• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 1 ตอนที่ 3

    2 of 2หน้าถัดไป

    “ไม่ใช่กระมังจั่นเจา” ตวนมู่ชุ่ยไม่พอใจ “พวกเจ้าไม่อาจทำเช่นนี้ ศาลไคเฟิงมีเรื่องประหลาดก็มาหาข้า มีเรื่องมงคลก็มาหาข้า ข้าไม่เคยรับเงินจากศาลไคเฟิงแม้แต่เฉียน**เดียว จะเรียกใช้ข้าเป็นแม่บ้านศาลไคเฟิงไม่ได้”

    จั่นเจาไม่พูด นานอยู่กว่าจะเค้นเสียงลอดไรฟันออกมา “นี่ไม่ใช่เรื่องมงคล”

    “แต่งงานไม่นับเป็นเรื่องมงคล เช่นนั้นสำหรับเจ้าแล้วอะไรจึงจะนับเป็นเรื่องมงคล” ตวนมู่ชุ่ยแปลกใจ เริ่มก้มหน้าลงนับนิ้วมือ “ได้พบสหายเก่าในต่างถิ่น เข้าห้องหอในคืนแต่งงาน มีชื่อในประกาศสอบแข่งขันชิงตำแหน่งขุนนาง ความหมายของเจ้าก็คือจะให้เป็นเรื่องมงคลสวี่ฉยงเซียงต้องเป็นคนอำเภออู่จิ้น เมืองฉางโจว*เช่นนี้ในคืนเข้าห้องหอเจ้าจึงจะได้ ‘พบสหายเก่า’ไปด้วย จากนั้นจักรพรรดิทรงเปิดพระโอษฐ์ทอง แต่งตั้งเจ้าเป็น ‘แมวหลวงป้ายทอง’อะไรทำนองนั้นหรือ”

    จั่นเจานิ่งเงียบ ก่อนเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาสามคำ “เหน็บแนมสหาย”

    “เอ๋? ใต้เท้าจั่นโกรธแล้ว” ตวนมู่ชุ่ยยิ้มแย้มเบิกบาน “ใต้เท้าจั่นเตรียมจะทำอย่างไรกับการเหน็บแนมสหายหรือ จะตัดเสื่อแยกกันนั่งหรือตัดเสื้อตัดความสัมพันธ์**”

    จั่นเจาไม่ส่งเสียง หน้าผากเริ่มมีเค้าความโกรธขึ้ง

    ตวนมู่ชุ่ยทั้งแปลกใจทั้งตื่นเต้น นางยังไม่เคยเห็นจั่นเจาบันดาลโทสะจริงๆ มาก่อน

    อย่างไรเสีย…ข้าก็ไม่กลัวที่จะล่วงเกินเขาตวนมู่ชุ่ยคิด

    “ข้าไม่ตกหลุมพรางเจ้าหรอก” จั่นเจาพลันยกสองมือขึ้นกอดอก เอนหลังพิงกำแพงอย่างเอ้อระเหยสบายใจ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ เจ้ามุ่งหวังจะให้ข้าโกรธ มุ่งหวังให้ข้าตวัดชายแขนเสื้อจากไป เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยช่วยข้าแก้ไขปัญหาแล้วใช่หรือไม่ ไม่มีทาง เพื่องานใหญ่แล้ว ข้าจั่นเจายอมกล้ำกลืนความอัปยศอดสูเพื่อจะดำเนินภารกิจที่หนักอึ้งให้สำเร็จ”

    พูดจบก็ใช้หางตามองตวนมู่ชุ่ยด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องในตัวเอง

    ดังนั้นตวนมู่ชุ่ยจึงเหวี่ยงหมัดออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด

     

    “เอาล่ะ” จั่นเจาเอาผ้าขนหนูอุ่นที่พับทบกันมาประคบข้างแก้ม “ข้าถูกเจ้าพูดกระแหนะกระแหนก็แล้ว ตีถูกก็แล้ว เจ้าควรช่วยข้าแก้ปัญหาได้แล้ว”

    ตวนมู่ชุ่ยพยักหน้าด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง

    “ทว่าจั่นเจา มีคำพูดประโยคหนึ่งข้าต้องพูดไว้ก่อน” ตวนมู่ชุ่ยกล่าวสีหน้าจริงจัง “การแต่งงาน ชะตาชีวิตได้กำหนดมาแล้ว ไม่อาจเรียกร้องมากเกินไป เส้นทางของการเป็นสามีภรรยาเป็นฟ้าลิขิตตั้งแต่ชาติก่อนต่อเนื่องมาถึงวันนี้ ถ้าการแต่งงานของเจ้ากับสวี่ฉยงเซียงมีจดบันทึกอยู่ในสมุด ‘บันทึกบุพเพสันนิวาส’ ของเทพเยวี่ยเหล่า***อยู่ก่อนแล้ว ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้ ขอเพียงด้ายแดงเชื่อมโยงกัน ถึงคนสองคนจะอยู่ในครอบครัวที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน จนรวยแตกต่างกัน อยู่ไกลกันสุดหล้าเป็นคนรับใช้เป็นขุนนาง อยู่ต่างแคว้นอู๋ฉู่ ก็ต้องมาแต่งงานกันจนได้”

    “ข้าคงไม่เคราะห์ร้ายเพียงนั้นกระมัง” จั่นเจารู้สึกขนหัวลุกเล็กน้อย

    “เรื่องนั้นก็ไม่แน่” ตวนมู่ชุ่ยไม่สบอารมณ์นัก “เจ้าออกไปดูซิ คืนนี้มีดวงจันทร์หรือไม่”

    จั่นเจาไม่เข้าใจ แต่ยังคงทำตาม ออกไปที่กลางลาน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “มี ทว่าเมฆบังดวงจันทร์”

    “เช่นนั้นก็รอก่อน รอให้ดวงจันทร์โผล่ออกมาแล้วค่อยว่ากัน”

    เห็นจั่นเจามีท่าทางงุนงง ตวนมู่ชุ่ยจึงอธิบาย “เทพเยวี่ยเหล่าจะตรวจสมุด ผูกด้ายแดงภายใต้แสงจันทร์ มีแต่ต้องอาศัยแสงจันทร์จึงจะทำให้ด้ายแดงที่ข้อเท้าของเจ้าปรากฏออกมาได้ จากนั้นก็ตามด้ายแดงไปหาคนที่ชะตาชีวิตของเจ้ากำหนดมา หากคนผู้นั้นก็คือสวี่ฉยงเซียง ข้าก็ไม่มีหนทาง แต่ถ้าไม่ใช่ แสดงว่าในนี้จะต้องมีลับลมคมในอะไร ข้าค่อยคิดหาทางแก้ไข”

    ดูจากสถานการณ์แล้วในเวลานี้คงทำได้เท่านี้

     

    ในที่สุดดวงจันทร์ก็ปรากฏโฉมออกมาท่ามกลางเมฆหมอก

    ตวนมู่ชุ่ยหยิบธูปมาจุดสองดอก พาจั่นเจาไปยืนอยู่กลางลาน นางหลับตาทั้งสองข้างลงริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา ไม่รู้ท่องคาถาอะไร จั่นเจาหันหน้าไปพิจารณาตวนมู่ชุ่ยอย่างละเอียด ยามนี้แสงจันทร์สุกสกาวละมุนละไมดุจสายน้ำไหลริน ตวนมู่ชุ่ยจิตใจจดจ่อสำรวม สีหน้าท่าทางสดใสเยือกเย็น ดูแตกต่างจากปกติที่สนุกสนานขี้เล่นราวกับคนละคน

    ทันใดนั้นตวนมู่ชุ่ยก็ลืมตาขึ้น แต่กลับไม่มองจั่นเจา เพียงสนใจธูปในมือตน

    จั่นเจามองตามสายตาของตวนมู่ชุ่ยไป ในใจงงงันเล็กน้อย ควันที่เกิดจากธูปเดิมลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปในอากาศ เวลานี้ไม่มีลมไม่สั่นไหว ควันกลับเปลี่ยนทิศทาง เอียงเลื้อยคดเคี้ยวขึ้นไปราวกับงูเลื้อย

    ตวนมู่ชุ่ยระบายลมหายใจเบาๆ แล้วกระซิบบอกจั่นเจา “นับว่าเทพเยวี่ยเหล่ายอมรับการบูชาเซ่นไหว้นี้แล้ว”

    จั่นเจาฟังแล้วก็เข้าใจและพบว่าทิศทางที่ควันเลื้อยคดเคี้ยวไปเป็นทิศที่ดวงจันทร์อยู่ จึงถามขึ้น “ศาลเทพเยวี่ยเหล่าใกล้ไกลมีไม่น้อย ไม่ใช่เขารับการบูชาเซ่นไหว้ทั้งวันหรือ เหตุใดการเซ่นไหว้ของเจ้าแปลกประหลาดกว่าใคร”

    ตวนมู่ชุ่ยบอกอย่างภาคภูมิใจ “เรื่องนี้แน่นอน ปกติธูปที่คนเหล่านั้นจุดนอกจากรมเขาจนเกือบตายแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ธูปของข้าย่อมแตกต่างกันมาก…”

    ขณะพูดนางเหลือบมาเห็นท่าทางตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นยิ่งของจั่นเจา จึงรีบเก็บหัวข้อสนทนา “พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ”

    จั่นเจาได้แต่หงุดหงิดโมโห

    ไม่นานธูปก็หมดดอก ตวนมู่ชุ่ยมีท่าทีฮึกเหิมขึ้นมาบอกด้วยความดีใจ “คราวนี้เรียบร้อยแล้ว”

    นางพูดพลางยื่นมือขึ้นไปกลางอากาศ คล้ายจะเด็ดอะไรลงมา ปากก็ยังคงพึมพำ “ไหมเป็นพันสายด้ายเป็นหมื่นเส้น เส้นไหนกันแน่”

    จั่นเจาก็เบิกตากว้าง “หรือว่าเทพเยวี่ยเหล่าโยนด้ายแดงมาให้เจ้าแล้ว เหตุใดข้าจึงมองไม่เห็น”

    ขณะพูดก็ได้ยินตวนมู่ชุ่ยยิ้มแล้วว่า “ใช่แล้ว เส้นนี้นี่เอง”

    ตอนจั่นเจาหันมามอง เพียงเห็นที่กลางฝ่ามือตวนมู่ชุ่ยมีเส้นไหมเล็กละเอียดแวววาวเส้นหนึ่ง เส้นไหมเส้นนั้นบางแทบจะมองไม่เห็น เลือนราง อ่อนช้อยไร้ราก รอบตัวมีแสงรำไรวิบวับ บัดเดี๋ยวคล้ายไหมทองโปร่งใส บัดเดี๋ยวก็คล้ายสายหมอกในคืนเดือนมืด ทั้งยังมองไม่ออกว่ายาวเพียงใด จั่นเจาพึมพำขึ้น “นี่ก็คือด้ายแดงหรือ งดงามเพียงนี้”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มแล้วว่า “ด้ายแดงอะไร นี่เป็นแสงจันทราเส้นหนึ่งที่เทพเยวี่ยเหล่ามอบให้ข้า”

    แสงจันทรา…เส้นหนึ่ง?

    ไม่เคยมีใครนับแสงจันทราเป็นเส้น ลองคิดดูถ้าแสงจันทรานับละเอียดราวกับเส้นไหมเส้นด้ายได้จริง จะงดงามและดึงดูดใจคนมากเพียงใด

    ตวนมู่ชุ่ยยื่นมือเอาแสงจันทราไปเบื้องหน้าจั่นเจา “ต่างบอกว่าเอามือกอบน้ำดวงจันทร์ก็อยู่ในมือ เล่นดอกไม้กลิ่นหอมก็ติดเสื้อผ้า เจ้าดมดู แสงจันทรานี้ก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ติดอยู่”

    จั่นเจาก้มหน้าลง แล้วก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาที่ปลายจมูก เพียงแต่นี่ดูเหมือนน่าจะเป็นกลิ่นหอมของเครื่องประทินโฉมจากร่างของตวนมู่ชุ่ย

    จั่นเจากลัวว่าถ้าตนบอกว่าไม่ได้กลิ่นจะถูกตวนมู่ชุ่ยพูดฉีกหน้าว่าเป็นคนพื้นๆ ธรรมดาไม่ได้กลิ่นหอมของเทพบนสวรรค์ จึงแสร้งทำท่าทำทาง “จริงด้วย”

    ตวนมู่ชุ่ยก็ไม่สงสัย พลันคว่ำฝ่ามือลง “ไป”

    แสงจันทราเส้นนั้นคล้ายเข้าใจภาษามนุษย์ วนรอบข้อเท้าจั่นเจาสามรอบและหยุดนิ่งชั่วขณะ คล้ายสัมผัสอะไรได้ จากนั้นก็ลอยคดเคี้ยวออกจากกระท่อมตวนมู่ไปทางตะวันออก

    ตวนมู่ชุ่ยดึงจั่นเจาให้ก้มตัวลงมาด้วยกัน “ดู นี่คือด้ายแดงของเจ้า”

    ไม่ผิด แสงจันทราเส้นนั้นเข้าพันพัวกับด้ายแดงของจั่นเจาแล้วเคลื่อนไปตามทิศทางที่ด้ายแดงยื่นเหยียดไป ภายใต้แสงจันทร์ที่บดบังและขับดุนซึ่งกันและกัน ด้ายสีแดงเข้มทอแสงนวลตาเรื่อเรือง

    ไม่รู้เพราะเหตุใด จั่นเจาออกจะรู้สึกผิดหวัง

    ตวนมู่ชุ่ยเอ่ยเสียงต่ำ “ตามไป”

     

    ต่างบอกว่าเนื้อคู่อยู่ห่างกันพันลี้ก็มีด้ายแดงผูกโยงกันไว้ โชคดีที่เนื้อคู่ของจั่นเจาไม่ได้ผูกโยงไปไกลถึงพันลี้ หาไม่คงต้องเดือดร้อนถึงเทพเจ้าที่ เทพเหอป๋อ*ต้องลำบากมุดน้ำดำดินไป

    ถนนจูเชวี่ย ฝั่งตะวันออก เมืองไคเฟิง

    ยิ่งเดินมาทางด้านนี้ ในใจของจั่นเจาก็ยิ่งอ้างว้าง

    ถ้าจำไม่ผิด บ้านสกุลสวี่ก็อยู่ไม่ไกลจากทางด้านซ้าย

    มาถึงสถานที่แห่งนี้ ด้ายแดงก็ลอดเข้าไปในช่องแตกกลางประตูสีแดง ตอนแหงนหน้าขึ้นมอง ตรงขื่อประตูตัวอักษรสองตัว ‘สกุลสวี่’ถูกแสงสว่างจากโคมแดงส่องสะท้อนเสียดแทงนัยน์ตาอย่างประหลาด

    จั่นเจายื่นมือไปดึงตวนมู่ชุ่ย “ช่างเถิด ไม่ต้องเข้าไปแล้ว”

    เสียงจั่นเจาฟังดูอ่อนล้าอย่างไม่เคยเป็น ตวนมู่ชุ่ยรู้สึกวูบไหวอยู่ในใจ ตอนหันไปมองก็จั่นเจาถอยออกไปอยู่ใต้เงามืดของประตูแล้ว แต่ไม่อาจปิดบังท่าทางหงอยเหงาวังเวงใจได้

    “จั่นเจา…” ตวนมู่ชุ่ยพลันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “ข้าไม่มีหนทางจริงๆ…”

    “ไม่ตำหนิเจ้า เจ้าช่วยข้ามากแล้ว”

    ตวนมู่ชุ่ยยื่นมือมากุมแขนจั่นเจา คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับเอ่ยปากไม่ออก

    ปกติเคยชินกับการพูดกระแหนะกระแหนเหน็บแนมกัน จู่ๆ มาเจอจั่นเจามีท่าทางซึมเซาก็ให้รู้สึกเศร้าใจ

    ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยขึ้น “บางทีอาจไม่ได้แย่เพียงนั้น…เจ้ากับคุณหนูบ้านสวี่ไปมาหาสู่กันนานเข้า บางที…บางทีเจ้าอาจชอบนางก็ได้…”

    จั่นเจานิ่งเงียบ ผ่านไปเป็นนานจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าหาได้ชอบนาง”

    ไม่ชอบ แล้วจะทำอย่างไรได้

    ตั้งแต่โบราณกาลถึงวันนี้ ที่เทพเยวี่ยเหล่าผูกด้ายแดงให้สำเร็จก็ใช่ว่าจะเป็นบุพเพที่ดีงามทั้งหมด

    ทั้งสองคนแยกจากกันที่นั่น จั่นเจากลับศาลไคเฟิง ตวนมู่ชุ่ยกลับกระท่อมตวนมู่

    ไม่มีคำพูดอื่นใด พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์

    แสงจันทราเส้นนั้นไม่รู้สูญเสียความแวววาวไปตั้งแต่เมื่อไร กลับกลายเป็นดำเทาราวขี้เถ้าที่ไม่มีใครสนใจ

     

    เรื่องแต่งงานของจั่นเจาดูเหมือนจะกำหนดลงมาแล้ว

    จางหลงจ้าวหู่ยังจำได้ ตอนแรกจั่นเจาคัดค้านเรื่องแต่งงานในครั้งนี้มากเพียงใด แต่หลังจากกลับมาจากไปหาตวนมู่ชุ่ย ดูเหมือนทุกอย่างจะอะไรก็ได้ไม่มีสิ่งใดสำคัญแล้ว

    “ฟ้าลิขิตไว้เช่นนี้” จั่นเจาเอ่ยเสียงเฉื่อยเนือย “แล้วแต่จะเป็นไปเถิด”

    ก่อนหลังกลายเป็นคนละคน ย่อมทำให้คนอดที่จะคาดเดาไปต่างๆ นานาไม่ได้

    “เอ้อ…เจ้าว่า…” หวังเฉายื่นศอกไปถองหม่าฮั่นและขยับเข้ามากระซิบกระซาบใกล้ๆ “พี่ใหญ่จั่นใช่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้นกับพี่ตวนมู่ของข้าหรือไม่ แต่ปรากฏว่าพี่ตวนมู่ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรแบบนั้นกับพี่ใหญ่จั่น ด้วยเหตุนี้พี่ใหญ่จั่นจึงรู้สึกว่าวันเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมายอะไร เลยรับปากเรื่องแต่งงานกับคุณหนูสวี่”

    หม่าฮั่นถูกหวังเฉาพูดจาอ้อมไปอ้อมมาจนเวียนหัว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ความรู้สึกแบบนี้แบบนั้นอะไร เจ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยได้หรือไม่”

    หวังเฉาถลึงตาใส่หม่าฮั่นอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็ความรู้สึกแบบนั้นอย่างไรเล่า”

    หม่าฮั่นอ้าปาก ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว “อ้อ เจ้าหมายถึงความรู้สึกแบบนั้นหรอกหรือ”

    หวังเฉาพยักหน้า “เจ้าเห็นอย่างไร”

    “ข้าเห็นว่าเป็นไปได้” หม่าฮั่นวางมาดจริงจัง “เจ้าคิดดูพี่ตวนมู่ของข้ามีความสามารถเพียงใด ตอนนี้ก็คอยกำจัดมารปราบปีศาจเหาะขึ้นฟ้ามุดลงดิน วันหน้าไยมิใช่บำเพ็ญเพียรกลายเป็นเซียนเหาะขึ้นสวรรค์ไปตอนกลางวันแสกๆ งิ้วก็เคยแสดงให้ดูแล้วมิใช่หรือ จะบำเพ็ญเพียรให้บรรลุมรรคผลก็ต้องตัดขาดความคิดทางโลก”

    “ใช่แล้วๆ” หวังเฉารีบคล้อยตาม “ตามที่เจ้าพูด พี่ตวนมู่เหาะขึ้นสวรรค์แล้วจะพาพวกเราไปเป็นเซียนด้วยหรือไม่ ไม่ใช่มีคำโบราณประโยคหนึ่งเคยว่าอย่างไรนะ…คนผู้หนึ่งบรรลุมรรคผล หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์*หรอกหรือ”

    คำพูดเหล่านี้ทำให้หม่าฮั่นจินตนาการไปเรื่อย “นั่นสิ ถ้าพวกเรากลายเป็นเซียนแล้วก็น่าจะอยู่ในขั้นขุนพลสวรรค์แม่ทัพสวรรค์กระมัง”

    กงซุนเช่อที่นั่งฟังและถูกมองข้ามมานานในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว “ดูท่าจะตัวร้อนไม่น้อย จะให้ข้าช่วยเรียนใต้เท้าให้หรือไม่ คืนนี้พวกเจ้าไม่ต้องไปตระเวนตรวจตราแล้ว”

    เพียงเห็นหวังเฉาหม่าฮั่นสองคนหน้าแดงหูแดง ลนลานจากไปราวกับหนีอะไรเช่นนั้น

     

    จางหลงจ้าวหู่สองคนที่ตามจั่นจงไปมอบของหมั้นที่บ้านสกุลสวี่ บังเอิญเจอตวนมู่ชุ่ยที่ย่านการค้าคึกคักบนถนนซีซื่อขณะเดินทางกลับพอดี

    “พี่ตวนมู่!” จางหลงดีใจออกนอกหน้า ร้องทักตั้งแต่ไกล

    ได้ยินคำว่า ‘พี่ตวนมู่’สามคำ จั่นเจาก็หันมอง และพบว่าตวนมู่ชุ่ยอยู่ข้างหลังเขาถัดไปสองสามคนเท่านั้น นางกำลังหรี่นัยน์ตาพินิจพิเคราะห์หยกเก่าในมือชิ้นหนึ่งพลางยกขึ้นส่องกับดวงอาทิตย์

    “เป็นพวกเจ้าเองหรือ” ตวนมู่ชุ่ยหันไปมองสองคนที่อยู่ด้านหลัง “จั่นเจาเล่า ไม่ได้มาด้วยกันกับพวกเจ้าหรือ”

    “พวกเราตามท่านลุงจั่นจงไปบ้านสกุลสวี่ พี่ใหญ่จั่นบอกมีธุระ ไม่ได้ไปด้วยกันกับพวกเรา”

    ตอนแรกจั่นเจาหันไปมองตวนมู่ชุ่ย คิดจะเข้าไปหา แต่ได้ยินจางหลงพูดเช่นนี้ จึงเบี่ยงตัวหลบไปเล็กน้อย

    อันที่จริงจั่นเจาอยู่กลางฝูงชนก็นับว่าสะดุดตา ทำอย่างไรได้จั่นจงสูงวัยนัยน์ตาพร่ามัว อีกสองคนที่หูดีตาดีก็มองเห็นแต่ตวนมู่ชุ่ยเต็มตาอยู่เพียงคนเดียว ถึงกับไม่มีใครสังเกตว่าจั่นเจาก็อยู่ที่นี่ด้วย

    “เช่นนั้นหรือ” ตวนมู่ชุ่ยไม่ส่งเสียงแล้ว

    “พี่ตวนมู่ เรื่องของพี่ใหญ่จั่นไม่มีหนทางแล้วจริงหรือ” จ้าวหู่ยังคิดจะลองดู

    ตวนมู่ชุ่ยลูบไล้หยกเก่าในมือเป็นนานจึงเอ่ยขึ้น “ฟ้าลิขิตไว้เช่นนี้ ข้าจะทำอะไรได้”

    “พี่ใหญ่จั่นก็พูดเช่นนี้” จางหลงถอนหายใจยาว แอบมองๆ จั่นจง แล้วขยับเข้ามาใกล้ตวนมู่ชุ่ยกระซิบเสียงต่ำ “ความจริงข้าดูแล้ว พี่ใหญ่จั่นไม่ได้ชอบคุณหนูสวี่จริงๆ จนถึงตอนนี้ยังไม่ยอมไปบ้านสกุลสวี่เพื่อพบหน้าเลย”

    “คนจนไม่ต่อสู้กับคนรวย คนรวยไม่ต่อสู้กับขุนนาง มนุษย์ก็ไม่ต่อสู้กับฟ้า” ตวนมู่ชุ่ยทอดถอนใจ พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “พวกเจ้าได้พบสวี่ฉยงเซียงแล้ว นางเป็นอย่างไร งามหรือไม่”

    “ท่านหมายถึงคุณหนูสวี่หรือ” จ้าวหู่เกาๆ ศีรษะ “เคยแอบมองที่นอกประตูแวบหนึ่ง นางไหว้พระโพธิสัตว์อยู่ที่นั่นก็เห็นแต่แผ่นหลังนาง”

    “นั่นไม่ใช่พระโพธิสัตว์” จางหลงแก้ให้ถูก “เป็นตาแก่แบกถุงใส่ของพิงอยู่บนธรณีประตู ในมือถือกลุ่มด้ายพันไปพันมา…”

    ตวนมู่ชุ่ยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ตาแก่อะไร นั่นคือเทพเยวี่ยเหล่า ในถุงใส่ของของเขามีสมุดบันทึกบุพเพสันนิวาสของหญิงชายในใต้หล้า นั่นก็ไม่ใช่กลุ่มด้ายทั่วไป แต่เป็นด้ายแดง”

    จ้าวหู่ท่าทางไม่เข้าใจ “มืดมิดเช่นนั้นยังไปพันด้ายแดง จะมองเห็นชัดหรือ”

    ตวนมู่ชุ่ยแทบอยากจะเขกหัวจ้าวหู่สักที “เจ้าไม่เห็นบนท้องฟ้ามีดวงจันทร์หรือ ตรวจสมุด ผูกด้ายแดงภายใต้แสงจันทร์ เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ”

    “ไม่มีดวงจันทร์นี่” จ้าวหู่งงงวย

    “นั่นอาจจะเป็นจันทร์ครึ่งดวง เจ้าไม่ได้ดูให้ชัดเจน” ตวนมู่ชุ่ยไม่สบอารมณ์

    “พี่ตวนมู่ ท่านไม่เข้าใจข้า” จ้าวหู่ไม่ยอมรับ “พูดถึงอย่างอื่นข้าอาจไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องสายตาข้าอยู่ในอันดับหนึ่งของบรรดาเซี่ยวเว่ยแห่งศาลไคเฟิงแน่นอน จางหลงเจ้ามาพูดบ้างสิ เจ้าเห็นดวงจันทร์หรือไม่”

    “เรื่องนี้…ดูเหมือน…จะไม่เห็นจริงๆ” จางหลงพูดติดๆ ขัดๆ

    สีหน้าของตวนมู่ชุ่ยพลันมีประกายประหลาดปรากฏขึ้นวาบหนึ่ง “ไม่มีดวงจันทร์จริงหรือ”

    “ไม่มี” จ้าวหู่ยืนยัน

    “ไม่มีดวงจันทร์…ไม่มีดวงจันทร์…ไม่มีดวงจันทร์…” ตวนมู่ชุ่ยพึมพำ หยกเก่าถูกโยนจากมือซ้ายไปมือขวา แล้วก็โยนจากมือขวามามือซ้าย โยนไปโยนมาจนเจ้าของแผงขายของอกสั่นขวัญหาย ขณะจะเอ่ยปากห้ามปรามก็ได้ยินตวนมู่ชุ่ยตวาดด้วยความเดือดดาล “เยวี่ยเหล่าซาน เจ้าตบตาข้าเสียสนิท!”

    จางหลงจ้าวหู่สะดุ้งตกใจ ขณะจะเอ่ยถาม ตวนมู่ชุ่ยก็กระทืบเท้าลงกับพื้นด้วยท่าทางโมโหฮึดฮัด “เจ้าที่ ขอผ่าน…”

    คำว่า ‘ทาง’ยังไม่ได้ออกจากปาก พลันมีคนคว้าแขนตวนมู่ชุ่ยไว้

    พอหันหน้าไปมอง กลับเป็นจั่นเจา

    “ตวนมู่ชุ่ย” จั่นเจามองตวนมู่ชุ่ยแวบหนึ่ง แล้วมองไปรอบๆ แสดงเจตนาให้รู้ด้วยสายตา “ท่ามกลางสายตาผู้คนที่จ้องมองอยู่ เจ้าคงไม่คิดจะมุดดินลงไปกระมัง”

    ตวนมู่ชุ่ยจึงนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ตนอยู่ในย่านการค้าคึกคักไม่ใช่กระท่อมตวนมู่ จำต้องหยุดการกระทำลงอย่างไม่เต็มใจยิ่ง ฉับพลันนั้นก็คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ พลันคลี่ยิ้มออกมา ตบๆ บ่าจั่นเจา “ใต้เท้าจั่น องครักษ์จั่น เจ้ามีวาสนายิ่งนัก ช่วยจ่ายเงินค่าหยกให้ข้า ข้าจะช่วยคลี่คลายภัยพิบัติครั้งนี้ให้เจ้า”

    พูดจบก็หัวเราะคิกๆ เอาหยกเก่าโบกไปมาตรงหน้าจั่นเจา สาวเท้าเดินจากไปอย่างว่องไว

    “ไม่ผิดจากที่คิด…ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่ยอมเสียเปรียบ” จั่นเจาก้มหน้าหยิบเงินออกมาจากถุงใส่เงินที่เอว แต่ก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้

     

    ธูปถูกจุดขึ้น ควันธูปลอยเป็นเกลียวขึ้นไป หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราประนมสองมืออยู่ตรงอก เอ่ยเสียงแผ่วเบาด้วยความเคารพเลื่อมใส “วันนี้สกุลจั่นมาที่บ้านเพื่อปรึกษาหารือเรื่องการหมั้นหมาย สมดังความปรารถนาของข้าน้อย กราบขอบคุณท่านเยวี่ยเหล่าที่เมตตาเป็นพ่อสื่อ หญิงสกุลสวี่ ฉยงเซียงยินดีลดทอนอายุขัยลงยี่สิบปีเพื่อขอบคุณท่านเยวี่ยเหล่าที่ช่วยให้สมความปรารถนา”

    กล่าวจบก็ย่อตัวลงช้าๆ คุกเข่าทั้งสองลงบนเบาะรอง

    กราบครั้งที่หนึ่ง

    ภาพเทพเยวี่ยเหล่าที่ติดอยู่บนผนังปลายข้างหนึ่งพลันกระดกขึ้น

    กราบครั้งที่สอง

    ภาพเทพเยวี่ยเหล่าทั้งแผ่นหลุดออกจากผนัง ลอยอยู่กลางอากาศ

    กราบครั้งที่สาม

    ภาพเทพเยวี่ยเหล่าราบเรียบไม่มีรอยยับ ลอยจากช่องหน้าต่างออกไปข้างนอก

    เสร็จพิธี ลุกขึ้น

    ฉับพลันนั้นสวี่ฉยงเซียงสีหน้าซีดเผือด นางเดินโซเซไปข้างหน้า ยื่นนิ้วมือออกไปลูบไล้ผนังที่ว่างเปล่าด้วยมือที่สั่นน้อยๆ

    ที่นอกหน้าต่าง ตวนมู่ชุ่ยค่อยๆ ม้วนภาพพลางทอดถอนใจเบาๆ แทบจะไม่ได้ยินเสียง

     

    กลับมาถึงกระท่อม ตวนมู่ชุ่ยก็ตรงไปที่ห้องครัว งอนิ้วเคาะลงบนแท่นเตาติดกันสามครั้ง “ติดไฟ”

    มีเสียงดังพึ่บ ในท้องเตามีเปลวไฟลุกโชนขึ้น ตวนมู่ชุ่ยเอาม้วนกระดาษในมือขยุ้มเป็นกำแล้วโยนลงไปในเตาไฟ

    พลันได้ยินเสียงคนร้องอุทานออกมา คนผู้นั้นใช้ทั้งมือเท้าปีนออกมาจากปากเตา พอตวนมู่ชุ่ยเห็นศีรษะยื่นออกมาจากปากเตาก็ยกเท้าถีบกลับเข้าไปอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

    คนผู้นั้นส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาอีกครั้งและพยายามปีนออกมาข้างนอก ครั้งนี้ตวนมู่ชุ่ยไม่ได้ขัดขวาง เพียงยกเก้าอี้มานั่งลงอย่างสบายใจ ตั้งใจรอคนผู้นั้นออกมาจากเตา

    พอออกจากเตาได้คนผู้นั้นก็กระโดดเหยงๆ ไปทั่วห้อง ตบๆ เปลวไฟบนร่างวุ่นวาย ตวนมู่ชุ่ยมองดูด้วยแววตาเยียบเย็น เพียงเห็นคนผู้นั้นปากแหลมแก้มลิง*ไว้เคราแพะ นัยน์ตารูปถั่วเขียว เสื้อผ้าบนร่างขาดปุปะ ขนคิ้วถูกเผาจนเหลือไม่กี่เส้น เส้นผมที่ยุ่งกระเซิงยังมีกลิ่นไหม้โชยออกมา

    คนผู้นั้นกระโดดโลดเต้นอยู่พักหนึ่งก่อนหยุดชะงักลง มองจ้องตวนมู่ชุ่ยตาเขียวปั้ด “เจ้าหยอกล้อเยวี่ยเหล่าเล่น สมควรได้รับความผิดสถานใด”

    “โอ เห็นตัวเองสำคัญไปแล้วจริงๆ” ตวนมู่ชุ่ยมองคนผู้นั้นด้วยหางตา “เยวี่ยเหล่าซาน ถ้าข้าแฉเรื่องนี้ออกไป…ท่านลองคิดดู ท่านยังจะโลดเต้นอยู่ในโลกมนุษย์ได้กี่ปี”

    เยวี่ยเหล่าซานพลันคล้ายตัวเตี้ยเล็กลงมาช่วงหนึ่ง เขาชี้นิ้วมาที่ตวนมู่ชุ่ย “เจ้า…เจ้า…เจ้า…เจ้ารู้ว่าข้ากับเยวี่ยเหล่าเป็น…”

    ตวนมู่ชุ่ยเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “เยวี่ยเหล่ามีพี่น้องสามคน เยวี่ยเหล่าต้าอยู่ในลำดับขั้นเซียน รับหน้าที่ผูกด้ายแดงใต้จันทร์เต็มดวง สร้างบุพเพที่ดีงามให้มนุษย์ เยวี่ยเหล่าเอ้อร์บำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นปีศาจ รับหน้าที่ผูกด้ายแดงใต้จันทร์ที่แหว่งเว้า จับจูงชายหญิงที่เป็นเครือญาติเกี่ยวดองกันเพราะการแต่งงานมาเป็นคู่ เหลือท่านเยวี่ยเหล่าซานผู้นี้ สติปัญญาอ่อนด้อย เป็นคนธรรมดาสามัญ เดิมทีควรกลับเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดนานแล้ว พี่ชายทั้งสองกลับสงสารท่านที่เป็นน้องคนเล็ก จึงแอบให้ด้ายแดงแก่ท่าน ให้ท่านสวมหน้ากากของพวกเขาเที่ยววางท่าหลอกต้มผู้คนบนโลก เที่ยวผูกบุพเพส่งเดช เที่ยวหลอกเอาอายุขัยของชายหญิงที่ไม่สมหวังในความรักเพื่อจะได้อยู่ในโลกต่อไป ที่ข้าพูดมานี้จริงหรือไม่จริงเล่า”

    เยวี่ยเหล่าซานก้มศีรษะลง พึมพำดิ้นรนเฮือกสุดท้าย “ข้าก็ไม่ได้ผูกบุพเพส่งเดชเสียทั้งหมด มีอยู่หลายครั้งข้าก็ผูกบุพเพดีงามได้สำเร็จ…”

    “ท่านไม่ต้องแก้ตัว” ตวนมู่ชุ่ยแค่นเสียงฮึ “แมวตาบอดยังเจอหนูตายได้**ท่านผูกบุพเพดีงามได้ไม่กี่คู่ก็คิดว่ามีเหตุผลหนักแน่นพอแล้วหรือ”

    เยวี่ยเหล่าซานไม่ส่งเสียงแล้ว

    “ด้ายแดงของจั่นเจากับสวี่ฉยงเซียง ท่านเป็นคนผูกหรือ”

    “ใช่” เยวี่ยเหล่าซานพยายามเชิดชูเจตจำนงในการผูกด้ายแดงของตน “ข้าเห็นคุณหนูบ้านสวี่น่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง เหมาะสมกันดีกับจั่นเจา จึงมีใจอยากช่วยคนให้บรรลุผลสมความปรารถนา…”

    “เป็นเพราะโลภอยากได้อายุขัยยี่สิบปีของสวี่ฉยงเซียงกระมัง” ตวนมู่ชุ่ยพูดเปิดโปงออกมา

    “ก็นับว่าใช่” เยวี่ยเหล่าซานก็ไม่ปฏิเสธ “แต่หญิงสาวที่ถือกำเนิดในวงศ์สกุลที่ดีรูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว เพื่อจะได้อยู่กับจั่นเจาถึงกับยินดีลดทอนอายุขัยของตนลงยี่สิบปี ไม่ใช่น่าสงสารยิ่งหรอกหรือ นางก็ไม่ได้มีความคิดที่เลวร้ายอะไร ผูกให้กับจั่นเจาจะเป็นไรไป อีกประการหนึ่ง…” เยวี่ยเหล่าซานยิ่งพูดก็ยิ่งฮึกเหิม “ที่ข้อเท้าของจั่นเจายังไม่มีด้ายแดงผูก ไม่แน่อาจมีดวงชะตาต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ข้าเจตนาดีช่วยผูกด้ายแดงให้ นับว่าเขาได้กำไรแล้ว”

    “ข้อเท้าจั่นเจาไม่มีด้ายแดง?” ตวนมู่ชุ่ยตื่นตะลึง

    “ประสบการณ์น้อยเจออะไรหน่อยก็ประหลาดใจ” เยวี่ยเหล่าซานทำเสียงหึๆ

    “ข้าไม่ฟังคำพูดพิรี้พิไรไร้สาระของท่าน” ตวนมู่ชุ่ยวกกลับเข้ามาประเด็นหลัก “ท่านรีบแก้ด้ายแดงที่ข้อเท้าจั่นเจาออกให้ข้าเสียแต่โดยเร็ว”

    “เพราะอะไรหรือ” เยวี่ยเหล่าซานไม่เข้าใจ “จั่นเจายังไม่มีด้ายแดง ส่วนด้ายแดงของสวี่ฉยงเซียงพี่รองของข้าเป็นคนผูกให้ เนื้อคู่เป็นเครือญาติเกี่ยวดองที่ต่ำศักดิ์กว่า คนหนึ่งแต่งกับเครือญาติที่ต่ำศักดิ์กว่า คนหนึ่งที่ข้อเท้ายังไม่มีด้ายแดง จับมาอยู่ด้วยกันไม่ใช่ดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ”

    “อะไร เพราะอะไร” ตวนมู่ชุ่ยไม่พอใจ “ไม่เพราะอะไร ท่านแก้ออกก็แล้วกัน”

    เยวี่ยเหล่าซานพลันไม่พูดไม่จา มองตวนมู่ชุ่ยคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ จับจ้องเป็นนานจนตวนมู่ชุ่ยขนลุกขนพองอยู่ในใจ

    “ข้าว่านะ!” เยวี่ยเหล่าซานตบหน้าขา “เป็นตัวเจ้าเองที่พึงพอใจเขากระมัง มิน่าเจ้าถึงได้กระตือรือร้นช่วยเขาเพียงนี้ ข้าเห็นเจ้าฌานตบะไม่เลว ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะถือกำเนิดจากเซียนบนแดนเซียน ข้าขอแนะนำเจ้า อย่าตัดอนาคตที่ดีงามของตนเพื่อมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเลย”

    ตวนมู่ชุ่ยฟังแล้วเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นในใจ ชายตาไปเห็นชามกระเบื้องลายครามปากบิ่นกำลังยันแขนเล็กๆ สองข้างชมเรื่องสนุกอย่างเพลิดเพลินอยู่บนชั้นวาง ก็คว้าชามกระเบื้องใบนั้นขว้างไปที่เยวี่ยเหล่าซานโดยไม่ทันคิด

    ได้ยินเสียงโอยสองเสียง เยวี่ยเหล่าซานนั้นร้องด้วยความตกใจ ส่วนชามกระเบื้องลายครามใบนั้นกลับกระแทกเข้ากับผนังเต็มแรง ยังดีที่ร่างกายจัดว่าแข็งแรง เพียงแต่มีรอยแตกบิ่นเพิ่มขึ้นมาอีกรอยหนึ่ง

    ชามกระเบื้องลายครามน้ำตาคลอหน่วย ตวนมู่ชุ่ยเห็นแล้วเกิดรู้สึกผิดบาปขึ้นมาจึงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วว่า “เจ้าออกไปก่อน มีเงื่อนไขชดเชยอะไรไว้เราค่อยคุยกัน”

    ได้ยินคำว่า ‘ชดเชย’สองคำ ชามกระเบื้องลายครามก็สองตาเปล่งประกาย เดินกะโผลกกะเผลกจากไปด้วยความชื่นมื่นเบิกบานใจ

    ตวนมู่ชุ่ยข่มความเดือดดาล แล้วหันไปมองเยวี่ยเหล่าซาน “ตกลงท่านจะแก้หรือไม่แก้”

    เห็นชัดว่าเยวี่ยเหล่าซานหวาดกลัวตวนมู่ชุ่ย แต่ก็ไม่ยอมศิโรราบแต่โดยดี “ใช่ว่าแก้ออกไม่ได้ แต่เพราะเหตุใดไม่ให้จั่นเจาตัดสินใจเอง ถ้าเขารู้ว่าตนเองไม่มีด้ายแดง ไม่แน่เขาอาจยินดีแต่งคุณหนูสกุลสวี่เป็นภรรยา มีย่อมดีกว่าไม่มีมิใช่หรือ”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มหยัน “ใครบอกจั่นเจาไม่มีด้ายแดง ถ้าจั่นเจาไม่มีด้ายแดง ข้าก็จะไปชิงด้ายแดงจากพี่ใหญ่ของท่านมา จั่นเจาพอใจหญิงสาวคนไหนข้าก็จะช่วยผูกด้ายแดงให้เขากับแม่นางผู้นั้น เขาชอบหนึ่งคนข้าก็ผูกหนึ่งคน ชอบสิบคนข้าก็ผูกสิบคน ท่านก็รอดูว่าข้าทำเช่นนั้นได้หรือไม่!”

    เยวี่ยเหล่าซานมองท้องเตาที่เมื่อครู่เผาตนเสียจนร้องโอดโอย แล้วเงยหน้าขึ้นมองตวนมู่ชุ่ย จากนั้นก็ตระหนักว่าตวนมู่ชุ่ยไม่ได้พูดล้อเล่นเป็นแน่

     

    “กลิ่นไหม้แรงมาก ตวนมู่ชุ่ย เจ้ากำลังเผาอะไรอีกหรือ” จั่นเจาเดินยิ้มๆ เข้ามา สายตาจับนิ่งไปที่ร่างเยวี่ยเหล่าซาน “เป็นท่าน”

    “เจ้ารู้จักเขา?” ตวนมู่ชุ่ยแปลกใจ

    “ก็ไม่นับว่ารู้จัก” จั่นเจายิ้ม “วันนั้นที่ตลาด เป็นเขาที่พุ่งเข้ามาบอกว่าดาวหงหลวนของข้าเคลื่อนที่”

    ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ตวนมู่ชุ่ยเดาได้ทันที เยวี่ยเหล่าซานคงอาศัยโอกาสนี้ผูกด้ายแดงให้จั่นเจา

    ส่วนพู่กระบี่ เยวี่ยเหล่าซานแม้จะไม่ใช่ผู้เลิศล้ำอะไร แต่จะปิดบังสายตาคนธรรมดาทำการสับเปลี่ยนสิ่งของก็ไม่ใช่เรื่องยาก

     

    ตวนมู่ชุ่ยข้อศอกทั้งสองค้ำอยู่บนโต๊ะ ดูท่าทางเหมือนกำลังเบื่อหน่าย แต่ความจริงแล้วจิตใจจดจ่อยิ่ง ไม่อยากพลาดคำพูดทุกประโยคที่ดังมาจากกลางลาน

    เดิมเข้าใจว่าแก้ด้ายแดงออกก็หมดเรื่องแล้ว คิดไม่ถึงว่าจั่นเจายังจะเรื่องมากเช่นนี้

    “ถ้าบอกว่าข้าจั่นเจายกเลิกการแต่งงาน เกรงจะทำให้ชื่อเสียงแม่นางสวี่ต้องเสียหาย ท่านผู้เฒ่าก็บอกให้บ้านสกุลสวี่ประกาศกับคนภายนอกว่านำ ‘แปดอักษร’*มาผูกดวงแล้ว ดวงชะตาของคนทั้งสองไม่เหมาะกัน…”

    “ได้ๆ” เยวี่ยเหล่าซานลูบเคราแพะโคลงศีรษะไปมา คล้ายเห็นตนเองเป็น ‘ท่านผู้เฒ่า’ไปแล้วจริงๆ

    “แม่นางตวนมู่เคยบอก การแต่งงานถูกกำหนดไว้ก่อน ด้ายแดงก็ผูกกันไว้แล้ว คงต้องรบกวนท่านผู้เฒ่าแก้ออก ข้าจั่นเจารู้สึกไม่สบายใจ”

    “ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจ” เยวี่ยเหล่าซานทำเป็นวางท่าวางทาง

    ตวนมู่ชุ่ยเบ้ปาก เพื่อจะปิดบังจั่นเจาจำต้องให้เยวี่ยเหล่าซานเล่นบทตัวงิ้วหน้าแดงแสดงเป็นคนดี**

    “ครั้งนี้ยังต้องผูกโยงด้ายแดงให้แม่นางสวี่อีกครั้ง ผู้แซ่จั่นหวังว่าท่านผู้เฒ่าจะช่วยหาคู่ครองที่ดีที่ต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกันแก่แม่นางสวี่…”

    “เรื่องนี้…” เยวี่ยเหล่าซานมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่ครั้นหางตาเหลือบไปเห็นสีหน้าเย็นยะเยียบของตวนมู่ชุ่ยจึงรีบรับปาก “ข้าจะพยายามสุดฝีมือก็แล้วกัน”

    ไม่นึกว่าจะมีเรื่องพูดร่ำไรมากเพียงนี้…ตวนมู่ชุ่ยมองค้อนปะหลับปะเหลือก พลันเหลือบไปเห็นชามกระเบื้องลายครามปากบิ่นใบนั้นกำลังปีนขึ้นมาบนโต๊ะหอบหายใจจนหน้าแดงไปหมด

    “เอ่อ” เห็นตวนมู่ชุ่ยกำลังจ้องตนอยู่ ชามกระเบื้องลายครามปาดเหงื่ออย่างใจฝ่อ “เมื่อกลางวันที่ท่านบอกจะชดเชย…”

     

    ฝนโปรยปรายลงมาบางๆ

    ใต้ร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง มีบุรุษท่าทางสุภาพอ่อนน้อมและมีหญิงงามที่อ่อนหวานแช่มช้อย

    หากบุรุษผู้นี้ไม่ใช่จั่นเจา หากหญิงงามผู้นี้ไม่ใช่ตวนมู่ชุ่ย คงจะเป็นภาพที่ดูอบอุ่นอ่อนหวานละมุนละไม แต่เสียดาย…

    “ฝนตกเช่นนี้ไยต้องออกมาซื้อชาม” จั่นเจาบ่นว่า “ในศาลไคเฟิงมีชามมากมาย ใช่ว่าไม่ให้เจ้าใช้…”

    ตวนมู่ชุ่ยมองค้อนจั่นเจา “มีชามที่ดาวหงหลวนเคลื่อน จะต้องมีชามสวยงามดุจบุปผาดุจหยกมาเคียงคู่ ข้าจะทำอย่างไรได้ ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยเจ้าแก้ด้ายแดงที่น่าโมโหนั่น ข้าก็คงไม่ขว้างชามกระเบื้องลายครามออกไป…พูดถึงแก่นแล้วก็เป็นเพราะเจ้า ลากเจ้าออกมาซื้อชามเป็นเพื่อนข้าก็ยังไม่เต็มใจถึงเพียงนี้…” นางยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ยกชายแขนเสื้อที่เปียกไปครึ่งหนึ่งขึ้นมา “เจ้าอาศัยงานส่วนรวมมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัว เจตนาทำให้ข้าเปียกใช่หรือไม่”

    จั่นเจาไม่ตอบ เพียงเอียงตัวให้ตวนมู่ชุ่ยเห็นหัวไหล่ที่เปียกไปกว่าครึ่งของตน

    ความจริงดีกว่าการโต้แย้ง ตวนมู่ชุ่ยเห็นแล้วก็ครุ่นคิด “เช่นนี้เองหรือ…”

    นางพลันยื่นมือไปดึงด้ามร่ม ให้ร่มทั้งคันคลุมอยู่เหนือศีรษะตน “บังให้ข้าคนเดียวก็แล้วกัน เจ้าผิวหยาบหนังหนา เปียกฝนหน่อยไม่เป็นไร”

    ช่าง…ข่มเหงกันเกินไปแล้ว…

    ขณะจั่นเจาคิดจะดึงร่มมาทางตนเองทั้งหมดก็ได้ยินเสียงตวนมู่ชุ่ยพูดอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “ในโลกนี้หญิงสาวที่หลงงมงาย หาได้มีสวี่ฉยงเซียงคนเดียว ถ้ามีคนวิงวอนเยวี่ยเหลาผู้นั้นด้วยความนอบน้อมจริงใจอีก…”

    นางพูดพลางแสร้งทำเป็นมองข้อเท้าจั่นเจา

    จั่นเจาใจกระตุกวาบขึ้นมา

    เคยมีคำพูดว่าเรื่องเล็กไม่อดทนจะทำให้เรื่องใหญ่ต้องเสียหาย ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เงียบไว้เป็นดี

     

    2 of 2หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook