• Connect with us

    Enter Books

    ซยงหนู

    ทดลองอ่าน ซยงหนู ทัณฑ์สวรรค์ อาถรรพ์ต้องสาป เล่ม 1 บทที่ 5

    4 of 4หน้าถัดไป

    ตรงหน้าผมไปวางไว้ที่หน้าตนเองอย่างเบามือ ค่อยๆ เปิดมันออกอย่างระมัดระวัง บรรจงประกอบส่วนประกอบทั้งสี่เข้าด้วยกัน เสร็จแล้วก็ปูผ้าสีเหลืองลงบนโต๊ะ วางดาบพกที่ประกอบเสร็จไว้ทางด้านบน วางมือข้างหนึ่งไว้บนดาบพกด้วยท่าทีเคร่งขรึม หรี่ตา ก้มหน้าลงเล็กน้อย ปากพึมพำท่องอะไรบางอย่าง ส่วนมืออีกข้างก็ชี้ไปยังหน้าต่างที่ยาวจรดพื้น พอมองตามนิ้วมือเขาไปผมก็ถึงกับตะลึง

    ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังถูกใครบีบคอหอย แม้แต่จะหายใจตามปกติก็ยังยากลำบาก สองตาเบิกโพลง หางตาเหมือนจะปริฉีก ลำคอแห้งผาก ผมกำลังมองเห็นภาพที่น่าอัศจรรย์ที่สุด เหลวไหลที่สุด ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดกับตาตนเองอยู่

    นอกหน้าต่างยาวจรดพื้น พระอาทิตย์ยามเย็นกำลังสาดแสงสีแดงฉานลงบนพื้น คนในชุดหนังสีเข้มกลุ่มหนึ่งกำลังควบม้าตรงเข้ามา การเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่ได้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ผมจึงมีเวลามากพอที่จะมองดูพวกเขาอย่างชัดแจ้ง คนที่อยู่บนหลังม้าพวกนี้รูปร่างไม่สูงนัก มีหมวกทรงแหลมสวมอยู่บนหัว มือข้างหนึ่งกุมบังเหียนม้าไว้ ส่วนมืออีกข้างถือหน้าไม้แน่น มีถุงบรรจุลูกธนูอยู่บนหลัง อา…นี่เป็นแค่กลุ่มหน้ากลุ่มเดียวเท่านั้น ห่างออกไปไม่มากยังมีคนอีกกลุ่มตามมาทางด้านหลังติดๆ พวกเขาแต่งตัวแทบจะเหมือนกัน ต่างกันก็แค่ไม่มีหน้าไม้ มือของพวกเขากุมบังเหียนม้าไว้เหมือนกลุ่มแรก ส่วนมืออีกข้างถือดาบโค้ง ใบดาบสะท้อนเข้ากับแสงอาทิตย์อัสดงเกิดเป็นประกายแสงสีแดงแสบตา

    แสงสะท้อนสีแดงวาดผ่านเข้าตาผม ผมกวาดตามองดูคนอื่นๆ ในร้าน ที่น่าแปลกก็คือทุกคน รวมถึงคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับหน้าต่างยาวจรดพื้น ต่างยังคงทำธุระของตัวเองเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะได้รับผลกระทบจากการปรากฏกายของเหล่าทหารม้าที่อยู่ด้านนอก และนั่นก็หมายความว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อสายตา ต่อสติสัมปชัญญะของทุกคนในร้านไม่มีภาพการปรากฏกายของพวกทหารม้า นอกจากชายลึกลับที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามผมคนนี้ และตัวผมเอง

    พอผมหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ทหารม้าคนสุดท้ายก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา แสงอาทิตย์ยามเย็นสีแดงฉานทอดตัวอยู่บนพื้นถนนว่างเปล่าร้างไร้ผู้คน

    ทุกอณูในใจผมเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น พวกทหารม้าพร้อมจะเคลื่อนไหวได้ทุกเมื่อ พร้อมที่จะควักตับไตไส้พุงผมออกจนไม่มีอะไรเหลือ

    ชายหนุ่มผลักแผ่นไม้เล็กๆ แผ่นหนึ่งให้ผม ผมหยิบขึ้นมาดู ด้านบนมีรอยมีดขีดเป็นเส้นตั้งขวางตัดสลับกันอยู่สองสามรอย จุดตัดทั้งสี่แบ่งออกเป็นพิกัดเส้นรุ้งเส้นแวง ด้านข้างยังเขียนอักษร แบ่งออกเป็นคำว่า ‘ดาบ’ ‘ที่แขวนดาบ’ ‘หยกประดับดาบ’ ‘ฝักดาบ’ ถึงความรู้เรื่องภูมิศาสตร์ของผมจะน้อยนิด แต่ต่อให้เป็นคนโง่ยังไงก็ย่อมมองออกว่าเขาต้องการให้ผมเอาของทั้งสี่อย่างไปวางยังตำแหน่งต่างๆ แต่ปัญหาก็คือตอนผมได้ดาบพกเล่มนี้มาโดยบังเอิญนั้น ของทั้งสี่ประกอบอยู่ด้วยกัน กลายเป็นดาบที่สมบูรณ์เล่มหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “นี่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ผมเก็บดาบได้”

    เขายิ้มเพียงเล็กน้อย น้อยเสียจนไม่อาจน้อยไปกว่านั้นได้อีกพร้อมเอ่ยปากพูด “แน่นอนว่าไม่ใช่”

    ในเวลาเดียวกันเขาก็ยื่นมือเข้าไปลูบๆ คลำๆ ของในกล่องผ้าสีเหลืองครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเอาบางอย่างที่มีขนาดหนึ่งฝ่ามือออกมา ของสิ่งนั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแผ่นหนังผืนบาง เขาวางมันลงบนโต๊ะอย่างเบามือ แต่แทนที่จะเปิดแผ่นหนังที่หุ้มอยู่ภายนอกออก กลับเลื่อนมันมาไว้ตรงหน้าผมแทน ขณะที่ผมมองดูเขาด้วยแววตาสงสัย เขาก็ทำมือเป็นสัญญาณให้ผมเปิดมันออกดู ผมจึงยื่นมือไปแกะผืนหนังที่ห่อหุ้มอยู่ทางด้านนอกออกด้วยความอยากรู้อยากเห็น ของที่อยู่ด้านในโผล่ออกมาให้เห็นต่อสายตา ที่แท้ก็เป็นเหรียญทรงกลมที่มีขนาดใหญ่เท่าๆ กับหน้าปัดนาฬิกาข้อมือทั่วไป คล้ายจะทำจากโลหะสำริด ดูจากสนิมที่ขึ้นเขียว อายุของมันคงราวๆ สักสามถึงสี่ร้อยปี

    หากพิจารณาจากรูปร่าง มันน่าจะเป็นเข็มทิศหรือไม่ก็เครื่องคำนวณทิศอะไรสักอย่าง แต่จะให้บอกว่าเป็นเข็มทิศ ตรงกลางของมันก็ไม่มีเข็มบอกเหนือใต้ เดิมเข้าใจว่าเพราะเวลาผ่านมาเนิ่นนานตัวเข็มอาจหายหรือไม่ก็พังจนใช้การไม่ได้ไปก่อนแล้ว แต่พอหยิบขึ้นมาดูโดยละเอียดผมก็พบว่าตำแหน่งตรงกลางกลับไม่มีช่องให้ติดเข็มหรือสกรู ไม่มีร่องรอยเลยแม้แต่น้อยว่าเคยมีเข็มติดอยู่ จากองค์ประกอบทั้งหมดของมันน่าจะเป็นของที่ทำเลียนแบบเข็มทิศ

    นอกจากตัวเข็มชี้ทิศแล้วที่ต่างอีกอย่างคือแทนที่ขอบนอกจะมีขีดกำหนดทิศทาง หรือสัญลักษณ์ที่ใช้บอกตำแหน่ง กลับรายล้อมด้วยภาพแกะสลักรูปสัตว์ที่ดูมีชีวิตชีวาราวกับของจริง อา…ไม่ใช่ เป็นภาพหัวสัตว์ต่างหาก ผมประหลาดใจ พิจารณาดูภาพเหล่านั้นอยู่รอบหนึ่ง หัวสัตว์ที่อยู่บนขอบนอกมีทั้งหมดสิบสองหัว เริ่มจากหัวหนูไปจบลงตรงที่หมูตามลำดับนักษัตรทั้งสิบสองพอดี และที่ยิ่งประหลาดไปมากกว่านั้นก็คือที่ตรงกลางของหัวสัตว์ทุกตัวล้วนถูกแบ่งออกด้วยเส้นสีดำเส้นหนึ่ง หัวที่ถูกแบ่งเป็นสองส่วนนั้นมีขนาดเท่ากันไม่มีขาดไม่มีเกิน มองดูแล้วก็ให้อดนึกหวาดผวาไม่ได้

    อาจเพราะของที่อยู่ตรงหน้าดูแปลกประหลาด ทำให้ผมใจจดใจจ่ออยู่กับมันจนเกิดภาพหลอนขึ้นในสมอง สติสัมปชัญญะจมดิ่งเข้าไปในเส้นที่ผ่าอยู่กลางหัวสัตว์เหล่านั้น ราวกับว่าเส้นแบ่งมีพลังที่ไม่อาจอธิบายดึงดูดสติสัมปชัญญะของผมเข้าไป

    ขณะที่ผมกำลังใจจดใจจ่อ จู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งตกใจไปกับเสียงพูดของเขา พอกลับมาได้สติผมก็พบว่าเขายังคงพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม “เมื่อคุณเข้าใกล้ตำแหน่งที่กำหนดไว้ เจ้าของวิเศษในมือคุณนี้จะแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง ถึงตอนนั้นคุณก็เอาของไปวางไว้ยังตำแหน่งที่ระบุไว้บนแผ่นไม้ หลังจากวางของทั้งสี่ลงบนตำแหน่งที่ถูกต้อง ภารกิจของคุณก็เป็นอันสิ้นสุด และนั่นก็หมายความว่าคุณปลอดภัยแล้ว” พอพูดจบเขาก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้มีปฏิกิริยาตอบสนองหรือพูดอะไรออกมา เขาหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้น ไม่แม้แต่จะรอสักเสี้ยวนาที กดปุ่มพูดคุยกับคนที่อยู่ปลายสายเพียงไม่กี่คำว่า “ขับรถเข้ามาได้แล้ว” หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน แทบจะในเวลาเดียวกันรถยนต์สีดำคันหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจอดอยู่นอกหน้าต่างยาวจรดพื้น ผมเก็บของเสร็จก็เดินตามหลังเขาออกไป

    แสงอาทิตย์ริมขอบฟ้าลุกโชนเผาผลาญเงียบๆ ตรงนั้น

    เขายื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งให้กับผม น่าจะบอกว่าเป็นของที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายโทรศัพท์มือถือถึงจะถูก “พกมันติดตัวไว้ เวลามีเรื่องฉุกเฉินอะไรผมจะได้ช่วยคุณได้” ผมลองกดปุ่มมัน แต่มันกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ตอนนี้คงกำลังปิดเครื่องอยู่ละมั้ง ขณะที่ผมคิดจะกดปุ่มเปิดเครื่อง เขาก็พูดขึ้น “ไม่ต้องกด ตอนนี้มันยังใช้การไม่ได้ ไว้คุณเข้าไปอยู่ในเขตสัญญาณพิเศษ ถึงตอนนั้นมันก็จะเริ่มทำงานเอง”

    ผมขึ้นรถไปตามคำสั่ง ได้ยินเขาพูดสำทับตามหลังว่า “นับตั้งแต่ผมออกคำสั่งในยามเจิ้งจื่อ* ครั้งที่หนึ่ง เมื่อถึงยามเจิ้งจื่อครั้งที่เจ็ด คุณก็เอาของไปวางตามตำแหน่งที่สัมพันธ์กันให้เรียบร้อยตรงเวลา ถึงตอนนั้นคุณจะได้พบกับปรากฏการณ์มหัศจรรย์ เพียงเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้น”

    รถแล่นออกไปรวดเร็วยังกับเหาะ ตลอดทางโชเฟอร์ไม่ปริปากพูดอะไรกับผมแม้แต่คำเดียว ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะขับรถส่งผมกลับบ้าน แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะหยุดรถแถวสถานีรถไฟ ผมบอกกับเขาว่าผมจะเรียกรถไม่ก็นั่งรถประจำทางกลับเอง แต่อีกฝ่ายกลับยื่นตั๋วรถไฟให้ผม ไม่พูดไม่จาอะไรเหมือนเช่นเคย ผมมองดูตั๋วรถไฟ รถไฟออกตอนสองทุ่มหนึ่งนาที เวลาในตอนนี้ทุ่มห้าสิบเจ็ดแล้ว เสียงหวูดจากสถานีย่อยดังเตือนให้ผู้โดยสารเริ่มเข้าช่องตรวจตั๋วโดยสารได้แล้ว

    โชเฟอร์ของผม ‘เดินส่ง’ ผมเข้าช่องตรวจตั๋ว

    * ยามเจิ้งจื่อ คือ เวลาเที่ยงคืน ถ้าแปลตรงตัวจะแปลว่า ‘ตรงกลางของยามจื่อ’ ซึ่งยามจื่อ (子时) คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.

     

    ติดตามอ่านต่อได้ใน >> ซยงหนู ทัณฑ์สวรรค์ อาถรรพ์ต้องสาป

    สามารถติดตามทดลองอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1-2 | บทที่ 3-4 | บทที่ 5

    4 of 4หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ซยงหนู

    นิยายยอดนิยม

    Facebook