• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่านยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 1 ตอนที่ 2

    3 of 3หน้าถัดไป

    ยามเช้าอันสดใส แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบที่เปลือกตา ลูคัสลืมตาขึ้นมาช้าๆ สิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกคือต้นคอของภรรยาและผมสีบลอนด์ที่กระเซอะกระเซิงของเธอ แม้ว่าแรกสุดจะดูแปลกตา แต่ความคุ้นเคยก็ทำให้เขาอบอุ่นหัวใจขึ้นมาได้ จนกระทั่งนึกถึงใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของเจสซี่ รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็หายไปในทันที ต้องทำยังไงลูกสาวจึงจะหายโกรธนะ หลังจากครุ่นคิดอยู่เงียบๆ สักพักเขาก็ลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง

    พอเดินมาที่ครัวเพื่อดื่มน้ำสักแก้ว เขาก็เห็นอะไรแปลกๆ มีถ้วยกระดาษใบใหญ่ที่แร็พด้วยพลาสติกวางอยู่ข้างขวดน้ำ มันต้องเป็นเยลลี่อย่างแน่นอน แถมยังเป็นเยลลี่แบบโฮมเมดอีกด้วย

    เขาหยิบเยลลี่มาวางบนโต๊ะ ใครทำกันนะ เขาอดคิดไม่ได้ เพราะภรรยาก็นอนอยู่ข้างๆ เขาจนถึงเช้า แล้วทันใดนั้นเองเสียงห้วนๆ ก็ดังมาจากด้านหลัง

    “เยลลี่แอปเปิ้ล”

    “เจสซี่!”

    เจสซี่กำลังยืนมองลูคัสอยู่ ลูกสาวทำเยลลี่ให้จริงๆ เหรอเนี่ย ระหว่างที่ลูคัสกำลังสับสน เจสซี่ก็พูดขึ้นมา

    “ลองชิมดูสิ มันเหนื่อยมากเลยนะ ทำจนถึงดึกดื่นเลย”

    “เหรอลูก”

    ดวงตาของลูคัสแดงก่ำ เขาตักเยลลี่ขึ้นมาชิม ถึงแม้จะรสอ่อนไปนิด แต่ก็ถือว่าใช้ได้เลยสำหรับเยลลี่โฮมเมดแบบนี้

    “อร่อยมาก อร่อยทีเดียวเลย”

    “งั้นก็โล่งอก”

    ขณะที่เจสซี่กำลังจะหันหลัง ลูคัสก็ดึงเธอเข้ามากอด เจสซี่เองก็ไม่ขัดขืน ลูคัสทำท่าเหมือนจะร้องไห้และเปิดปากเพื่อจะพูด แต่กลับไร้เสียงใดๆ ออกมา ส่วนเจสซี่ก็ยืนนิ่งภายในอ้อมกอดนั้น

    มินจุนมองภาพนั้นแล้วก็หันหลังเพื่อให้พ่อลูกได้อยู่กันตามลำพัง แต่แล้วเขาก็หันมาเจอกับดวงตาที่เปียกชุ่มของเจนพอดี

    “ขอโทษนะครับที่ถือวิสาสะใช้ครัวของคุณ”

    “ไม่เป็นไรค่ะ คุณก็ช่วยลูกของฉันทำเยลลี่อย่างสุดฝีมือไม่ใช่เหรอ”

    เมื่อได้ยินคำนั้นมินจุนก็ยิ้มแล้วหันไปมองที่ครัว คะแนนการทำอาหารเด้งขึ้นมาเหนือเยลลี่ แต่เขาไม่ได้สนใจคะแนนนั่นเลย มันไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ เพราะเยลลี่ถ้วยนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะวัดออกมาเป็นตัวเลขได้

    “ถือเป็นเกียรติที่สุดในชีวิตผมเหมือนกันครับที่ได้ทำเยลลี่ครั้งนี้”

     

     

    4

    รอบคัดเลือกแกรนด์เชฟ

     

    หลังจากได้บัตรใหม่แล้วมินจุนก็ยังคงพักอยู่ที่บ้านของลูคัสตามเดิม ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากย้ายออก แต่เป็นเพราะลูคัสรั้งเอาไว้ ทีแรกก็ปฏิเสธอย่างเกรงอกเกรงใจว่าจะไปหาที่พักใหม่ แต่คำพูดเพียงคำเดียวของเจนทำให้เขาต้องอยู่ต่อ

    “ช่วยเป็นสะพานทอดให้เจสซี่เดินข้ามไปหาพ่อของแกด้วยเถอะค่ะ”

    เจอคำพูดแบบนี้เข้าไปเป็นใครจะกล้าเดินออกไปล่ะ ส่วนเจสซี่ก็แสร้งทำเป็นไม่พอใจ แต่ดูจากสายตาแล้วเธอเองก็อยากให้มินจุนอยู่ต่อเหมือนกัน

    ผ่านไปประมาณสิบห้าวันก็ถึงรุ่งเช้าของวันแข่งขันรอบคัดเลือก มินจุนยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขียงภายในครัวของบ้านลูคัส แม้ภายนอกจะดูเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วเขากำลังมองหน้าต่างที่เด้งขึ้นมาอยู่

     

    [คะแนนที่คาดการณ์คือห้าคะแนน]

     

    นี่เป็นฟังก์ชันใหม่หลังจากเลเวลการทำอาหารเพิ่มเป็นหก นั่นก็คือการจำลองอาหารที่อยากทำ เพียงออกแบบสูตรอาหารในหัว ฟังก์ชันนี้ก็จะช่วยคาดการณ์ว่าผลสุดท้ายสูตรนั้นจะออกมาเป็นอาหารที่ได้คะแนนเท่าไหร่

    ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์ในหลากหลายด้าน รับรองว่าแค่ทำตามสูตรก็จะไม่เกิดความผิดพลาด เป็นฟังก์ชันที่เจ๋งมากสำหรับการแข่งขันอย่างรายการแกรนด์เชฟ ปกติแล้วผู้เข้าแข่งขันมักจะตกรอบเพราะความผิดพลาดในการออกแบบเมนู ซึ่งถ้าตัดความผิดพลาดนี้ออกไปได้ก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

    แล้วยังประหยัดค่าวัตถุดิบอีกด้วย

    ถ้าฝีมือทำอาหารเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่งจะมีเซ้นส์บางอย่าง เซ้นส์นี้ก็คือความสามารถในการรับรู้รสชาติของอาหารได้โดยไม่ต้องชิมไปทำไป เมื่อลองทำเมนูใหม่ๆ โอกาสที่จะล้มเหลวก็จะน้อยลง รสชาติออกมาไม่แย่ แน่นอนว่าสูตรที่ดีที่สุดเท่านั้นถึงจะดึงรสชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมา ไม่มีใครสามารถจินตนาการถึงภาพอาหารที่เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยการกำหนดสูตรเพียงครั้งเดียว คนที่ทำแบบนี้ได้มีอยู่สองประเภทคือผู้เชี่ยวชาญ หรือไม่ก็ผู้มีพรสวรรค์

    สำหรับมินจุนนั้นไม่ได้เป็นทั้งผู้เชี่ยวชาญและผู้มีพรสวรรค์ แต่ตอนนี้เขาสามารถหยิบยืมความสามารถของคนพวกนั้นได้ แม้จะยังไม่มีทักษะทางด้านศิลปะกับแรงบันดาลใจที่เลิศหรูก็ตาม

    ความพยายามจะช่วยทำให้ดีขึ้น

    มินจุนเชื่ออย่างนั้น การทำอาหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ไปเสียทั้งหมด แน่นอนว่าพรสวรรค์สามารถช่วยให้เก่งไวขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงรสชาติมากมายในโลก และยังมีเรื่องเอกลักษณ์ความแตกต่างของแต่ละคน

    การช่วยเจสซี่ทำเยลลี่ในวันนั้นทำให้มินจุนได้คิดอะไรมากมาย สิ่งที่เจสซี่ใส่ลงไปในถ้วยไม่ได้มีแค่เพียงเยลลี่ แต่ยังมีทั้งการตัดพ้อและการให้กำลังใจพ่อของเธอผสมอยู่ด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นเยลลี่ที่มีคุณค่ามากกว่าสิ่งใดๆ

    มินจุนพลันเข้าใจว่าสิ่งที่เชฟทำใส่จานนั้นไม่ใช่แค่อาหาร

    “ลงมือทำอาหารได้แล้ว”

    ระหว่างพักอยู่ที่บ้านลูคัส มินจุนจะรับหน้าที่ทำอาหารเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจเจ้าของบ้าน มันคือการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เจนอนุญาตให้ใช้ครัวของเธอได้ เขาก็จะได้ฝึกฝีมือไปด้วย

    ในช่วงสิบห้าวันที่ผ่านมามินจุนจัดเตรียมอาหารอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยสักมื้อ ส่วนใหญ่เป็นอาหารอเมริกัน มีทั้งจัมบาลาย่าที่เคยกินบนเครื่อง มะกะโรนีอบชีสกับแฮมเบิร์กสเต็กที่เจนเคยทำ และอาหารที่เขาทั้งรู้จักและไม่รู้จัก ถือเป็นความท้าทายใหม่ๆ

    ส่วนอาหารเกาหลีที่ทำก็มีรสชาติแตกต่างจากที่เกาหลี เพราะใช้วัตถุดิบในอเมริกา แม้แต่ข้าวก็ยังไม่เหมือนกัน ข้าวที่กินในเกาหลีจะเป็นข้าวพันธุ์จาปอนิกาที่มีความเหนียวและกลิ่นหอมมาก ส่วนข้าวที่นิยมกินกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นข้าวพันธุ์อินดิกาซึ่งเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของข้าวในอเมริกาก็คือพันธุ์นี้ และที่เหลืออีกสามสิบเปอร์เซ็นต์คือข้าวพันธุ์คาลโรสที่มีคุณสมบัติของจาปอนิกากับอินดิกาผสมกัน มีทั้งความเหนียว ความหอม เป็นข้าวที่มินจุนใช้ตอนอยู่ที่นี่ วิธีการหุงข้าวคาลโรสนั้นจะอยู่ตรงกลางระหว่างจาปอนิกากับอินดิกา คือต้องใส่น้ำน้อยกว่าจาปอนิกาแต่มากกว่าอินดิกา

    แต่ละประเทศก็มีวัตถุดิบที่แตกต่างกัน และวัตถุดิบที่แตกต่างกันก็มีวิธีจัดการกับมันที่แตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นการเข้าใจวัตถุดิบของที่นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

    มินจุนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเพราะในช่วงสิบห้าวันที่ผ่านมาเขาได้ทำความเข้าใจวัตถุดิบของอเมริกาอย่างถ่องแท้ ถึงแม้จะยังไม่คุ้นเคย แต่ทฤษฎีส่วนใหญ่ก็อยู่ในหัวหมดแล้ว เขาเชื่อว่าตนทำได้แน่นอน

    “น่าจะผ่านรอบคัดเลือกได้แน่ เช้านี้ทำชีสริซ็อตโต้ดีกว่า”

    จะได้ติดเหนียวแน่นหนึบ ผ่านเข้ารอบต่อไป

     

    “โธ่เอ๊ย อุตส่าห์เตรียมตัวเป็นอย่างดี ตอนนี้ดันมาพะอืดพะอมซะงั้น”

    ภายในรถที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ทำการแข่งรอบคัดเลือก เจสซี่พูดกับมินจุนด้วยความสงสาร ส่วนมินจุนก็ถอนหายใจอย่างอ่อนล้า

    “ชีสนี่ไม่ถูกกับฉันเลยจริงๆ…”

    เขาไม่ชอบชีส ทุกครั้งที่กินจะมีอาการแบบนี้เสมอจึงทำให้ไม่ชอบ เขารู้สึกวิงเวียนอยู่ข้างในจึงหลับตาลง ยิ่งมองนอกหน้าต่างก็ยิ่งเมารถ ยิ่งเวียนหัว ลูคัสที่กำลังขับรถอยู่จึงพูดขึ้นมาด้วยความกังวลว่า

    “อาการไม่ดีแบบนี้แล้วจะผ่านรอบคัดเลือกได้มั้ยเนี่ย”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ปวดท้องครับ ไม่ได้เจ็บมือ”

    “เฮ้อ…ไม่น่ามาเจ็บป่วยตอนนี้เลย”

    มินจุนแอบยิ้มให้กับความเป็นห่วงของลูคัส ในการแข่งรอบคัดเลือกนั้น อย่างน้อยน่าจะมีคนมาแข่งเป็นพันๆ คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครจากนิวยอร์ก ผู้สมัครจำนวนขนาดนี้ทำให้ต้องแบ่งเวลาแข่งขันเป็นรอบๆ นอกจากผู้สมัครจะมีจำนวนมากแล้วยังมีเพื่อนหรือญาติมาให้กำลังใจเป็นจำนวนมากอีกด้วย

    “เฮ้อ วันนี้จะเหลือรอดไปสักกี่คนนะ”

    “นั่นสิ แต่ละสัปดาห์มีผ่านเข้ารอบไปได้แค่ห้าคนเอง”

    มินจุนหันไปมองรอบๆ อย่างตื่นเต้น ตากล้องหลายคนกำลังเดินขวักไขว่เพื่อสัมภาษณ์ผู้มาแข่งขัน ก็แหงล่ะ ที่นี่ไม่ใช่การแข่งขันทำอาหารธรรมดาๆ มันเป็นแกรนด์เชฟเชียวนะ

    กติกาการแข่งของแกรนด์เชฟนั้นไม่ซับซ้อน คือจะแข่งรอบคัดเลือกครั้งที่หนึ่งในแต่ละรัฐของอเมริกา วิธีทดสอบของรอบนี้เป็นการสัมภาษณ์ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยจะแตกต่างกันเล็กน้อย โดยปกติแล้วคือการทดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับอาหาร

    ระหว่างที่กำลังรอก็มีคนเข้าออกห้องสัมภาษณ์ที่มีกรรมการอยู่ในนั้นทีละคน โดยแต่ละคนใช้เวลาเกือบห้านาที พูดง่ายๆ ก็คือใช้เวลาสูงสุดห้านาทีนั่นเอง แต่บางคนเข้าไปไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เดินออกมาแล้ว แถมสีหน้าของพวกเขายังดูไม่ดีสักเท่าไหร่ เป็นไปได้ว่าคงได้พูดแค่ไม่กี่คำแล้วก็ถูกเชิญออกมา

    ต้องยื้อให้ได้เกินห้านาที

    ภายในห้านาทีนั้นเขาต้องแสดงให้กรรมการเห็นถึงความเข้าใจเกี่ยวกับการทำอาหารของตนเองให้ได้

    “หมายเลขห้าเก้าหนึ่ง! ผู้สมัครหมายเลขห้าเก้าหนึ่ง!”

    “อยู่นี่ครับ”

    “เชิญเข้ามาได้”

    มินจุนพยักหน้าพร้อมกับเดินตรงไปที่ห้องสัมภาษณ์

    ภายในห้องสัมภาษณ์มีคนหน้าตาคุ้นเคยนั่งอยู่สามคน ณ วินาทีนั้นมินจุนรู้สึกเหมือนฝันได้กลายเป็นจริงแล้ว เขาได้มายืนอยู่ในรายการแกรนด์เชฟที่เคยดูแต่ในทีวี คนแรกคืออลัน เคร็กที่ได้มิชลินสองดาวในขณะที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปี และคาดว่าน่าจะได้มิชลินสามดาวก่อนอายุสี่สิบปีในเร็วๆ นี้ คนที่สองคือเอมิลี่ พอร์เตอร์ที่เป็นนักชิมเบอร์หนึ่งของยุโรปและเป็นทายาทผู้สืบทอดเบียร์พอร์เตอร์ ส่วนคนสุดท้ายคือโจเซฟ วินเซนต์ เขาคนนี้มีร้านอาหารอยู่ทั่วโลกและไม่มีสาขาไหนเลยที่จะไม่อยู่ในหนังสือมิชลินไกด์

    แน่นอนคนที่มีอำนาจมากที่สุดในสามคนนี้ก็คือโจเซฟนั่นเอง จริงอยู่ว่าโพรไฟล์ของอีกสองคนนั้นไปไหนก็มีแต่คนรู้จัก แต่โพรไฟล์ของโจเซฟนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้มินจุนจึงสัมผัสได้ถึงออร่าที่ออกมาจากโจเซฟ

    “มินจุน ผมดูใบสมัครของคุณแล้ว คุณมาจากเกาหลีเหรอ”

    “ใช่ครับ”

    “อยากฟังเหตุผลว่าทำไมถึงต้องมาออดิชันไกลถึงต่างประเทศขนาดนี้”

    มันเป็นคำถามที่ต้องผ่านไปให้ได้ มินจุนพยายามที่จะพูดให้นิ่งที่สุด แต่ความตื่นเต้นก็แสดงออกมาทางน้ำเสียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    “ผมฝันอยากเป็นเชฟมาตั้งแต่เด็กๆ แต่หลังจากเข้ามหา’ลัยความฝันก็เลือนรางลงทุกที ผมจึงคิดว่าจะมัวชักช้าต่อไปอีกไม่ได้แล้ว และก็อยากพิสูจน์ให้พ่อแม่ของผมเห็นด้วยว่าผมมีความสามารถในการทำอาหารจริงๆ ผมจึงคิดว่าแกรนด์เชฟเป็นที่ที่เหมาะสมที่สุด”

    “อ้อ แต่พวกที่ถูกด่าและตกรอบไปก็มีไม่น้อยนะ”

    “ผมหวังว่าตัวเองจะไม่เป็นแบบนั้นครับ”

    มินจุนตอบคำถามด้วยความสงบนิ่งที่สุด เขาพูดช้าแต่น้ำเสียงหนักแน่นชวนฟัง และด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นชาวเอเชียจึงดูมีเสน่ห์มากในสายตาของชาวตะวันตก เอกลักษณ์โดดเด่นนี้บวกกับเรื่องราวที่มาไกลจากเกาหลีเพื่อตามหาฝันถึงอเมริกายิ่งทำให้ประทับใจขึ้นไปอีก

    อยากจะพูดถึงความสามารถของตัวเองอยู่เหมือนกันนะ แต่…

    โจเซฟส่งสายตาไปให้อลันและเอมิลี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วเอมิลี่ก็พูดขึ้นว่า

    “เดี๋ยวขอทดสอบความรู้พื้นฐานง่ายๆ นะคะ”

    “ครับ”

    “ลองอธิบายข้อแตกต่างของการหั่นหัวหอมแนวตั้งกับแนวนอนให้ฟังหน่อยสิคะ”

    มินจุนยิ้มมุมปาก มันเป็นคำถามพื้นฐานที่สามารถตัดสินได้ว่าคนนั้นมีหรือไม่มีประสบการณ์ในการทำอาหาร หัวหอมเป็นผักที่มีชั้นผิว ถ้าหั่นแนวตั้งก็จะรักษาชั้นผิวนั้นเอาไว้ได้ แต่ถ้าหั่นแนวนอนจะทำให้ชั้นผิวนั้นตาย ซึ่งหัวหอมที่ชั้นผิวตายจะอ่อนนุ่มกว่า แถมยังทำให้เผ็ดน้อยกว่าด้วย

    มินจุนตอบคำถามนั้นได้สบายๆ เอมิลี่จึงพยักหน้า

    “ถูกต้อง ถ้างั้นคำถามต่อไปนะคะ การหั่นพริกหวานจะต้องหั่นจากด้านในหรือหั่นจากด้านนอก”

    “ด้านในครับ”

    ขั้นตอนที่คนมักทำผิดกันมากที่สุดเกี่ยวกับพริกหวานคือขั้นตอนนี้นั่นเอง ดูเหมือนว่ามันจะง่ายกว่าถ้ากดมีดลงไปจากด้านนอก แต่ความจริงแล้วมันจะทำให้พริกหวานถูกหั่นออกมาไม่ดีและเซลล์ถูกทำลาย ทำให้สารอาหารหายไปหมดจากน้ำที่ไหลออกมา แต่การหั่นจากด้านในจะช่วยรักษาสารอาหารไว้อย่างครบถ้วน

    “ใช่แล้ว ถ้างั้นจะถามคล้ายๆ กับเมื่อกี้นะคะ การหั่นพริกหวานแนวตั้งกับแนวนอนต่างกันยังไง”

    “การหั่นพริกหวานในแนวตั้งทำให้สูญเสียสารอาหารมากกว่า ถึงแม้เท็กซ์เจอร์จะใกล้เคียงกับพริกหวานตามธรรมชาติมากที่สุด แต่กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์จะหายไป แต่ถ้าหั่นแนวนอนเท็กซ์เจอร์จะค่อนข้างแข็ง แต่ก็จะได้กลิ่นหอมมากกว่า”

    หลังจากนั้นก็มีคำถามคล้ายกันนี้อีกหลายคำถาม ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างของการทำอาหารไฟแรงกับไฟอ่อน แป้งทั้งหลายแตกต่างกันอย่างไรในตอนนวด และยังถามถึงความเข้ากันได้ของวัตถุดิบแต่ละชนิดในเวลาที่ผสมเครื่องปรุงกับเครื่องเทศอีกด้วย

    แล้วคนที่เปิดปากพูดเป็นคนสุดท้ายก็คืออลันที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น เขาทำใบหน้าบึ้งตึง พูดอย่างเป็นงานเป็นการว่า

    “คุณผ่านการสัมภาษณ์แล้ว โชมินจุน เชิญเตรียมซิกเนเจอร์เมนูของคุณได้เลย เรามีเวลาให้สามสิบนาที”

    “ครับ รับทราบครับ”

    ไม่มีการแสดงความยินดี ไม่มีการโห่ร้อง แน่นอนเพราะนี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เป็นด่านแรกที่จะได้รับอนุญาตว่าจะจับกระทะกับมีดทำครัวได้หรือไม่ มินจุนเดินก้มหน้าออกจากห้องสัมภาษณ์แล้วตรงไปที่เคาน์เตอร์ทำอาหารโดยมีตากล้องเดินเข้ามาถาม

    “ยินดีด้วยนะครับที่ผ่านรอบแรก คุณมีแผนจะทำเมนูอะไรครับ”

    “ปลาทรายแดงย่างซอสพริกหวานครับ”

    “มั่นใจมั้ยครับว่าจะทำได้ตามมาตรฐานของคณะกรรมการ”

    “ผมจะทำให้ได้เจ็ดคะแนนครับ”

    คำว่าเจ็ดคะแนนที่ออกมาจากปากของมินจุนทำตากล้องถึงกับงุนงง แต่การที่มินจุนตอบออกไปสั้นๆ ก็มีเหตุผล เพราะรายการแบบนี้มักสร้างตัวละครที่น่ารังเกียจขึ้นมาสักหนึ่งตัวให้คนดูได้ติดตามสาปส่ง เขาจึงกลัวว่าถ้าพูดอะไรยาวๆ ออกไปจะกลายเป็นช่องให้ทีมงานนำไปตัดต่อได้

    ผู้เข้าแข่งขันต้องเตรียมวัตถุดิบหลักใส่กล่องน้ำแข็งมาเอง พอมินจุนเดินไปยังจุดที่ครอบครัวดีนรออยู่ ลูคัสก็ยื่นกล่องน้ำแข็งให้พร้อมกับพูดว่า

    “บนโลกนี้มีมนุษย์อยู่สองแบบ คือคนที่ทำอาหารอร่อยกับคนที่ทำอาหารไม่อร่อย คุณต้องชนะแน่นอน ผมเชื่อว่าผลงานของคุณต้องออกมาดี”

    “ขอบคุณครับ”

    ตากล้องจับภาพที่มินจุนรับกล่องน้ำแข็งจากครอบครัวดีน แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาคืออะไร แต่นั่นเป็นเรื่องที่ยังไม่จำเป็นต้องสงสัยในตอนนี้ รอให้มินจุนทำอาหารออกมาน่าสนใจและถูกใจกรรมการเสียก่อน

    มินจุนตรงไปที่เคาน์เตอร์ทำอาหาร ที่ปลายเคาน์เตอร์มีกล้องติดอยู่ และทุกเคาน์เตอร์จะมีตากล้องประจำการอยู่ตรงนั้น ช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนกดดัน แต่มินจุนก็ไม่ใช่คนที่จะเสียสมาธิต่อการจ้องมองของคน เขาหยิบวัตถุดิบหลักที่เตรียมมาเองออกมาจากกล่องน้ำแข็ง มันคือปลาทรายแดงกับหญ้าฝรั่น ส่วนวัตถุดิบที่เหลือนั้นสามารถเลือกหยิบได้จากตู้วัตถุดิบรวมที่ทางรายการเตรียมไว้ให้

    การเด้งขึ้นมาของระบบมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในช่วงเวลาแบบนี้ เขาสามารถรู้คุณภาพของวัตถุดิบได้ทันทีแม้จะยังไม่ได้สัมผัส ดังนั้นในทุกครั้งที่เขาเอื้อมมือออกไปเขาก็จะได้วัตถุดิบคุณภาพดีติดมือมาเสมอ โดยวัตถุดิบที่เขาหยิบมาเป็นอะไรที่เบสิกมาก อย่างเช่น พริกหวาน กระเทียม ต้นหอม ไธม์*โหระพา น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดองุ่น เนย เกลือ ไวน์ขาว แล้วก็พริกไทย

    เมนูที่กำลังจะทำในตอนนี้คือเมนูที่เขาเคยทำหลายสิบครั้งแล้วที่เกาหลี มันคือปลาทรายแดงย่างโดยใช้เทคนิคอาร์โรเซ่**กับซอสพริกหวานรสหอมหวานนั่นเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูที่เขามั่นใจมาก

    เขาเปิดแก๊ส วางกระทะแล้วใส่พริกหวานลงไป ส่วนกระทะอีกใบก็เทน้ำมันลงไปในปริมาณที่พอดี จากนั้นก็จัดการกับต้นหอมโดยใช้มีดฝานรากสีขาวออกก่อน ท่าทางของเขาคล่องแคล่วมากจนแม้แต่ตัวเองก็ยังประหลาดใจ หรือเป็นเพราะเลเวลการทำอาหารของเขาเพิ่มขึ้น การใช้มีดจึงคล่องขึ้นตามไปด้วย

    แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาที่จะมาคิดเรื่องอื่น เขาใส่ต้นหอมที่ฝานแล้วลงในน้ำมันที่กำลังเดือด เสียงฉู่ฉ่าดังขึ้นพร้อมกลิ่นหอม เขาละสายตาจากต้นหอมไปสนใจพริกหวานที่อยู่บนกระทะอีกใบ ด้านหนึ่งของพริกหวานที่สัมผัสกระทะนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ แต่สีหน้าของเขากลับเรียบเฉย เพราะเขาตั้งใจให้มันไหม้อยู่แล้ว ถ้าต้นหอม พริกหวานหรือปาปริก้าไหม้ กลิ่นจะลอยฟุ้งออกมา ส่งให้กลิ่นดั้งเดิมของมันยิ่งหอมหวนขึ้นไปอีก

    ด้วยความที่ฝานเพียงบางๆ ผ่านไปไม่กี่วินาทีต้นหอมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เขาจึงตักขึ้นมาพักบนตะแกรงก่อนจะนำไปวางบนกระดาษทิชชูเพื่อให้ซับน้ำมัน จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น เขาจะใช้มันตกแต่งจานเมื่อเสร็จทุกอย่างแล้ว

    เผลอแป๊บเดียวพริกหวานก็ไหม้ครบทุกด้าน เขานำพริกหวานมาล้างน้ำและปอกเปลือกที่ไหม้ออก การย่างพริกหวานด้วยวิธีนี้จะทำให้รสชาติของพริกหวานอร่อยกว่าวิธีอื่น แต่ขั้นตอนยังไม่เสร็จ ต้องเช็ดน้ำที่เกาะอยู่บนพริกหวานให้หมดเสียก่อนแล้วค่อยใส่กระเทียม ไธม์ โหระพา น้ำมันเมล็ดองุ่น เกลือ แล้วก็พริกไทยลงในเครื่องปั่นมือเพื่อทำเป็นซอส ถ้าบดให้ละเอียดด้วยตะแกรงมันจะกลายเป็นพูเร* แต่เขาไม่อยากให้ปลาทรายแดงโดดเด่นเพียงอย่างเดียว

    เมื่อปั่นจนได้ซอสสีเขียวแล้วคราวนี้ก็เหลือปลาทรายแดง เขาเทน้ำมันมะกอกลงบนกระทะแล้วหันมาจัดการกับเนื้อปลาทรายโดยเทไวน์ขาวลงไปนิดหน่อย โรยเกลือตามลงไป แต่โรยไม่เยอะมาก เพราะมีความเค็มจากซอสพริกหวานอยู่แล้ว เสร็จแล้วก็วางด้านที่มีหนังลงบนน้ำมันมะกอก พอหนังเริ่มกรอบก็พลิกอีกด้าน แล้วใส่เนยลงไปหนึ่งก้อน

    ไม่นานนักเนยก็เริ่มละลายจนผสมเข้ากันกับน้ำมันมะกอกและน้ำมันที่ออกมาจากปลา เขาเอียงกระทะแล้วใช้ช้อนตักของเหลวในกระทะราดลงบนเนื้อปลาทรายแดง นี่คือเทคนิคอาร์โรเซ่ที่มักใช้กันเวลาทอดเนื้อหรือปลา การราดน้ำมันกับเนยลงบนเนื้อไปเรื่อยๆ แบบนี้จะทำให้ผิวข้างนอกกรอบ ส่วนข้างในก็จะสุกและชุ่มฉ่ำ

    ปลาทรายแดงสุกได้ที่แล้ว แต่ยังเหลืออีกประมาณห้านาที เขาค่อยๆ ตักซอสพริกหวานใส่จานแล้วปาดให้เป็นทางยาวราวกับตวัดด้วยพู่กันจีน จากนั้นก็นำปลาทรายแดงที่สุกแล้ววางบนนั้น ตามด้วยนำต้นหอมที่ทอดเตรียมไว้มาวางข้างๆ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

     

    [ปลาทรายแดงทอดราดซอสพริกหวานเสร็จเรียบร้อย!]

    [ได้รับคะแนนเพิ่มจากการทำอาหารที่มีระดับความยากสูง!]

     

    [ปลาทรายแดงทอดราดซอสพริกหวาน]

    ความสด : 89%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง (เฉลี่ยวัตถุดิบ)

    คะแนน : 7/10

     

    3 of 3หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook