• Connect with us

    Enter Books

    ซยงหนู

    ทดลองอ่าน ซยงหนู ทัณฑ์สวรรค์ อาถรรพ์ต้องสาป เล่ม 1 บทที่ 5

    ก่อนหน้านี้ผมโทรหาโอวหยางเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม บอกกับเขาว่าตอนสี่โมงครึ่งผมต้องขึ้นรถไฟไปทำการค้าเล็กๆ ที่จิ่นเฉิง เลยอยากจะไปขอพักผ่อนอยู่ที่ห้องเขาสักครู่ ตั้งใจว่าพอใกล้สี่โมงก็ให้เขาช่วยตะโกนปลุกผมไปสถานีรถไฟ พร้อมกับช่วยหาหนังสติ๊กให้ผมสักอัน เผื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้ โอวหยางนึกกังวลว่าผมพบเจอเรื่องยุ่งยากอะไรเข้า เลยบอกว่าจะตามไปเป็นเพื่อน ผมได้แต่ปฏิเสธอ้างว่าไม่สะดวก พอสามโมงกว่าๆ ยังไม่ทันถึงสามโมงครึ่งดีผมก็ตื่นขึ้นมาเอง หลังจากเคี้ยวคอเป็ดย่างเป็นเพื่อนผมอยู่ครึ่งชั่วโมงโอวหยางก็ขับรถออฟโรดเก่าๆ ของเขาไปส่งผมที่สถานีรถไฟ ทันทีที่เหยียบเบรก ชายในเครื่องแบบเจ้าพนักงานคนหนึ่งก็ยื่นตั๋วรถไฟเข้ามาให้ผม ก่อนจะกลับไปทำงานต่อโดยไม่แม้แต่จะเก็บเงิน

    โอวหยางถอดแบตฯ มือถือของตัวเองออกมาเปลี่ยนใส่เครื่องผม “มีเรื่องอะไรก็โทรมา”

    ความจริงแบตฯ ของผมก็ยังเต็มอยู่ แต่แบตฯ ที่โอวหยางใช้นั้นเป็นแบตฯ สั่งทำพิเศษที่เขาใช้เป็นประจำตอนไปปีนเขาออกสำรวจ สามารถสแตนด์บายได้นานกว่าแบตฯ มือถือทั่วไปถึงสิบเท่า สมัยเรียนอยู่มัธยมด้วยกันเขาเป็นหนึ่งในกรรมการนักเรียนฝ่ายกีฬา ตอนนี้เปิดร้านขายอุปกรณ์เดินป่าแห่งหนึ่งกับฟิตเนสอีกสองแห่ง เขาชอบการผจญภัย ไม่ว่าจะกิจกรรมแปลกประหลาดอะไรเขาล้วนเคยเข้าร่วมมาหมดแล้วทั้งนั้น สมรรถภาพทางกายยอดเยี่ยม ทั้งปีนเขา ยิงธนู วิ่งระยะไกลระยะสั้น ฟรีคอมแบตล้วนไม่เป็นสองรองใคร เวลามีอารมณ์ขันเขามักพูดติดตลกว่าที่เขาไม่ได้ฝึกวิ่งข้ามรั้วร้อยเมตรนั้นก็เพราะต้องการให้โอกาสหลิวเสียง* นิสัยใจคอรักความเป็นธรรม มีคนแบบนี้เป็นเพื่อน ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็มักรู้สึกฮึกเหิมอยู่ตลอดเวลา

    ในที่สุดรถไฟก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกไป ทุกครั้งที่ผ่านหนึ่งสถานีผมก็จะส่งอีเมลแจ้งอีกฝ่ายให้รู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อถึงเวลาอีกฝ่ายจะรอผมอยู่ที่นั่นแล้ว แน่นอนทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงความกังวลใจของผมเองทั้งนั้น อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับ จนกระทั่งสองนาทีก่อนรถไฟจะเข้าถึงสถานี

     

    ‘ลงรถไฟ เรียกแท็กซี่ มุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย ผมอยู่ที่นั่นแล้ว เสื้อแขนสั้น รอยสักหัวหมาป่า’

     

    กว่าจะวิ่งไปถึงทางออกก็ทุ่มสิบสามนาทีแล้ว ผมรีบเรียกรถแท็กซี่ มุดเข้าไปนั่ง พอบอกที่หมายเสร็จก็ถามโชเฟอร์ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ โชเฟอร์ตอบว่าประมาณยี่สิบนาที ผมกลัวว่าหากสายไปนาทีครึ่งนาทีอาจเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับตัวเองจึงยื่นธนบัตรร้อยเหรียญส่งให้กับโชเฟอร์ “ไม่ต้องทอน ไปถึงที่นั่นให้ได้ก่อนทุ่มครึ่งก็แล้วกัน”

    รถแท็กซี่วิ่งห้ออย่างกับพายุ เพียงทุ่มยี่สิบเจ็ดก็มาหยุดอยู่หน้าร้านกาแฟหย่าฉิงเตี้ยวเป็นที่เรียบร้อย ท้องฟ้าในเวลานี้เริ่มมืดมิด ดูเลือนรางราวกับถูกเส้นไหมสีดำปกคลุม ที่อยู่บนถนนสองข้างทางส่วนใหญ่ล้วนเป็นองค์กรวัฒนธรรมขนาดเล็กจำพวกห้องตัดต่อภาพยนตร์ ศูนย์หนังสือ ลักษณะไม่ต่างจากที่พักอาศัยของพวกชาวบ้านที่อยู่รอบๆ สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดล้วนเป็นอาคารชุดเรียบง่ายจืดชืดไม่น่าสนใจ พวกคนแก่ชายหญิงที่ออกมาเดินเล่นมองดูรถแท็กซี่ที่ห้อตะบึงเสียงดังเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับเป็นเรื่องที่พวกเขาพบเห็นอยู่เป็นประจำไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจ

    เท่าที่เห็น คนที่พักอยู่ที่นี่มากกว่าครึ่งคือพวกคนแก่ที่อยากมาใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบ มาเปิดร้านกาแฟอยู่ที่นี่ไม่เท่ากับอยู่เพื่อตายเป็นเพื่อนชาวบ้านหรือยังไงกัน คงไม่ใช่ว่าจะเปิดเพลง ‘สายัณห์ฉายแสงงดงาม’ ไปพลางทำสันทนาการย้อนยุคและดื่มกาแฟหรอกนะ! หรือบางทีไม่แน่ว่าที่นี่อาจเป็นโครงการของทางราชการเพื่อเพิ่มรสชาติสีสันให้กับชีวิตคนเมือง ผมรีบเดินเข้าไปในร้านกาแฟ การตกแต่งด้านในประณีตงดงามเข้าขั้นหรูหราทำเอาผมถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก เสียงดนตรีที่เปิดคลออยู่ในร้านไม่ใช่ ‘สายัณห์ฉายแสงงดงาม’ แต่กลับเป็นเพลงบรรเลงช้าๆ ที่ผมนึกชื่อไม่ออก พนักงานใบหน้ายิ้มแย้มเดินนำผมเข้าไปด้านใน ผมกระซิบว่านัดคนไว้เพื่อไล่เขาไป

    ภายในพื้นที่สองร้อยกว่าตารางเมตร โต๊ะเก้าอี้โทนสีพาสเทลสิบกว่าชุดเหมือนถูกจัดวางกระจายกันออกไปตามจุดต่างๆ อย่างไร้แบบแผน ทุกโต๊ะล้วนมีคนนั่งอยู่เต็ม ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือชายหนุ่มรูปร่างผอมบางซึ่งหันหลังให้ผม ผมกวาดตามองไปรอบๆ ผู้ชายที่นั่งอยู่ที่นี่มีแค่เขาเท่านั้นที่ใส่เสื้อแขนสั้น ผมค่อยๆ ขยับเข้าไปหา ก่อนจะมองเห็นรอยสักหัวหมาป่าที่โผล่พ้นแขนเสื้อชัด

    เพื่อเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตาผู้คนรอบข้าง ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาแทนที่จะตะโกนเรียกเขา ขณะที่กำลังคิดจะนั่ง ผมก็ได้ยินเขาเอ่ยปากเชื้อเชิญผมนั่งลงด้วยน้ำเสียงสุภาพ แม้จะฟังดูอ่อนระโหยแต่ก็เปี่ยมเสน่ห์ชวนฟัง เขาเงยหน้าขึ้น ดูไปคงอายุสักสามสิบกว่าๆ ผมมองดูเขา เบ้าตาคู่นั้นบุ๋มลึก แก้มขาวสะอาด รูปร่างถึงจะผ่ายผอม แต่ก็ให้ความรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

    คนคนนี้สวมแว่นกรอบแคบสีทอง ที่อยู่บนข้อมือคือนาฬิกาลองจินส์ ส่วนที่อยู่บนโต๊ะคือโทรศัพท์มือถือจอกว้างที่กำลังเปิดอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะรอยสักเด่นชัดบนแขนนั่นแล้วละก็ ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเขาเป็นพนักงานบริษัทใหญ่ที่ไหนสักแห่งแน่ๆ

    ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนเดินเข้าไปทางด้านหลังของเขาแล้วว่าวอลล์เปเปอร์บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาเป็นภาพวาดสีน้ำมันเกี่ยวกับพวกซยงหนู ภาพฝูงอาชาเหล็กห้อตะบึงอยู่กลางทุ่งหญ้าราวกลับคลื่นซัดถาโถม ชายรูปร่างกำยำล่ำสันที่ควบม้าอยู่ทางด้านหน้าดวงตากลมโต ชูดาบโค้งที่แลดูต่างจากดาบของคนอื่นสูงเหนือหัว

    ที่ผมรู้สึกคุ้นตากับดาบโค้งในภาพไม่ใช่น้อยนั่นก็เพราะมันคือดาบที่อยู่ในกระเป๋าของผมในเวลานี้นั่นเอง

    เหมือนกันไม่มีผิด

    เขาค่อยๆ ประคองยกเอากล่องผ้าสีเหลืองบนเก้าอี้ด้านข้างขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง วางมันลงบนโต๊ะอย่างเบามือ แต่แทนที่จะเปิดมันออกกลับใช้มือทั้งสองข้างผลักมันมาทางผม การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างแผ่วเบา เบาเสียจนผมนึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน ยังกับกลัวว่าจะไปรบกวนอะไรบางอย่างเข้า หลังจากนั้นเขาก็ประกบมือทั้งสองข้างเข้าหากัน หรี่ตา ก้มหน้าลงเล็กน้อย ปากเหมือนพึมพำท่องอะไรบางอย่าง หลังเคลื่อนไหวประหนึ่งประกอบพิธีกรรมเสร็จสิ้นเขาก็กลับมามีทีท่าเหมือนเก่า หันมาพูดกับผม “นี่คือของสามชิ้นที่ได้มาจากเพื่อนทั้งสามของคุณ เรื่องหลังจากนี้มีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะทำสำเร็จ ขอเพียงจัดการได้เป็นที่เรียบร้อย ท่านข่านก็จะไม่ทรงกริ้ว งานใหญ่ของท่านข่านก็จะไม่เสียหาย! เรื่องนี้ลำบากคุณแล้ว”

    คำว่า ‘ลำบากคุณแล้ว’ เหมือนจะเพิ่มเติมกำลังวังชาให้ผมโดยไม่รู้ตัว ผมรวบรวมความกล้าถาม “ผมจะรู้ได้ยังไงว่าที่คุณพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง ลูกน้องของข่านโม่ตู๋รู้จักการส่งอีเมล แถมยังนัดเจอผมในสถานที่แบบนี้อีก” ถึงแม้ผมจะแกล้งทำเป็นใจกล้าพูดออกมาเป็นกระบุง แต่น้ำเสียงผมกลับแผ่วเสียยิ่งกว่าแผ่ว

    เขายิ้มพูดตัดบท “โปรดมอบดาบให้กับผม” ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบดาบพกยื่นส่งออกไป เขาไม่ได้รีบร้อนรับมันไว้ ตรงกันข้ามกลับพนมมือขึ้นเหมือนเมื่อครู่ หรี่ตา ก้มหน้าน้อยๆ ปากงึมงำพึมพำอะไรบางอย่างสองสามประโยคเหมือนเก่า เสร็จแล้วก็ใช้มือทั้งสองข้างประคองรับมันไปด้วยท่าทางเคร่งขรึมเลื่อมใสศรัทธา ไม่ต่างอะไรกับฉากขุนนางใหญ่รับราชโองการองค์จักรพรรดิที่พวกเราเห็นกันอยู่เป็นประจำในโทรทัศน์ ทันทีที่ของถึงมือ เขาก็ประคองย้ายกล่องผ้าสีเหลืองที่วางไว้

    * หลิวเสียง คือ นักกีฬาวิ่งข้ามรั้วโอลิมปิกของจีน

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ซยงหนู

    นิยายยอดนิยม

    Facebook