• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ความลับแห่งสามก๊ก เล่ม 1 ตอนที่ 1

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    บทนำ

    แค่นิทานเรื่องหนึ่งเท่านั้น

     “นี่เป็นนิทานที่มิอาจเปิดเผยได้ตลอดไป”

    เฉินโซ่ว (ตันซิ่ว)นั่งคุกเข่าอยู่ในห้อง พูดกับผนังสีขาวว่างเปล่า เงาบนผนังวูบไหวไปมาตามแสงเทียนคล้ายกำลังหัวเราะเยาะเขา

    “แต่ข้าอยากบันทึกมันเอาไว้ ใช่ว่าราชอาลักษณ์ทุกคนจะมีโอกาสเช่นนี้” เฉินโซ่วหยิบพู่กันขึ้นมา ทำท่าแตะแต้มกลางอากาศ ดวงตาเปี่ยมด้วยประกาย

    เงานั้นขยับไหวต่อ ในมุมหนึ่งของผนังห้อง ม้วนตำรา ‘จดหมายเหตุสามก๊ก’ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ซ้อนกันเป็นภูเขา เฉินโซ่วถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “ข้าใช้เวลาสิบกว่าปี แต่ไม่ทำให้ราชสำนักผิดหวัง บันทึกประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปลายราชวงศ์ฮั่นจนถึงต้นราชวงศ์จิ้นจนสำเร็จ ตอนนี้ในที่สุดก็ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบบ้างแล้ว”

    เขาพูดพลางเบือนสายตาไปทางอื่น จาก ‘จดหมายเหตุสามก๊ก’ ไปยังซีกไม้ไผ่และม้วนแพรไหมผุเก่ากองใหญ่ พวกมันแผ่กลิ่นอับชื้นและถูกวางกองไว้อย่างไม่ใส่ใจ บนนั้นมีตัวหนังสือมากมายที่ลายมือแตกต่างกัน ดูออกว่ามิได้มาจากบุคคลคนเดียวกัน ช่องว่างระหว่างตัวอักษรบางตัวยังมีคราบเลือดสีน้ำตาลเข้มอยู่ด้วย ซีกไม้ไผ่บางซี่มีรอยฟาดฟันจากกระบี่ที่เห็นแล้วน่าตกใจ

    เฉินโซ่วหลับตาลงและตั้งใจฟัง เสียงทุ้มต่ำนับไม่ถ้วนลอยล่องออกมาจากกองกระดาษเก่าๆ พวกมันกำลังพึมพำ กำลังบอกเล่า เฉินโซ่วยกพู่กันในมือขึ้นเหมือนถูกวิญญาณในกองกระดาษเหล่านั้นควบคุมบงการ และจรดลงบนซีกไม้ไผ่ขาวสะอาดอย่างช้าๆ เขียนตัวอักษรที่ชัดเจนและเป็นระเบียบออกมา

    นี่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นเพียงนิทานเรื่องหนึ่ง เรื่องเล่าที่ถูกลืมเลือนมาหลายสิบปีและกำลังจะสลายกลายเป็นผุยผง สายน้ำแห่งกาลเวลาไหลย้อนกลับไปเมื่อรัชศกเจี้ยนอันปีที่สี่

    บทที่ 1

    เมืองสวี่ตู ลูกธนูบนสาย*

     หยางผิงพ่นไอสีขาวเบาๆ ออกมา สายธนูเอ็นวัวในมือถูกน้าวจนสุด คันธนูนอแรดส่งเสียงเอี๊ยดๆ หัวลูกธนูเล็งไปยังกวางตัวหนึ่งที่ห่างออกไปยี่สิบจั้ง กวางตัวนั้นเร้นตัวอยู่ในป่าไป๋ฮว่า**กำลังเล็มใบไม้แห้งสีเหลืองพุ่มหนึ่งอย่างสงบโดยไม่ตระหนักถึงภัยที่กำลังจะมาเยือนสักนิด ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ป่าที่โปร่งโล่งมิอาจให้ความคุ้มครองมันได้ กิ่งก้านที่ไร้ใบและพุ่มไม้ยื่นตัดกันไปมาอยู่ตรงหน้าดูคล้ายกรงขังตามธรรมชาติ กักขังร่างใหญ่โตของมันไว้ภายใน

    ตอนนี้สิ่งที่หยางผิงต้องทำก็คือปล่อยนิ้วชี้กับนิ้วกลางที่น้าวสายธนูอยู่เบาๆ หลังจากนั้นลูกธนูคมกริบจะพุ่งผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ แทงทะลุขนสีน้ำตาลอมเหลือง ชำแรกผ่านเลือดเนื้ออุ่นร้อนและปักเข้าหัวใจมันในชั่วพริบตา

    เวลาผ่านไปชั่วพริบตาหนึ่ง หรืออาจเป็นชั่วครู่ใหญ่ นิ้วมือของหยางผิงพลันขยับ

    ลูกธนูประดับขนนกดอกหนึ่งถูกยิงออกไป ปักลงบนลำต้นไป๋ฮว่าอย่างมั่นคง อยู่ห่างจากกวางหมีลู่***ไปเพียงไม่กี่นิ้ว กวางหมีลู่ตกใจสะดุ้งโหยง ลำตัวกระแทกต้นไม้ข้างๆ จนสั่นไหว และเหยียดเท้าทั้งสี่วิ่งหนีเข้าไปในป่าลึกอย่างตื่นลน ไม่นานก็หายลับไป

    หยางผิงยืดตัวขึ้น ทอดสายตามองไปยังป่าที่ว่างเปล่าและเผยรอยยิ้มฝืดที่แฝงความหมายลึกซึ้งออกมา เขาปักธนูนอแรดลงบนดินและเดินเข้าไปในป่า ออกแรงดึงก้านธนูที่ปักอยู่บนต้นไม้ออกมา ลูบขนนกที่บิดเบี้ยวให้เข้าที่ ก่อนจะเสียบลูกธนูกลับลงในกระบอก

    เด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับเขาปีนขึ้นมาจากกองหิมะพลางปัดเศษหิมะตามตัวออก หยางผิงเดินกลับออกจากป่า ทำมือเป็นสัญลักษณ์ว่าน่าเสียดาย เด็กหนุ่มผู้นั้นจ้องรอยลูกธนูบนลำต้นไป๋ฮว่า ดวงตาฉายแววไม่พอใจ “ด้วยฝีมือของเจ้า จะพลาดในระยะใกล้ถึงเพียงนี้หรือ”

    “นั่นเป็นแม่กวางตัวหนึ่ง” หยางผิงพยายามชี้แจง “ท้องมันโตอย่างนั้น ไม่แน่อีกไม่นานคงจะคลอดแล้ว”

    “หากเจ้ามีใจเมตตาเช่นนี้ก็เอาลูกธนูมาให้ข้าเถอะ!”เด็กหนุ่มพูดเสียงขุ่นแล้วหยิบลูกธนูจากกระบอกของหยางผิงมาใส่กระบอกของตน

    หยางผิงปั้นยิ้มเก้อ “พอคิดว่ากำลังจะมีลูกกวางมาเกิด เฝ้ารออาหารและการฟูมฟักเลี้ยงดู ข้าหรือจะลงมือได้ คนโบราณทำศึกยังไม่ฆ่าเด็ก ไม่จับคนแก่ นับประสาอะไรกับกวางหมีลู่ที่กำลังท้องแก่เล่า”

    เด็กหนุ่มถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “กวางหมีลู่ท้องแก่ เจ้าบอกว่าตัดใจลงมือมิได้ ไก่ป่าปกป้องครอบครัว เจ้าจะสงเคราะห์ เล็งถูกห่านหงส์ เจ้าก็บอกว่าผู้เมตตาไม่ขัดขวางสัตว์ที่จะกลับรังอีก…นี่เจ้ามาล่าสัตว์หรือมาเทศนาธรรมกันแน่ พวกเราดักรออยู่ที่นี่ทั้งวันแล้ว สองมือยังคงว่างเปล่า!” พูดจบเขาก็แบมือทั้งสองข้างและสะบัดแรงๆ หลายที

    หยางผิงตอบ “จ้งต๋าเจ้าอย่าโมโหเลย ประเดี๋ยวข้าจะไปวนดูในป่าอีกครั้ง บางทีอาจล่ากระต่ายป่าหรือกวางเผาจื่อ****ได้”

    คิ้วบางของเด็กหนุ่มเลิกขึ้น สีหน้าขุ่นเคืองหายไปและพูดเสียงเรียบ “ช่างเถอะ…ฟ้าจะมืดแล้ว พวกเรารีบกลับเข้าเมืองดีกว่า หาไม่ท่านพ่อกับพี่ใหญ่คงได้บ่นอีกแน่” พูดจบเขาก็หันหลังเดินกลับ ทิ้งแผ่นหลังไว้ให้หยางผิงดู หยางผิงรู้นิสัยอีกฝ่ายดีจึงไม่โต้แย้งและสะพายคันธนูไว้บนหลังเงียบๆ พันผ้าโพกหัวและเดินตามไป

    ทั้งสองย่ำหิมะออกจากป่าอย่างยากลำบาก ตีนเขามีทหารล้อมวงรอบกองไฟหาความอบอุ่น ต้นไม้ด้านข้างมีอาชาซีเหลียง (เสเหลียง)ผูกอยู่สองตัว ครั้นเห็นพวกเขาทั้งสองลงจากเขา เหล่าทหารก็พากันร้องตะโกน “คุณชายซือหม่ากับคุณชายหยางกลับมาแล้ว” พวกทหารบ้างก็ย่ำกองไฟให้ดับ บ้างก็จูงม้า ยังมีบางคนเทสุราที่อุ่นไว้ใส่ถุงหนังยื่นให้พวกเขา

    เด็กหนุ่มรับถุงหนังมากรอกสุราใส่ปากอึกหนึ่งแล้วโยนให้หยางผิง จากนั้นเหวี่ยงตัวขึ้นขี่อาชา หยางผิงรับมาจิบคำหนึ่งอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนส่งคืนให้ทหารและขึ้นขี่อาชาอีกตัว พลทหารเหล่านั้นเห็นทั้งสองกลับมามือเปล่าก็รู้ว่าวันนี้ล่าสัตว์ไม่ได้จึงไม่กล้าซักไซ้ เด็กหนุ่มกวาดตามองซ้ายมองขวารอบหนึ่งและโบกมือสั่ง “กลับเมืองเถอะ!”

    เหล่าทหารพากันเก็บเครื่องมือตั้งกระโจมและเดินตามหลังม้าไป เด็กหนุ่มควบม้าไปกับหยางผิง แต่กลับจงใจเมินเขา เพียงจับเชือกบังเหียนสายตากวาดมองไปทั่ว ท่วงท่าในการหันไปมาไม่เหมือนคนธรรมดา สองไหล่ไม่ขยับ ร่างเคลื่อนไหวน้อย แต่กลับว่องไวยิ่ง พริบตาเดียวก็หันจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง เหมือนหมาป่าที่ระแวดระวัง

    “อันที่จริงปกติข้ายิงธนูบนหลังม้าแม่นมาก เพียงแต่พอคิดว่าต้องยิงสิ่งมีชีวิต ข้าก็อดบังเกิดความสงสารไม่ได้ ข้าได้ยินมาว่าสุภาพชน…”

    ได้ยินหยางผิงพูดพล่ามอีกแล้ว เด็กหนุ่มรั้งเชือกบังเหียนและพรูลมหายใจยาว “ฟ้าดินไร้เมตตา สรรพสิ่งดั่งหนึ่งสุนัขฟาง*อี้เหอ**นิสัยเจ้าอ่อนโยนเกินไป นี่มันยุคสมัยใดแล้ว เจ้ายังจะคร่ำครึถึงเพียงนี้ เรื่องราวของซ่งเซียงกง***เจ้าไม่เคยอ่านรึ ใจอ่อนเยี่ยงสตรี!”

    หยางผิงตอบ “ข้าไม่เหมือนเจ้า เจ้ามีปณิธานอันยิ่งใหญ่ แต่ข้าอย่างมากก็เป็นได้แค่ผู้ปกครองท้องถิ่นในรัศมีร้อยลี้เท่านั้น ได้เป็นนายอำเภอช่วยเหลือชาวบ้าน ดูแลพื้นที่ให้สงบก็พอใจแล้ว”

    เด็กหนุ่มหัวเราะหยัน “เหอเน่ยของพวกเราสี่ทิศมีแต่ศัตรู เจ้าลองนับดู ต่งจ้งอิ่ง หยวนเปิ่นชู เฉาเมิ่งเต๋อ หลี่ว์เฟิ่งเซียน หยวนกงลู่****เจ้าครองแคว้นคนใดบ้างที่ไม่หมายตาที่นี่ เจ้าอยากหลบไปใช้ชีวิตอย่างสงบ เกรงว่าต้นไม้อยากสงบลมไม่อยากหยุดพัดน่ะสิ”

    พูดจบเขาก็สะบัดแส้หวดลงบนสะโพกม้าดังกังวาน อาชาแผดเสียงร้องและห้อตะบึงไปข้างหน้า ทิ้งห่างคนข้างหลังไปไกล หยางผิงได้แต่ยิ้มขื่นและสะบัดแส้ไล่ตามไป กลุ่มทหารที่ตามอยู่ข้างหลังต่างหอบหายใจแฮกๆ

    ไม่นานพวกเขาก็เข้าสู่ถนนหลวง ไปตามทางอีกกว่าหนึ่งชั่วยามก็มองเห็นอำเภอเวินเซี่ยนอยู่รางๆ ไม่ไกลแล้ว เด็กหนุ่มห้อตะบึงไม่หยุดจนแผ่นหลังกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ ห่างไกลออกไป ดูเหมือนเขาตั้งใจจะควบทะยานเข้าไปในเมืองทั้งอย่างนี้ ทว่าหยางผิงเห็นเหล่าทหารวิ่งตามจนหายใจแทบไม่ทันก็พลันสงสาร จึงลดความเร็วลง ปล่อยให้ม้าค่อยๆ เดินไปข้างหน้า

    ยามนี้ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว เห็นรอยหิมะบนกำแพงเมืองสีเทาไกลๆ อย่างเลือนราง ท้องฟ้าเหนือเมืองมีควันไฟจากการหุงหาอาหารม้วนตัวขึ้นมาหลายสาย หัวใจของหยางผิงบังเกิดกระแสอบอุ่น อำเภอเวินเซี่ยนไม่ใช่บ้านเกิดเขา แต่กลับเป็นสถานที่ที่เขาโตมาตั้งแต่เด็ก เป็นบ้านของเขา มีคนสนิทและสหายอยู่มากมาย เรื่องนี้มักทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ จะว่าไปแล้วหยางผิงค่อนข้างเป็นคนอ่อนไหว เหมือนบัณฑิตที่เชี่ยวชาญการประดิดประดอยคำพูดคนหนึ่ง…แม้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะมีทักษะการยิงธนูโดดเด่น กล่าวได้ว่าเป็นยอดฝีมือในอำเภอเวินเซี่ยนก็ตามที

    หยางผิงเกิดในรัชศกกวงเหอปีที่สี่ บิดาเขาหยางจวิ้นเป็นชาวอำเภอฮั่วจยาในเหอเน่ย เป็นสกุลใหญ่ในท้องถิ่น แต่เนื่องจากหวาดเกรงความวุ่นวายจากสงคราม บิดาเขาจึงนำชาวบ้านกว่าร้อยครัวเรือนลี้ภัยเข้าไปอยู่ในป่า แต่ไม่รู้เหตุใดหยางจวิ้นจึงไม่ได้พาหยางผิงไปด้วย แต่กลับนำมาฝากเลี้ยงที่บ้านซือหม่าฝาง (สุมาหอง) สหายรัก สกุลซือหม่ามีอำนาจกว้างขวางในอำเภอเวินเซี่ยน มีป้อมค่ายหลายสิบแห่ง ทหารหลายพันนาย สามารถปกป้องตัวเองได้ไม่มีปัญหา

    ดังนั้นหยางผิงจึงอาศัยอยู่ที่บ้านสกุลซือหม่าตั้งแต่เล็ก เติบโตมากับบุตรชายทั้งหลายของซือหม่าฝาง

    เด็กหนุ่มที่ควบม้านำหน้าขบวนนั้นคือซือหม่าอี้(สุมาอี้)ชื่อรองจ้งต๋า บุตรชายคนรองของซือหม่าฝาง ซือหม่าอี้สนิทสนมกับหยางผิงมากที่สุด เล่นสนุกด้วยกัน เล่าเรียนด้วยกัน ต่อสู้กัน ความสัมพันธ์เหมือนพี่น้องแท้ๆ ซือหม่าอี้มักบอกว่าหยางผิงดีทุกอย่าง มีเพียงนิสัยอ่อนโยนที่เขารับไม่ได้และพยายามจะแก้นิสัยให้อยู่ตลอด หยางผิงอ่อนน้อมถ่อมตนก็จริง แต่แท้จริงแล้วกลับดื้อรั้นมาก ทั้งสองทะเลาะกันไปมา พริบตาเดียวก็ถึงรัชศกเจี้ยนอันปีที่สี่ หยางผิงอายุสิบแปด ซือหม่าอี้อายุยี่สิบ ล้วนอยู่ในวัยฮึกเหิมเปี่ยมด้วยพละกำลัง หากอยู่ในยุคสันติ พวกเขาคงอาศัยอำนาจของสกุลเข้าสอบคัดเลือกเขตเมืองเขตมณฑล รับตำแหน่งเป็นขุนนาง หลังจากรับราชการที่ส่วนกลางสักสองสามปี อาจรั้งอยู่ในราชสำนักหรือไปเป็นนายอำเภอหรือรองเจ้าเมืองในท้องถิ่น หากโชคดีอาจได้เข้าเป็นเก้าเสนาบดี* ก่อนอายุสี่สิบ ได้รับการอวยยศ นำชื่อเสียงเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลไม่สิ้นสุด

    น่าเสียดายที่บัดนี้ใต้หล้าวุ่นวาย ‘ราชสำนักต้าฮั่น’ เหลือเพียงกษัตริย์อ่อนแอกับขุนนางชรากลุ่มหนึ่ง ต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงและพลัดจากถิ่นฐานหลายครั้งท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของเจ้าครองแคว้นทั้งหลาย สถานการณ์อนาถยิ่งนัก เมื่อไม่กี่ปีมานี้จักรพรรดิต้าฮั่น**เพิ่งปักหลักในเมืองสวี่ตู(ฮูโต๋)และรักษาชีวิตรอดมาได้ภายใต้การปกป้องของเฉาเชา (โจโฉ) ขุนนางใหญ่และชนชั้นสูงทั้งหลายเผชิญความยากลำบาก ดังนั้นสกุลใหญ่ในหลายท้องที่จึงเก็บเขี้ยวเล็บ ดึงลูกหลานตัวเองเข้ามาอยู่ในความคุ้มครอง คอยเฝ้าดูสถานการณ์อย่างระมัดระวัง

    ใต้หล้ามีคนหนุ่มอย่างซือหม่าอี้กับหยางผิงจำนวนมาก ทั้งที่ผ่านวัยเข้าพิธีสวมหมวกมาแล้ว แต่ยังคงเร้นตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เฝ้ารออย่างสงบหรือร้อนใจเพื่อจะได้กระพือปีกโผบินอีกครั้ง

    หากได้ใช้ชีวิตอย่างนี้ตลอดไปก็คงดี ล่าสัตว์ ทะเลาะกับซือหม่าอี้ อ่านตำราสองสามม้วน ดื่มเหล้าสองสามกา…

    จู่ๆ หยางผิงก็คิดถึงเรื่องพวกนี้ จากนั้นก็บีบจมูกตัวเองอย่างเยาะหยัน ใจคิดว่าซือหม่าอี้ต้องด่าเขาว่าไม่เอาไหนแน่ๆ

    เสียงเกือกม้าเร่งร้อนขัดจังหวะความคิดหยางผิง เขามองตามเสียง เห็นเป็นซือหม่าอี้ควบม้าย้อนกลับมา คนที่ตามมาด้วยเป็นชายสูงวัยคนหนึ่ง ครั้นจำได้ว่าเขาคือพ่อบ้านในจวนซือหม่าฝางก็ให้ประหลาดใจ เพียงพริบตาเดียวซือหม่าอี้กับพ่อบ้านก็ปราดมาอยู่ตรงหน้า พ่อบ้านสูงวัยหอบแฮกๆ ขณะพูด “คุณชายหยาง บิดาของท่านมาถึงแล้ว ขณะนี้อยู่ในจวนของใต้เท้าซือหม่า ร้อนใจต้องการพบท่านขอรับ”

    “บิดาข้า?”หยางผิงตะลึงงัน บิดาเขาหยางจวิ้นเพิ่งถูกราชสำนักแต่งตั้งเป็นนายอำเภอของฉวี่เหลียง เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้แค่เดือนกว่าเท่านั้น แล้วไฉนจึงละทิ้งหน้าที่เดินทางมาอำเภอเวินเซี่ยนโดยพลการได้

    ซือหม่าอี้เห็นหยางผิงนิ่งงัน อดไม่ได้ที่จะตบหัวม้าของเขาอย่างรำคาญและเร่งเร้า “ยังไม่รีบไปอีก อย่าให้พ่อเจ้ารอนาน”

    หยางผิงรับคำว่า “อืม” และกระตุ้นม้าควบจากไป

    ซือหม่าอี้ร้องตะโกนอยู่ข้างหลัง “คุยเสร็จแล้วมาหาข้าด้วย เรื่องเมื่อกี้ข้ายังพูดไม่จบ!”

    หยางผิงกระตุ้นม้าให้วิ่งไปโดยเร็วตลอดทาง ในใจรู้สึกฉงนใจยิ่งนัก ความจริงภาพของหยางจวิ้นผู้เป็นบิดาสำหรับเขานั้นเลือนรางมาก ตั้งแต่เขาถูกนำมาฝากเลี้ยงที่สกุลซือหม่า หยางจวิ้นก็มาเยี่ยมเขาน้อยครั้ง การพูดและน้ำเสียงมักจะสุภาพ หัวข้อที่สนทนากับเขาไม่พ้นเรื่องคัมภีร์และการศึกษา ไม่เคยพูดถึงมารดาที่เสียชีวิตไปนานแล้วสักครั้ง เขามักรู้สึกว่าตัวเองกับบิดามีความห่างเหินที่ยากจะอธิบายขวางอยู่ชั้นหนึ่ง ความห่างเหินนี้มิอาจอธิบายด้วยคำว่า ‘พบกันน้อยครั้ง’ ได้

    การต้องการพบเขาอย่างเร่งร้อนเช่นในวันนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่บ้านในอำเภอฮั่วจยา

    หยางผิงเข้าสู่อำเภอเวินเซี่ยนด้วยความไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ครั้นแล้วก็เห็นหน้าจวนสกุลซือหม่ามีรถม้าจอดอยู่คันหนึ่ง สายคาดอกบนตัวม้าสีแดงพุทราสองตัวยังไม่ถูกถอดออก แอกยกขึ้นครึ่งหนึ่ง คนขับรถนั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับ พร้อมที่จะเงื้อแส้ออกเดินทางได้ทุกเมื่อ หลังรถปักธงอยู่ผืนหนึ่ง บนนั้นปักรูปมังกรทอง ลักษณะแตกต่างจากรถม้าในอำเภอเวินเซี่ยนโดยสิ้นเชิง

    หยางผิงไม่ทันได้คิดมาก รีบผลักประตูจวนเข้าไปอย่างรีบร้อน พอพ้นกำแพงก็เห็นหยางจวิ้นกับซือหม่าฝางยืนอยู่ในลานบ้านและกำลังมองมาที่ตน ซือหม่าหล่าง (สุมาหลัง) พี่ชายของซือหม่าอี้กับพวกผู้หญิงยืนอยู่ไปไม่ไกล

    หยางจวิ้นรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าดำคล้ำ ใบหน้าทรงสี่เหลี่ยมดูน่าเกรงขามแม้มิได้โกรธ แตกต่างจากใบหน้าเรียวเล็กของหยางผิงโดยสิ้นเชิง วันนี้เขาไม่ได้สวมชุดขุนนางแต่สวมชุดคลุมยาวสีดำเรียบ มือถือป้ายคำสั่งที่ทำจากไม้ขนาดกว้างสองเชียะ

    “บิดา” หยางผิงก้าวไปข้างหน้าและทำความเคารพ ในใจว้าวุ่นกระวนกระวาย เขาสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหยางจวิ้นเคร่งขรึม ไม่แสดงอารมณ์แม้เพียงเศษเสี้ยว…ไม่มีความยินดีที่ได้พบบุตรชายอีกครั้ง และไม่มีความกังวลที่เรื่องใหญ่จะมาเยือน

    หยางจวิ้นมองเขาอย่างลึกซึ้งและหันไปพูดกับซือหม่าฝาง “พี่ซือหม่า ในเมื่อลูกชายข้ามาแล้ว เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน”

    ซือหม่าฝางพูดอย่างลังเล “ไม่พักผ่อนสักวันก่อนค่อยออกเดินทางหรือ ตอนนี้ประตูเมืองใกล้จะปิดแล้ว ไยต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้”

    หยางจวิ้นโบกมือใหญ่ “คำสั่งของซือคง*ไหนเลยจะชักช้าได้” ป้ายคำสั่งในมือวาดเป็นแนวโค้งกลางอากาศ ซือหม่าฝางได้แต่หุบปากเก้อๆ

    ป้ายคำสั่งทรงยาวนั้นตรงปลายเป็นรูปดาวเป่ยโต่วทั้งเจ็ดและดาวจื่อเวย ทั้งยังมีตราสัญลักษณ์ของซือคง นี่เป็นตัวแทนปณิธานของราชสำนัก…แม้ราชวงศ์ฮั่นจะอ่อนแออย่างยิ่งยวด แต่ราชสำนักถึงอย่างไรก็ยังเป็นราชสำนักอยู่

    หยางผิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างประหลาดใจเล็กน้อยและทำอะไรไม่ถูก ซือหม่าฝางเหลือบมองสหายเก่าแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า ก้าวเข้าไปคล้องแขนหยางผิง “ยินดีกับเจ้าด้วย บิดาเจ้าถูกเฉาซือคงเรียกตัวไปเป็นผู้ช่วย**กำลังจะเดินทางไปสวี่ตูเพื่อรับตำแหน่ง เขาตั้งใจมารับเจ้าไปด้วยกัน”

    “ไปสวี่ตู?เฉาซือคง?” หยางผิงใคร่ครวญสองคำนี้ซ้ำไปมา ตอนนี้เฉาเชา ‘ควบคุมโอรสสวรรค์บัญชาการขุนนาง’ อำนาจเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ดำรงตำแหน่งซือคงในราชสำนัก บุคคลใหญ่โตเช่นนี้กลับเรียกตัวบิดาไปสวี่ตู ความนัยที่แฝงเร้นอยู่นี้เขายังคงไม่เข้าใจนัก

    ยามนี้หยางจวิ้นเอ่ยปาก “รถหลวงที่ราชสำนักส่งมารออยู่ข้างนอก พวกเราจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ข้าวของของเจ้าในจวนสกุลซือหม่า ไว้ข้าจะให้คนนำไปส่งที่สวี่ตู เจ้าไม่ต้องห่วง”

    หยางผิงอ้าปากกว้าง หัวสมองมีแต่เสียงอื้ออึง งุนงงเล็กน้อย นี่มันอะไรกัน ไปเดี๋ยวนี้เลย? แม้แต่เวลาเก็บข้าวของก็ไม่มี แค่ถูกเรียกตัวไปรับตำแหน่งเท่านั้น อำเภอเวินเซี่ยนอยู่ห่างจากสวี่ตูแค่สามร้อยกว่าลี้ ใช้ม้าหลวงเร่งเดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ถึงแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงต้องรีบร้อนเดินทางถึงเพียงนี้

    หยางผิงส่งสายตาไม่เข้าใจไปยังซือหม่าฝาง เทียบกับหยางจวิ้นแล้ว ในใจเขาผู้อาวุโสคนนี้เหมาะจะเป็นบิดามากกว่า ซือหม่าฝางหัวเราะฝืดและส่ายหน้า ตามหลักแล้วซือคงเปิดจวนบัญชาการรับผู้ช่วย ถือเป็นการเรียกไปรับตำแหน่งเป็นการส่วนตัว ไม่ควรให้ราชสำนักออกป้ายคำสั่ง ยิ่งไม่ควรเรียกว่า ‘ราชโองการ’ การถูกเรียกตัวของหยางจวิ้นครั้งนี้ มีทั้งป้ายคำสั่ง มีทั้งราชโองการ ไม่ปกติอย่างยิ่ง… ‘การละเมิดกฎเกณฑ์’ ที่ไม่ปกตินี้สะท้อนถึงความเร่งร้อนที่มิอาจพูดออกมาได้ หยางจวิ้นตระหนักถึงเจตนาที่แฝงอยู่ในการเรียกตัวครั้งนี้เป็นอย่างดี ถึงได้ตัดสินใจรุดไปสวี่ตูโดยเร็ว หลักการในแวดวงขุนนางพวกนี้ ซือหม่าฝางที่เคยเป็นผู้ว่าการนครหลวงเข้าใจดี แต่ยากที่จะอธิบายให้หยางผิงฟัง เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากซือหม่าฝาง หยางผิงจึงเข้าใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว คำสั่งบิดายิ่งใหญ่ดุจสวรรค์ หยางผิงไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ก้มหน้าพูด “ข้าทราบแล้ว บิดา” เขาปลดคันธนูบนตัวลงมา เดินเข้าไปมอบให้ซือหม่าหล่าง “ธนูนอแรดนี้ท่านเก็บไว้ให้ดี วันหน้าข้าคงไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว”

    ซือหม่าหล่างเป็นลูกชายคนโตของซือหม่าฝางและสนิทสนมกับหยางผิงมาก เขารับธนูมาอย่างอึกอัก ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ตบไหล่หยางผิงติดๆ กัน ขอบตามีบางอย่างทอประกาย

    หยางผิงหัวเราะ “ฝากบอกจ้งต๋าแทนข้าด้วย เห็นทีคงไม่มีเวลาอำลาเขาเสียแล้ว” พูดจบก็กางแขนทั้งสองข้างและออกแรงกอดซือหม่าหล่าง พูดเสียงแผ่ว “พี่น้องข้า ไว้พบกันใหม่”

    ซือหม่าหล่างชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจมูกเริ่มส่งเสียงหอบหายใจกระชั้น น้ำตาไหลพราก พวกเขาเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาก ไม่เคยแยกจากกัน ขอบตาของหยางผิงเปียกชื้นเช่นกัน แต่พอคิดว่าบิดายังมองตนอยู่ก็ฝืนสะกดกลั้นน้ำตาสุดชีวิต

    หยางจวิ้นเร่งเร้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เรื่องนี้มิอาจชักช้า หากประตูเมืองปิดย่อมต้องยุ่งยากอีก” หยางผิงได้แต่ปล่อยซือหม่าหล่าง เดินตามหยางจวิ้นออกจากจวนสกุลซือหม่า รถม้าหน้าประตูยังคงรออยู่ตรงนั้น คนขับรถเห็นพวกเขาออกมาก็ลุกขึ้นทันใด ตะโกนสั่งสองสามที ม้าก็เริ่มสะบัดเท้า หายใจฟืดฟาด

    แม้หยางผิงจะเคยคิดว่าสักวันต้องไปจากอำเภอเวินเซี่ยน ไปจากสกุลซือหม่า แต่กลับไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึงเร็วเช่นนี้ กะทันหันเช่นนี้…แปลกประหลาดเช่นนี้ เขายังไม่มีเวลาได้เสียใจด้วยซ้ำ หยางผิงเหลือบเห็นรูปปั้นผีซิว* ที่ทำจากหินหน้าประตูจวนสกุลซือหม่าโดยบังเอิญ…หูข้างหนึ่งของมันแตกไปเล็กน้อย เป็นฝีมือเขากับซือหม่าอี้ที่ขึ้นไปเล่นกันบนนั้นสมัยเป็นเด็ก หยางผิงได้แต่ยิ้มเศร้าในใจ

    หยางจวิ้นขึ้นรถไปก่อน หยางผิงจับราวข้างรถกระโดดตามขึ้นไปเบาๆ และนั่งลงข้างกายบิดา ทันใดนั้นซือหม่าฝางที่อยู่นอกรถก็คว้าแขนหยางจวิ้นไว้ เงยมองมาพูดอย่างจริงจัง “หลานรักหยางผิงอาศัยอยู่บ้านข้ามาสิบกว่าปี ข้าเห็นเขาเป็นเหมือนลูกชายแท้ๆ คนหนึ่ง พี่หยางท่านไปสวี่ตูครั้งนี้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ต้องปกป้องเขานะ”

    หยางจวิ้นยิ้มน้อยๆ “พี่ซือหม่าพูดอะไรกัน อี้เหอเป็นลูกชายข้า ข้าจะไม่ปกป้องเขาได้อย่างไร”

    ซือหม่าฝางถึงได้ปล่อยมือ ถอยไปก้าวหนึ่ง ความวิตกกังวลบนใบหน้ายังคงไม่ลดเลือนไป

    สวี่ตูเป็นสถานที่อย่างไร เขาตระหนักดีกว่าใคร ตั้งแต่โอรสสวรรค์ย้ายไปประทับ สถานที่แห่งนั้นก็เหมือนวังน้ำวนที่อันตราย เฉาเชาหมายจะควบคุมโอรสสวรรค์ตั้งตัวเป็นใหญ่ในจงหยวน โอรสสวรรค์หมายจะบงการเฉาเชา ฟื้นฟูอำนาจขึ้นอีกครั้ง ยังมีซีเหลียง เหอเป่ย จิงโจว ซานตง และขั้วอำนาจต่างๆ ที่ยื่นมือเข้ามา…อำนาจทั้งในที่ลับและที่แจ้งทับซ้อนกันไปหมด น้อยคนที่อยู่ในวังน้ำวนแห่งนั้นแล้วจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครได้ มิใช่สถานที่ที่สงบสันติเลยจริงๆ

    ซือหม่าฝางอยู่ในเหอเน่ยปกปิดความสามารถ ปิดประตูอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ก็เพราะไม่อยากให้ตัวเองและครอบครัวยุ่งเกี่ยวกับน้ำขุ่นบ่อนี้ แต่บัดนี้สหายรักของตนกับเด็กที่เขาเอ็นดูเหมือนลูกแท้ๆ กลับจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่อันตรายเช่นนั้น อีกทั้งเขายังมิอาจหยุดยั้งได้ เรื่องนี้ทำให้ซือหม่าฝางรู้สึกกลัดกลุ้ม

    “พี่หยาง ท่านต้องระวังให้มาก…” ซือหม่าฝางพึมพำ สองมือที่ประสานอยู่ในแขนเสื้อสั่นเล็กน้อย หยางจวิ้นประสานมือให้ซือหม่าฝาง จากนั้นดีดนิ้วเสียงดัง คนขับรถเงื้อแส้ขึ้นและหวดเสียงดังกลางอากาศ อาชาสองตัวเริ่มลากรถม้าให้ขยับเคลื่อน ไม่นานรถม้าคันนี้ก็แล่นออกจากอำเภอเวินเซี่ยน เข้าสู่ทางหลวงมุ่งหน้าไปยังสวี่ตูอย่างรวดเร็ว

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook