• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 1 ตอนที่ 4

    หน้าที่แล้ว1 of 2

    บทที่ 6

     ศาลไคเฟิงมีคนสกุลจ้าวอยู่สองคน

    คนหนึ่งเป็นเซี่ยวเว่ย คนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ศาล

    เซี่ยวเว่ยคงไม่ต้องแนะนำอะไรมากแล้ว คนผู้นั้นก็คือจ้าวหู่

    ส่วนเจ้าหน้าที่ศาลผู้นั้นมีชื่อเดิมว่าจ้าวต้า ก่อนเปาเจิ่งจะมารับตำแหน่งที่ศาลไคเฟิง จ้าวต้าก็เป็นเจ้าหน้าที่ศาลอยู่ในศาลแห่งนี้แล้ว แม้อายุจะยังไม่มาก แต่ก็เหมือนเป็นคนเก่าแก่ของศาลไคเฟิง

    เพราะอะไรจึงบอกว่า ‘ชื่อเดิม’ในนี้ยังมีมูลเหตุของเรื่องอยู่

    ตอนนั้นเซี่ยวเว่ยทั้งสี่ล้วนเป็นจอมโจรแห่งขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่มีสง่าน่าเกรงขามไปทั่วแปดทิศ เพื่อจะติดตามใต้เท้าเปา จึงให้พี่น้องในค่ายโจรแยกย้ายกันไป ม้วนผ้าห่มเก็บที่หลับที่นอนมาอยู่เมืองไคเฟิง พวกเขาเคยชินต่อการออกปล้นสะดมชาวบ้านตามป่าเขาทุ่งหญ้า จู่ๆ ให้เปลี่ยนจุดยืนมาปฏิบัติตามกฎระเบียบแบบแผน จับโจรจับขโมยทั้งจัดการพวกปล้นสะดม ย่อมต้องมีช่วงเวลาให้พวกเขาได้ปรับตัวใช่หรือไม่

    จะปรับความรู้สึกที่แปลกแยกในจิตใจได้อย่างไร แต่ละคนต่างมีวิธีของตน อย่างเช่นจางหลงได้อาศัยช่วงเวลาเหล่านั้นเรียนรู้วิธีเดินหมากจนเก่ง หรืออย่างเช่นหวังเฉาก็กระโจนลงสู่ห้วงแห่งความรักลึกซึ้งอย่างเงียบๆ แม้ฉากจบในท้ายที่สุดจะต้องจากไปไกลพันลี้ แต่หวังเฉามองโลกในแง่ดีรู้จักปล่อยวาง แสดงท่าทีไม่สนใจว่าจะต้องอยู่ด้วยกันชั่วฟ้าดินสลาย เพียงใส่ใจว่าเคยมีกันและกันก็พอ

    ส่วนจ้าวหู่ วิธีผ่อนคลายความหงอยเหงาวังเวงใจของเขาแตกต่างจากที่เอ่ยมาข้างต้น เขาลุ่มหลงการ ‘ผูกญาติ’*

    ความจริงเจตนารมณ์ของจ้าวหู่ก็พอเข้าใจได้ เพิ่งมาถึงเมืองหลวงที่ประทับของโอรสสวรรค์ ผู้คนแปลกหน้าสถานที่ไม่คุ้นเคย ทุกคนต่างปรารถนาจะได้รับความรักความเอาใจใส่จากญาติมิตรหรือมิใช่ มีญาติมิตรก็พึ่งพาอาศัยญาติมิตร ไม่มีญาติมิตรก็สร้างญาติมิตรขึ้นมา

    คิดไม่ถึงว่าคนสกุลจ้าวในศาลไคเฟิงจะขาดแคลนเพียงนี้ ถามทั่วทั้งระดับบนระดับล่าง เพียงหาพบจ้าวต้าคนเดียว

    ความจริงทั้งหมดนี้เป็นเพราะจ้าวหู่วางขอบเขตเป้าหมายผิด คนสกุลจ้าวในศาลไคเฟิงอาจมีไม่มาก แต่คนสกุลจ้าวในเมืองไคเฟิงแค่ช้อนลงไปก็ได้ขึ้นมาเต็มถุงตาข่ายแล้ว ถ้าจ้าวหู่ขวัญกล้าขึ้นมาอีกหน่อย แฝงตัวเข้าไปหาญาติในวังหลวง…

    หลุดจากประเด็นไปแล้ว กลับมาเข้าประเด็นกัน

    กล่าวกันว่าเมื่อจ้าวหู่ไปหาจ้าวต้าและบอกเจตนาของตนออกมา จ้าวต้าก็ดีใจมาก จะอย่างไรจ้าวหู่ก็เป็นเซี่ยวเว่ยคนหนึ่ง เป็นบุคคลที่พูดจาต่อหน้าใต้เท้าได้ อีกประการหนึ่งจ้าวหู่ผู้นี้เป็นคนซื่อ จริงใจ เปิดเผยตรงไปตรงมา จ้าวต้าจึงยินดีจะผูกสัมพันธ์กับเขา

    มาพูดถึงอายุ จ้าวหู่อายุมากกว่าจ้าวต้าหลายปี จ้าวต้าต้องเรียกจ้าวหู่ว่า ‘พี่ใหญ่’

    เมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวต้าจึงรู้สึกว่าชื่อของตนออกจะขัดหูไปสักหน่อย เห็นอยู่ว่าไม่ได้อายุมากกว่า จะเรียก ‘ต้า’ ไม่ได้*ต้องเปลี่ยนชื่อ

    จ้าวหู่รู้สึกไม่สบายใจ เป็นพี่น้องกันจะเห็นเป็นคนอื่นคนไกลเช่นนี้ไปไย เรียกจ้าวต้าก็ดีแล้ว

    เถียงกันไปเถียงกันมาก็หาข้อสรุปไม่ได้ วันนั้นหม่าฮั่นอยู่ข้างๆ พอดี จึงออกความเห็น ‘คำว่า ‘ต้า’ก็ไม่ต้องเอาออก เติมอักษรลงไปอีกตัว พี่ใหญ่เจ้าเป็นเสือ เจ้าก็เป็นแมวใหญ่ก็แล้วกัน จ้าวต้ามาว**’

    จ้าวหู่ได้ยินแล้วหน้าบึ้งขึ้นมาทันที มีใครเขาจัดลำดับคนแบบนี้กัน ใครบ้างเอาแมวมาเป็นชื่อของตน…

    ความจริงหม่าฮั่นก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย คิดไม่ถึงว่าจะไปจุดเพลิงโทสะของจ้าวหู่เข้า สถานการณ์ตอนนั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที จ้าวต้าผู้นี้เป็นคนจิตใจใสซื่อ พอเห็นหม่าฮั่นไม่มีทางออกก็รีบเข้าไกล่เกลี่ย

    ‘จ้าวต้ามาวชื่อนี้ดีมาก แมวมีลักษณะของเสือ พี่ใหญ่เป็นเสือ ข้าก็เป็นเสือน้อย เสือน้อยก็คือแมว ชื่อนี้ดี ต่อไปข้าก็ชื่อจ้าวต้ามาวแล้ว ใครก็ไม่ต้องทักท้วงข้า คนไหนทักท้วงข้าก็จะโกรธคนนั้น’

    เห็นจ้าวต้าพูดเช่นนี้ จ้าวหู่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากแล้ว

    จ้าวต้ามาวชื่อนี้เรียกได้ไม่ถึงสองวันก็เกิดเรื่องขึ้นมาอีก

    เนื่องเพราะครั้งหนึ่งจั่นเจาเคยแสดงวรยุทธ์ที่หอเย่าอู่ (สำแดงยุทธ์) ฝ่าบาทจึงพระราชทานสมญานามให้ว่า ‘แมวหลวง’

    ศาลไคเฟิงทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่เต็มไปด้วยความชื่นมื่น มีเพียงจ้าวต้ามาวที่กลัดกลุ้มจนนอนไม่ค่อยหลับติดกันหลายวัน

    องครักษ์จั่นได้สมญาว่าแมว เขายังจะชื่อ ‘แมว’ได้หรือ ทั้งยังเป็น ‘แมวใหญ่’อีกด้วย เห็นชัดว่ากดข่มจั่นเจา ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนชื่อ…

    เปลี่ยนเป็นอะไรดี ย่อมไม่อาจเปลี่ยนไปเรียกเป็นมุสิกกระมัง…

    ขณะกำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเดินบนอิฐรื้อกระเบื้องดังโครมครามมาจากข้างนอก ออกไปสอบถามถึงได้รู้ว่าจอมยุทธ์ฉายา ‘หนูขนทอง’ บุกเข้ามาหาเรื่องเพราะสมญานามแมวหลวงของจั่นเจา

    ดูเหมือนชื่อมุสิกก็ไม่ปลอดภัย ใบหน้าที่ตื่นตระหนกของจ้าวต้ามาวเริ่มขาวซีดแล้ว

    ต่อมาจึงไปขอคำชี้แนะจากท่านกงซุน จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘จ้าวเสี่ยวต้า’*

    ดีที่ ‘คดีเสี่ยวไป๋ไช่’**เกิดในสมัยปลายราชวงศ์ชิงไม่ใช่ต้นราชวงศ์ซ่ง หาไม่ถ้าจ้าวเสี่ยวต้ารู้ว่าตนชื่อซ้ำกับผู้ตายในคดีฆาตกรรมเลื่องชื่อก็คงต้องกลัดกลุ้มแล้ว

     

    กล่าวถึงจ้าวเสี่ยวต้า ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง วันนั้นจ้าวหู่ไปสืบคดีกลับมา ตอนเดินผ่านห้องข้างประตูก็เห็นจ้าวเสี่ยวต้าหลบอยู่มุมหนึ่งในห้องข้างประตู ท่าทางแปลกพิกลยิ่ง พอเพ่งตามองก็เห็นจ้าวเสี่ยวต้ามือข้างหนึ่งสอดเข้าไปในคอเสื้อด้านหลัง เกาซ้ายเกาขวา หน้าตาแดงไปหมด

    “เกาที่คันอยู่หรือ” จ้าวหู่มองออกแล้ว

    “อืม” จ้าวเสี่ยวต้าไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “พอดีอยู่ตรงกลางหลัง สอดมือจากด้านบนก็ไม่ถึง สอดมือจากด้านล่างก็ไม่ถึง คันมากทนไม่ไหวเลย”

    “ให้ข้าดูหน่อย” ในฐานะพี่ชาย จ้าวหู่ถือว่านี่เป็นภารกิจที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

    เลิกเสื้อขึ้นมาดูก็เห็นตุ่มแดงตุ่มหนึ่ง ดูก็รู้ว่าถูกยุงกัด

    “ในห้องอับชื้นมากไปกระมัง ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นแล้ว ยังจะมียุงอีก” จ้าวหู่นึกสงสัย

    “ไม่ใช่เพิ่งถูกยุงกัด” จ้าวเสี่ยวต้าอธิบาย “กัดมาได้พักหนึ่งแล้ว”

    “เช่นนั้นไว้ข้าจะไปขอยาจากท่านกงซุนมาให้เจ้า” จ้าวหู่ปล่อยเสื้อที่เลิกขึ้นลงมา “อย่าเอาแต่เกา ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน” ก่อนเดินจากไปก็ถามอีกคำ “ถูกกัดตั้งแต่เมื่อไร”

    คำตอบของจ้าวเสี่ยวต้าเกือบทำให้จ้าวหู่เป็นลม “สิบห้าสิบหกปีแล้วกระมัง”

     

    “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ” จั่นเจามองจ้าวหู่ “จ้าวเสี่ยวต้าถูกยุงกัด เกี่ยวอะไรกับตวนมู่ชุ่ย”

    “เกี่ยวกันมากทีเดียว” เห็นจั่นเจาไม่เข้าใจจ้าวหู่ก็ร้อนใจ “พี่ใหญ่จั่น ท่านไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกพิกลหรือ ยุงชนิดไหนกันกัดแล้วตุ่มอยู่มาสิบห้าสิบหกปียังไม่หาย”

    จั่นเจาไม่ได้แสดงการเห็นด้วยหรือคัดค้าน

    “พี่ใหญ่จั่น ท่านไม่รู้สึกว่านี่ผิดปกติหรือ” จ้าวหู่พยายามเกลี้ยกล่อมจั่นเจามากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง “มีเรื่องประหลาด เราก็ควรบอกพี่ตวนมู่ของข้ามิใช่หรือ พี่ตวนมู่ไม่ใช่เคยพูดไว้ หน้าที่หลักของสำนักซี่ฮวาหลิวคือจัดการปีศาจและมารร้ายในแดนมนุษย์”

    ในที่สุดจั่นเจาก็เปิดปาก “ถ้าตุ่มที่อยู่บนตัวจ้าวเสี่ยวต้าเกิดจากผีกัด เจ้าจะไปหาตวนมู่ชุ่ยข้าไม่ว่าอะไร แต่นี่ถูกยุงกัด…” พูดแล้วก็ถอนหายใจ ตบๆ บ่าจ้าวหู่ “วันนี้ถูกยุงกัดไปหานาง อีกวันถูกแมงมุมกัด ตัวต่อต่อยก็ต้องไปหานางใช่หรือไม่ ตวนมู่ชุ่ยมีงานต้องทำ เจ้าอย่าเอาเรื่องเหล่านี้ไปเพิ่มความวุ่นวายให้นาง”

    คำพูดของจั่นเจาชัดเจนเช่นนี้ จ้าวหู่ยังจะพูดอะไรได้อีก

    เห็นจ้าวหู่ดูเงื่องหงอยซึมเซา หวังเฉาหม่าฮั่นก็ออกความคิดเห็น

    “เจ้าอย่าฟังพี่ใหญ่จั่นพูด เช่นนี้สูญเสียกำลังใจเปล่า พี่ใหญ่จั่นก็คือพี่ใหญ่จั่น พี่ตวนมู่ก็คือพี่ตวนมู่ พี่ใหญ่จั่นไม่เห็นด้วย ไม่ได้หมายความว่าพี่ตวนมู่ของเราไม่เห็นด้วย ใช่หรือไม่”

    หวังเฉาพอเปิดปากก็ผลักจั่นเจาที่เคยทำงานร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายครั้งหลายหนไปเป็นพวก‘เขา’และดึงตวนมู่ชุ่ยมาเป็นพวก ‘เรา’

    “นั่นสิ ผ่านมานานเพียงนี้แล้ว พวกเจ้ายังไม่รู้นิสัยพี่ตวนมู่ของข้าอีกหรือ” หม่าฮั่นร่วมแบ่งปันข้อคิดเห็นของตนกับคนทั้งสอง “พวกเจ้าไม่เคยสังเกตหรือ อะไรที่พี่ใหญ่จั่นชอบ ต่อให้พี่ตวนมู่ชอบก็จะบอกไปก่อนว่าไม่ชอบ ในทางตรงข้าม ถ้าเป็นสิ่งที่พี่ใหญ่จั่นไม่ชอบไม่เห็นด้วย…”

    คำพูดที่พูดออกมาจ้าวหู่ฟังแล้วสองตาเป็นประกาย

    “แต่…” จ้าวหู่ยังคงมีท่าทีลังเล “พี่ใหญ่จั่นบอกว่าพี่ตวนมู่ยุ่งมาก…”

    “พี่ตวนมู่เป็นเจ้าสำนักซี่ฮวาหลิว มีงานอะไรย่อมมอบหมายให้คนในสำนักไปทำ จะยุ่งไปถึงไหนได้” หม่าฮั่นแยกแยะได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน “พวกเจ้าก็เห็นแล้ว หลายวันมานี้พี่ตวนมู่ของข้าถ้าไม่ใช่หมุนกระทะของอี้หยากลับไปกลับมาก็ขยับตะหลิวของอู๋ไท่กง มีงานยุ่งจริงที่ไหนกัน”

    “เจ้าแน่มาก” หวังเฉากับจ้าวหู่มองหม่าฮั่นด้วยความทึ่งในการช่างสังเกตของเขา

    หน้าที่แล้ว1 of 2

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook