• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 3 ตอนที่ 2

    4 of 4หน้าถัดไป

    ตอนจั่นเจาเข้าไปพบตวนมู่ชุ่ย นางกำลังลุกจากเตียงขึ้นมานั่ง บนโต๊ะอาหารด้านข้างมีภาชนะใส่อาหารวางอยู่ ฝาปิดดูเหมือนปิดไม่สนิทนัก มีควันสีขาวคล้ายมีคล้ายไม่มีลอยออกมาจางๆ กลิ่นหอมของน้ำแกงข้นถั่วฟุ้งกระจายไปทั่ว

    ตวนมู่ชุ่ยไม่ได้มองเขา เพียงเหม่อมองควันของน้ำแกงข้นที่ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากภาชนะใส่อาหาร “จั่นเจา มาขอเข้าพบกลางดึก มีเรื่องอะไรหรือ”

    จั่นเจาหัวใจทั้งดวงพลันจมดิ่งลงไป เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและพลันหัวเราะ “มาขอเข้าพบกลางดึก มีเรื่องอะไรหรือ ตวนมู่ไม่เคยพูดจาเช่นนี้”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มบาง “ไม่ผิดจากที่คาด โกหกได้ครั้งหนึ่ง ไม่อาจโกหกครั้งที่สองได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องปิดเจ้าไม่ได้”

    แม้จะเตรียมใจอยู่ก่อนแล้ว แต่มาได้ยินนางยอมรับจากปาก ในใจของจั่นเจาก็ยังคงรู้สึกคล้ายถูกอะไรบดขยี้อย่างแรง มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่คล้ายเพียงหายใจเข้าหายใจออกก็ทำให้เส้นโลหิต เส้นเอ็นและกระดูกขาดสะบั้น เจาะทะลวงเข้าไปในหัวใจยากจะทานทนได้

    “เจ้าบอกว่าเจ้าจำเซวียนผิง ทางนรกได้ ล้วนเป็นคำมดเท็จ”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้ม “ล้วนเป็นคำมดเท็จ ข้าไม่เคยไปเซวียนผิง และไม่รู้อะไรคือทางนรก ข้าจำได้แต่ซีฉี”

    “แล้วเจ้ารู้คำว่าเซวียนผิงและทางนรกได้อย่างไร”

    “ก็แค่เหตุบังเอิญเท่านั้น”

    “เหตุบังเอิญที่ท่านแม่ทัพพูด กล่าวสำหรับจั่นเจาแล้วสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น ขอให้ท่านแม่ทัพได้โปรดให้คำชี้แนะ”

    ตวนมู่ชุ่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา “จั่นเจา ที่นี่คือห้วงลึกหรือ”

    “ใช่”

    “เจ้ามาเพื่อจะหาข้าหรือ”

    “…ใช่”

    “แม่นางตวนมู่ที่เจ้ารู้จักผู้นั้น นางเป็นคนอย่างไรหรือ”

    จั่นเจางงงัน ความรู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูกอย่างหนึ่งอบอวลอยู่ในอก เขาเอ่ยถามอย่างลังเล “ท่านแม่ทัพ…ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับห้วงลึก?”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้มาเล็กน้อย จั่นเจา ข้าคิดว่าความเป็นมาของเจ้าที่พูดให้ข้าฟังในช่วงก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ทุกคนต่างไม่ใช่คนโง่ ไยต้องพูดจาแฝงความนัยเจตนาแสดงความเร้นลับซับซ้อน ไม่เปิดอกพูดออกมา”

    จั่นเจาเป่าลมหายใจออกมาเบาๆ แปลกยิ่งนัก ในใจถึงกับรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกโดยไม่มีเหตุผล ผงกศีรษะบอก “ได้”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้านั่งลงพูด”

    นางว่าพลางเปิดฝาภาชนะใส่อาหารออกและก้มหน้าลงไปสูดกลิ่น ก่อนหยิบช้อนที่วางอยู่ในกล่องอาหารขึ้นมา คิดไปคิดมาก็ถามจั่นเจา “เจ้ากินอาหารแล้วหรือยัง”

    ด้านนอกกระโจมยังคงมีเสียงลม ผนังกระโจมถูกซัดเสียจนสั่นไหวไปทั้งด้านนอกด้านใน ในกระโจมกลับเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง ยากนักที่จะสงบนิ่งและอบอุ่นเช่นนี้ กลิ่นหอมของน้ำแกงข้นถั่วลอยกรุ่นดุจไอหมอก มองตวนมู่ชุ่ยผ่านไอหมอกนี้ หน้าตาเดี๋ยวชัดเจนเดี๋ยวพร่าเลือน รู้ทั้งรู้ว่านางไม่ใช่คนที่ตามหา ในใจกลับไม่รู้สึกผิดหวัง ตรงข้าม เขากลับรู้สึกว่าแม่ทัพตวนมู่ผู้นี้ก็เป็นสหายที่ดีคนหนึ่ง สามารถพูดคุยจิบชากับนางได้อย่างไม่รู้สึกกดดัน

    นางก้มหน้ากินอาหาร เส้นผมดำขลับบดบังใบหน้า แต่กลับเผยลำคอด้านหลังที่นวลเนียนเกลี้ยงเกลาดุจหยก จั่นเจาเบนสายตาออก ในใจกลับค่อยๆ อ่อนโยนนุ่มนวลลง เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ตวนมู่เป็นสหายของข้า”

    ตวนมู่ชุ่ยกัดช้อนไว้พลางยิ้มทะเล้น “เจ้าชอบนาง”

    จั่นเจาไม่ได้เตรียมใจว่านางจะถามเช่นนี้จึงหน้าแดงเล็กน้อย ขณะคิดจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก็มองสบเข้ากับดวงตาสดใสแวววาวของนางเข้าพอดี รู้สึกว่าไม่อาจหลบเลี่ยงได้ หลังอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก็จำต้องยอมรับ “ใช่”

    ตวนมู่ชุ่ย “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง มีท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องเล็กน้อย นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามอีก “เหตุใดเจ้าจึงมาที่ห้วงลึก”

    จั่นเจาไม่ปิดบังอีก “มีคนเปิดทางนรกโดยพลการเพื่อจะทำลายแดนมนุษย์ ตวนมู่เป็นเซียนเทพแห่งอิ๋งโจว มีภาระหน้าที่อันพึงปฏิบัติ ไม่อาจนิ่งดูดาย ข้าเข้ามาในทางนรกด้วยกันกับนาง เดิมอยู่ขอบเขตที่จัดการได้ ปิดผนึกทางนรกใกล้จะสำเร็จ ใครจะคาดคิด…ว่าห้วงลึกจะก่อเหตุ ตวนมู่ตกลงมาในห้วงลึก ข้าคิดว่าพานางกลับมาได้จึงตามเข้ามา”

    ตวนมู่ชุ่ยฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ “นี่เป็น…เรื่องหลังจากนี้นานเพียงใด”

    ตอนแรกจั่นเจาฟังไม่เข้าใจ แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจความหมายของนาง “หลังจากนี้สองพันปี”

    ตวนมู่ชุ่ยตกตะลึง “หลังจากนี้สองพันปี ภายใต้การปกครองของอินซางหรือ หรือภายใต้การปกครองของลูกหลานอู่หวัง”

    จั่นเจายิ้ม “ไม่ใช่อินซางและไม่ใช่อู่หวัง หลังจากนี้มีการสับเปลี่ยนราชวงศ์ กษัตริย์หมุนเวียนเปลี่ยนไป นับก็นับไม่ไหว”

    “เจ้าบอก…แม่นางตวนมู่ผู้นั้นเป็นเซียนเทพแห่งอิ๋งโจว”

    “ใช่”

    ตวนมู่ชุ่ยลากเสียงยาว “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง ในเวลาอันสั้นไม่มีคำพูด เพียงเอาช้อนคนในภาชนะไปมา ดื่มไปไม่กี่ช้อนก็เหม่อลอยอีก หยางเจี่ยนบอกว่าข้าบำเพ็ญเพียรไปหนึ่งพันแปดร้อยปีก็ไม่มีทางสำเร็จเป็นเซียน เห็นชัดว่าพูดจาเหลวไหล…

    นางพลันนึกอะไรขึ้นมาได้อีก จึงยิ้มแล้วว่า “มิน่าเจ้าไม่ค่อยอยากพูดถึงความเป็นมาของตน หลังจากนี้สองพันปี…คนที่มาจากหลังจากนี้สองพันปี รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร เหตุใดพวกเจ้าทำไปทำมารูปร่างหน้าตาก็ยังเป็นเช่นนี้”

    จั่นเจาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “หรือว่าข้าต้องมีเขางอกอยู่บนศีรษะ”

    เขาพูดไปอย่างนั้น ทว่าตวนมู่ชุ่ยกลับพินิจพิจารณาเขาอย่างจริงจังขึ้นมา สายตาเพ่งมองอยู่ที่ศีรษะของเขาไม่ละไปไหน มองจนจั่นเจาขนหัวลุกชัน กลัวยิ่งว่าจู่ๆ จะมีเขาสองข้างโผล่ขึ้นมาจากหนังศีรษะ

    ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ นางก็พูดออกมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป “จั่นเจา ถ้าหานางไม่พบ เจ้าก็กลับไปเองเถิด”

    จั่นเจาตะลึงงัน โพล่งขึ้น “เจ้าพูดอะไร”

    “ข้าบอกว่า” ตวนมู่ชุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง “ถ้าหานางไม่พบ เจ้าก็กลับไปเองเถิด”

    จั่นเจาอึ้งตะลึงอยู่กับที่‘กลับไปเอง’ความคิดเช่นนี้เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย ยิ่งไปกว่านั้นเวินกูเหว่ยอวี๋เคยพูดไว้ว่าหาตวนมู่ชุ่ยกลับไปไม่ได้ เขาเองก็ไม่มีทางไปจากห้วงลึกได้

    ตวนมู่ชุ่ยเห็นจั่นเจาตกตะลึงพรึงเพริด คิดว่าเขาไม่เข้าใจ จึงวิเคราะห์เหตุผลให้ฟังอย่างจริงจัง “จั่นเจา ในเมื่อเจ้าเป็นคนของอีกสองพันปีให้หลัง สหายหรือญาติของเจ้าก็น่าจะยังอยู่ทางนั้น หรือเจ้าไม่คิดถึงพวกเขา เจ้าหาแม่นางตวนมู่ผู้นั้นมานานเพียงนี้แล้ว ในเมื่อหาไม่พบก็ไม่ต้องหาอีกต่อไปแล้ว ของบางอย่างทำหายแล้วก็คือหายแล้ว ไยต้องดื้อรั้น”

    จั่นเจาใบหน้าเขียวคล้ำ ลุกพรวดขึ้นมายืน ทำเอาตวนมู่ชุ่ยตกใจ

    นางมองเขาอย่างงงงวย ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้ ไหนเลยจะรู้ผ่านไปครู่หนึ่ง จั่นเจาก็นั่งลงไปช้าๆ ใบหน้าสงบนิ่งลง หน้าอกสะท้อนขึ้นลงแรง เห็นชัดว่าเมื่อครู่เป็นเพราะเกิดโทสะ

    หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าไม่เข้าใจ”

    “ถ้าข้าไม่เข้าใจ เจ้าก็พูดออกมา ข้าก็เข้าใจแล้ว” ตวนมู่ชุ่ยยิ้มพราวเสน่ห์ “ข้ารู้เพียงถ้าเปลี่ยนเป็นข้า ต้องมาอยู่ต่างโลก หาคนที่ต้องการหาไม่พบ ยังต้องรั้งอยู่ไปชั่วชีวิตหรือ จั่นเจา เมื่อครู่เจ้าบอกชอบนาง คิดว่าเจ้าคงไม่อาจตัดใจ แต่ต่อให้ไม่อาจตัดใจเพียงใดก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป ข้าตั้งแต่เล็กจนโตไม่รู้มีสิ่งที่ไม่อาจตัดใจมากมายเพียงใด แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า ความเศร้าโศกเสียใจในตอนนั้น หลังจากผ่านไปนานและหันกลับไปมองอีกครั้ง บาดแผลที่หนักหนาเพียงใดก็เชื่อมสนิทกลายเป็นแผลเป็นไปแล้ว ไม่เสียใจมากเท่าเดิมแล้ว”

    จั่นเจายิ้มบาง “ข้ารู้”

    จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก แววตาออกจะเหม่อลอยคล้ายคิดถึงเรื่องในอดีต ในดวงตาเริ่มมีประกายอ่อนโยน “ตวนมู่เป็นหญิงสาวที่ดีมากคนหนึ่ง บางครั้งนางเจ้าอารมณ์ยิ่ง คล้ายดั่งฝนที่ตกลงมากะทันหันในฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าว ซัดสาดจนเจ้าเปียกปอนไปทั้งตัว แต่ไม่ทันรอให้เจ้าได้สติ นางก็เปลี่ยนจากโมโหเป็นอารมณ์ดีแล้ว ทำให้เจ้าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี…” เสียงของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นต่ำลง “สรุปก็คือ…เป็นหญิงสาวที่ดีมาก”

    ตวนมู่ชุ่ยส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง ฟังเขาพูดเงียบๆ

    “นางลงมาแดนมนุษย์เพื่อกำจัดปีศาจ เวินกูเหว่ยอวี๋สมคบกับเทพเวินเสินแพร่โรคระบาดในอำเภอเซวียนผิง ชั่วเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันชาวบ้านที่บริสุทธิ์ไม่รู้ตายไปแล้วเท่าไร ใต้เท้าเปามอบหมายให้ข้ากับท่านกงซุนไปที่อำเภอเซวียนผิง ให้ความช่วยเหลือและรักษาไปตามเหตุการณ์ แต่กำลังมนุษย์น้อยนิด เพียงสมุนไพรไป๋จื่ออ้ายเฉ่าจะต้านทานปีศาจร้ายที่คดในข้องอในกระดูกได้อย่างไร หากไม่มีตวนมู่ ข้ากับท่านกงซุนจะช่วยคนได้สักกี่คน

    ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงชั่วร้ายของทางนรก แต่ข้าก็รู้ว่าถ้าทางนรกถูกเปิด ผู้คนในแดนมนุษย์จะต้องเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ไม่แน่อาจเห็นกองกระดูกขาวโพลนถูกทิ้งอยู่กลางทุ่ง ในระยะพันลี้ไร้ผู้คน ไม่ได้ยินเสียงไก่ขัน ตอนนั้นข้าคิดว่าถ้าหยุดยั้งเรื่องเลวร้ายนี้ได้ต่อให้ต้องพลีชีพก็คุ้มค่า

    โชคดีที่สวรรค์มีตา ตวนมู่หยุดยั้งเวินกูเหว่ยอวี๋ไว้ได้ ตอนแรกข้าไม่รู้ว่านางตกลงมาในห้วงลึก เพียงเข้าใจว่านางตายแล้ว ข้าจึงตัดสินใจจะจากไป แม้ในใจจะอาลัยอาวรณ์เจ็บปวด แต่รั้งอยู่ในทางนรกต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ รังแต่จะเสียชีวิตคนเพิ่มไปอีกหนึ่งชีวิตเปล่าๆ แต่ต่อมาเวินกูเหว่ยอวี๋บอกกับข้าว่าตวนมู่ยังไม่ตาย นางเพียงแต่ตกลงไปในห้วงลึก

    เมื่อรู้ว่านางยังไม่ตาย ต่อให้ต้องทุ่มเทจนสุดชีวิต ข้าก็ต้องพานางกลับมาให้ได้ ทางนรกถูกปิดผนึก แดนมนุษย์ได้รับความสงบสุขกลับคืนเพราะตวนมู่เสียสละตัวเองแลกมา หรือจะให้ข้าทิ้งนางไว้ตามลำพังคนเดียวเพียงเพราะหวาดกลัวอันตรายในห้วงลึก รักตัวกลัวตายจึงถูไถมีชีวิตรอดอย่างซังกะตายไปวันๆ ดื่มน้ำก็ต้องไม่ลืมคนขุดบ่อ คนทั่วไปไม่รู้ในสิ่งที่นางทำ ไม่ได้ชมว่านางดี ไม่ใส่ใจความเป็นตายและอนาคตของนาง อาจพอฟังขึ้น แต่ข้าร่วมเดินทางไปกับนาง เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสายตา ถ้าข้าทิ้งนาง ยังจะมีใครคิดถึงนางอีก ถ้าข้าไม่สนใจนาง ยังจะมีใครสนใจนาง

    เจ้าพูดไม่ผิด ไคเฟิงมีญาติมิตรที่ข้าเป็นห่วงและมีภาระหน้าที่ที่ยังทำไม่ลุล่วง ถ้าทำได้ข้าย่อมหวังว่าจะพาตวนมู่กลับไปได้ในเร็ววัน แต่ถ้าสวรรค์ไม่เมตตา ไม่อาจกลับไปได้…”

    พูดมาถึงตรงนี้บนใบหน้าของจั่นเจามีประกายเจ็บปวดที่แทบจะไม่สังเกตเห็นพาดผ่านจางๆ “ถ้าสวรรค์ไม่เมตตาข้า ไม่อาจกลับไปได้ เช่นนั้นในใจของข้า แม้จะเสียใจแต่ก็ไม่มีอะไรต้องละอายใจ นับว่าตายเพื่อปิดผนึกทางนรก เพื่อชาวบ้านในอำเภอเซวียนผิงก็ไม่ถือว่าตายอย่างไร้คุณค่า เจ้าบอกว่าข้าไม่อาจตัดใจจากนาง คำพูดนี้ทั้งถูกและไม่ถูก ข้าไม่อาจตัดใจจากนางเพราะมีความผูกพันต่อนาง ข้าต้องการหาตัวนางกลับมา ยิ่งเป็นเพราะคำว่าคุณธรรม จั่นเจาเป็นคนมีความรับผิดชอบ เพียงปรารถนาจะมีคุณธรรมน้ำมิตร ไม่ปรารถนาจะเป็นคนแล้งน้ำใจเป็นบุรุษไร้คุณธรรม คนอื่นจะวิจารณ์อย่างไรก็แล้วแต่เขา หากข้าถามใจตัวเองแล้วไม่มีอะไรต้องละอายใจก็พอแล้ว”

    ตวนมู่ชุ่ยฟังจนทึ่มทื่อไปแล้ว

    ความจริงนางก็ใช่ว่าจะเข้าใจในสิ่งที่จั่นเจาคิดทั้งหมด เพียงรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาทุกถ้อยคำดูเปี่ยมไปด้วยน้ำใสใจจริง ก่อเกิดเป็นลูกคลื่นในหัวใจของตน นับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สมัยเด็กนางต้องประสบกับความเปลี่ยนแปลง อายุยังน้อยก็ต้องใคร่ครวญและคำนึงไปทั่วทุกด้าน ต่อมาได้รับการอบรมสั่งสอนจากเจียงจื่อหยา ได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพ โจมตีเมืองชิงแผ่นดิน นิสัยยิ่งโหดเหี้ยมขึ้น ทุกเรื่องเพียงต้องการคำว่าชัยชนะ ไม่ถามถึงวิธีการไม่เลือกแผนการรบ เล่ห์เหลี่ยมยุทธวิธีเป็นสิ่งสำคัญ ผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรก ไม่เคยคิดถึงคำว่าคุณธรรมน้ำมิตรอะไร ต่อให้มีก็เป็นคุณธรรมน้ำมิตรเล็กน้อยส่วนตัว ธรรมดาทั่วไป เรียกก็มา ทิ้งไปก็ไม่เสียดาย…

    มีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง นางถึงกับนึกอิจฉาแม่นางตวนมู่ผู้นั้นขึ้นมา

    คืนนี้นางเรียกจั่นเจาเข้ามา พูดเองอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องพูดจาแฝงความนัยเจตนาแสดงความเร้นลับซับซ้อน ทุกคนเปิดอกพูดออกมา นางก็ไม่ได้คิดจะหลอกลวงตบตา นางไม่กลัวที่จะพูดกับจั่นเจาอย่างกระจ่างแจ้ง แม้ในใจของนางจะนึกสงสัยว่าที่นี่ก็คือห้วงลึก แต่นางก็ไม่สมัครใจจะเอาชีวิตของตนมาวางเดิมพันครั้งนี้ ในสายตาของนาง ทุกอย่างที่นี่ล้วนดีงาม ซั่งฟู่ กู่ชาง หยางเจี่ยน อาหมี ล้วนเป็นคนที่นางรู้จักคุ้นเคย เรื่องในอดีตตั้งแต่เล็กจนโตปรากฏขึ้นมาอย่างชัดแจ้ง นางสมัครใจที่จะใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป แม้จะรู้สึกดีต่อจั่นเจา แต่จั่นเจาเป็นใครนางหามีความทรงจำไม่ และนางก็ไม่รู้ว่ายุคสมัยในอีกสองพันปีให้หลังเป็นอย่างไร เพราะอะไรนางจะต้องทอดทิ้งทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า กระทั่งยอมทิ้งชีวิตไปเชื่อถ้อยคำที่จั่นเจาพูดอยู่ฝ่ายเดียวด้วย

    แต่หลังจากฟังคำพูดเหล่านี้ของจั่นเจาแล้วนางก็เริ่มลังเล

    ความลังเลนี้ไม่ได้หมายความว่านางจะเอามีดมาปาดคอตัวเองแล้วติดตามจั่นเจาไปทันที นางเพียงคิดว่าจะต้องชะลอเวลาที่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับ ‘ความเป็นจริง’ออกไป ถ่วงเวลาให้ตัวเองอีกสักหน่อย บางทีนางควรต้องคิดดูอีกทีก่อน มีเรื่องมากมาย สมควรต้องคิดให้ถี่ถ้วนอีกที…

    “จั่นเจา ข้า…”

    นางเอ่ยคำพูดไม่ออกอีกต่อไป สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปในทันที

    มือนางกดลงที่ท้องน้อย ภาพเบื้องหน้าพลันเลือนราง คนที่อยู่ตรงหน้าบัดเดี๋ยวยืดยาวบัดเดี๋ยวหดสั้น มีก้อนสีต่างๆ พุ่งชนกันสับสนอลหม่าน จากนั้นก็มีสีโลหิตปิดคลุมลงมาชั้นหนึ่ง

    ของเหลวข้นเหนียวเจือกลิ่นคาวไหลลงมาจากหางตา นั่นไม่ใช่น้ำตาแน่นอน

    จิตสำนึกของตวนมู่ชุ่ยประหนึ่งน้ำที่ถูกต้ม ค่อยๆ เดือดทีละน้อย ตอนแรกยังพอแยกแยะรูปร่าง สีสัน และเสียงได้เลือนราง ต่อมาก็ได้ยินเสียงน้ำที่เดือดพล่าน เสียงนี้คล้ายแผ่ลามออกมาจากภายในร่างกาย ค่อยๆ ท่วมท้นแก้วหู จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงที่ถึงกับยังฟังดูสงบนิ่งของตน “ข้าถูกพิษแล้ว”

    หลังจากเสียงนี้ดังขึ้นก็เหมือนเขื่อนทำนบและปราการป้องกันทั้งหลายที่มีอยู่พังทลายลงหมดสิ้น นางไม่รู้ว่าตนเองล้มคว่ำลงไปหรือไม่ ดูเหมือนจั่นเจาจะประคองไว้ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่จุดใหญ่ต่างๆ ทั่วร่างถูกพลังจากภายนอกจี้สกัดไว้ สติพลันแจ่มใสขึ้นมาชั่วขณะ นางเห็นใบหน้าซีดขาวและร้อนรนใจของจั่นเจา แต่นางไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องเหล่านี้ นางมองจ้องเงาร่างของตนในดวงตาของจั่นเจา

    “ข้าถึงกับตายอย่างน่าเกลียดเช่นนี้” นางพลันโพล่งความคิดประหลาดเช่นนี้ออกมา

    หลังจากนั้นถึงจุดจะถูกจี้สกัดไว้ แต่ก็ไม่อาจทำให้นางรักษาสติที่แจ่มใสได้ มองอะไรก็ไม่เห็น ฟังอะไรก็ไม่ได้ยิน นางรู้สึกว่าตนเองคล้ายนกสีดำปีกหักตัวหนึ่งที่กำลังร่วงตกลงไปในหุบเขาที่ไม่รู้ถึงความลึกอย่างเร็วรี่

    มีความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มีเสียงเอะอะอึกทึกจ้อกแจ้กจอแจแทรกเข้ามาในสมอง แล้วก็ถูกสิ่งที่มาทีหลังผลักออกไปอย่างเหี้ยมหาญดุดัน เรื่องในอดีตมากมาย ไม่ว่าจะเศร้าอาดูรหรือเบิกบานใจ ประทับใจลึกซึ้งหรือตื้นเขิน สำคัญหรือไม่สำคัญก็ล้วนแย่งชิงกันเข้ามา ไม่รอให้นางทันได้แยกแยะชัดเจนก็จางหายไป นางรู้แน่แก่ใจดีว่าตัวเองกำลังจะตาย ความรู้สึกเช่นนี้นางคุ้นเคยดี

    ใครจะมาช่วยข้านางคิด

    ครั้งนั้นนางก็คิดเช่นนี้

     

    นางไม่เคยรู้ว่าการถูกฝังทั้งเป็นพร้อมคนตายจะน่ากลัวเช่นนี้ ตอนแรกบนโลงยังมีรูอากาศ นอนอยู่ในโลงโคลงเคลงไปมา ดวงตาจับจ้องไปยังแสงสว่างเล็กๆ สองสายที่ลอดผ่านช่องอากาศเข้ามา หูแว่วได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญ นางหาได้รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายเพราะผ่านตัวโลงที่กั้นอยู่นางยังมีโลกมนุษย์

    แต่ต่อมาเมื่อโลงถูกฝังลงดิน แสงสุดท้ายก็หายไป ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกและความมืดมิดที่พุ่งเข้ามาทำให้นางหวาดกลัวจนร้องไห้ และพยายามใช้มือตะกุยใช้เท้าถีบผนังโลงที่หนาหนัก ภายหลังถึงรู้ว่าเปล่าประโยชน์ ทำได้เพียงหลั่งน้ำตา ตอนแรกก็แหกปากร้อง ครั้นเหนื่อยแล้วก็ได้แต่สะอึกสะอื้นเสียงแผ่วเป็นห้วงๆ

    ร้องไปเรื่อยๆ ก็พลันได้ยินท่านแม่เรียกนาง “เสี่ยวมู่โถว (ขอนไม้น้อย)”

    นางสะดุ้งตกใจ ความประหลาดใจมีมากกว่าความตื่นเต้นยินดี นัยน์ตาทั้งสองเบิกกว้างจนกลมโต “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร”

    นางเห็นกับตาว่าร่างที่เย็นเฉียบของท่านแม่ถูกบรรจุลงในโลงแล้ว หรือว่านางร้องไห้เสียงดังเกินไปจนท่านแม่ตกใจตื่นขึ้นมา

    ในโลงมืดมาก นางมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของท่านแม่ แต่นางสัมผัสได้ถึงมือนุ่มนิ่มดุจปุยเมฆของท่านแม่ที่กำลังลูบไล้เส้นผมของนางเบาๆ เสียงน่าฟังยิ่ง “เสี่ยวมู่โถว นอนสักพักเถิด”

    นางนอนหลับอย่างเชื่อฟัง และไม่รู้ว่าหลับไปนานเพียงใด ตอนตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงแครกๆ คล้ายเสียงเล็บขูดกับผนังโลง ฟังแล้วนางรู้สึกกลัวจนขนพองสยองเกล้า

    นางอดถามไม่ได้ “ท่านแม่ ใช่ท่านหรือไม่”

    ท่านแม่ขานรับเสียงต่ำคำหนึ่ง ปลอบขวัญนางเสียงอ่อนโยน “แม่จะทำให้โลงแตกออก ให้เสี่ยวมู่โถวออกไป

    “อย่าตะกุยอีกเลย เสียงไม่น่าฟัง” นางบ่น คิดไปคิดมาก็พูดด้วยเหตุผลกับท่านแม่อย่างจริงจัง “ตะกุยไปก็ไม่แตก ข้าออกแรงถีบเพียงนั้นยังถีบไม่ออก”

    ท่านแม่หัวเราะพรืดออกมา เสียงยิ่งนุ่มนวลละมุนละไม “ได้ ไม่ตะกุยแล้ว เสี่ยวมู่โถวของแม่นอนหลับให้สบาย”

    นางลอบถอนใจ เหตุใดจึงนอนอีกแล้ว แม้นางจะชอบนอนมากก็จริง แต่เมื่อก่อนถ้านอนมากก็มักถูกท่านแม่ตี

    ทว่านอนก็นอน ไม่นอนก็ไม่รู้จะทำอันใด

    ไม่รู้ว่านอนไปหนึ่งวัน สองวัน หรือสามวัน หลังจากตื่นขึ้นมานางก็นอนไม่หลับแล้ว นางไปดึงเสื้อท่านแม่เบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านแม่ ข้าฝันไป”

    ท่านแม่ส่งเสียงอืมมาคำหนึ่งแล้วจูบหน้าผากนาง ริมฝีปากเย็นเล็กน้อยคล้ายกลีบบุปผาที่ต้องน้ำค้างบางเบาแต่ก็ยังอิ่มเอิบ เจือด้วยกลิ่นหอมเย็นๆ “ไหนเสี่ยวมู่โถวเล่ามาซิ ฝันว่าอะไร”

    “ข้าฝันว่าข้าจะตายแล้ว” นางย่นหัวคิ้วย้อนนึกก่อนสรุปความ “ต่อมาบนท้องฟ้ามีหมีบินผ่านมาตัวหนึ่ง ข้าก็หาย ไม่ตายแล้ว”

    ความจริงนางฝันยาวมาก ในฝันนางพบกับอันตรายหลายรูปแบบ มีวิธีการตายที่แปลกประหลาดพิลึกพิลั่นมากมาย ครั้งหนึ่งถูกยุงกัด นางก็รู้สึกว่าตนเองกำลังจะตายแล้ว

    แต่ทุกครั้งนางก็พลิกจากร้ายกลายเป็นดีได้ เพราะอะไรหรือ ก็เพราะบนท้องฟ้ามีหมีบินผ่านตัวหนึ่ง นี่ช่างเป็นความฝันที่แปลกประหลาดยิ่งนัก

    “ความฝันนี้…” ท่านแม่หาคำพูดไม่ได้ ทว่าไม่นานนางก็รู้ว่าควรตอบอย่างไร “หมายความว่าเสี่ยวมู่โถวเป็นเด็กดีมาก แม้จะพบกับอันตรายก็จะมีคนมาช่วยเหลือเจ้า”

    “เช่นนั้นหรือ” นางดีใจขึ้นมา ตามซักไซ้ท่านแม่ “แล้วเขาชื่ออะไรหรือ”

    เด็กๆ มักชอบถามเซ้าซี้ไม่เลิกรา

    “เขาชื่อ…” ท่านแม่ครุ่นคิด “เขาชื่อสยงเฟย เจ้าไม่ใช่ฝันเห็นหมีบินอยู่บนท้องฟ้าหรือ”

    นางรู้สึกว่าท่านแม่พูดไม่ถูก หรือว่าฝันเห็นหมีบินอยู่บนท้องฟ้า คนที่มาช่วยนางก็ต้องชื่อสยงเฟยหรือ ถ้านางฝันเห็นหมีวิ่งอยู่บนพื้นดิน ท่านจะบอกว่าคนผู้นั้นชื่อสยงผ่าว (หมีวิ่ง) หรือไม่

    นางรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล แต่นางยังคงตอบอืมออกมาคำหนึ่งอย่างว่าง่าย “ท่านแม่ ข้าจำได้แล้ว คือสยงเฟย”

    หลังจากพูดประโยคนี้จบท่านแม่ก็หายไป ความรู้สึกอบอุ่นที่กอดท่านแม่ไว้ก็หายตามไปด้วย ในโลงที่มืดมิดเหลือนางอยู่เพียงคนเดียวอีกครั้ง นางหายใจลำบาก แทบจะหายใจไม่ออก

    ข้าจะตายแล้วนางคิดใครจะมาช่วยข้า

    มีเสียงคนดังโกลาหลมาจากด้านนอกโลง ตัวโลงคล้ายถูกคนขยับโยกย้าย บนฝาโลงมีอะไรกำลังเคาะตีกระแทกกระทั้น ฉับพลันนั้นเองฝาโลงก็ถูกเปิดออก แสงสว่างจ้าเสียดนัยน์ตาจนนางลืมตาไม่ขึ้น แต่นางก็ลุกขึ้นมานั่งในทันทีและสูดลมหายใจเข้าคำโตๆ

    นางได้ยินเสียงผู้คนที่อยู่รอบด้านเปลี่ยนไป ตอนแรกดูตื่นตกใจหวาดกลัว มีคนสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บ จากนั้นก็มีเสียงร้องไห้อย่างไม่ปิดบังอำพราง นั่นเป็นคนของชนเผ่าอวี๋ซานที่ดีใจจนร้องไห้ ถัดจากนั้นนางก็ลืมตาขึ้นมา

    ที่นางเห็นเป็นสิ่งแรกก็คือผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผมขาวหนวดเคราขาวสวมชุดคลุมยาวสีขาว รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าคล้ายรอยหยักบนผลเหอเถา ผู้เฒ่ายืนอยู่ด้านหน้าโลง กำลังก้มลงมองประเมินนางอย่างละเอียด เห็นนางลืมตา ผู้เฒ่าคนนั้นก็หัวเราะหึๆ ยื่นมือมา “นางหนู ลุกขึ้นเถิด”

    ตอนนั้นนางยังไม่รู้ว่าผู้เฒ่าคนนั้นก็คือเจียงจื่อหยา นางเพียงรู้สึกว่าผู้เฒ่าคนนี้หัวเราะหึๆ ท่าทางอ่อนโยนมีเมตตา นางพลันรู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่ก็จับมือเจียงจื่อหยาให้พาลุกขึ้น ก่อนจะส่งเสียงร้องไห้โฮๆ ออกมา เจียงจื่อหยาหัวเราะหึๆ แล้วกอดนางไว้พลางตบหลังเบาๆ ปลอบว่านางหนูไม่ต้องร้องไห้ ไปกินข้าวเถิด

    ต่อมานางก็ได้ฟังเรื่องราวของเจียงจื่อหยาทีละน้อย โดยเฉพาะเรื่อง ‘เจียงจื่อหยาตกปลา ผู้สมัครใจมาติดเบ็ดเอง’**ที่ต่อมากลายเป็นเรื่องเล่าขานสนุกสนานเรื่อยมาถึงอนุชนรุ่นหลัง ตอนนั้นนางไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าเจียงจื่อหยามีความเฉลียวฉลาดอะไร ขณะที่นางกระสับกระส่ายเป็นทุกข์ก็รู้สึกดีใจแทนเจียงจื่อหยา โชคดีที่ซั่งฟู่ไม่ได้ตกปลาหาเลี้ยงชีวิต หาไม่อดตายคนเดียวไม่พอ ยังต้องหิวตายทั้งบ้าน…

    วันที่รู้ว่าเจียงจื่อหยามีฉายาทางพรตว่า‘เฟยสยง (หมีบินได้)’ นางก็คล้ายถูกกรอกสติปัญญาเข้าไปในสมอง ความฝันตอนอยู่ในโลงปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอย่างชัดแจ้ง ท่านแม่พูดผิดไปจริงๆ คนผู้นั้นไม่ได้ชื่อ ‘สยงเฟย’หากแต่มีฉายาว่า‘เฟยสยง’คนที่ช่วยเหลือนางช่วยชีวิตนางผู้นั้นที่แท้ก็คือซั่งฟู่

    วันนั้นนางนิ่งเงียบผิดปกติ นั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าตำหนักถอนต้นหญ้าเล่นอยู่คนเดียว บัดเดี๋ยวเบิกบานบัดเดี๋ยวเศร้าใจ เดี๋ยวก็ทอดถอนใจเดี๋ยวก็เหม่อลอย โจวกงตั้นหนีบม้วนหนังสือเดินผ่านหน้านางไป คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถอยหลังกลับมากล่าวอย่างแปลกใจ “ตวนมู่ เจ้าทำอะไรหรือ”

    “ข้ากำลังคิด” นางวางมาดเป็นนักคิดออกมา ในดวงตาที่ใสกระจ่างมีประกายเลือนรางล่องลอยไกลโพ้น “เรื่องความฝัน ช่างแปลกประหลาดเสียจริง”

    “มีอะไรแปลกประหลาดหรือ“ โจวกงตั้นรู้สึกประหลาดใจ

    “ก็แปลกประหลาดมาก” นางกล่าว “เจ้าคิดดู คนผู้หนึ่งฝัน ถึงกับบ่งบอกเรื่องที่จะต้องพบเจอในวันข้างหน้าได้ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ยิ่งหรือ เปรียบกับการเสี่ยงทายกระดองเต่าเหล่านั้นแล้วยังมหัศจรรย์กว่า”

    คิดไปคิดมานางก็ระบายลมหายใจยาว ตบๆ บ่าโจวกงตั้นราวกับคนแก่มีประสบการณ์มาก “โจวกงตั้น เจ้าเฉลียวฉลาดเพียงนี้ จะต้องทำความเข้าใจว่าความฝันหมายความว่าอย่างไรได้แน่ ทำได้แน่นอน!”

    หลังจากโจวกงตั้นงุนงงเหมือนจมอยู่ในเมฆหมอกแล้ว ตวนมู่ชุ่ยก็เดินจากไปไกล นางดึงทึ้งต้นหญ้ามาทั้งวัน หิวจนทนไม่ไหว อยากจะกินแป้งหมี่คลุกน้ำสักชามยิ่งนัก

    นักพยากรณ์ตวนมู่ชุ่ยจับพลัดจับผลูตีถูก แมวตาบอดยังเจอหนูตายได้ ทั้งชีวิตก็มีเพียงเรื่องนี้ที่ทำนายล่วงหน้าได้น่าประทับจิตประทับใจ ความมุ่งมาดปรารถนาเดิมของโจวกงตั้นก็คือเป็นปรัชญาเมธีแห่งยุค หลังจากตวนมู่ชุ่ยชี้ทางให้เช่นนี้ เขาก็เห็นว่าแบ่งเวลาสักเล็กน้อยมาศึกษาค้นคว้าแนวทางทำนายความฝันก็ใช่จะไม่ได้

     

    แม้คนจำนวนมากต่างชื่นชมคำพูดที่บ่งบอกถึงความกล้าหาญชาญชัยประเภท‘ยอมเป็นหยกที่แตกหัก ไม่ขอเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์’*ยอมตายอย่างมีคุณค่าเพื่อปกป้องคุณธรรมอะไรทำนองนั้น แต่เมื่อเรื่องมาอยู่ตรงหน้า ต้องเผชิญกับตัวเข้าจริงๆ ส่วนใหญ่ก็ยังคงอยากปฏิบัติตามคำพูดที่ว่า ‘ตายอย่างมีคุณค่าไม่สู้มีชีวิตอยู่ต่อไป’มากกว่า

    มีชีวิตอยู่มีอะไรไม่ดีเล่า มีสายลมเย็นโลมไล้ใบหน้า มีชาหอมสุรารสเลิศ มีเพลงพื้นเมืองฟัง มีงิ้วเรื่องใหม่ดู มีของว่างแปลกๆ รสชาติใหม่ มีสิ่งที่ไม่รู้และเฝ้ารอคอยนับไม่ถ้วน แต่ถ้าตายแล้วคืออะไร คือน้ำชาเย็นชืด คือตะเกียงดับ คือทุกอย่างจบสิ้น

    ตวนมู่ชุ่ยยังไม่อยากตาย

    ชั่วเวลาประกายไฟแลบ มีความคิดอย่างหนึ่งวาบเข้ามาในกระบวนความคิดที่สับสนอลหม่านของนางส่องสว่างจนเข้าใจแจ่มชัด นางสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใดยื่นมือไปกุมคอเสื้อจั่นเจาแน่น “จั่นเจา…”

     

    เรื่องเกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันกะทันหัน แทบจะไม่เหลือที่ให้จั่นเจาได้ตื่นตระหนกหรือวินิจฉัยใดๆ เขารีบโน้มตัวเข้าไปประคองร่างที่โงนเงนจะล้มลงไปของตวนมู่ชุ่ย ยื่นนิ้วมือออกไปดุจสายฟ้า จี้สกัดจุดสำคัญต่างๆ ทั่วร่างของนาง จากนั้นเขาก็งงงันไม่รู้จะทำอะไร เห็นโลหิตไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของนาง สีโลหิตดุจอีกา พิษร้ายแรงเพียงนี้ ‘ช่วยไม่ได้แล้ว’สี่คำนี้หมุนวนแผ่ขยายอยู่ในสมองไปมา ริมฝีปากของเขาแห้งผาก หัวใจทั้งดวงคล้ายเชือกที่ขาดผึงจากเสากระโดงเรือ ไม่รู้ร่วงหล่นไปที่ใด

    ขณะทึ่มทื่อทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนตวาดขึ้น “สารเลว!”

    จั่นเจาเงยหน้าขึ้นอย่างงงงวย ตรงม่านกระโจมไม่รู้มีคนผู้หนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมแม่ทัพ ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง แต่ในดวงตากลับร้อนแรงด้วยเพลิงโทสะยากยับยั้ง พอสิ้นเสียงตวาด ทวนสามแฉกที่สองข้างเป็นดาบคมในมือก็วาดผ่านอากาศเป็นเส้นโค้งสีดำลงมาอย่างฉับไว เสื้อคลุมกางออกราวกับปีกนกยักษ์ พัดม้วนสรรพสิ่งให้เข้าไปอยู่ในกลิ่นอายของจิตสังหาร กวาดไปทางใดก็แหลกราบไปทางนั้น ทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน

    เพียงเพราะตวนมู่ชุ่ยยังอยู่ในอ้อมแขนของเขา หยางเจี่ยนจะปาใส่หนูก็กลัวถูกของมีค่าด้านข้าง การโจมตีครั้งนี้เพียงขู่ขวัญสยบจิตใจเท่านั้น ไม่ได้จะเอาชีวิตเขาจริงๆ หาไม่จั่นเจาในยามนี้จิตใจสับสนว้าวุ่น เกรงว่ายากจะต้านรับการจู่โจมได้

    ยังไม่พูดถึงว่าจั่นเจากระทั่งทวนมาถึงกลางศีรษะถึงได้สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ภายใต้ความร้อนรน เขาเอาที่นั่งเป็นแกน ย่อตัวหมุนหลบ ปลายทวนเฉียดผ่านใบหน้า แรงลมเสียดสีทำให้ผิวหนังบนใบหน้าของเขารู้สึกเจ็บ เขาเข้ามาในกระโจมกลางดึก ไม่ได้พกจวี้เชวี่ยติดตัวมาด้วย ความคิดหมุนเร็วรี่ ร่างยังไม่ทันหยัดขึ้น ขาก็ออกแรง หลังเท้าเกร็งแข็งดุจเหล็กเตะโต๊ะอาหารขึ้นไปทันที กล่องใส่อาหารพลิกคว่ำ น้ำแกงข้นสาดกระเซ็นไปทั่ว เขาฉวยโอกาสในพริบตานั้นหนีบร่างตวนมู่ชุ่ยพลางคว้าหอกติดโซ่ที่ข้างหมอนนางกวัดแกว่งออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง กรีดผนังด้านหลังกระโจมฉีกขาดเป็นช่อง ทะยานร่างออกไปทันที

    เพิ่งจะออกจากกระโจมก็อดสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้ เพียงเห็นรอบด้านคบเพลิงสั่นไหววับแวม ดาบ ง้าว หอกสาดประกายวาววับพุ่งคมเข้ามาหา ทหารในค่ายตวนมู่ล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีสมคำเล่าลือ เพียงชั่วครู่เดียวพอรู้ว่ากระโจมหลักเกิดเรื่องขึ้นก็กรูเข้ามาโอบล้อมด้านนอกเอาไว้หมดแล้ว

    มีเสียงหัวเราะเยาะหยันดังมาจากด้านหลัง เป็นหยางเจี่ยนไล่ตามมาจากช่องที่ขาดในกระโจมหลัก จั่นเจาในมือไร้อาวุธรู้ว่ายากจะหนีรอดไปได้ ริมฝีปากเรียวบางเม้มแน่นไม่พูดอะไร เพียงก้มหน้าลงมองตวนมู่ชุ่ย ลมหายใจของนางเหลือเพียงเส้นใยบางๆ แล้ว จั่นเจาลำคอตีบตัน หัวใจคล้ายถูกฉีกกระชากอย่างแรง เอ่ยกับหยางเจี่ยนเสียงแหบพร่า “นางไม่ไหวแล้ว ท่าน…”

    เขาคิดจะให้หยางเจี่ยนเรียกหมอที่ติดตามกองทัพมา ไหนเลยจะรู้คำพูดยังพูดไม่ทันจบ คอเสื้อด้านหน้าพลันรัดแน่น ตวนมู่ชุ่ยกุมคอเสื้อเขาไว้แน่น เอ่ยเสียงแหบแห้ง “จั่นเจา…”

    จั่นเจาอึ้งตะลึง ก้มหน้าลงไปฟัง คำพูดของนางไม่มาก เสียงอ่อนล้าแทบไม่ได้ยิน แต่เขากลับได้ยินชัดเจนทุกคำ ภายใต้จิตใจที่สั่นไหวไม่สงบ ภาพเบื้องหน้าปิดคลุมไปด้วยม่านน้ำตา พลันรู้สึกหนักอึ้งที่แขน ตวนมู่ชุ่ยสิ้นลมแล้ว

    จั่นเจากัดริมฝีปากแน่น ค่อยๆ ลุกขึ้นมายืน ส่งยิ้มจางๆ ให้หยางเจี่ยน “แม่ทัพตวนมู่ถูกพิษร้ายแรง ถ้าท่านกับข้าต่างยังไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเช่นนี้ พลาดโอกาสไป ชีวิตของนางก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ไยไม่เปิดทางสักทาง ท่านปล่อยข้า ข้าปล่อยคน ต่างไม่เกี่ยวข้องกัน ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย”

    ตอนหยางเจี่ยนเข้ามาในกระโจม เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าตวนมู่ชุ่ยถูกลอบทำร้าย เวลานี้เห็นนางฟุบอยู่ในอ้อมแขนจั่นเจาไม่ขยับก็ไม่รู้ว่านางตายแล้ว เพียงเข้าใจว่านางถูกบีบบังคับจับตัวไว้ ในใจเดือดดาลจนไม่อาจระงับไว้ได้ ชั่วชีวิตของเขาเกลียดการถูกคนข่มขู่ที่สุด หากไม่ใช่ตวนมู่อยู่ในมือของจั่นเจา เขาจะต้องสับร่างจั่นเจาเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นในทันที ไหนเลยจะยอมให้หนีรอดไปได้

    เพียงแต่เมื่อจั่นเจาเอ่ยคำพูดนี้ออกมา กลับเหมือนโยนหินลงน้ำก้อนเดียวก่อให้เกิดคลื่นแตกฉานซ่านเซ็นเป็นชั้นๆ*ทหารในค่ายตวนมู่ที่อยู่รอบด้านต่างโกลาหลอลหม่านขึ้นมา พึงรู้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนในชนเผ่าตวนและชนเผ่าอวี๋ซาน ยามนี้จิตใจจดจ่ออยู่กับความเป็นตายของท่านแม่ทัพ ไหนเลยจะมาคำนึงถึงความคิดของหยางเจี่ยน ขณะที่มองหน้ากันไปมาด้วยความกระวนกระวายใจ พวกเขาก็ถึงกับเปิดทางออกทางหนึ่งให้เอง

    จั่นเจาเห็นแล้วก็คลี่ยิ้มบาง ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นคนผู้หนึ่ง เขาถึงกับตะลึงงันไปทันที

    อาหมียืนอยู่กลางวงล้อม ในดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวังและไม่อยากจะเชื่อ นางยิ้มเศร้า “จั่นเจา เจ้าเป็นผู้สอดแนมของเจาเกอจริงๆ”

    จั่นเจาหลุบตาลงเล็กน้อย เขาไม่อยากโกหกอาหมี แต่มาถึงขั้นนี้โกหกก็ช่างแก้ต่างก็ดี ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนักแล้ว เขาไม่อยากเสียเวลาต้องรักษาชีวิตเอาไว้ เขายังมีงานต้องทำ

    ขอบตาของอาหมีมีม่านน้ำค่อยๆ เอ่อท้นขึ้นมาชั้นหนึ่ง ขณะดวงตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา นางได้ยินเสียงราบเรียบอ่อนโยนของจั่นเจา “เจ้าคิดว่าใช่ ก็ใช่เถิด”

    พูดยังไม่ทันสิ้นเสียง ร่างของจั่นเจาก็ทะยานขึ้นในฉับพลันประหนึ่งกระสาเดียวดายทะยานขึ้นฟ้า กระโจนสูงหลายจั้ง ขณะอยู่กลางอากาศก็พลันปล่อยมือ ร่างของตวนมู่ชุ่ยร่วงหล่นลงมา ด้านล่างสับสนอลหม่านร้องตะโกนเอะอะขึ้นมาทันที เวลานี้ขณะนี้ไล่ตามจับจั่นเจาสักแปดคนสิบคนก็ไม่สำคัญเท่าคุ้มครองท่านแม่ทัพ

    ยอดฝีมือประมือกัน จะเอาตัวรอดยามคับขัน สิ่งที่ต้องการไม่มีอะไรมากไปกว่าโอกาสชั่วพริบตาเดียวนี้ จั่นเจาฉวยจังหวะในช่วงที่ทุกคนกำลังวุ่นชุลมุนพุ่งทะยานออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว แต่โดยเนื้อแท้แล้วในใจยังเป็นห่วงตวนมู่ชุ่ย ที่ใช้กระบวนท่านี้ออกไปก็ด้วยความจำเป็นบีบบังคับ ถ้าไม่ใช่สถานการณ์คับขันจริงๆ ไม่ว่านางจะเป็นหรือตายเขาก็ไม่มีทางทอดทิ้งนาง

    เขากลัวว่าจะไม่มีคนรับร่างนางไว้

    ตอนรีบหันกลับไปมอง เห็นหยางเจี่ยนรับร่างตวนมู่ชุ่ยไว้ได้ ครั้นพบว่าตวนมู่ชุ่ยขาดใจแล้วก็คำรามเสียงต่ำราวสัตว์ร้ายบาดเจ็บออกมา หยางเจี่ยนเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น สายตาสบประสานกับจั่นเจาเข้าพอดี

    เป็นแววตาที่คมกริบกระหายเลือด เย็นยะเยือก และอำมหิตอย่างที่สุด เจอเทพสังหารเทพ เจอพระสังหารพระ

    จั่นเจาในใจสั่นสะท้าน ขนลุกชันด้วยความหนาวเหน็บ

    ทว่าเขาไม่ได้ชะงักงันแม้แต่น้อย และหายลับไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

    ทหารทั้งหลายต่างกรูเข้ามาห้อมล้อมหยางเจี่ยน ไม่รู้ใครส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกขึ้นมาก่อน “ท่านแม่ทัพตายแล้ว!”

    ความตื่นตระหนกตกใจกระวนกระวายและความหวาดผวาประหวั่นพรั่นพรึงแผ่ขยายออกไปราวกระแสน้ำ เสียงดาบง้าวตกกระทบพื้นดังขึ้นตรงโน้นทีตรงนี้ที มีคนจู่ๆ ก็ร้องตะโกนร่ำไห้ออกมา มีคนสะอื้นไห้เบาๆ อย่างสะกดกลั้นความรู้สึก มีคนนั่งแปะลงไปกับพื้นตัวแข็งค้างไม่ขยับ

    หยางเจี่ยนรู้สึกวุ่นวายใจเป็นที่สุด ตวาดขึ้น “สารเลว ตะโกนอะไรกัน!”

    เสียงนี้โคจรพลังอย่างเต็มเปี่ยม สั่นสะเทือนจนทุกคนในที่นั้นแก้วหูดังอึงอล ทั่วบริเวณเงียบกริบไปชั่วขณะ

    ได้ยินหยางเจี่ยนกล่าวเสียงเยียบเย็น “ส่งสัญญาณไฟปิดประตูเมือง นับแต่บัดนี้ ไม่มีคำสั่งของข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกเมืองอันอี้”

    เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ข่าวเรื่องแม่ทัพตวนมู่ถึงแก่กรรม ห้ามทุกคนพูดออกไปแม้แต่คำเดียว ใครแพร่งพราย ตัดหัว!”

     

    เมืองอันอี้ในค่ำคืนนี้พูดได้ว่าทั่วทั้งเมืองมีแต่ความหวาดหวั่นขวัญผวา แทบจะไม่มีบ้านใดไม่ถูกบุกรุกก่อกวน ทหารซีฉีพังประตูเข้ามาด้วยท่าทางดุดัน เที่ยวรื้อค้นไปทั่ว ในตรอกซอกซอยมีคบเพลิงไหววูบ ส่องสะท้อนท้องฟ้ายามราตรีสว่างไสวแดงฉานไปครึ่งแผ่นฟ้า

    ขาดแต่เพียงขุดพื้นดินลงไปสามเชียะ

    ฝ่ายจั่นเจาที่ใดก็ไม่ได้ไป เขาอยู่ในกระโจมทหารที่พักของตน ฟังคนด้านนอกกระโจมส่งเสียงเอะอะวุ่นวาย เขาอำพรางตัวอยู่ในมุมมืดเงียบๆ ลูบไล้ดอกบัวทะลุใจของตวนมู่ชุ่ยเล่มนั้นไปมา

    เมื่อครู่นางบอกกับเขา‘จั่นเจา ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง เช่นนั้นเจ้าจงรอ ข้าจะให้นางมาหาเจ้า’

    4 of 4หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook