่า ‘ไม่รู้’ ก็ได้ให้ข้อสรุปอย่างหนึ่งที่เยียนเหิงมิกล้าเชื่อ แต่ก็มิอาจปฏิเสธ

    ข้าเริ่มเข้าใกล้เงาร่างของอาจารย์แล้ว

    อนึ่งตอนนี้เยียนเหิงยังมิได้นำประสบการณ์และการค้นพบที่ได้รับในการสัประยุทธ์สนามนี้ผนวกกับการซึมซับและคัดเลือก ขอเพียงให้ระยะเวลามันศึกษาอีกช่วงหนึ่ง เพลงกระบี่ต้องก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นอย่างแน่นอน

    “ข้าสามารถ…”

    “ท่านว่าอะไร”

    ทหารชาวบ้านข้างกายนายหนึ่งได้ยินเยียนเหิงกล่าวคำจึงอดมิได้ที่จะเอ่ยปากถามไถ่

    เยียนเหิงลืมตาขึ้น จำได้ว่าผู้ที่ถามมันคือเสิ่นเสี่ยวอู่ที่เคยเคียงไหล่ทำศึกก่อนหน้า เมื่อครู่ขณะออกเดินทางท้องฟ้ามืดเหลือเกิน กอปรกับเรื่องกลุ้มใจเต็มสมองมันจึงหาได้สนใจไม่

    มันหัวเราะตอบเสิ่นเสี่ยวอู่ “ข้าบอกว่าหลังสู้ศึกนี้จบ ข้าก็กลับบ้านได้แล้ว”

    กลับบ้าน เขาชิงเฉิง

    ฟื้นฟูสำนักกระบี่ชิงเฉิง บัดนี้เยียนเหิงบรรลุเงื่อนไขแล้ว

    เหลือเพียงอุปสรรคเดียวคือข้อกล่าวหาที่หกกระบี่บ้านแตกได้รับ ขอเพียงติดตามหวังโส่วเหรินปราบกบฏสร้างความชอบก็มีความหวังลบล้าง ถึงเวลามันก็อาจสร้างสำนักชิงเฉิงขึ้นใหม่ได้อย่างสง่าผ่าเผย

    เสิ่นเสี่ยวอู่ฟังคำพูดนี้แล้วมิได้พยักหน้าเห็นด้วย แต่กลับตะลึงพลางครุ่นคิดในใจ เยียนเหิงสังเกตเห็นมันพกดาบข่านเตาสั้นคมกว้างเล่มหนึ่งเสียบอยู่ข้างเอว เสิ่นเสี่ยวอู่เปลี่ยนอาวุธตามคำแนะนำของเยียนเหิงดังว่า…ในความเป็นจริงนี่คืออาวุธชิ้นที่สามแล้วที่มันเปลี่ยนในสงคราม ดาบเล่มนี้ได้มาจากในมือของนักสู้ตำหนักหนิงอ๋องที่ตายในการรบ ตัวดาบทั้งเบาหวิวและแข็งแรง งานหลอมยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ทำให้เสิ่นเสี่ยวอู่ใช้ไม่วางมือ

    “เจ้าไม่อยากกลับบ้านหรือ” เยียนเหิงถาม

    “ข้าไม่รู้…” เสิ่นเสี่ยวอู่ลูบด้ามดาบนั้นพลางขมวดคิ้ว “หลังมองเห็นและได้ผ่านเรื่องราวมากเพียงนี้ ข้าไม่รู้แล้วว่าตัวเองยังกลับบ้านได้หรือไม่”

    เยียนเหิงเข้าใจความรู้สึกของเสิ่นเสี่ยวอู่ยิ่งนัก แน่นอน สิ่งที่ตัวมันเองเคยผ่านมีมากกว่าเสิ่นเสี่ยวอู่สิบเท่า

    “ยังจำสัญญาคราวก่อนของเราได้หรือไม่” เยียนเหิงถาม

    ดวงตาของเสิ่นเสี่ยวอู่ลุกวาวขึ้นแล้ว มันย่อมจำได้ แต่มันคิดว่าเยียนเหิงจำไม่ได้แล้ว อย่างไรมันก็เป็นเพียงทหารเลวนายหนึ่ง

    “ท่านว่าถ้าหากข้ามีชีวิตรอดกลับมาได้ แล้วหาท่านพบ” เสิ่นเสี่ยวอู่กลืนน้ำลายกล่าว “ท่านจะสอนข้า”

    “สัญญานี้ยังคงมีผล” เยียนเหิงยิ้มน้อยๆ “วันนี้เจ้าก็มีชีวิตรอดกลับมาได้กระมัง ภายหลังเจ้ามาหาข้าได้ ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านเกิดของข้า”

     

    ถงจิ้งที่อยู่บนเรือเคลื่อนตีอีกลำหนึ่งก็กำลังคิดเรื่องเช่นเดียวกันอยู่โดยไม่ได้นัดหมาย แม้ไม่ถึงขั้นรับรู้ถึงความในใจของเยียนเหิงได้ แต่นางคิดมาหนึ่งคืนแล้วจึงรู้ได้รางๆ ว่าหลังเยียนเหิงเอาชนะเยี่ยเฉินยวนก็เริ่มเตรียมตัวกลับเขาชิงเฉิงแล้ว

    อย่างไรวันนี้นางก็เป็นคนที่เข้าใจมันที่สุดบนโลก

    บุรุษที่รักอาศัยปณิธานหมายจะทำความฝันให้สำเร็จทำให้นางรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะในขั้นตอนการต่อสู้นี้นางเองก็มีส่วน พอคิดถึงตรงนี้ถงจิ้งก็อดมิได้ที่จะแย้มยิ้ม

    ทหารในเรือเดียวกันเดิมทีล้วนเคร่งเครียดยิ่งนัก ครั้นมองเห็นลักษณะของถงจิ้งก็อดมิได้ที่จะถูกนางดึงดูด…พวกมันไม่เคยเห็นมาก่อนว่ามีคนพกพาสีหน้าหวานชื่นลงสู่สมรภูมิ

    ถงจิ้งมองดูท้องฟ้ากับทะเลสาบที่ค่อยๆ สว่าง ในใจหวนนึกถึงมือกระบี่เยาว์วัยที่ไม่ประสาผู้นั้นขณะแรกรู้จัก ช่างเป็นคนละคนกับวันนี้อย่างสิ้นเชิง

    แต่ก็เป็นคนเดียวกันที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่แรกเริ่ม

    เมื่อก่อนเพราะมีสำนักชิงเฉิงจึงมีเยียนเหิง ภายหน้า…เพราะมีเยียนเหิงจึงมีสำนักชิงเฉิง!

    ขณะนางคิดก็พลันได้ยินเสียงแตรสัญญาณเลือนรางถ่ายทอดมาจากที่ไกลทางทิศตะวันตก

    การต่อสู้จะเริ่มแล้ว

     

    วันนี้จูเฉินเหาที่แทบไม่นอนทั้งคืนเรียกเหล่าขุนนางมาบนเรือแม่ทัพตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จากนั้นจับแม่ทัพและขุนนางสิบกว่าคนพวกพานเผิงและหยางจางที่ไม่สู้ตายและพ่ายแพ้หนีกลับมาในศึกใหญ่เมื่อวานทั้งหมดมาไต่สวน เตรียมตัดศีรษะด้วยวินัยกองทัพอย่างเปิดเผย โดยไม่สนเสียงคัดค้านจากหลี่ซื่อสือกับหลิวหย่างเจิ้ง

    ด้านหนึ่งประทานรางวัล อีกด้านหนึ่งใช้วินัยทหารอันเข้มงวดกระตุ้นให้ทหารสู้ตาย ใช้ทั้งบุญคุณและอำนาจพร้อมกันเช่นนี้จึงจะมีโอกาสพลิกจากพ่ายแพ้เป็นชนะ

    จูเฉินเหาคิดเช่นนี้จึงดึงดันในความคิดตนเอง แต่หลี่ซื่อสือและหลิวหย่างเจิ้งกลับไม่คิดเช่นนั้น บัดนี้กองทัพหนิงอ๋องมีทหารมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ถูกบังคับมาตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนเริ่มคล้อยตามกลยุทธ์นี้ ในยามอ่อนแอหากถูกบีบคั้นเช่นนี้ ต่อให้พวกมันไม่ทรยศก็คงยอมจำนนต่อศัตรูได้ง่ายดายยิ่งนัก…

    ‘ราชครู’ กับ ‘อัครเสนาบดี’ ทั้งสองคนจับจ้องมองหน้ากัน พวกมันล้วนมิใช่คนโง่เขลา ในใจพวกมันรู้ว่ายุทธการเมื่อวานแทบตัดสินผลแพ้ชนะของสงครามทั้งสนามได้แล้ว ที่ตอนนี้ยังมิได้ยอมแพ้เพียงเพราะกำลังเฝ้ารอปาฏิหาริย์

    แต่เผชิญหน้าหวังโส่วเหรินผู้นั้น ปาฏิหาริย์คือเรื่องที่เลือนรางห่างไกลเสียนี่กระไร…

    ขณะที่จะสั่งการสำเร็จโทษสิบกว่าคนนั้น ฆ้องเตือนภัยในขบวนเรือก็ดังขึ้น ร่องรอยศัตรูปรากฏแล้ว

    เร็วเพียงนี้? คิดว่าพวกมันจะพักผ่อนนานกว่านี้เสียอีก…

    ขุนพลทั้งหมดของกองทัพหนิงอ๋องเตรียมรบอย่างเร่งรีบ ยึดถือเรือแม่ทัพใหญ่ของจูเฉินเหาเป็นศูนย์กลาง เรือแต่ละลำเรียงขบวนรับการโจมตี ทัพเรือหนิงอ๋องรวมพลป้องกันหนาแน่น โดยใช้ประโยชน์จากลักษณะพื้นที่ตำบลเฉียวเซ่อตรงข้ามทะเลสาบ เตรียมปืนใหญ่และกระสุนที่รวบรวมได้ใช้น้อยชนะมาก

    แม่ทัพที่จะผละจากเรือแม่ทัพใหญ่เพื่อบุกโจมตีเป็นอันดับสุดท้ายคือซางเฉิงอวี่และเหยาเหลียนโจว ขณะพวกมันเดินไปถึงหน้าห้องเรือ จูเฉินเหาเรียกคนทั้งสองเอาไว้และจับฝ่ามือของพวกมันแน่น

    “แม่ทัพทั้งสองท่าน…ไหว้วานแล้ว” ความจริงจูเฉินเหาแสดงความไม่พอใจต่อพวกมันบนสมรภูมิมาตลอด แต่บัดนี้ในบรรดาแม่ทัพไม่มีผู้ใดควรค่าให้ไว้ใจไปกว่าสองคนนี้อีกแล้ว จูเฉินเหาคิดเพียงใช้ความจริงใจโน้มน้าวอีกฝ่าย หวังว่าคนทั้งสองจะสำนึกในบุญคุณและน้ำใจที่หนิงอ๋องมอบให้ด้วยการสู้ตายสุดความสามารถในวันนี้

    ซางเฉิงอวี่มองดูอูจี้หงที่รอคอยอยู่ด้านล่างห้องเรือ ซ้ำยังมองดูเหยาเหลียนโจว มันมองเห็นกระบอกไม้ไผ่กระบอกนั้นมัดอยู่ตรงข้างเอวเหยาเหลียนโจว คนทั้งสองสบตาไม่กล่าวคำ

    “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องกล่าว” ซางเฉิงอวี่ทิ้งทหารภูผาเหล็กหนึ่งร้อยนายไว้ปกป้องจูเฉินเหาที่เรือแม่ทัพ ส่วนตนเองนำทหารไปโจมตีที่แนวหน้า มันหลบหลีกสายตาของจูเฉินเหา ไม่ให้หนิงอ๋องมองเห็นความอาฆาตแค้นที่เปล่งออกจากในดวงตามัน…ซางเฉิงอวี่คิดในใจว่าหากจูเฉินเหามอบอำนาจให้มันสถานการณ์รบคงไม่เดินมาถึงขั้นนี้

    จอมกระบี่อู่ตังทั้งสองลงอาคารก้าวไปยังขบวนรบ

    เห็นกลยุทธ์ของกองทัพหวังโส่วเหรินสองวันก่อน กองทัพหนิงอ๋องเองก็คิดเลียนแบบ วันนี้เหยาเหลียนโจวและอูจี้หงจึงนำขบวนเรือเร็วรอคอยอยู่สองข้างขบวนตนเอง เตรียมจู่โจมด้านหลังของฝ่ายศัตรู เดิมพันด้วยพลังยุทธ์เหนือมนุษย์ของพวกมันเพื่อพลิกสถานการณ์

    ขณะขบวนเรือของอู่เหวินติ้งเข้ามาใกล้ไม่หยุดจากทางตะวันตก กองทัพหนิงอ๋องก็เตรียมต่อกรแล้ว ซางเฉิงอวี่ที่อยู่แนวหน้าสุดตรวจดูรูปขบวนของฝ่ายตนเองบนห้องเรือ ซ้ำยังทอดมองเรือศัตรูที่กำลังใหญ่ขึ้นฝั่งตรงข้าม ทว่าสิ่งที่คิดในใจไม่หยุดกลับเป็นบทสนทนากับเหยาเหลียนโจวเมื่อวาน

    ขอเพียงเอาชนะศึกนี้ คำพูดเหล่านั้นที่ข้ากล่าวก็จะเป็นโมฆะ

    เหยาเหลียนโจวจะพลิกกลับมาติดตามข้า

    ขบวนเรือแนวหน้าขบวนนี้เดิมทีคือทหารเด่นล้ำที่สุดในไพร่พลที่เหลือของกองทัพหนิงอ๋อง กอปรกับมียอดขุนพลเคลื่อนมังกรปกปัก ขวัญกำลังใจฮึกเหิมถึงขีดสุด

    จะพ่ายให้ชาวนาที่เหมือนแพะฝูงนั้นได้อย่างไร

    พวกมันจำนวนมากล้วนเป็นองครักษ์ตำหนักหนิงอ๋องแต่เดิม ดื่มด่ำสุขสบายที่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่หลายปีแล้ว ไม่อยากให้วันเวลาเช่นนี้สิ้นสุดลงเป็นอันขาด พวกมันจึงอยู่ที่นี่

    เดิมพันด้วยชีวิตแล้ว! ครั้งนี้ต้องชนะ!

    ยามนี้มีลูกน้องที่ค่อนข้างคุ้นเคยกับการรบทางน้ำตักเตือนซางเฉิงอวี่

    “ท่านแม่ทัพ นี่แปลกประหลาดเล็กน้อย…ที่บุกอยู่ด้านหน้าฝ่ายศัตรูเหมือนเป็นเรือเล็กทั้งหมด! อีกทั้งเล็กจนน่าสงสัยอยู่บ้าง…”

    ซางเฉิงอวี่พินิจดู บนผิวทะเลสาบที่ทั้งห่างไกลและกว้างขวางเช่นนี้อาศัยเพียงสายตาคาดคะเนนั้นยากที่จะแน่ใจถึงขนาดของเรือที่มา แต่มันเชื่อการชี้ขาดของลูกน้องผู้นี้

    ความหนาวเย็นวูบหนึ่งพลันผุดขึ้นมาจากด้านหลัง ดวงตาของซางเฉิงอวี่ถลึงกว้าง

    “กระจายออกไป!” มันสั่งการเสียงดัง “ขบวนเรือแถวหน้ากระจายไปซ้ายขวา! เป็นรูปขบวนจันทร์เสี้ยว!”

    แต่ทัพเรือหนิงอ๋องผ่านความปราชัยสองวัน ระดับความคล่องแคล่วไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะลูกเรือเด่นล้ำที่มีประสบการณ์จำนวนมากล้วนตายในการต่อสู้หรือไม่ก็หลบหนีไปแล้ว แม้ซางเฉิงอวี่ออกคำสั่งเปลี่ยนขบวนที่ถูกต้องอย่างตื่นตัว แต่กองทัพของมันกลับไม่อาจปฏิบัติตามได้

    มีเพียงเรือรบแถวแรกที่ป้องกันอยู่ร่วมกับเรือบัญชาการของซางเฉิงอวี่ฝืนแยกออกไปทางซ้ายและขวา และเรียงขบวนใหม่เป็นรูปจันทร์เสี้ยวที่เว้าเข้าข้างในเล็กน้อย

    ซางเฉิงอวี่สั่งการให้เป่าสัญญาณ ขบวนเรือแถวหน้ายิงปืนใหญ่ไปยังเรือเร็วขนาดเล็กเกินกว่าร้อยลำที่จู่โจมมาด้วยความเร็วสูงพร้อมกัน

    เรือเล็กที่พุ่งเข้ามาแม้จะเสียหายภายใต้ปืนใหญ่รอบนี้แต่ยังคงกรูกันเข้ามา ที่แปลกประหลาดที่สุดคือพวกมันหาได้ยิงปืนหรือเกาทัณฑ์สวนกลับมา

    ขณะที่เรือศัตรูเข้าใกล้กว่าเดิม ซางเฉิงอวี่จึงมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นจากที่สูง บนดาดฟ้าเรือเล็กของฝ่ายศัตรูแทบมองไม่เห็นทหารและอาวุธ ต่างคล้ายมีวัตถุแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งปกคลุมอยู่…

    ซางเฉิงอวี่รู้ว่าสิ่งที่มันกังวลคือเรื่องจริง

    “กระจายออกไป! กระจายออกไปทั้งขบวนเดี๋ยวนี้!”

    ครั้งนี้มันเรียนรู้ความน่ากลัวของหวังโส่วเหรินซึ่งหน้า

    ฝูงเรือเล็กต้านการยิงสองรอบของกองทัพหนิงอ๋องจนบรรลุถึงหน้าขบวนแล้ว ต่างเริ่มเล็งและไล่ชนไปยังเรือรบที่ค่อนข้างใหญ่ของกองทัพหนิงอ๋อง

    ยามนี้ท้องฟ้าสว่างถ้วนทั่วแล้ว ซ้ำยังอยู่ในระยะประชิดจึงมองเห็นลักษณะพิเศษของเรือเล็กจู่โจมได้อย่างชัดเจน ทุกลำยาวเพียงสามจั้งกว่า คล้ายแบ่งเป็นหน้าหลังสองท่อน ใช้เชือกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ครึ่งหน้าไร้คน แต่กองเต็มไปด้วยไม้ฟืนและหญ้าแห้งเป็นมัดๆ สาดพรมด้วยน้ำมัน ยามนี้ด้านบนล้วนเสียบเต็มไปด้วยลูกเกาทัณฑ์ที่กองทัพหนิงอ๋องยิงมา ครึ่งท่อนด้านหลังนอกจากเสากระโดงเรือและไม้พายแล้ว ตั้งไว้เพียงกระดานป้องกันที่ใช้กำบัง ไม่มีอาวุธใดๆ ลูกเรือภายในก็ไม่มาก

    ทัพเรือหนิงอ๋องยามนี้ต่างรู้แล้วว่าเรือเล็กฝูงนี้มาทำอะไร ลูกเรือจำนวนมากร้องอุทานพลางหลีกเลี่ยงการไล่ชน ทหารบนเรือสกัดการโจมตีสุดชีวิต

    ในที่สุดก็มีเรือรบของกองทัพหนิงอ๋องถูกชน บนหัวเรือของเรือเล็กนั้นสวมไว้ด้วยเขาแหลมที่หลอมจากเหล็ก เสียบลึกเข้าตัวเรือของกองทัพหนิงอ๋อง

    ทหารหนิงอ๋องด้านบนได้กลิ่นไหม้ทันที

    พอฟืนและหญ้าเคลือบน้ำมันที่กองสุมด้านหน้าเรือเล็กติดไฟ ลูกเรือก็รีบแกว่งขวานตัดเชือกที่เชื่อมต่อตรงกลาง เรือครึ่งท่อนหลังหลุดออกไปทันที กลายเป็น ‘เรือลูก’ ขนาดเล็กอีกลำหนึ่ง พวกมันยื่นไม้พายออกมาจากภายในจ้ำหนีการโจมตีของศัตรูสุดชีวิต

    ทหารเรือหนิงอ๋องได้แต่ยุ่งอยู่กับการดับไฟไม่มีเวลาว่างไปยิงเรือลูกเหล่านั้น

    เรือแม่ลูกที่ใช้ไฟโจมตีเกินกว่าร้อยลำอาศัยลมเข้าสู่ขบวนเรือทัพกบฏ เนื่องจากทัพเรือของหนิงอ๋องจัดขบวนรบแน่นหนาเกินไป ไม่มีช่วงว่างให้หลบหลีกเท่าใดนัก เรือแม่ลูกจึงจู่โจมได้ง่ายดายยิ่ง เรือรบฝ่ายหนิงอ๋องตกอยู่ในเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่อง

    ในกองทัพหนิงอ๋องมีเรือเร็วทำการสกัดการโจมตีเรือแม่ลูกเหล่านี้ แต่การสกัดใช้เวลาอย่างยิ่ง ช้าเกินกว่าจะหยุดยั้งเปลวไฟ

    ทหารบนเรือรบที่ถูกไฟไหม้ต่างกระโดดน้ำหนีเอาชีวิตรอด เรือที่ติดไฟเหล่านี้ยังชนกับเรือพันธมิตรลำอื่นๆ เพราะไม่มีผู้ใดควบคุม ทำให้เปลวไฟลุกลาม

    แนวหน้าขบวนเรืออันเกรียงไกรของกองทัพหนิงอ๋องไม่นานก็เข้าสู่เวิ้งทะเลเพลิง

    จูเฉินเหามองเห็นไกลๆ จากกึ่งกลางขบวน ถลึงตาจนแทบจะถลนออกมา

    กลยุทธ์ของหวังโส่วเหริน กระทั่งสุดท้ายก็ไม่มีช่องโหว่ให้กองทัพหนิงอ๋องฉวยโอกาส เรือแม่ลูกเหล่านี้ทุกลำมีคนควบคุมเพียงสี่ห้าคน หวังโส่วเหรินส่งออกมาสองร้อยลำ ระดมพลเพียงไม่ถึงหนึ่งพันคนก็สั่นคลอนขบวนเรือหนิงอ๋องได้

    และนี่อาศัยความชอบจากการสอดแนมของจิงเลี่ยนำข้อมูลการจัดขบวนอย่างหนาแน่นของเรือกองทัพหนิงอ๋องกลับไปอย่างรวดเร็ว หวังโส่วเหรินจึงทำการตัดสินใจโจมตีด้วยเพลิงและกองทัพคุณธรรมเองก็มีเวลาเพียงพอในการจัดเตรียมและก่อตั้งกองเรือแม่ลูกขบวนนี้

    อู่เหวินติ้งมองเห็นการโจมตีด้วยเพลิงสัมฤทธิผลจึงบัญชาการฝูงเรือรบหลักบุกไปยังขบวนศัตรูด้วยความเร็วทั้งหมด

    เมื่อมองเห็นควันหนาที่พวยพุ่งขึ้นจากที่ไกล พวกสิงสวิน สวีเหลี่ยน และไต้เต๋อหรู แม่ทัพกองทัพคุณธรรมที่รอคอยคำสั่งนานแล้วต่างก็นำขบวนเรือขนาบตีกองทัพกบฏจากด้านซ้ายและขวา ภายใต้การจัดแจงอย่างพิถีพิถันของหวังโส่วเหริน จังหวะบุกโจมตีของทั้งสามด้านเหมาะเจาะ กองทัพหนิงอ๋องเห็นเพียงเรือรบหลักของศัตรูปรากฏขึ้นพร้อมกันจากสามด้าน ทั้งจำนวนและอำนาจล้วนเต็มเปี่ยมอย่างยิ่ง หลังเปลวไฟเผาแนวหน้าอย่างต่อเนื่องขวัญกำลังใจทหารก็เสียหายอย่างหนักอีกครั้ง

    ครั้นเรือลูกที่โจมตีด้วยไฟร่นถอยเกือบหมดแล้ว กองทัพคุณธรรมทั้งสามด้านก็ยิงปืนใหญ่ใส่ขบวนเรือกองทัพกบฏพร้อมกัน แม้ระยะห่างยังคงไกล อานุภาพสังหารไม่มาก แต่เสียงปืนใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่าล้วนสั่นคลอนจิตใจของทหารกองทัพหนิงอ๋อง

    ท่ามกลางเปลวไฟกับควันดำ มีเรือรบกองทัพกบฏลดธงกองทัพยอมจำนน การกระทำนี้ลุกลามออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ยอมแพ้โดยไม่ต่อสู้มีมากขึ้นเรื่อยๆ ดุจดั่งภูเขาทลาย

    ภาพเหตุการณ์นี้ล้วนอยู่ในสายตาของหนิงอ๋องและกุนซือคนสนิทหลายคน

    สำหรับจูเฉินเหาแล้วนั่นราวกับการเห็นความฝันที่ตนเองใช้ความทุ่มเททั้งหมดสร้างขึ้นในหลายสิบปีที่ผ่านมาพังทลายลงต่อหน้า

    บนห้องเรือของเรือแม่ทัพใหญ่เงียบจนน่ากลัว สุดท้ายก็มีเพียงหลี่จวินหยวนที่กล้าเอ่ยปาก

    “ท่านอ๋อง ต้องไปแล้ว…” หลี่จวินหยวนใช้สุ้มเสียงสั่นเครือกล่าว ดวงตากล้าเพียงมองไปยังดาดฟ้าเรือ “ตราบใดที่ยังมีชีวิต…”

    จูเฉินเหาเหมือนทั้งร่างล้วนถูกคว้านกลวง สีหน้าซึมเซา ขุนนางคนสำคัญแห่งตำหนักอ๋องอย่างพวกหลี่ซื่อสือและหลิวหย่างเจิ้งล้วนได้แต่จ้องมองมันอย่างร้อนรน กระทั่งรอจนหนิงอ๋องเหมือนพยักหน้าเล็กน้อยจึงพากันห้อมล้อมมันเดินลงจากห้องเรือโดยไม่รีรอ เปลี่ยนเป็นโดยสารเรือเร็วขนาดเล็กเพื่อหนีตาย จูเฉินเหาเฉกเช่นซากศพเดินได้อาศัยลูกน้องพาไป

    เรือเร็วมิอาจโดยสารคนมากเกินไป กอปรกับต้องอารักขาจูเฉินเหากับเชื้อพระวงศ์เช่นทายาทและขุนนางคนสำคัญ แต่ละคนจึงได้แต่แยกเรือโดยสาร

    กระทั่งขึ้นเรือเร็วและปลดเชือกผูกเรือแล้วจูเฉินเหาจึงพลันเหมือนตื่นขึ้นมาจากฝัน

    “ชายาโหลวเล่า”

    ขณะนี้สิ่งที่มันคิดอยู่ในใจเหลือเพียงชายารักที่ตักเตือนมันว่าอย่าก่อกบฏในตอนแรก พอคิดถึงใบหน้าของนาง จูเฉินเหาก็สำนึกผิดไร้เทียบเทียม

    ผู้ที่เคียงข้างจูเฉินเหาบนเรือมีเพียงหลี่จวินหยวนและทหารภูผาเหล็กสิบกว่านาย พวกมันล้วนจับจ้องมองหน้ากันไม่มีผู้ใดตอบได้

    ที่แท้ท่ามกลางการตะลุมบอน ชายาโหลวมองดูสภาพพังทลายของกองทัพขณะจูเฉินเหาถูกพาตัวไป นางไม่อยากพบกับมันอีก ซ้ำยังกลัวถูกทหารของกองทัพศัตรูจับไปย่ำยีจึงกลั้นใจกระโดดจากเรือแม่ทัพใหญ่ลงทะเลสาบกระทำอัตวินิบาตกรรม

    ต่อมาศพของชายาโหลวถูกชาวประมงค้นพบและช้อนขึ้นมารายงานต่อทางการ หลังแน่ใจว่าเป็นผู้ใดจึงได้ฝังศพอยู่นอกอำเภอหูโข่ว ตั้งเป็น ‘สุสานพระชายา’

    ท่านอ๋องหลบหนีไปแล้ว ขวัญกำลังใจต่อสู้ของกองทัพกบฏยิ่งเสียหายป่นปี้ บรรดาทหารหากไม่ยอมจำนนก็หนีเอาชีวิตรอด ผู้ที่ยินยอมสู้รบในความเป็นจริงน้อยอย่างยิ่ง กองทัพคุณธรรมบดขยี้ขบวนเรือเสมือนทำลายไม้แก่ หวังโส่วเหรินบรรลุเป้าหมาย ยุติศึกนี้โดยมีการบาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุดสำเร็จ

    หลังเรือรบกำลังหลักกองทัพคุณธรรมทุกลำห้ามเพลิงได้ ก็เปิดฉากสืบต่อด้วยขบวนเรือเร็วเคลื่อนตีซึ่งรับหน้าที่ตามจับจูเฉินเหา เชื้อพระวงศ์ตำหนักอ๋อง และโจรกบฏที่หนีตาย นอกจากนั้นสิงสวินยังแบ่งทหารราบขบวนหนึ่งขึ้นฝั่งทางทิศเหนือ บุกโจมตีทางบกไปยังค่ายกองทัพกบฏบนฝั่งตำบลเฉียวเซ่อ

    ขบวนเรือเคลื่อนตีขบวนหนึ่งในนั้นนำโดยหวังเหมี่ยนนายอำเภอวั่นอัน เต่าจินหู่หลิงหลันก็นั่งอยู่บนเรืออินทรีลำหนึ่งในนั้น

    การต่อสู้อันดุเดือดติดต่อกันสองวัน ทำให้หู่หลิงหลันที่ตั้งครรภ์เหนื่อยล้าไม่สบายตัวอย่างยิ่ง แต่นางยังคงฝืนทนไว้ มิให้คนรอบกายมองเห็นท่าทีเจ็บปวดและยืนหยัดสู้ศึกสุดท้ายนี้ให้จงได้

    ‘ลำบากมาหลายวันแล้ว ชัยชนะสุดท้าย ข้าจะพลาดได้อย่างไร’ หู่หลิงหลันยังกล่าวกับจิงเลี่ยเช่นนี้ ‘นอกเสียจากเจ้าจะตัดขาข้าทั้งสองข้าง หาไม่ก็ไม่ต้องแม้แต่จะคิด’

    เพื่อที่จะช่วยเหลือทหารเรือเคลื่อนตีต่อต้านยอดฝีมือยุทธภพที่อาจปรากฏกาย หกกระบี่บ้านแตกสี่คนจึงแยกกันอยู่ในขบวนเรือที่ต่างกัน หู่หลิงหลันเองก็แยกกันลงมือกับสามี

    เพียงแต่สิ่งที่นางคิดอยู่ในใจมิใช่เรื่องรบชนะแต่อย่างใด แต่เป็นยอดฝีมืออู่ตังหลายคนในกองทัพศัตรู

    ผลแพ้ชนะของสงครามชัดเจนแล้ว หู่หลิงหลันหาได้เป็นห่วงว่าจิงเลี่ยจะเกิดเหตุสุดวิสัยในสงครามไม่ สิ่งที่นางเป็นห่วงคือจิงเลี่ยจะพบเจอกับเหยาเหลียนโจวหรือซางเฉิงอวี่

    หากมันพบคนหนึ่งในพวกมัน ต้องตัดสินตัวต่อตัวเป็นแน่…เช่นนั้นคงยากคาดเดาความเป็นความตายจริงๆ

    หู่หลิงหลันคิดถึงตรงนี้ก็อดมิได้ที่จะลูบหน้าท้องทั้งที่หลังสะพายดาบเหยี่ยไท่และในมือถือคันเกาทัณฑ์ยาว แม้ปากนางกล่าวว่าสนับสนุนจิงเลี่ยทำเรื่องต่างๆ แต่ความรู้สึกที่ดำรงอยู่กับทารกในท้องชัดเจนขึ้นทุกที ในใจนางเองก็กลัวมากขึ้นว่าสักวันหนึ่งจิงเลี่ยจะไม่อยู่

    มันที่แสวงหาจุดสูงสุดมาตลอดจะมีวันสะดุดตกลงไปหรือไม่…

    หู่หลิงหลันไม่อยากให้บุตรเกิดมาโดยไม่ได้เห็นหน้าบิดา นางจึงลอบภาวนาต่อเทพยดาในใจ ขอให้นางพบยอดฝีมือขั้นสุดยอดของสำนักอู่ตังเหล่านั้นก่อน และใช้จำนวนคนและอาวุธที่ได้เปรียบของกองทัพเคลื่อนตีสังหารฝ่ายตรงข้ามให้ตายคาที่

    แม้นี่จะทำให้จิงเลี่ยไม่ดีใจ และภายหน้ามันอาจกล่าวโทษข้า…

    ทว่าความรักต่อลูกที่ยังไม่ถือกำเนิดเหนือกว่าความภักดีที่นางมีต่อจิงเลี่ย

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook