• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ความลับแห่งสามก๊ก เล่มที่ 1 ตอนที่ 4

    หลังเลิกประชุม จ้าวเยี่ยนไม่ได้จากไปทันที แต่เฝ้าอยู่ตรงประตูข้างฝั่งซ้ายใกล้กำแพงวัง จางอวี่เป็นขันทีตำหนักในอาศัยอยู่ในวังมาเป็นเวลานาน ด้วยฐานะอี้หลางของจ้าวเยี่ยนทำให้ไม่สะดวกจะเข้าไปข้างใน จึงได้แต่รออยู่ข้างนอก

    ผ่านไปไม่นาน เขาเห็นประตูข้างฝั่งซ้ายเปิดออก จากนั้นชายแก่ในชุดผ้าเนื้อหยาบเดินออกมา เขามีเพียงห่อสัมภาระขนาดเล็กติดตัว การเคลื่อนไหวเชื่องช้า ขันทีรุ่นเล็กที่เฝ้าประตูผลักจางอวี่อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ตวาดไล่ให้ชายชราเดินเร็วหน่อย จางอวี่ซวนเซ มือกอดห่อสัมภาระแน่น เกือบล้มลงกับพื้น

    โทสะพุ่งขึ้นในใจจ้าวเยี่ยนทันที ขันทีพวกนี้รังแกกันเกินไปแล้ว แม้จางอวี่จะถูกลงโทษ แต่ก็เป็นถึงขุนนางเก่าแก่ กลับถูกคนพวกนี้ดูหมิ่นเช่นนี้ คนใหม่พวกนี้ล้วนเป็นคนที่เฉาเชาจัดหาให้จักรพรรดิ ไม่รู้กฎธรรมเนียมแม้แต่น้อย ปกติถูกจางอวี่ตำหนิมามาก บัดนี้เมื่อจางอวี่ตกต่ำ พวกคนพาลจึงได้ใจ ย่อมต้องเหยียบย่ำซ้ำเติม

    เขากำลังจะเอ่ยปากตำหนิ ทันใดนั้นสตรีผู้หนึ่งพลันเดินออกมาจากประตู ตบหน้าขันทีสามฉาดอย่างรวดเร็วรุนแรง ขันทีทรุดลงบนพื้น งงเป็นไก่ตาแตก

    “ลากตัวออกไป โบยให้ตาย” หญิงสาวพูดเสียงเย็น องครักษ์ข้างหลังนางกรูเข้ามาลากตัวขันทีออกไปโดยไม่สนใจเสียงอ้อนวอนอย่างทำอะไรไม่ถูกของอีกฝ่าย หญิงสาวก้าวเร็วๆ ไปสองก้าวประคองชายชราไว้ จากนั้นกดท้องที่นูนป่องของตัวเอง หัวคิ้วมุ่นเข้าด้วยกัน

    “เส่า…เอ่อ ต่ง?” จ้าวเยี่ยนร้องเรียกอย่างประหลาดใจ

    ต่งกุ้ยเหรินเห็นเขาก็เลิกคิ้ว “จ้าวอี้หลาง เจ้าว่างนักหรือไรถึงได้วิ่งมาที่นี่”

    จ้าวเยี่ยนยิ้มฝืด รีบอธิบายให้นางฟัง สมัยก่อนตอนสกุลจ้าวกับสกุลต่งอยู่ลั่วหยางเคยหมั้นหมายจ้าวเยี่ยนกับต่งเส่าจวินตั้งแต่พวกเขายังอยู่ในครรภ์ ภายหลังราชสำนักวุ่นวาย จ้าวเยี่ยนลี้ภัยตามครอบครัวไปอยู่เป่ยไห่ ส่วนต่งเฉิงยืนกรานปักหลักอยู่ในเมืองหลวงทั้งยังยกบุตรสาวให้จักรพรรดิ การหมั้นหมายจึงเป็นโมฆะไป ตอนนี้แม้ทั้งสองต่างมีคู่ครองของตัวเองแล้ว แต่ทุกครั้งเวลาจ้าวเยี่ยนเจอต่งกุ้ยเหรินก็ยังอดรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่ได้

    ต่งกุ้ยเหรินกลับไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น นางเป็นคนปากไวใจเร็วมาแต่ไหนแต่ไร เห็นอดีตคู่หมั้นของตนก็ไม่หลบเลี่ยง เพียงหันไปมองหัวเลี้ยวไกลๆ ที่มีเสียงร้องโหยหวนดังมาเป็นระลอกอย่างดูแคลน และพูดอย่างสุขุม “วังหลวงไร้ระเบียบ ปล่อยให้ขุนนางเห็นเรื่องน่าขบขันเช่นนี้ ช่างน่าขายหน้าโดยแท้”

    คำพูดนี้ฟังดูเหมือนถ่อมตน แท้จริงแล้วกลับเป็นการเสียดสีฝูโซ่ว จ้าวเยี่ยนฟังรู้แต่ไหนเลยจะกล้าพูดต่อ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตอนนี้ฝ่าบาททรงพักรักษาตัวอยู่ในจวนซือคง เจ้ามาวังหลวงด้วยเหตุใด” เขารู้ว่าตอนนี้ต่งกุ้ยเหรินพักอยู่ในจวนต่งเฉิง น้อยครั้งที่จะกลับวังหลวง

    “ข้ามาส่งจางเหล่ากงกง” ต่งกุ้ยเหรินเสียงดังมาก ดวงตารูปเมล็ดซิ่งถลึงจนกลมโต

    “ส่งเขาแล้ว ข้าจะไปถามฝ่าบาทว่าเหตุใดต้องไล่จางเหล่ากงกงไปด้วย ภาษิตว่าวิหคสิ้น เกาทัณฑ์ซ่อน*ตอนนี้ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยสุนัขป่าและจิ้งจอก เขากลับเริ่มซ่อนเกาทัณฑ์เสียแล้ว ทำแบบนี้มีเหตุผลเสียที่ไหน!”

    หลังประตูเหมือนมีศีรษะของหลายคนชะโงกออกมา จากนั้นหดกลับไปโดยเร็ว จ้าวเยี่ยนรู้สึกว่าตัวเองมีชะตาต้องล่วงเกินกษัตริย์ เจอข่งเป่ยไห่ที่ดูแคลนกฎธรรมเนียมในราชสำนักก่อน ตามมาด้วยต่งกุ้ยเหรินที่ตีวัวกระทบคราด

    เขาได้แต่หมุนตัวไปหาจางอวี่ โค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “จางเหล่ากงกง ข่งเซ่าฝู่วานให้ข้ามาถามไถ่ว่าท่านสบายดีหรือไม่”

    จางอวี่คารวะตอบอย่างสุขุม “ลำบากใต้เท้าข่งแล้ว”

    จ้าวเยี่ยนพูด “มิสู้จางเหล่ากงกงไปพักผ่อนที่บ้านของผู้น้อยก่อน เหตุการณ์เพลิงไหม้ตำหนักบรรทม ข่งเซ่าฝู่คิดว่าให้สามเสนาอำมาตย์พิจารณาตัดสิน ออกจะไม่เป็นธรรมจริงๆ เขารุดไปจวนซือคงขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่ออธิบายแทนท่านแล้ว”

    จางอวี่กลับตอบว่า “ใต้เท้าข่งไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ให้ข้าได้มีชีวิตกลับบ้านเกิด นับเป็นจุดจบอันดีที่หาได้ยากยิ่งของขันทีทุกยุคทุกสมัย”

    จ้าวเยี่ยนเห็นเขาไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย สีหน้าราบเรียบ จึงพูดหยั่งเชิง “ฝ่าบาททรงปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตาและคุณธรรม ข้าคิดว่าพระองค์ต้องรับฟังความคิดเห็นของข่งเซ่าฝู่แน่ ไยท่านต้องออกจากวังหลวงเงียบๆ เช่นนี้ด้วย”

    ได้ยินคำว่า ‘ฝ่าบาท’ แล้ว จางอวี่อดไม่ได้ที่จะกอดห่อสัมภาระแน่นขึ้นอีกนิด ริมฝีปากเผยความขมขื่น “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยกำลังวังชา คนแก่อย่างข้าไม่ควรเป็นภาระของพระองค์”

    จ้าวเยี่ยนตกใจ เห็นทีต้องเกิดอะไรบางอย่างระหว่างจางอวี่กับฝ่าบาทแน่ เขาคิดจะลองหยั่งเชิงอีกครั้ง แต่จางอวี่กลับหุบปากไม่พูดอะไรอีก

    จ้าวเยี่ยนจนปัญญา ได้แต่หยิบทองรูปเกือกม้าสามอันออกจากอกเสื้อ “บัดนี้สถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวาย หนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอันตราย ข่งเซ่าฝู่ตั้งใจเตรียมค่าเดินทางไว้ส่วนหนึ่ง ขอจางเหล่ากงกงโปรดรับไว้ด้วย”

    จางอวี่ไม่ปฏิเสธ รับทองมาและเก็บไว้ในอกเสื้อ ต่งกุ้ยเหรินถลึงตาใส่จ้าวเยี่ยน เหมือนรังเกียจที่เขาจงใจอวดรวย แม้ใบหน้านางจะมิได้แต่งแต้ม ทว่ายามแสดงสีหน้าปั้นปึ่งกลับดูงดงามไปอีกแบบ จ้าวเยี่ยนถูกนางขึงตาใส่แล้วหัวใจไหวกระเพื่อม สายตาเลื่อนจากใบหน้านางไปยังท้องที่นูนป่อง ก่อนจะสำรวมจิตใจทันที ไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านต่อ

    ต่งกุ้ยเหรินพูด “จางเหล่ากงกง ข้าเตรียมรถม้าให้ท่านหนึ่งคัน เก่าเล็กน้อย เป็นของจากจวนบิดาข้า”

    นางสะบัดนิ้วขาวเนียนราวก้อนหยก รถม้าที่จอดรออยู่ด้านข้างนานแล้วแล่นกึงกังเข้ามา จ้าวเยี่ยนประคองจางอวี่ หมายจะปลดสัมภาระของเขาไปวางบนรถ คิดไม่ถึงว่าสายตาของจางอวี่จะเปลี่ยนไปกะทันหัน ปัดมือเขาออกอย่างเฉียบขาด ตวาดว่า “อย่ายุ่ง!”

    จ้าวเยี่ยนตะลึงงัน

    จางอวี่ตระหนักว่าสีหน้าของตนดุดันเกินไปจึงอธิบายว่า “ในห่อสัมภาระนี้เป็นขันทีที่ถูกไฟคลอกตายในเหตุการณ์เพลิงไหม้ตำหนักบรรทม เขาเป็นญาติห่างๆ ของข้า มารดาเขาฝากฝังให้ข้าช่วยดูแล ในเมื่อข้ามิอาจปกป้องชีวิตเขาได้ อย่างน้อยก็ควรนำกระดูกเขากลับบ้านเกิดฝังลงดินอย่างเหมาะสมถึงจะถูก”

    พูดถึงคำสุดท้ายสองตาของจางอวี่พลันมีน้ำตาคลอ ดูห่อเหี่ยวลงทันใด จ้าวเยี่ยนรู้ว่าขันทีไม่มีทายาทจึงดูแลพี่น้องสกุลเดียวกันเป็นอย่างดี จ้าวเยี่ยนพูดปลอบโยนเขาอีกหลายคำ

    ทันใดนั้นเสียงเกือกม้าระลอกหนึ่งดังมาจากที่ไกลๆ ทั้งสามหันไปมอง เห็นทหารม้ากองหนึ่งวิ่งมาบนถนนใหญ่อย่างฮึกเหิม ก่อนจะโอบล้อมรถม้าเอาไว้ทุกด้าน หัวหน้าทหารม้าพูดเสียงดัง “ข้ารับคำสั่งจากกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู มาคุมตัวจางอวี่ออกจากเมือง”

    ต่งกุ้ยเหรินเดือดดาล นางเป็นถึงกุ้ยเหริน ทหารม้าผู้นี้ไม่เพียงลงจากม้าทำความเคารพ แต่กลับทำเหมือนมองไม่เห็นนาง ไร้มารยาทเป็นที่สุด

    ราชวงศ์อ่อนอำนาจเป็นเรื่องจริง แต่กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูมีสิทธิกำแหงตั้งแต่เมื่อไร นางชี้ทหารม้าผู้นั้นและตวาดเสียงดัง “เจ้าเป็นใคร ถึงได้กล้าควบม้าในเขตวังหลวง”

    ทหารม้าบนหลังม้าลังเลครู่หนึ่งและตอบว่า “หวังฝูจากหน่วยรบแนวหน้า”

    “หน่วยรบแนวหน้า? หน่วยรบแนวหน้ากลายเป็นสุนัขรับใช้ของกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูตั้งแต่เมื่อไร” วาจาของต่งกุ้ยเหรินเชือดเฉือนไม่ไว้หน้า กำลังจะด่าต่อ แต่กลับถูกจางอวี่ห้ามไว้

    จางอวี่พูดเนิบช้า “อย่าโมโหเลย หากกระเทือนถึงครรภ์ย่อมไม่ดีต่อกุ้ยเหรินเอง” จากนั้นเขาตบๆ มือนางและกำชับ “ข้าน้อยจากไปแล้ว ท่านจะเอาแต่ใจเหมือนแต่ก่อนอีกไม่ได้ ฝ่าบาททรงลำบากไร้ที่พึ่ง ราชสำนักไม่แน่นอน ท่านกับพระมเหสีอย่าขัดแย้งกันปล่อยให้ผู้อื่นได้ผลประโยชน์ไปเปล่าๆ”

    “ข้าไม่ได้จงใจเป็นศัตรูกับนาง เห็นชัดว่า…” เสียงของต่งกุ้ยเหรินเปลี่ยนเป็นแหลมสูง แต่เมื่อเห็นดวงตาโศกเศร้าของจางอวี่แล้วจึงกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไปและก้มหน้าพูด “อย่างมากข้ายอมนางก็ได้”

    นางสนิทสนมกับจางอวี่ตั้งแต่เล็ก สนิทชิดเชื้อมากกว่าบิดาของตัวเองเสียอีก แต่กลับไม่เคยเห็นชายชรามีสีหน้าเศร้าสลดเรียบเฉยเช่นนี้มาก่อน

    ต่งกุ้ยเหรินรู้สึกว่าจางอวี่ต้องรู้อะไรบางอย่างแน่และปิดบังตนไว้ แต่นางเดาไม่ออกว่าเป็นอะไร

    “มา ช่วยข้าถือห่อสัมภาระหน่อย” ชายชราส่งห่อสัมภาระให้นางและหันหลังขึ้นรถม้า ต่งกุ้ยเหรินไม่รู้ว่าเขามีเจตนาใดกันแน่ พอคิดว่าตนเป็นถึงกุ้ยเหรินสูงศักดิ์กลับต้องมาอุ้มเถ้ากระดูกของขันทีเล็กๆ คนหนึ่ง ในใจก็ให้รังเกียจ นางใช้สองมือประคองห่อสัมภาระ พยายามให้ห่อสัมภาระอยู่ห่างจากตัวหน่อย ชายชราเห็นห่อสัมภาระแนบติดกับท้องนูนป่องของนางก็พึมพำเสียงค่อย “ฝ่าบาท นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ท่านจะได้พบหน้าลูกแล้ว”

    หวังฝูนั่งอยู่บนหลังม้า มองต่งกุ้ยเหรินร่ำลาขันทีตำหนักในจางอวี่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในใจกลับขบคิดเรื่องอื่น

    ข้อสรุปที่ได้จากการหารือระหว่างอู๋ซั่วกับหม่านฉ่ง กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูจะดึงกำลังส่วนหนึ่งไปเสริมทหารยามในวัง จากนั้นให้เฉาเหรินโยกย้ายกำลังใต้บังคับบัญชามาเสริมให้กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูเป็นสองเท่า ปัญหาคือเหล่าทหารมืออาชีพของเฉาเหรินยินดีไปเผชิญหน้ากับความร้ายกาจของจ้าวแห่งทวนดินแดนเหนือจางซิ่ว(เตียวสิ้ว) ทางตอนเหนือ แต่ไม่อยากทำงานร่วมกับบุคคลอันตรายอย่างหม่านฉ่ง เฉาเหรินเองก็ไม่พอใจกับการนำทหารที่ทำศึกอยู่นอกด่านมาเสริมกองกำลังรักษาความปลอดภัยในท้องถิ่น

    หลังจากบ่ายเบี่ยงไปมาด้วยข้ออ้างต่างๆ หวังฝูก็ถูกคัดเลือกออกมารับหน้าที่นี้ หวังฝูเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียง เคยพากำลังคนกลุ่มหนึ่งมาสวามิภักดิ์เฉาเชา ดังนั้นตามระบบแล้วจึงอยู่ใต้บังคับบัญชาของเฉาเหริน แต่อันที่จริงกลับไม่ได้เป็นลูกน้องของเฉาเหริน ลูกน้องส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์ที่เล่าเรียนวิชาดาบกับเขา บ้างก็เป็นสหายในยุทธภพ คนเหล่านี้แยกตัวเป็นเอกเทศไม่ยุ่งกับใคร ปกติมีระยะห่างบ้างมากบ้างน้อยกับขุนพลทั้งหลายใต้บังคับบัญชาของเฉาเหรินอยู่แล้ว

    ในเมื่อหวังฝูยอมก้าวออกมา ทุกฝ่ายต่างยินดี ดังนั้นหวังฝูกับลูกน้องสามร้อยคนของเขาจึงเข้ามาประจำการที่สวี่ตู เปลี่ยนมาสวมเครื่องแบบกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู เฉาเหรินยังมอบกำลังให้หวังฝูอีกร้อยนายอย่างใจกว้าง ขอบคุณที่เขายอมแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นี้

    ภารกิจแรกของหวังฝูหลังจากเข้ามาในกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู ก็คือคุมตัวจางอวี่ออกจากเมืองหลวง เขาเห็นบุตรสาวของขุนพลต่งเฉิงอยู่ด้วย จึงไม่ได้เข้าไปเร่งรัด และรออยู่ด้านข้างอย่างอดทน เห็นต่งกุ้ยเหรินแล้วเขาก็คิดถึงจักรพรรดิ พอคิดถึงจักรพรรดิก็คิดถึงหงหนงอ๋องหลิวเปี้ยน คิดถึงหงหนงอ๋องหลิวเปี้ยน ย่อมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงถังจี…

    ตอนนี้กองกำลังของเขามีจำนวนครบตามที่ต่งเฉิงเรียกร้องแล้ว ทั้งยังเข้ามาประจำการในสวี่ตูอย่างเปิดเผย ฝีมือของต่งเฉิงเหนือชั้นจริงๆ การจัดระเบียบทหารยามในวังสามารถตบตาทุกคนได้ ทุกคนต่างสนใจการต่อสู้ระหว่างขุนนางฝ่ายลั่วหยางกับกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู ไม่มีใครนึกว่าหมากที่แท้จริงจะตกอยู่ที่ค่ายทหารนอกเมืองสวี่ตู

    หยางซิวไม่เพียงคาดการณ์ปฏิกิริยาที่หม่านฉ่งมีต่อการจัดระเบียบกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูได้อย่างแม่นยำ แต่ยังเดาได้ถึงฐานะกระอักกระอ่วนของหวังฝูภายใต้บังคับบัญชาของเฉาเหรินว่าจะต้องถูกคัดเลือกมารับหน้าที่นี้แน่ เช่นนี้ดูเหมือนแผนการแต่ละก้าวของต่งเฉิงล้วนเป็นฝ่ายรับ แต่อันที่จริงทุกก้าวล้วนมาจากการเป็นฝ่ายรุก ดูภายนอกขุนนางฝ่ายลั่วหยางขโมยไก่ไม่สำเร็จยังต้องเสียข้าวสารล่อ*ความจริงแล้วกลับประสบความสำเร็จในการส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม รวบรวมกำลังพลในเมืองสวี่ตูได้อย่างน้อยหนึ่งพันคน สิ่งนี้คุ้มค่ายิ่งกว่าสองคนที่เสียสละออกไปมากนัก

    คุณค่าของหมากขึ้นอยู่กับเจตนาและการตัดสินใจของผู้เล่นล้วนๆ เมื่อผู้เล่นจดจ่อกับการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ข้ารับใช้ใกล้ชิดโอรสสวรรค์กับผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ย่อมเป็นเดิมพันที่สำคัญยิ่ง แต่เมื่อผู้เล่นคิดจะวางแผนก่อกบฏ กำลังจากกองทหารที่เชื่อถือได้ย่อมมีค่ามากที่สุด

    ตอนนี้สิ่งที่รบกวนใจเขามากที่สุดมีเพียงเรื่องเดียว หม่านฉ่งที่มีนิสัยขี้ระแวงไม่ได้ให้พลทหารของหน่วยรบแนวหน้าเหล่านี้เข้าไปมีส่วนร่วมในงานของทหารปราบปราม แต่กลับส่งไปตามตรอกซอยต่างๆ ในเมือง สี่ร้อยคนนี้จึงเหมือนทรายที่พัดเข้ามาในเมืองสวี่ตู กระจัดกระจายไปทั่ว แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นการเพิ่มความยากในการทำการใหญ่

    ก่อนที่แผนการจะเริ่มต้นขึ้น อดทนไปก่อนแล้วกันหวังฝูคิด

    จางอวี่ขึ้นนั่งบนรถม้าแล้วชะโงกหน้าไปพูดกับหวังฝู “ข้าไปได้หรือยัง”

    หวังฝูดึงสติกลับมาจากภวังค์ความคิด คารวะต่งกุ้ยเหรินและบังคับม้านำหน้าไป

    ต่งกุ้ยเหรินกับจ้าวเยี่ยนมองส่งชายชราหายลับไปบนถนน ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดอะไร ต่งกุ้ยเหรินสั่งให้สาวใช้ข้างกายเพียงคนเดียวไปเรียกรถม้า รอจนสาวใช้จากไปแล้ว ดวงหน้างดงามของต่งกุ้ยเหรินพลันเปลี่ยนไป พูดเสียงค่อยกับจ้าวเยี่ยน “เยี่ยนเวย ข้ารู้สึกกลัวเล็กน้อย”

    จ้าวเยี่ยนประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดต่งกุ้ยเหรินจึงทอดถอนใจเช่นนี้จึงรีบตอบว่า “สวี่ตูมีหมอชื่อดังมากมาย เจ้าไม่ต้องกังวลถึงเพียงนี้”

    “เจ้าโง่! ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้!” ต่งกุ้ยเหรินเตะจ้าวเยี่ยนแรงๆ หนึ่งทีเหมือนสมัยที่ทั้งสองยังเป็นเด็ก แม้จะเป็นกุ้ยเหริน แต่นางไม่เคยปกปิดว่าตัวเองสนิทสนมกับอีกฝ่าย จ้าวเยี่ยนตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็น ยังดีที่ตอนนี้ราชวงศ์ฮั่นไม่เฟื่องฟู หากเป็นยามปกติ การกระทำใกล้ชิดสนิทสนมของต่งกุ้ยเหรินเช่นนี้อาจทำให้สกุลต่งกับสกุลจ้าวถูกประหารทั้งตระกูลได้

    จ้าวเยี่ยนความคิดละเอียดอ่อนก็จริง แต่กลับไม่ถนัดเรื่องการเดาใจสตรี เขาถอยไปก้าวหนึ่งโดยสัญชาตญาณ ต่งกุ้ยเหรินยิ้มหยันตัวเองไม่เปิดโอกาสให้เขาถาม แต่พูดออกมาเสียเอง “หมู่นี้บิดาข้ายุ่งมาก พบแขกเหรื่อต่างๆ ไม่หยุด บางทีก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ บางทีก็ขลุกอยู่ในห้องหนังสือสนทนาความลับ ไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะมาหาข้าตอนกลางคืนด้วยซ้ำ…ข้ามักรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ว้าวุ่นใจอย่างไร้สาเหตุ”

    จ้าวเยี่ยนลอบถอนหายใจ เส่าจวินเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ความคิดกลับตื้นเขินมาก ไม่เข้าใจสถานการณ์ของต่งเฉิงผู้เป็นบิดาและความอันตรายในการต่อสู้แย่งชิงทางการเมือง สำหรับนางแล้ว ชีวิตหยุดอยู่ที่ความทรงจำวัยเยาว์อันงดงามที่เมืองลั่วหยาง ทุกคนล้วนรักใคร่และตามใจนาง แต่คนแบบนี้นี่แหละที่สัญชาตญาณมักจะแม่นยำที่สุด

    เห็นทีต่งเฉิงคงกำลังวางแผนทำการใหญ่อะไรอยู่จริงๆ

    “เจ้ากังวลเกินไปแล้ว ขุนพลต่งแบกรับภาระหน้าที่อันหนักหน่วงต่อราชวงศ์ฮั่น ต้องสะสางหมื่นเรื่องในหนึ่งวัน คนเดียวที่ฝ่าบาทพึ่งพาได้มีเพียงต่งกงเท่านั้น”

    ได้ยินคำว่า ‘ฝ่าบาท’ ต่งกุ้ยเหรินก็ขุ่นเคืองเล็กน้อย นางใช้มือเท้าคางและขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทก็ทรงเปลี่ยนไป เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น แต่ก่อนฝ่าบาทสง่าผ่าเผย ทว่าเขาในตอนนี้กลับดูเหมือนหุ่นเชิด ฝูโซ่วพูดอะไรเขาก็ทำตาม ท่าทีก็เปลี่ยนไป…”

    “ฝ่าบาทประชวรหนักยังไม่หายดี สีหน้าซูบผอมไปบ้างย่อมเป็นเรื่องปกติ” จ้าวเยี่ยนปลอบโยน

    ต่งกุ้ยเหรินอ้าปากทำท่าจะพูดอีก แต่แล้วก็ส่ายหน้าเปลี่ยนใจ ความรู้สึกเช่นนี้มีเพียงชายหญิงที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางร่างกายเท่านั้นถึงจะเข้าใจ นางมิอาจถ่ายทอดความรู้สึกนั้นให้คนอื่นฟังได้จริงๆ

    “จางเหล่ากงกงไปแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงเปลี่ยนไป บิดาก็ไม่เห็นหน้า…จ้าวเยี่ยน เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรดี” เสียงของต่งกุ้ยเหรินแผ่วลงทุกที ร่างกายเอนพิงกำแพงของประตูข้างด้านซ้าย เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่ไม่อยากย้ายบ้านและเผชิญหน้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ จ้าวเยี่ยนบังเกิดความสงสารในใจ แต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำได้มีจำกัด เขาเกิดความคิดบางอย่าง ก้มตัวเก็บใบไม้แห้งขึ้นมาพับทบไปมาจนกลายเป็นจิ้งหรีดสาน

    “จิ้งหรีดสาน คลุมผ้าแถบเหลือง ตะวันขึ้นทางบูรพา ผู้สูงศักดิ์มาจากประจิม” เขาร้องเพลงสมัยเด็กๆ ตอนนั้นต่งกุ้ยเหรินชอบถือจิ้งหรีดสานนั่งแกว่งขาอยู่บนกำแพงเป็นที่สุด ร้องเพลงกล่อมเด็กพลางรอให้ผู้สูงศักดิ์มารับ ต่งกุ้ยเหรินรับจิ้งหรีดสานหยาบกระด้างตัวนี้ไป สีหน้าเหมือนยิ้มคล้ายเยาะ เตะเขาเบาๆ อีกที ความกลัดกลุ้มบนใบหน้าลดเลือนไปเล็กน้อย

    เวลานี้สาวใช้นำรถม้าเข้ามาแล้ว ทั้งสองต่างหุบปากโดยมิได้นัดหมาย

    ต่งกุ้ยเหรินถูกประคองขึ้นรถและจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรถม้าแล่นออกไปไกล ความรู้สึกคิดถึงวันวานของจ้าวเยี่ยนก็ค่อยๆ หายไป เขาเริ่มปวดหัวไม่รู้จะรายงานข่งเซ่าฝู่อย่างไร เดิมทีเขามาเพื่อสืบข่าวแต่บัดนี้กลับงุนงงยิ่งกว่าเดิม

    คำพูดไม่ตั้งใจของต่งกุ้ยเหรินที่ว่า ‘ฝ่าบาทก็ทรงเปลี่ยนไป เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น’ ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ในใจของจ้าวเยี่ยน

    เวลาเดียวกัน ผู้เป็นดั่งใจกลางน้ำวนที่ปั่นป่วนเมืองสวี่ตูอย่างลับๆ กำลังนั่งอยู่ในโถงกลางของจวนซือคง ร่างกายคลุมด้วยผ้าขนสัตว์ ตรงหน้าเขามีขุนนางคุกเข่าอยู่หลายคน เขาได้แต่พูดวนเช่นเดิมซ้ำๆ ซากๆ

    “ฎีกาที่ทุกท่านเสนอมาดีแล้ว เราจะมีคำสั่งให้สำนักราชเลขาออกหนังสือชมเชย” หลิวเสียอ้าปากและหุบปากอย่างแข็งทื่อ รู้สึกเบื่อเล็กน้อย

    ขุนนางทั้งหลายคุกเข่าขอบพระทัยจากนั้นถอยออกไปอย่างนอบน้อม ฝูโซ่วนำผ้าที่ชุบน้ำร้อนและหยดเครื่องหอมหลงเสียน (อำพันทะเล) ลงไปหน่อยหนึ่งมาเช็ดหน้าผากให้หลิวเสีย นี่เป็นสิ่งที่เปี้ยนซื่อสั่งให้ข้ารับใช้เตรียมไว้โดยเฉพาะ ไม่ว่าเฉาเชาจะปฏิบัติต่อราชวงศ์ฮั่นอย่างไร อย่างน้อยธรรมเนียมมารยาทที่เปี้ยนซื่อผู้นี้ปฏิบัติต่อจักรพรรดิก็ไม่มีที่ติ

    ขันทีหน้าประตูถือรายชื่อผู้เสนอฎีกาและกำลังจะอ่านต่อ ฝูโซ่วเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงเหนื่อยแล้ว บอกให้คนข้างนอกรอสักครู่”

    ขันทีรับคำสั่งออกไป

    ฝูโซ่วเห็นในห้องไม่มีคนแล้ว จึงพูดกับหลิวเสีย “ฝ่าบาท เมื่อครู่ท่านเหม่อลอยเล็กน้อย”

    หลิวเสียขยี้ตา ขออภัยกึ่งหนึ่งและบ่นกึ่งหนึ่ง “วันนี้ข้าพบขุนนางตั้งเจ็ดแปดกลุ่มแล้ว สิ่งที่พวกเขาพูดแทบจะเหมือนกันหมด ข้าจะหลับอยู่แล้ว”

    ฝูโซ่วเหมือนบัณฑิตห้าคัมภีร์ที่พร่ำสอนลูกศิษย์ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ย่อท้อ “ตอนนี้เจ้าต้องพบขุนนางพวกนี้ให้มากหน่อย ทำความคุ้นเคยกับนิสัยของแต่ละคนโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้พวกเขาคุ้นชินกับใบหน้าและท่าทีของเจ้าตอนนี้ด้วย เรื่องนี้สำคัญมาก ให้พวกเขาค่อยๆ ซึมซับอย่างช้าๆ พวกเขาถึงจะไม่สงสัยเจ้า”

    “ก็ได้ก็ได้…ต่อไปต้องพบใครล่ะ”

    หลิวเสียกดขมับอย่างจนใจ การเป็นจักรพรรดิยากกว่าที่คิดเยอะ เขายินดีล่าสัตว์ท่ามกลางหิมะทั้งวัน ยังดีกว่านั่งนิ่งไม่ขยับอยู่บนเตียงรอพบขุนนางใหญ่ทั้งวันแบบนี้ ใบหน้าเขาตอนนี้เป็นสีแดงเหมือนคนไม่สบาย นี่เป็นเพราะฝูโซ่วใช้ขิงทาหน้าเขา หลายวันมานี้หน้าที่ของเขาคือค่อยๆ เพิ่มจำนวนครั้งที่ขุนนางเข้าเฝ้า ทำให้พวกเขาคุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงของจักรพรรดิ

    “สองคนต่อไปมีความสำคัญมาก คนหนึ่งคือต่งเฉิง เจ้าเคยพบแล้ว ยังมีอีกคนคือเซ่าฝู่ข่งหรง”

    “ข่งหรง? ข่งหรงจากเป่ยไห่?” หลิวเสียชะงักมือที่กำลังนวดขมับ ข่งหรงเป็นปราชญ์ที่มีชื่อเสียงแห่งยุค ตอนอยู่เหอเน่ยเขาเคยได้ยินชื่อเสียงมาไม่น้อย สกุลซือหม่ายกย่องชื่นชมข่งหรงมาตลอด มีเพียงซือหม่าอี้ที่ดูแคลน บอกว่าข่งหรงเป็นบัณฑิตคร่ำครึที่ดีแต่ยกตนข่มท่าน

    “ถูกต้อง คนผู้นี้หยิ่งทระนงอวดดี แม้แต่เฉาเชายังไม่อยู่ในสายตา ในบรรดาขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ มีเพียงเขาที่ไม่สนใจธรรมเนียมประเพณี เอ่ยคำด่าต่อหน้าทุกคน เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวในการคานอำนาจกับสกุลเฉา” ฝูโซ่วพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ อย่างคุ้นเคยกับเรื่องนี้ “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนผู้นี้จงรักภักดีต่อราชสำนักฮั่น แต่น่าเสียดายที่อวดดีเกินไป ไม่รับฟังความเห็นผู้อื่น ไม่รู้จักกลอุบาย ฝ่าบาทเคยบอกว่าคนผู้นี้ใกล้ชิดได้แต่ไม่อาจนำมาใช้งาน”

    หลิวเสียรู้ว่าคำว่า ‘ฝ่าบาท’ หมายถึงพี่ชายของเขาที่ตายไป อดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟัง

    “คนผู้นี้เจนจัดในตำราและคัมภีร์ ชื่นชอบสุราเป็นชีวิตจิตใจ ประเดี๋ยวฝ่าบาทพบเขาแล้ว สามารถสนทนาคัมภีร์สุรากับเขาได้ เพียงแต่อย่าพูดถึงการใหญ่ของบ้านเมือง เขารู้แล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร กลับจะทำให้เกิดความวุ่นวาย” ฝูโซ่วเม้มปาก เผยรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก

    หลิวเสียพยักหน้าจดจำข้อมูลเหล่านี้ไว้ในใจเงียบๆ เขาดึงผ้ามาและออกแรงเช็ดตา สั่งเสียงดัง “ให้เข้ามา!”

    ต่งเฉิงกับข่งหรงเดินผ่านเฉลียงทางเดินยาวเข้ามาในโถงกลางพร้อมกัน คนหนึ่งก้มหน้าครุ่นคิด อีกคนยืดอกผึ่งผาย เป็นภาพที่ตัดกันอย่างยิ่ง เดิมทีทั้งสองคิดจะถวายฎีกาตามลำพัง สุดท้ายกลับพบกันหน้าประตูจวนสกุลเฉาอย่างจัง ทั้งสองคนต่างไม่ยอมกัน ไม่มีใครยอมไปต่อแถวข้างหลัง สุดท้ายจึงได้แต่เข้าเฝ้าพร้อมกัน

    “ฝ่าบาท กระหม่อมมีฎีกาจะถวายพ่ะย่ะค่ะ”

    หลิวเสียผงกศีรษะอนุญาต เขาสนใจในตัวคนผู้นี้ทีเดียวจึงไม่สนสายตาของฝูโซ่ว โบกมือให้ข่งหรงรายงาน ข่งหรงหยิบฎีกาม้วนหนึ่งออกมาอย่างไม่รีบและอ่าน แรกเริ่มหลิวเสียยังฟังอย่างสนใจ ภายหลังพบว่ามีแต่คำพูดสวยหรู แต่กลับไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง เริ่มรู้สึกรำคาญเล็กน้อย จึงเลื่อนสายตาไปยังฝูโซ่ว ฝูโซ่วกลับหันหน้าไปอีกทาง ทำท่าเหมือนจะบอกว่า ‘สมน้ำหน้าเจ้าที่ไม่ฟังคำเตือน’

    ข่งหรงเห็นหลิวเสียทำท่าหงุดหงิด จึงพูดอย่างไม่พอใจ “ดาวจื่อเวย* โดดเด่นท่ามกลางกลุ่มดาว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหมือนจักรพรรดิที่พึงมีกิริยาวาจาเหมาะสม เพราะมีหมู่ดาวรายล้อม กระหม่อมกราบทูลฎีกา โอรสสวรรค์ย่อมควรสุขุมสำรวมเป็นแบบอย่างแก่ใต้หล้า!”

    หลิวเสียได้แต่ปลุกสติขึ้นอีกครั้งและยืดตัวตรง

    ฟังต่อไปอีกพักใหญ่ หลิวเสียที่ง่วงงุนเกือบหลับพลันตระหนักว่าคนผู้นี้หาใช่บุคคลคร่ำครึจนมิอาจคร่ำครึไปกว่านี้ได้อีก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเสนอฎีกากับจักรพรรดิยาวขนาดนี้ เขาจงใจยื้อเวลานานขนาดนี้เพราะไม่อยากให้อีกคนได้พูด หลิวเสียเหลือบมองต่งเฉิงที่รอเงียบๆ อยู่ด้านข้าง พบว่าต่งเฉิงมีท่าทางใจเย็น คล้ายไม่ใส่ใจข่งหรงแม้แต่น้อย พระมเหสีฝูฉวยโอกาสจังหวะที่ข่งหรงหยุด สะบัดแขนเตือนว่า “ฝ่าบาทเพิ่งหายจากการประชวรหนัก ไม่อาจรับฟังฎีกานานเกินไป ข่งเซียนเซิง**สามารถทิ้งฎีกาไว้ที่นี่ วันหน้าฝ่าบาทค่อยพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง”

    ข่งหรงตีหน้าขึงขัง “เรื่องราวในราชสำนัก ไยต้องให้สตรีก้าวก่าย!”

    หลังจากตำหนิทั้งจักรพรรดิและพระมเหสีแล้ว ข่งหรงยิ่งฮึกเหิมกว่าเดิม อ่านฎีกาต่อ โชคดีที่ฎีกาต่อให้ยาวเพียงใดก็มีเวลาที่อ่านจบ เมื่อข่งหรงอ่านคำสุดท้ายจบแล้วจึงหมอบลงกับพื้น “สิ่งที่กระหม่อมกราบทูลไป ล้วนเป็นเรื่องราวในรัชสมัยก่อน ขอฝ่าบาททรงพิจารณาและทำความเข้าใจ กำจัดคนโฉดเลือกใช้คนดี เช่นนี้ความรุ่งโรจน์ของต้าฮั่นย่อมอยู่ไม่ไกล”

    อ้อมไปตั้งไกล เล่านิทานสิบกว่าเรื่อง แท้จริงแล้วก็แค่ต้องการด่าต่งเฉิงที่เปิดประตูเชิญโจรเข้าบ้านและเสียดสีเขาที่ไล่จางอวี่ออกไปเท่านั้น ขุนนางใช้นิทานเสียดสีบอกเล่าความจริง นี่เป็นวิธีการที่โบราณมาก สมัยนี้พบเห็นได้ไม่มากแล้ว มีแต่คนอย่างข่งหรงเท่านั้นที่จะหยิบยกวิธีนี้ออกมาใช้ หลิวเสียปั้นหน้าขรึมไม่ไหว อดไม่ได้ที่จะโบกมือเอ่ยว่า “คำพูดของข่งเซียนเซิงมีค่ายิ่งนัก เรารู้แล้ว” เขาเกรงว่าข่งหรงจะพูดมากอีก จึงพูดกับต่งเฉิง “ขุนพลต่ง วันนี้มีเรื่องใดจะรายงาน”

    ต่งเฉิงพูดอย่างสุขุม “ข่งเซียนเซิงเล่าประวัติศาสตร์มีระเบียบแบบแผนทีเดียว กระหม่อมแม้จะโง่เขลา แต่ก็อยากเล่าเรื่องราวในสมัยโบราณให้ฝ่าบาทฟังบ้าง”

    หลิวเสียยิ้มฝืด ไฉนวันนี้ขุนนางทั้งหลายจึงแย่งกันเล่าเรื่องเก่าๆ ให้เขาฟังนะ เขาถามอย่างเกียจคร้าน “วันนี้จะเล่าเรื่องใด”

    “เรื่องของเจิ้งจ้งและโต้วเซี่ยนในสมัยมู่จง”

    คำพูดนี้ทำเอาบรรยากาศในห้องชะงักงัน หลิวเสียเคยศึกษาประวัติศาสตร์บ้านเมืองจึงรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ช่วงนี้อย่างละเอียด

    สมัยมู่จงเซี่ยวเหอตี้หลิวจ้าว โต้วเซี่ยนขุนนางใหญ่ยึดอำนาจในราชสำนักกุมกำลังทหารไว้ในมือ มู่จงใช้เจิ้งจ้งผู้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงพิเศษจงฉางซื่อโกวตุ้นลิ่งวางแผนหลอกล่อโต้วเซี่ยนเข้าเมือง จากนั้นปิดประตูทั้งสี่ ยึดตราประทับและสังหารพรรคพวกของอีกฝ่าย สกุลโต้วล่มสลายโดยสิ้นเชิง อำนาจกษัตริย์ฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง

    หลิวเสียย้อนนึกถึงท่าทีของต่งเฉิงตอนพบกันครั้งก่อน ดูเหมือนเขากำลังวางแผนการใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจกษัตริย์ เพียงแต่ฝูโซ่วบอกว่ายังไม่ถึงเวลาจึงไม่ยอมพูดรายละเอียด วันนี้เขาจงใจพูดถึงเรื่องราวของโต้วเซี่ยน หรือว่าเขากำลังส่งสาสน์อะไรให้จักรพรรดิ

    แต่ตอนนี้เฉาเชาอยู่ไกลถึงกวนตู้…ไกลถึงกวนตู้? ใช่แล้ว ในอดีตโต้วเซี่ยนก็ยกทัพกลับราชสำนักเหมือนกันแต่ถูกเจิ้งจ้งจับกุม มู่จงทำเช่นนี้ได้ ไยข้าจะทำไม่ได้เล่า ต่งเฉิงต้องการสื่อความนัยเช่นนี้เอง หลิวเสียคิดได้เลือดในกายก็เดือดพล่านทันใด วู่วามจนอยากจะยืนขึ้น ฝูโซ่วกดไหล่เขาเบาๆ ใช้สายตาบอกว่ากำแพงมีหู

    ต่งเฉิงดูออกว่าจักรพรรดิตื่นเต้นเล็กน้อยจึงพูดเสียงขรึม “ตำหนักบรรทมเกิดเพลิงไหม้ รอบด้านไม่สงบ พวกกระหม่อมรับบัญชาจัดระเบียบทหารยามในวัง ไม่นานย่อมเห็นผล ขอฝ่าบาทประทับอยู่ในจวนซือคงอย่างสงบ รอฟังข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ”

    หลิวเสียจับความนัยที่แฝงอยู่ได้ หัวสมองคืนสู่ความสุขุม จะก่อการล้วนมีความเสี่ยงเสมอ ตนมีฐานะสูงศักดิ์ ทั้งยังไม่รู้รายละเอียดแม้แต่น้อย สิ่งที่ต้องทำคือสุขุมเยือกเย็นไว้

    ในเมื่อเรื่องนี้พี่ชายกับต่งเฉิงตกลงกันไว้แล้ว เช่นนั้นตนไม่จำเป็นต้องฝืนเข้าไปเพิ่มความวุ่นวาย รายละเอียดให้เป็นหน้าที่ของขุนนางผู้ภักดีเหล่านี้ไปจัดการก็พอ

    ต่งเฉิงพูดต่อ “ฉงจี๋ออกจากตำแหน่งแล้ว กระหม่อมขอเสนอแนะคนผู้หนึ่งให้ดูแลรับผิดชอบทหารยามในวังแทนฉงจี๋พ่ะย่ะค่ะ”

    นี่เป็นก้าวที่สำคัญมาก ก่อนเริ่มแผนการเมืองทั้งเมืองต้องเกิดความวุ่นวาย หากข้างกายจักรพรรดิไม่มีองครักษ์ติดอาวุธ ย่อมยากจะรับรองว่าจะไม่เกิดกบฏ ดังนั้นกำลังทหารในวังจึงต้องอยู่ในมือคนที่ไว้วางใจได้ ถึงเวลานั้นฉงจี๋อาจมีภารกิจใหญ่อย่างอื่นจึงต้องมีขุนนางที่จงรักภักดีเป็นผู้นำกองทหารกลุ่มนี้ หลิวเสียยังไม่ทันได้แสดงความเห็นใดๆ ข่งหรงก็แทรกขึ้นด้านข้าง “กระหม่อมก็มีบุคคลจะแนะนำเช่นกัน คนผู้นี้เปรียบเหมือนหงส์มังกรในหมู่คน มีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง หากฝ่าบาททรงรับฟังความเห็นกระหม่อม ขุนนางโฉดชั่วย่อมไม่น่ากลัวอีกต่อไป!”ต่งเฉิงกับข่งหรงสบตากัน ต่างรู้สึกขัดอกขัดใจอีกฝ่าย หลิวเสียร้อนใจ ใจคิดว่าขุนพลต่งกำลังจะริเริ่มการใหญ่ บัณฑิตคร่ำครึอย่างเจ้ายังจะมัวพูดพล่ามอยู่ได้ น่ารังเกียจโดยแท้ เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของจักรพรรดิ สีหน้าขรึมลง ขณะกำลังจะเอ่ยปากตำหนิ คิดไม่ถึงว่าฝูโซ่วจะแย้มยิ้มและพูดขึ้นก่อน “ไม่ทราบว่าบุคคลที่ทั้งสองท่านจะแนะนำ ใช่คนผู้นั้นในใจฝ่าบาทหรือไม่”

    หลิวเสียจับต้นชนปลายไม่ถูก คิดดูอีกที คำว่า ‘ฝ่าบาท’ ที่ฝูโซ่วพูดถึงต้องหมายถึงพี่ชายของเขาแน่ แผนการนี้คงถูกเตรียมการมาตั้งแต่ตอนที่หลิวเสียตัวจริงยังมีชีวิตอยู่แล้ว

    “บุตรชายของไท่เว่ยหยางเปียว หยางซิวหยางเต๋อจู่” ทั้งสามพูดออกมาเป็นเสียงเดียว จากนั้นต่งเฉิงกับข่งหรงต่างตะลึงงัน

     

    ณ บ่อนพนันแห่งหนึ่งในสวี่ตู ชายหนุ่มคนหนึ่งจามเสียงดัง ลูกเต๋าในมือหลุดกระเด็นออกไป กลิ้งไปหลายรอบและปรากฏแต้มหก ผู้เล่นรอบด้านสบถออกมาอย่างขัดเคือง

    บทที่ 4

    แผนการของผู้ที่ยังไม่ตาย

     

    สวีโจวคืนหิมะตก เชอโจ้ว (กีเหมา) ถือทวนควบม้าออกจากประตูเมือง หิมะที่ตกหนักโปรยปรายลงมาเหมือนขนห่าน บดบังท้องฟ้ากลบเกลื่อนจันทรา ทำให้เกราะเหล็กที่สวมกายอยู่หนักอึ้งและเยียบเย็นกว่าเดิม จมูกม้าพ่นไอสีขาวออกมา มันย่ำเท้าอย่างลุกลนเป็นระยะ วันนี้ไม่รู้มันเป็นอะไร จิตใจถึงไม่สงบนัก

    เขาเห็นเงาเลือนรางของม้าสามตัวจากที่ไกลค่อยๆ ใกล้เข้ามา จึงรั้งเชือกบังเหียน เอ่ยเสียงดัง “ผู้มาคือหลิวอวี้โจว* ใช่หรือไม่”

    เสียงหนึ่งล่องลอยมาจากที่ไกลๆ ท่ามกลางลมหิมะฟังไม่ชัดนัก เชอโจ้วได้รับรายงานตั้งแต่หลายวันก่อน บอกว่าหลิวเป้ย(เล่าปี่) นำทัพผ่านสวีโจว เมื่อครู่ก็มีหน่วยลาดตระเวนมารายงาน ยามนี้เขาออกจากเมืองมาสอบถามด้วยตัวเอง เป็นการปฏิบัติหน้าที่รักษาการณ์สวีโจวอย่างเต็มที่เท่านั้น

    เชอโจ้วแขวนทวนยาวไว้บนขอเกี่ยวทวน ทำให้มือทั้งสองว่างเพื่อเตรียมตัวประสานมือต้อนรับ เวลานี้เอง ม้าหนึ่งในสามตัวนั้นพลันเคลื่อนไหวมาทางเขาอย่างรวดเร็ว เชอโจ้วหรี่ตา สังเกตเห็นว่าขวามือของม้าตัวนั้นยังมีเงาเรียวยาวสีดำอยู่อีกสาย เพียงแต่เห็นไม่ชัดเจนนัก

    ม้าตัวนั้นเคลื่อนไหวว่องไวทีเดียว เกือกม้ากระแทกถนนหินศิลาดำถี่รัว เสียงดังกังวานเหมือนเสียงกลองศึก ไม่นานก็ประชิดกำแพงเมือง เงาคนบนหลังม้าหมอบลงกะทันหัน นี่เป็นสัญญาณล่วงหน้าของการออกแรง

    ในที่สุดเชอโจ้วก็เห็นชัด…สิ่งที่ถูกลากอยู่ฝั่งขวาของม้าคือดาบเล่มยาว ดาบนั้นเป็นรูปจันทร์เสี้ยว

    แสงจันทร์ทอวาบ เชอโจ้วพลันรู้สึกฟ้าดินหมุนวน สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่สายตาเป็นอย่างแรกคือท้องฟ้าราตรี จากนั้นเป็นผืนดิน สุดท้ายเป็นร่างกายของตัวเองที่หัวขาด ข้างหูได้ยินเสียงแผดร้องของอาชา จากนั้นโลกทั้งใบก็สงบลง…

    “หลิวเป้ยยึดสวีโจวและตั้งตัวเป็นเอกเทศ!”

    ครั้นข่าวนี้แพร่มาถึงสวี่ตู ราชสำนักก็โกลาหลทันที หลายคนยังจดจำลักษณะท่าทีของหลิวเป้ยตอนอยู่ในสวี่ตูได้ ต่างถามเพื่อนขุนนางด้านข้างว่า “เป็นพระปิตุลาหลิวที่ปลูกผักอยู่บ้านทั้งวันน่ะหรือ” พวกเขาคิดไม่ถึงว่าคนหูใหญ่ที่เห็นใครก็ยิ้มแย้มไปทั่วผู้นั้น จะเป็นผู้กล้าที่เหี้ยมโหดและใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ขุนนางใหญ่ที่รู้สายสนกลในมากกว่าต่างลอบถอนหายใจ

    “ผู้คนล้วนบอกว่าให้ที่พึ่งพิงแก่หลิวเป้ยก็เปรียบเหมือนเลี้ยงพยัคฆ์ บัดนี้ดูแล้วเห็นทีจะเป็นความจริง”

    ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทุกคนล้วนไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เสียงดัง ความสงสัย ความขุ่นเคือง การแอบดีใจ ปริศนาและอารมณ์ต่างๆ นานาผสมผสานอยู่ในสวี่ตูที่เป็นเหมือนหม้อสามขาใบใหญ่ ความร้อนที่สะสมทำให้อุณหภูมิของน้ำค่อยๆ สูงขึ้น ที่น้ำในหม้อยังไม่เดือดพล่านเป็นเพราะเฉาซือคงกับราชเลขาธิการสวินยังไม่ตอบสนองใดๆ

    สำหรับเฉาเชาแล้ว การตั้งตัวเป็นเอกเทศของหลิวเป้ยไม่ได้หมายความถึงการสูญเสียสวีโจวเพียงเท่านั้น

    กำลังหลักของทัพเฉาตอนนี้ประจันหน้ากับหยวนเซ่าอยู่ที่กวนตู้ การสูญเสียสวีโจวเท่ากับทัพเฉาถูกแทงข้างหลังหนึ่งแผล

    หากทัพเฉาคิดจะถอนกำลังกลับมาโจมตีสวีโจว กำลังทหารของหยวนเซ่าที่เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่จะเหมือนเขาไท่ซานที่กดทับบนศีรษะและข้ามแม่น้ำหวงเหอมา แต่หากทัพเฉาไม่สนใจ หลิวเป้ยก็จะรุกต่อเข้าคุกคามมณฑลเหยี่ยนโจวและชิงโจวได้ หรือหากถอยไปร่วมมือกับหลิวเปี่ยว ซุนเช่อ (ซุนเซ็ก) ก็สร้างปัญหาอย่างยิ่งยวดเช่นเดียวกัน

    ทุกคนต่างตั้งตารอดู ว่าเฉาเชาจะรับมือกับสถานการณ์ยากลำบากนี้อย่างไร

    “ทุกท่าน เฉากงตัดสินใจแล้ว” สวินอวี้พูดกับทุกคนอย่างสุขุม มือชูหนังสือที่เฉาเชาเขียนด้วยลายมือตัวเอง หนังสือฉบับนี้เพิ่งส่งมาถึง ระหว่างทางมีม้าตายไปสามสี่ตัวและพลส่งสารตายไปหนึ่งคนเพราะความเหน็ดเหนื่อย

    ทุกคนที่มีสิทธิอยู่ในห้องนี้ ล้วนเป็นขุนนางสำคัญของสำนักกองการและผู้บัญชาการทหารกรมกองต่างๆ ที่เฉาเชาทิ้งไว้สวี่ตู ทั้งยังมีขุนนางระดับสูงในอำเภอและเมืองใกล้เคียง ทุกคนต่างเฝ้ารอคำพูดต่อไปของเขาด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง ในห้องเงียบสนิท สวินอวี้กวาดตามองรอบด้าน สายตาน่าเกรงขามทำให้ทุกคนที่สบตารู้สึกตระหนกในใจ น้อยครั้งที่พวกเขาจะเห็นราชเลขาธิการสวินผู้สุภาพอ่อนโยนเคร่งขรึมเช่นนี้

    “เฉากงทิ้งเยวี่ยจิ้น (งักจิ้น) อวี๋จิ้น (อิกิ๋ม) เฉิงอวี้ (เทียหยก) สามขุนพลไว้รับมือกับหยวนเซ่า ทัพใหญ่จะเคลื่อนไปทางตะวันออกทันที โจมตีสวีโจว”

    คนในห้องได้ยินข่าวนี้ต่างมองหน้ากัน เฉาเหรินอดถามไม่ได้ “เยวี่ยจิ้น อวี๋จิ้น เฉิงอวี้ สามคนนี้ล้วนเป็นขุนพลฝีมือดี แต่กองทัพของหยวนเซ่าแข็งแกร่ง ใต้เท้าเฉาซือคงออกรบด้วยตัวเองยังมิอาจพิชิตได้ พวกเขาจะต้านรับไหวหรือ”

    “เรื่องทางตอนเหนือเฉากงย่อมเป็นผู้ตัดสินใจเอง ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำคืออย่าให้เฉากงมีห่วงข้างหลัง จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด!”

    สวินอวี้กดหนังสือลงบนโต๊ะ ใบหน้าคมคายฉายแววแข็งกร้าวอยู่หลายส่วน เฉากงไม่อยู่ เขาก็คือผู้อารักขาสูงสุดของสวี่ตู เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดคุกคามสวี่ตูเป็นอันขาด

    ตั้งแต่ข่าวหลิวเป้ยตั้งตัวเป็นเอกเทศถูกส่งมา สวินอวี้ก็ตระหนักได้ว่าขุนนางทั้งหลายในสวี่ตูมีโอกาสหวั่นไหวมาก เขาจึงตัดสินใจยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในจวนบัญชาการซือคงก่อน ถึงได้จัดการประชุมหารือขึ้น บัดนี้ดูแล้วขวัญกำลังใจของทุกคนยังดีอยู่ ส่วนเรื่องที่ขวัญกำลังใจจะคงอยู่นานเพียงใด ต้องดูว่าทัพเฉาที่อยู่แนวหน้าจะได้รับชัยชนะมากเพียงใด

    สวินอวี้ชะงักครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ในอดีตหลี่ว์ปู้ (ลิโป้) เฉินกง (ตันก๋ง) ก่อกบฏ สูญเสียทั้งมณฑล เหลือเพียงสามเมือง เฉากงยังพลิกความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ สถานการณ์วันนี้ยังดีกว่าในอดีต ไยต้องกังวลว่าการใหญ่จะไม่สำเร็จ หวังว่าทุกท่านจะไม่ทำให้เฉากงผิดหวัง ทำงานของตนให้สุดความสามารถและจงรักภักดีให้เต็มที่ ตอบแทนราชวงศ์ฮั่น”

    ทุกคนโค้งกายให้คำสาบานอย่างพร้อมเพรียง ต่างเอ่ยว่ายินดีติดตามท่านราชเลขาธิการ จงรักภักดีตอบแทนแผ่นดิน เฉากงให้ความสำคัญกับผู้มีความสามารถ ย่อมต้องตอบแทนพวกเขาอย่างดีอยู่แล้ว ส่วนราชวงศ์ฮั่น พวกเขาแค่ใช้วาจาแสดงความภักดีไปอย่างนั้นเอง

    ต่อจากนั้นเป็นการตรวจเสบียงเกณฑ์พลและงานต่างๆ อีกมากมาย กลิ่นอายสงครามครั้งใหญ่พุ่งปะทะใบหน้าเมื่อสวินอวี้ออกคำสั่งแต่ละข้อออกมาอย่างต่อเนื่อง ในใจของขุนนางทุกคนล้วนหนักอึ้ง แต่ไม่มีใครบ่น ทุกคนต่างรับคำสั่งเงียบๆ จากนั้นรุดไปยังสถานที่ที่ตัวเองควรอยู่ การประชุมดำเนินไปถึงกลางดึกจึงยุติลง หลังจากขุนนางส่วนใหญ่ลากลับไปแล้ว สวินอวี้สังเกตเห็นหม่านฉ่งนั่งคุกเข่าอยู่แถวสุดท้าย ไม่มีทีท่าว่าจะจากไป เขาลงชื่อในสารฉบับสุดท้ายเสร็จและเงยหน้าถาม “ป๋อหนิง เจ้ายังมีอะไรอีกหรือ”

    “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากเตือนท่านหน่อย” น้ำเสียงของหม่านฉ่งไม่รีบไม่ร้อนไม่ว่าเวลาใด

    “ว่ามา” สวินอวี้พูดพลางหยิบพู่กันขึ้นมาและตวัดข้อมือ เขาไม่พอใจการพูดจาคลุมเครือเช่นนี้นัก

    “ข้ารู้สึกว่าสวีโจวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”

    สวินอวี้วางพู่กันในมือและขมวดคิ้ว คำพูดนี้ผิดปกติมาก หม่านฉ่งเป็นผู้บัญชาการเมืองสวี่ตู ตามหลักแล้วแค่รับผิดชอบรักษาความปลอดภัยในเมืองสวี่ตูก็พอ แต่หม่านฉ่งเป็นคนระวังรอบคอบ หากไม่มีเหตุผลพิเศษ ไม่มีทางแสดงความคิดเห็นเกินขอบข่ายหน้าที่แน่นอน เขาส่งสัญญาณให้หม่านฉ่งชี้แจงรายละเอียดมากกว่านี้ หม่านฉ่งก้าวมาข้างหน้า ชี้แผนที่หนังวัวด้านหลังสวินอวี้ นิ้วของเขากดตรงหรู่หนาน

    “หรู่หนานจะเป็นรายต่อไป?”

    “ใช่” หม่านฉ่งตอบ “ไม่ทราบราชเลขาธิการสวินยังจำหยางจวิ้นได้หรือไม่ เขาถูกลอบโจมตีระหว่างเดินทางมาสวี่ตู ว่ากันว่าโจรที่ทำร้ายเขาเดินทางผ่านมากำลังจะรุดไปหรู่หนาน หรู่หนานเป็นพื้นที่ที่มีโจรโพกผ้าเหลืองมากที่สุดในตอนนี้ ทั้งยังเป็นบ้านเกิดของหยวนเซ่า หากเกิดการเปลี่ยนแปลง ย่อมมิใช่เรื่องเล็ก”

    สวินอวี้จมสู่ภวังค์ความคิด นานครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “คำพูดของหยางจวิ้น เชื่อถือได้สักกี่ส่วน”

    “แปดส่วนน่าจะเป็นเท็จ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นความจริง”

    สวินอวี้อึ้งไป ไม่เข้าใจเจตนาของหม่านฉ่งนัก

    “ศพของหยางผิงบุตรชายหยางจวิ้นตอนนี้ตั้งอยู่ในห้องใต้ดินของกองกำลังรักษาเมืองสี่ตู โชคดีที่เป็นฤดูหนาว จึงยังรักษาสภาพไว้ได้สมบูรณ์มาก ทั้งยังบอกอะไรกับข้ามากมาย”

    นิ้วมือของสวินอวี้เคาะโต๊ะหนักๆ เป็นสัญญาณให้หม่านฉ่งพูดต่อ

    “เป็นต้นว่าหยางจวิ้นโกหกเรื่องการถูกลอบโจมตีครั้งนี้” ดวงตาแบนราบของหม่านฉ่งทอประกายคมปลาบวูบหนึ่ง เหมือนงูพิษที่ทำท่าจะแลบลิ้น “ใบหน้าของหยางผิงถูกฟันจนเละ แต่ร่างกายแทบจะไม่มีรอยแผลเลย ยากจะจินตนาการว่าท่ามกลางการต่อสู้อย่างดุเดือด ไฉนจึงทิ้งบาดแผลแปลกประหลาดเช่นนี้ไว้ได้ อีกอย่าง ข้อมือและกระดูกคอของเขามีร่องรอยถูกหัก แต่แผลนั้นกลับเก่ากว่าแผลที่หน้า คนที่บาดเจ็บถึงขั้นคอกับข้อมือเกือบหัก กลับยังต่อสู้กับโจรได้ นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ”

    “เจ้าคิดว่าหยางผิงไม่ได้ตายเพราะต่อสู้กับโจร แต่ถูกฆ่าตายก่อนหน้านั้นและนำศพมาวางไว้ที่นั่น?”สวินอวี้จับประเด็นสำคัญได้โดยเร็ว

    “ใช่ ข้าถึงขั้นไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาใช่หยางผิงหรือไม่ ใบหน้าเขาถูกฟันจนเละ แสดงให้เห็นว่ามีคนไม่ต้องการให้เราแยกแยะโฉมหน้าของหยางผิงได้”

    “แต่เรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวอะไรกับหรู่หนานด้วย”

    “ในเมื่อการถูกโจมตีของหยางจวิ้นเป็นสถานการณ์ตบตา เช่นนั้นเขาจงใจพูดถึงหรู่หนานก็ด้วยต้องการให้พวกเราใส่ใจที่นั่นเป็นพิเศษ เพื่อยืนยันคำพูดของหยางจวิ้น เร็วๆ นี้หรู่หนานจะต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ หาไม่แล้วเขาพูดเช่นนี้ย่อมไม่มีความหมายอันใด”

    หัวคิ้วของสวินอวี้เกือบจะผูกเข้าด้วยกัน “หรู่หนาน หรู่หนาน…แต่เหตุใดหยางจวิ้นต้องทำอย่างนี้ด้วย”

    “ยังไม่แน่ชัด” หม่านฉ่งส่ายหน้า “แต่เบื้องหลังเขาจะต้องมีบุคคลใหญ่โตยืนอยู่แน่ บัดนี้เฉากงอยู่ข้างนอก คนบางกลุ่มในสวี่ตูทนความเหงาไม่ไหวเสียแล้ว พวกเราอาจรอให้พวกเขากระโดดออกมาทีละคนได้…”

    “ความหมายของเจ้าคือปล่อยเสือเข้าป่า?”

    “ท่านราชเลขาธิการปราดเปรื่อง ผู้น้อยไม่ถือสาหากต้องจับหยางจวิ้นมาสอบปากคำ แต่คนที่ยินดีสละแขนตัวเองเพื่อสร้างสถานการณ์ตบตาผู้อื่น การคาดคั้นทรมานย่อมไม่มีประโยชน์ ใต้เท้าจี้จิ่วมักบอกว่าต้องปล่อยนกกลับรัง จึงจะพบไข่ของมัน”

    สวินอวี้จ้องอีกฝ่ายครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกซับซ้อน ก่อนจะพูดเนิบช้า “เรื่องที่หรู่หนานข้าจะจัดการเอง ส่วนเรื่องของหยางจวิ้น เจ้าจัดการตามความเหมาะสมแล้วกัน”

    “ผู้น้อยเข้าใจแล้ว” หม่านฉ่งฉีกริมฝีปากคล้ายกำลังยิ้ม

    สวินอวี้โบกมือด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง ใช้ปากเป่าลมหายใจใส่ขนหางเพียงพอนที่จับตัวแข็งและจัดการกับงานบนโต๊ะต่อ…เขารู้ว่าสิ่งที่หม่านฉ่งเชี่ยวชาญที่สุดมิใช่การจัดการตามความเหมาะสม แต่เป็นการหาจุดสำคัญ หม่านฉ่งก็เหมือนงูพิษตัวหนึ่ง มักจะฉกจุดตายของอีกฝ่ายในมุมที่เฉียบคมที่สุด จากนั้นพ่นพิษที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตเข้าไป เขาเคยพบเห็นมาแล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ไม่เคยชื่นชอบ

    หม่านฉ่งถอยออกจากสำนักราชเลขาเงียบๆ เนื่องจากสวินอวี้ไม่ซักไซ้เขาจึงไม่เอ่ยถึง ทั้งสองเบนหัวข้อสนทนาไปที่หรู่หนานอย่างใจตรงกัน ไม่ได้หารือและวิเคราะห์ลึกลงไปกว่านี้ ความจงรักภักดีของสวินอวี้ไม่ได้อยู่ที่เฉากงทั้งหมด ดังนั้นเรื่องบางอย่างเขาจึงไม่อยากสืบสาวให้ละเอียดเกินไป แต่หม่านฉ่งไม่เหมือนกัน

    สองวันให้หลัง ขุนพลหลี่ทงที่ประจำการอยู่ที่หรู่หนานได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากสวินอวี้ กำชับให้เฝ้าระวังสถานการณ์ในเมือง

    หลี่ทงเกณฑ์ทหารในท้องถิ่นทันที รวบรวมทหารฝีมือดีมาอยู่ใกล้เมืองหรู่หนาน

    ทว่ายังเกณฑ์พลไม่เรียบร้อยดี การเคลื่อนไหวก็เกิดขึ้นแล้ว

    หลิวพี่(เล่าเพ็ก) โจรโพกผ้าเหลืองที่ยังหลงเหลืออยู่รวบรวมพรรคพวกหลายหมื่นก่อกบฏครั้งใหญ่ใกล้เมืองหรู่หนาน ยังดีที่หลี่ทงเตรียมการได้ทันเวลา ป้องกันหรู่หนานไว้อย่างแน่นหนา แต่ก็ไม่กล้าโจมตีศัตรูอย่างประมาท สองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ทหารกบฏฉวยโอกาสนี้ปล้นชิงพื้นที่ใกล้เคียงหรู่หนานเป็นการใหญ่

    พอข่าวส่งมาถึงสวี่ตู โจทย์ยากก็ปรากฏตรงหน้าสวินอวี้

    กำลังหลักของเฉากงอยู่ระหว่างรุดเดินทางไปสวีโจว เยวี่ยจิ้น อวี๋จิ้นประจำอยู่กวนตู้ จงเหยา (จงฮิว) รักษาความสงบในด่านแถบตะวันตก กองทหารเพียงหนึ่งเดียวที่เคลื่อนตัวไปช่วยเหลือหรู่หนานได้จึงมีเพียงกองกำลังของเฉาเหรินในสวี่ตู

    หากไม่ช่วย หรู่หนานย่อมตกอยู่ในอันตราย หากช่วย สวี่ตูย่อมว่างเปล่า ช่วยหรือไม่ช่วยกลายเป็นประเด็นขัดแย้ง ตัวเฉาเหรินเองตบอกรับรองว่าตนช่วยหรู่หนานจากวิกฤตได้ภายในสิบวัน แต่สวินอวี้กลับไม่อนุมัติ เพียงให้เขาขุนม้าลับอาวุธ เตรียมพร้อมออกรบทุกเมื่อเท่านั้น

    ระหว่างที่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเคลื่อนพลออกไปหรือไม่ ในเมืองสวี่ตูเกิดข่าวลือประหลาดอย่างหนึ่ง ทำให้สถานการณ์ที่เดิมทีซับซ้อนมากอยู่แล้วย่ำแย่กว่าเดิม “ซุนเช่อแห่งเมืองหลูเจียงหมายจะโจมตีสวี่ตู!”

    จากเมืองหลูเจียงที่อยู่ไกลถึงไหวหนานคิดจะโจมตีสวี่ตู ระยะทางไกลนับพันลี้ ได้ฟังครั้งแรกนับเป็นความคิดที่เหลวไหลมาก แต่พอคิดว่าผู้วางแผนคือซุนเช่อ ย่อมไม่มีใครหัวเราะออก หลายปีมานี้เจ้าคนคลุ้มคลั่งแห่งเจียงตงผู้นั้นสร้างความอัศจรรย์ใจให้ใต้หล้ามากเกินไป ไม่มีใครกล้ารับรองว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้น

    ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข่าวลือนี้แพร่ออกมาอย่างมีมูล ซุนเช่อยกทัพมาเพื่อร่วมมือกับหยวนเซ่า หนึ่งใต้หนึ่งเหนือร่วมมือกันเคลื่อนไหว โจมตีสวี่ตูเป็นแผนลวง แท้จริงแล้วเป็นการทำศึกกับเหอเป่ยต่างหาก หลายคนคิดเชื่อมโยงได้ว่าหรู่หนานเดิมทีเป็นบ้านเกิดของหยวนเซ่าอยู่แล้ว ทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยพรรคพวกลูกน้องของเขา ซุนเช่อเลือกที่จะยกทัพออกมาเวลานี้ ความหมายจึงยิ่งไม่ธรรมดา

    ข่าวร้ายข่าวแล้วข่าวเล่าถูกส่งมา ทำให้สวี่ตูตกอยู่ในความร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก สวินอวี้ไม่มีทางเลือก ได้แต่ออกคำสั่งด่วนให้กำลังของเฉาเหรินเคลื่อนตัวไปบริเวณใกล้เคียงอำเภอเซี่ยงเซี่ยน ตัดขาดเส้นทางด้านตะวันออกเฉียงใต้มาสวี่ตู เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เขายังเสริมมาตรการป้องกันเมืองสวี่ตูให้รัดกุมยิ่งขึ้น ประกาศปิดสี่ประตูอย่างแน่นหนา ห้ามเปิดหากไม่มีคำสั่ง

    “สวินอวี้คิดเอาเองว่าปกป้องข้าศึกจากข้างนอกได้ก็สบายใจแล้ว ไม่รู้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นข้างกาย เขาปิดประตูเมืองสวี่ตูไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก กลับทำให้พวกเราลงมือสะดวก” ต่งเฉิงชูจอกเหล้า น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความกระหยิ่มใจ “โอกาสมาถึงแล้ว ต้องดูว่าพวกเจ้าจะยึดเมืองไว้ได้ในคราวเดียวหรือไม่ กุมชะตาของสวี่ตูกับราชวงศ์ฮั่นไว้ในฝ่ามือ”

    อู๋ซั่วกับพวกฉงจี๋ใบหน้าฉายความเลื่อมใส ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าหลิวเป้ยเป็นกำลังหลักในการทำศึกรอบนอก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงหมากที่ใช้ดึงดูดกำลังของทัพเฉาเท่านั้น สวีโจว หรู่หนาน เจียงตง ต่งเฉิงวางหมากบ้างจริงบ้างเท็จลงในสามพื้นที่นี้ เพียงไม่นานก็โยกย้ายกำลังในการป้องกันสวี่ตูออกไปได้ทั้งหมด

    บัดนี้เฉาเชาติดพันการศึกอยู่ที่สวีโจว หลี่ทงถูกกักอยู่ในหรู่หนาน เฉาเหรินก็รุดไปอำเภอเซี่ยงเซี่ยน สวี่ตูว่างเปล่าอย่างไม่เคยเป็น บริเวณท้องที่อ่อนแอที่สุดของเมืองแห่งนี้ถูกเผยออกมาแล้ว หอกยาวคมกริบก็ถูกวางในตำแหน่งที่เหมาะสม แค่แทงเข้าไปเบาๆ ราชวงศ์ฮั่นก็จะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง

    “คืนนี้ก้าวออกจากห้องเล็กที่นี่ พรุ่งนี้เช้าพบกันในราชสำนัก!”

    ต่งเฉิงกวาดตามองเพื่อนขุนนางข้างกายรอบหนึ่ง พวกเขาทุกคนล้วนเผยสีหน้าฮึกเหิม นี่เป็นความรู้สึกที่มาจากความตื่นเต้น ทั้งยังเป็นความรู้สึกเคลิบเคลิ้มว่าการใหญ่กำลังจะสำเร็จ เขาเขวี้ยงจอกเหล้าลงบนพื้นทันใด ชูราชโองการสายคาดเอวที่มีหมึกอันล้ำค่าของจักรพรรดิต้าฮั่นขึ้นสูง

    “ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น!” เขากู่ร้องเสียงดัง

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook