• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 3 ตอนที่ 2

    หน้าที่แล้ว1 of 4

    บทที่ 21

     วันนี้ไม่มีคำพูดอื่นใดอีก

    อาหมีได้รับอนุญาตโดยนัยจากตวนมู่ชุ่ยให้เชิญจั่นเจาพำนักอยู่ในค่ายตวนมู่ชั่วคราว นางจัดกระโจมเล็กๆ หลังหนึ่ง เก็บกวาดสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบงดงามให้เขา เห็นชัดว่าอาหมีสิ้นเปลืองความคิดและเรี่ยวแรงไม่น้อย

    กระโจมที่พักของอาหมีอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ตอนมื้อค่ำจั่นเจาไปเยี่ยมฉีมู่อีหลัว หลังจากนางร้องไห้แล้ว ยังคงมีท่าทางเหม่อลอย เพียงแต่พอเห็นจั่นเจา ในดวงตาก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย

    สาวใช้กำลังป้อนโจ๊กให้นาง ส่วนอาหมีนั่งเอนพิงปักผ้าอยู่บนเตียง คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นน้อยๆ มือขวาจับเข็มที่ทำมาจากกระดูก ปลายนิ้วมือข้างซ้ายลูบไล้รอยปักบนผ้าเบาๆ ครั้นหางตาเหลือบมาเห็นจั่นเจาเดินเข้ามา ทั้งหัวคิ้วหางตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่จั่น”

    จั่นเจายิ้มบาง ก้มลงมองลายปักของอาหมี แม้การปักลวดลายลงบนผ้าจะมีมาแต่สมัยจักรพรรดิซุ่น*แห่งราชวงศ์อวี๋ แต่มาถึงยุคราชวงศ์ซาง ราชวงศ์โจว ด้านศิลปะฝีมือก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก วิธีการปักของอาหมีไม่มีอะไรสลับซับซ้อน รูปแบบเรียบง่ายชวนมอง ฝีเข็มละเอียดประณีต

    จั่นเจาพลันนึกถึงคำพูดของตวนมู่ชุ่ยเมื่อกลางวันแล้วเกิดความคิดขึ้นจึงเอ่ยถาม “แม่นางอาหมี ปกติวันๆ เจ้ายุ่งเรื่องอะไรหรือ”

    อาหมีไม่ได้สงสัยอะไร คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วว่า “ย่อมเป็นเรื่องดูแลชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของท่านแม่ทัพ มีเวลาว่างก็ฝึกเพลงดาบ ฝึกวรยุทธ์ ดูการฝึกทหารอะไรไป”

    เวลาว่าง?

    จั่นเจาทอดถอนใจ อาหมีรองแม่ทัพผู้นี้ภารกิจเบายิ่งนัก มิน่านางถึงกล้าพาตัวคนมาจากค่ายเกาป๋อเจี่ยน นางหาใช่ไม่กลัว แต่ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัวต่างหาก

    ชั่วขณะนั้นต่างคนต่างไร้คำพูด ผ่านไปครู่หนึ่งสายตาของคนทั้งสองก็แทบจะจับนิ่งไปที่ร่างฉีมู่อีหลัวพร้อมกัน อาหมีกล่าวอย่างกังวล “พี่ใหญ่จั่น เมื่อตอนกลางวันท่านพูดอะไรกับท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพได้เอ่ยถึงเรื่องจะส่งตัวแม่นางฉีมู่ไปหรือไม่”

    ว่ากันตามเหตุผลนางกับฉีมู่อีหลัวก็หาได้มีมิตรภาพต่อกัน แต่ที่รู้สึกสนิทสนมด้วยก็เพราะเมื่อรักเรือนย่อมรักอีกาบนหลังคาเรือน**ด้วย ในเมื่อจั่นเจาเป็นห่วงฉีมู่อีหลัว นางจึงพลอยห่วงใยใส่ใจไปด้วย แม้จะฝืนกลืนน้ำส้ม**อยู่บ้าง แต่ก็โยนความรู้สึกลึกๆ ในใจทิ้งไปก่อน

    จั่นเจาส่ายศีรษะ “ท่านแม่ทัพไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ในเมื่อต้องให้คำตอบแก่เกาป๋อเจี่ยน คิดว่าในใจก็คงมีความคิดอยู่แล้ว”

    แต่เป็นความคิดเช่นไรนั้นจั่นเจากลับไม่รู้เลย ตวนมู่ชุ่ยจะมอบตัวฉีมู่อีหลัวไปหรือไม่ คิดถึงตรงนี้สีหน้าก็อดขรึมลงไม่ได้

    อาหมีกัดเม้มริมฝีปาก คิดอยู่เป็นนานจึงตัดสินใจเด็ดขาด “พี่ใหญ่จั่น ท่านไม่ต้องร้อนใจ ตอนค่ำข้าค่อยพูดกับคุณหนู ลองเกลี้ยกล่อมนางดู”

    จั่นเจาในใจพลันงงงัน อดไม่ได้ที่จะมองอาหมีอย่างจริงจัง

    เมื่อกลางวันนางเพิ่งถูกตวนมู่ชุ่ยตำหนิอย่างรุนแรง ลืมไปแล้วหรือ ถึงกับยังบอกจะไป ‘พูด’เพียงเพื่อจะให้เขา ‘ไม่ต้องร้อนใจ’

    นางไยต้องทำเช่นนี้

    ความในใจของอาหมี จั่นเจาก็พอสังเกตออก เขาพิจารณาไตร่ตรองแล้วยากจะยอมรับได้ แต่ก็ยังซาบซึ้งใจ

    “แม่นางอาหมี” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลลง “อย่าไปพูดเลย ขืนไปทำให้ท่านแม่ทัพโกรธอีกก็ไม่เป็นผลดีต่อเจ้า”

    อาหมีก้มหน้าลงเงียบๆ มีเพียงตัวนางเองที่รู้ว่าในใจของตนกำลังมีบุปผาบอบบางละเอียดอ่อนดอกหนึ่งกำลังผลิบาน

    จั่นเจากำลังเป็นห่วงนาง ต่อให้ต้องถูกตวนมู่ชุ่ยด่าเพราะเหตุนี้อีกคำสองคำก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

    ไม่มีใครสังเกตเห็น ในดวงตาที่ซึมเซาของฉีมู่อีหลัวพลันมีประกายอำมหิตพาดผ่านจางๆ

     

    อาหมีแม้จะคิดไว้แล้วว่าจะไปพูดกับตวนมู่ชุ่ย แต่เรื่องก็ไม่เป็นไปดังใจคนปรารถนา คืนนั้นตวนมู่ชุ่ยนอนแต่หัวค่ำ นางยืนอยู่นอกกระโจมพักใหญ่ สุดท้ายก็จำต้องเดินกลับไป

    ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยมาพูดก็ไม่สาย

    ตอนกลับมาถึงกระโจม ฉีมู่อีหลัวเข้านอนไปแล้ว อาหมีนึกถึงเรื่องที่นางประสบพบเจอมาก็รู้สึกรันทดใจยิ่ง เอาเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกคลุมไว้บนร่างของนางแล้วจึงลงนอน

    พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านมากว่าครึ่งคืน ในกระโจมมีแต่ความเงียบไร้สุ้มเสียง ฉีมู่อีหลัวพลันพลิกตัวขึ้นมานั่ง

    ท่ามกลางความมืด ดวงตาของนางสาดประกายวาวจนน่าตกใจ

    นางลุกขึ้นมาอย่างระมัดระวังการเคลื่อนไหว กลั้นหายใจเดินมาถึงข้างม่านกระโจม ค่อยๆ แกะปมเงื่อนที่มัดม่านติดกับกระโจมทั้งบนและล่างออก แล้วแหวกม่านออกเป็นช่องเล็กๆ

    ลมหนาวพุ่งเข้ามาตามรอยแยก นางอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ขยับร่างถอยหนีแม้แต่น้อย

    นางหรี่นัยน์ตาลง มองจ้องกระโจมหลังใหญ่ที่สุดที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลตาเขม็ง…กระโจมหลัก

    ที่หน้าประตูกระโจม มีทหารรักษาการณ์ถือง้าวสองนายยืนนิ่งราวกับรูปปั้น ไม่นานก็มีกองทหารลาดตระเวนถือง้าวเดินผ่านมา

    คบเพลิงที่ทำจากหญ้าเฮาเฉ่า คำพูดก่อนตายของฉีมู่เตี่ยนยังดังอยู่ข้างหู

    ‘หาทางลอบเร้นกลับไปที่เรือนหลังใหญ่ในบ้าน…แล้วทำเช่นนี้…’

     

    ค่ำคืนนี้ตวนมู่ชุ่ยนอนหลับไม่สนิทนัก ตั้งแต่หลับตาลง นางก็พบว่าตนเดินอยู่บนทางเดินที่ลงไปสู่ด้านล่างสายหนึ่ง บันไดเป็นขั้นๆ ชั้นแล้วชั้นเล่า ตรงทางเข้าเดิมมีรัศมีหลายจั้ง พอเดินถึงล่างสุดเงยหน้าขึ้นมองกลับเหลือเพียงขนาดปากชามเท่านั้น มีแสงจากท้องฟ้าที่เสียดแทงนัยน์ตาส่องเข้ามา นางอดยกมือขึ้นบังไม่ได้

    ใต้ฝ่าเท้าเป็นบ่อเลนบ่อหนึ่ง โคลนเลนเดือดพลุ่งพล่าน ฟองผุดพรายปุดๆ ตรงกลางบ่อมีคนยืนอยู่สองคน หนึ่งในนั้นมีโคลนเหนียวเกาะติดทั่วร่าง ตรงศีรษะมีเพียงช่องลึกสามช่องหนึ่งปากสองตา ส่วนอีกคนหนึ่ง…

    ตวนมู่ชุ่ยมองนางอย่างตะลึงงัน นางตื่นขึ้นมาแล้ว

    นางสวมชุดสีเขียวมรกต คลุมผ้าโปร่งบางสีเขียว มือข้างหนึ่งจับปลายผม กำลังเอียงคอมองนางอยู่ ในดวงตามีรอยยิ้มปรากฏ พลันหันไปกล่าวยิ้มๆ กับคนที่อยู่ด้านข้าง “ไม่ผิด ข้าในตอนนั้นเป็นเช่นนี้”

    คนผู้นั้นท่าทางเคารพนบนอบ ไม่มีท่าทียโสโอหังเช่นก่อนหน้านี้ให้เห็นแม้แต่น้อย “ท่านเซียนเทพกล่าวได้ถูกต้อง”

    ตวนมู่ชุ่ยรู้สึกโฉดเขลา เซียนเทพอะไร ตอนนั้นเป็นเช่นนี้อะไร นางออกจะหงุดหงิดโมโหจึงตวาดถามเสียงดัง “พวกเจ้าเป็นใครกัน”

    ประหลาดยิ่งนัก พวกเขาคล้ายไม่ได้ยินนางพูด เอาแต่ถามตอบกันเอง บางครั้งก็หันมามองนางแวบหนึ่ง

    “ที่นี่คือเมืองนรกจริงหรือ”

    “ใช่”

    “เมืองนรกเป็นเช่นนี้หรือ” สตรีที่ถูกเรียกว่า ‘เซียนเทพ’ผู้นั้นย่นหัวคิ้ว “ข้าเคยส่งตัวหลีจีลงนรก เข้าทางเมืองเฟิงตู*ข้ามผ่านบาดาลเหลือง**ดูเหมือนไม่ได้เป็นเช่นนี้ อีกทั้ง…” หัวคิ้วของนางขมวดมุ่น คิดไปคิดมาก็เสริมขึ้นอีกประโยค “ข้ามีชื่ออยู่ในลำดับเซียน ตายแล้วก็ต้องลงนรกหรือ”

    “เซียนเทพสูญเสียอิทธิปาฏิหาริย์ ไม่ต่างจากคนธรรมดา ในเมื่อเป็นคนธรรมดา ตายแล้วย่อมต้องลงนรก”

    “แล้วศีรษะวัวหน้าม้าอยู่ที่ใด จะเล็กใหญ่ข้าก็เป็นเทพเซียน เหตุใดไม่เห็นท่านพญายมมาต้อนรับ” นางกวาดตามองไปรอบๆ คล้ายเรื่องความตายไม่มีอะไรต้องถือสา

    “เซียนเทพฐานะแตกต่างจากผู้อื่น รออยู่ที่นี่ก่อน เมื่อจัดการเรื่องอื่นเสร็จแล้ว ท่านพญายมย่อมมาต้อนรับด้วยตนเอง”

    “รออยู่ที่นี่ทำอะไร” นางย่นหัวคิ้ว ยกชายกระโปรงที่เปื้อนโคลนสกปรก “นรกภูมิสิบแปดชั้น เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินว่ามีชั้นที่เป็นเช่นนี้ ถึงท่านพญายมจะมีธุระมาไม่ได้ ก็น่าจะรับรองข้าให้ดีมีน้ำชาให้ดื่ม เอามาทิ้งไว้ที่นี่นับเป็นอะไร…ยังมีนี่อีก” นางชี้มาที่ตวนมู่ชุ่ย “เพราะเหตุใดข้าจึงมองเห็นนาง”

    “ทุกอย่างตอนยังมีชีวิต ผ่านไปดุจเมฆหมอก ท่านเซียนเทพจะได้เห็นทั้งหมด”

    นางตะลึงงัน ไม่พูดอะไรอีก เพียงมองตวนมู่ชุ่ยอย่างพินิจพิจารณา คล้ายกำลังหวนนึกถึงเรื่องเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว “เสื้อผ้าที่นางสวมอยู่ข้าจำได้ เป็นช่วงก่อนหน้าจะบุกโจมตีเมืองฉงเฉิง อาหมีเป็นคนตัดเย็บให้ข้า”

    ไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนเอ่ยถึงอาหมี ในดวงตาของนางค่อยๆ มีแววเศร้ารันทดเอ่อท้นออกมา “หลังจากข้าตาย อาหมีเอาศีรษะพุ่งชนโลงศพตายตาม นั่นก็เป็นเรื่องเนิ่นนานมาแล้ว”

    คนผู้นั้นยังคงพินอบพิเทา “เซียนเทพโปรดระงับความโศกเศร้า”

    นางไม่ตอบ และจู่ๆ ก็ทอดถอนใจ “ข้าถึงกับตายมาแล้วสองหน ครั้งก่อนตายไปได้ไม่นาน หยางเจี่ยนก็มารับข้า บอกซั่งฟู่มอบตำแหน่งเซียนให้ข้า ครั้งนี้…กระทั่งข้าตายแล้วหยางเจี่ยนก็ยังไม่รู้”

    “เซียนเทพ…โปรดระงับความโศกเศร้า”

    “เรื่องที่เซวียนผิงเป็นอย่างไรบ้าง”

    “อาศัยกำลังของท่านเซียนเทพ ทางนรกปิด โรคระบาดคลี่คลาย ประชาชนในอำเภอเซวียนผิงกลับคืนสู่ความผาสุกอีกครั้ง ความมุ่งมาดปรารถนาของท่านเซียนเทพบรรลุแล้ว ไม่สู้…งีบหลับสักครู่” คนผู้นั้นพูดเสียงราบเรียบ เพียงแต่ตอนเอ่ยคำว่า ‘งีบหลับ’ได้หยุดชะงักไปชั่วขณะ

    นางไม่พูดอะไร แพขนตาหลุบต่ำ หนวดงวงบนร่างคนผู้นั้นค่อยๆ ยกขึ้น แตะลงไปที่หัวไหล่ของนางคล้ายจะปลอบขวัญและก็คล้ายวางพิษร้าย “เซียนเทพสละชีวิตเพื่อความเป็นธรรม มนุษย์และเทพต่างแซ่ซ้อง ไยไม่ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า งีบหลับสักครู่ นอนหลับให้สบายบนเตียง”

    นางไม่ส่งเสียง ผ่านไปพักใหญ่จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา เสียงไม่ดัง แต่ทุกถ้อยคำชัดเจน “แล้วจั่นเจาเล่า เขา…เป็นอย่างไรบ้าง”

    จั่นเจา?

    ตวนมู่ชุ่ยตื่นตะลึง ยกเท้าขึ้นด้วยสัญชาตญาณ แต่กลับเหยียบลงบนความว่างเปล่า

    นางลืมตาขึ้นมาทันที ในกระโจมมีแต่ความมืดและเงียบงัน ทว่าภาพเมื่อครู่นั้นช่างชัดเจนราวกับอยู่ตรงหน้า

    ตวนมู่ชุ่ยนอนตัวแข็งค้างอยู่พักใหญ่ ก่อนพลันเลิกผ้าห่มลงจากเตียง ถึงกับลืมไปว่าที่ขามีบาดแผล ร่างล้มลงกับพื้นอย่างแรง

    ทหารรักษาการณ์ที่นอกกระโจมได้ยินเสียงจึงโกลาหลกันอยู่พักหนึ่ง จนมีคนคิดจะเข้ามา “ท่านแม่ทัพ…”

    มีเสียงเร่งรัดของตวนมู่ชุ่ยดังออกมาจากในกระโจม “ไปเรียกจั่นเจามา เร็ว!”

    จั่นเจาถูกเสียงอึกทึกเร่งเร้าทำให้ตกใจตื่น ได้ยินว่าตวนมู่ชุ่ยตามตัวเขาอย่างเร่งด่วน ไม่ทันได้สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพียงเอาเสื้อตัวนอกคลุมทับแล้วก็เดินออกจากกระโจมไป เข้ามาในกระโจมหลักถึงได้พบว่าไม่ได้จุดโคมจุดเทียน ในใจเกิดความลังเลเล็กน้อย หยิบกลักจุดไฟจากในอกเสื้อขึ้นมาจุด มองไปก็เห็นตวนมู่ชุ่ยฟุบอยู่ที่ข้างเตียง

    เขาตกใจมิใช่น้อย ดับกลักจุดไฟแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปพยุงนางขึ้นมา แขนโอบรอบเอวบางนุ่มนิ่มของนาง ตวนมู่ชุ่ยพลันเรียกเขาเสียงต่ำ “จั่นเจา”

    จั่นเจาหยุดการเคลื่อนไหว ตวนมู่ชุ่ยเขม้นตามองจ้องเขา กัดริมฝีปากเบาๆ ใบหน้ากลับไม่เผยร่องรอยใดๆ

    นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยขยับไปที่ข้างหูเขา เอ่ยเสียงกระซิบ “ข้าจำเซวียนผิงได้แล้ว”

    ท่ามกลางความมืดร่างของจั่นเจาแข็งค้างไปทันที

    จังหวะการพูดของตวนมู่ชุ่ยเชื่องช้า ลมหายใจอบอุ่นแผ่วเบาระผ่านข้างหูจั่นเจา “ข้ายังจำทางนรก โรคระบาด ยังมีเซียนเทพ…”

    ตวนมู่ชุ่ยไม่อาจพูดต่อไปได้อีก เพราะจั่นเจาพลันรั้งตัวนางเข้ามาในอ้อมแขน ร่างของเขาสั่นสะท้านรุนแรง สองแขนกักตัวนางไว้ในอ้อมอกราวกับห่วงเหล็ก นี่ไม่ใช่อ้อมกอดที่ทำให้คนรู้สึกสบายอย่างแน่นอน ระหว่างคนทั้งสองแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างกัน ตวนมู่ชุ่ยแทบจะหายใจไม่ได้ นางพยายามจะผลักเขาออก “จั่นเจา…”

    มีของเหลวอุ่นร้อนเม็ดโตหยดลงมาถูกลำคอแล้วไหลลงไปช้าๆ ภายใต้ความตื่นตะลึงมือของตวนมู่ชุ่ยชะงักค้าง

    นางพลันนึกเสียใจที่ตนเอาคำพูดมาหลอกลวงจั่นเจา ครั้งนี้นางจะต้องไปแตะถูกจุดที่เจ็บปวดของจั่นเจาเข้าเป็นแน่ หาไม่เขาคงไม่เศร้าสะเทือนใจเช่นนี้

    นางหาได้อยากให้เขารู้สึกเช่นนี้ ไม่รู้เพราะอะไร นางถึงได้รู้สึกฝาดขมในใจเพราะเห็นเขาเศร้าสะเทือนใจ

    “จั่นเจา…” นางลังเล แล้วผลักหัวไหล่ของเขาอย่างเสียแรงเปล่า “เจ้าฟังข้าพูด…”

    สิ่งที่ตอบนางกลับมาคือสองแขนที่ค่อยๆ กระชับแน่นขึ้น ยังมีจุมพิตร้อนผ่าวที่ประทับลงตรงหลังหูของนาง

    จุมพิตนี้ทำให้นางจิตใจสับสนวุ่นวาย

    มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้น โลหิตทั่วร่างคล้ายหยุดไหลเวียน ผิวบริเวณที่ถูกจุมพิตร้อนผ่าวแทบลวก ความร้อนแผ่ลามไปตามผิวหนัง ไปถึงแขนขาและกระดูกทุกส่วน

    ภายใต้อาการสั่นเทิ้มในเวลาสั้นๆ นี้ นางพลันสติปลอดโปร่งขึ้น ดิ้นรนจะให้หลุดจากอ้อมแขนจั่นเจา “จั่นเจา ไม่ใช่…”

    ความตื่นตระหนกและการอธิบายที่เกินจำเป็นของนางกลายเป็นความว่างเปล่าไปในพริบตาที่จั่นเจาก้มหน้าลงมาทาบปิดริมฝีปากของนางไว้ จากนั้นฟ้าดินก็พลิกหมุนสติหลุดลอย กลิ่นอายของจั่นเจาโอบล้อมเข้ามาเป็นชั้นๆ ประหนึ่งแสงแดดอบอุ่นระผ่านยอดหญ้าในยามรุ่งอรุณ รสสัมผัสอบอุ่นชุ่มชื้นที่ริมฝีปากค่อยๆ สลายสายธนูที่ขึงตึงของนาง ร่างกายของนางค่อยๆ อ่อนยวบลง ทิ้งน้ำหนักตัวไปให้จั่นเจาทีละน้อย…

    มีเสียงเคร้งดังขึ้น ไม่รู้ทหารลาดตระเวนนายใดทำง้าวตกพื้น ทั้งสองคนสะดุ้งขึ้นมาแทบพร้อมกัน ผละออกจากกันในทันที

    ตวนมู่ชุ่ยใบหน้าราวถูกไฟเผา ริมฝีปากขมุบขมิบอยู่ครู่หนึ่งแต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้ครึ่งคำ จั่นเจาเองก็ดีกว่านางไม่เท่าไร ดีที่ในกระโจมไม่มีแสงสว่าง หาไม่หากให้คนทั้งสองมองสบตากันในเวลานี้คงทำให้นางอึดอัดลำบากใจยิ่งกว่าสั่งสังหารเขาเสียอีก

    ตวนมู่ชุ่ยในสมองมีแต่แป้งเปียก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองจึงยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้ เรื่องการแต่งงานระหว่างนางกับกู่ชางได้กำหนดเป็นที่แน่นอนแล้ว แต่นางถึงกับไม่ได้ยับยั้งจั่นเจา

    เรื่องนี้เพียงพอให้นางจิตใจสับสนพันพัวอุตลุด สับสนพันพัวจนเอาเรื่องทางนรก เซวียนผิง อีกทั้งเซียนเทพอะไรโยนทิ้งไปที่ด้านข้าง สับสนพันพัวจนนางนอนไม่หลับทั้งคืน สับสนพันพัวจนนางพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

    นิ่งเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ จั่นเจาก็เอียงหน้ามาหานาง ตวนมู่ชุ่ยตกใจจนหัวใจทั้งดวงขึ้นไปแขวนลอยอยู่ที่ลำคอ “เจ้า…เจ้าจะทำอะไร”

    เสียงของจั่นเจาแหบพร่าเล็กน้อย “ตวนมู่ เจ้านอนก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าค่อยมาหาเจ้า”

    ขณะพูดเขาก็ช้อนร่างนางขึ้นมาอุ้ม แขนโอบอยู่ด้านหลังเอว แม้จะมีเสื้อผ้าของคนทั้งสองขวางกั้นอยู่ แต่ผิวหนังบริเวณที่สัมผัสกับแขนของเขาก็ยังคงสั่นสะท้านน้อยๆ ราวกับมีกระแสไฟวิ่งผ่าน

    ในสมองของตวนมู่ชุ่ยเริ่มคลุกแป้งเปียกอีกแล้ว เพียงจั่นเจาขยับร่างเข้ามาใกล้ก็ทำให้นางหายใจกระชั้นถี่ กระทั่งจั่นเจาจากไปร่างกายที่แข็งเกร็งของนางจึงค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิม

    นางกอดผ้าห่มนั่งอยู่บนเตียงเป็นนาน ฉับพลันนั้นก็เลิกผ้าห่มลงจากเตียง

    ดีที่ครั้งนี้นางไม่ได้ล้มลงไปอีก

    “เข้ามา จัดเตรียมรถม้า!”

    หน้าที่แล้ว1 of 4

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook