• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 2 ตอนที่ 2

    3 of 3หน้าถัดไป

    “ขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ”

    หญิงวัยกลางคนผมทองแซมเทากำลังยิ้มกว้าง รอยยิ้มนั้นช่างดูมีความสุขมากจนมินจุนยิ้มตามออกมา

    “ขอบคุณครับ ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ”

    “เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากค่ะ มัดให้อยู่หมัดเลยนะคะ”

    “ผมจะคิดซะว่าคุณบอกให้ผมจับมีดทำอาหารให้อยู่หมัดก็แล้วกันนะครับ”

    การพูดจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้มินจุนยิ้มอย่างอึดอัดแล้วตอบกลับไป เธอเป็นแขกคนสุดท้ายที่เดินออกไป มินจุนยิ้มอย่างโล่งใจ ภารกิจนี้เขาไม่ได้กังวลใจอะไร อาหารของเขาถูกรีฟิลถึงสี่รอบ อาหารที่ถูกรีฟิลมากที่สุดก็คือของฮิวโก้เหมือนกับที่ทุกคนคิดไว้ รีฟิลตั้งห้ารอบ แต่ผลงานของมินจุนก็ไม่ได้แย่เลย ถือว่าค่อนข้างโดดเด่นด้วยซ้ำ

    นอกจากฮิวโก้และมินจุนแล้วอาหารที่รีฟิลถึงสี่รอบก็มีของโคลอี้ คาย่า และซาช่า คะแนนของทุกคนคือแปดคะแนน แอนเดอร์สันก็ทำลาซานญ่ามะเขือยาวได้แปดคะแนนเหมือนกัน แต่มันเป็นอาหารที่กินได้ไม่มาก มาร์โค่ก็เหมือนกัน ช็อกโกแลตทีรามิสุที่เขาทำนั้นเป็นของหวานที่ดีมาก เพราะได้ถึงแปดคะแนน แต่แขกกินแต่อาหารเลี่ยนๆ มามากจึงเลือกที่จะกินชิฟฟอนสตรอเบอรี่เค้กที่สดชื่นกว่าทีรามิสุ ซาช่าจึงได้คะแนนไป

    ก็คงจะขึ้นอยู่กับผลการลงคะแนนแล้วล่ะ

    รีฟิลหนึ่งครั้งจะตกประมาณยี่สิบจาน หนึ่งจานคือหนึ่งคะแนน ทุกหนึ่งชั่วโมงจะมีแขกเข้ามาใหม่ รวมแล้วก็ประมาณหนึ่งร้อยคน ถ้าได้สิบโหวตจากแขกซึ่งก็คือหนึ่งในสิบส่วน โดยหนึ่งโหวตจะได้สิบคะแนน ก็คงจะไม่ต้องตกรอบ ดูจากจำนวนจานที่แขกหยิบไปก็ถือว่าคาดเดาผลได้แล้ว ถ้าจะมีคนที่จะต้องกังวลก็คงเป็น…

    มาร์โค่

    ไม่ว่าจะได้ยอดโหวตสูงแค่ไหน แต่จากที่เห็น ของหวานของเขาถูกรีฟิลไปแค่สองครั้งเท่านั้น จำนวนจานน่าจะประมาณห้าสิบจาน มันไม่ใช่คะแนนที่สูงอะไร

    แล้วอลันก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบภายในห้องโถงที่แขกออกไปจนหมดแล้ว

    “รวมคะแนนเสร็จแล้วครับ”

    มินจุนกลืนน้ำลาย แม้ว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนที่ตกรอบ แต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะได้ พอเหลือบไปมองมาร์โค่ก็เห็นว่าสีหน้าดูไม่ดีเลย ฮิวโก้ที่อยู่ข้างๆ จึงลูบหลังของมาร์โค่เบาๆ แล้วเอมิลี่ก็พูดขึ้นว่า

    “หลังจากประกาศผลคะแนนแล้ว พวกคุณจะถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง นั่นคือคนที่ได้อยู่ต่อกับคนที่ไม่ได้อยู่ต่อ มีใครที่คิดว่าตัวเองคือคนที่ตกรอบมั้ยคะ”

    ไม่มีใครตอบคำถามของเอมิลี่ คงไม่มีใครอยากแสดงความไม่มั่นใจออกมา เอมิลี่จึงพยักหน้า การเงียบเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคำถามแบบนี้ แต่ขณะที่ทุกคนคิดแบบนั้น มาร์โค่ก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น เอมิลี่จึงมองไปที่มาร์โค่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย มาร์โค่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบ

    “ผมน่าจะตกรอบครับ”

    “มาร์โค่ ดูเหมือนว่าจานของคุณถูกหยิบไปน้อยมากก็จริง แต่ยังมีการลงคะแนนโหวตด้วยนะคะ ทำไมถึงยอมแพ้แล้วล่ะคะ”

    “ไม่ใช่ว่าผมไม่มั่นใจในทีรามิสุที่ทำหรอกครับ แต่เพื่อนคนอื่นเป็นเชฟที่ดีกันทุกคน ผมจึงคิดว่าไม่น่าจะได้คะแนนโหวตมากนั้น…”

    มาร์โค่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อยแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “แขกที่กินทีรามิสุของผมมีไม่ถึงครึ่ง ถ้านับรวมคนที่กินซ้ำแล้วก็ยิ่งไม่น่าถึงครึ่งของครึ่ง ผมไม่คิดว่าจะได้คะแนนโหวตมากมายจากคนกลุ่มน้อยหรอกครับ”

    มาร์โค่ท้อแท้เกินกว่าจะบอกให้มั่นใจ เอมิลี่หรี่ตาลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าปกติ

    “ฉันเข้าใจนะคะว่าคุณหมดกำลังใจ แต่ถ้าคุณได้อยู่ต่อ มันจะเป็นยังไงคะ”

    “ก็คงอารมณ์ดีแล้วก็…”

    มาร์โค่หยุดพูดแล้วหันไปมองคนอื่นๆ คาย่า มินจุน แอนเดอร์สัน…หลังจากที่มองครบทุกคนแล้วก็พูดว่า

    “อยากอยู่กับเพื่อนๆ ต่อครับ พวกเขาเป็นคนดีๆ ในชีวิตของผม”

    “ฉันขอให้มันเป็นแบบนั้นค่ะ”

    การสนทนาจบลงด้วยคำพูดทิ้งท้ายของเอมิลี่ โจเซฟกระแอมแล้วมองไปที่อลัน อลันจึงก้มลงไปมองที่การ์ดในมือ

    “ก่อนที่จะประกาศจำนวนของจานที่ถูกหยิบและคะแนนโหวต ผมจะขอประกาศก่อนว่ากรรมการเลือกโหวตใคร และคนที่ผมโหวตให้ก็คือ…”

    อลันเว้นช่วงครู่หนึ่ง มินจุนคิดว่าตัวเองจะสบตากับอลัน แต่ชื่อที่ออกมาจากปากของอลันกลับไม่ใช่เขา

    “คาย่าครับ”

    คาย่าเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปที่อลันอย่างคาดไม่ถึง

    “ผมเป็นคนอิตาเลียน ผมจึงรู้ดีกว่าใครในที่นี้ว่าฟริตทาทาต้องมีรสชาติแบบไหน คาย่าคุณทำให้ผมรู้สึกถึงกลิ่นอายของบ้านเกิดทั้งที่อยู่ไกลขนาดนี้ ผมตกใจมาก คุณไม่เคยเรียนจากเชฟชาวอิตาเลียนเลย ไม่สิ พอคิดดูแล้วคุณไม่น่าจะเคยไปร้านอาหารอิตาเลียนด้วยซ้ำ ผมแปลกใจมากที่คุณรู้ว่ารสชาติที่น่าประทับใจฟริตทาทาต้องเป็นแบบไหน”

    คาย่าถามกลับไปว่า

    “มันยาวจนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ สรุปคือชมใช่มั้ยคะ”

    “ชมร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ”

    “ถ้างั้นก็ขอบคุณค่ะ”

    เธอยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ออกจะกวนๆ สักหน่อย

    วัยรุ่นสมัยนี้เข้าถึงยากจริงๆ

    อลันคิดแบบนั้นพลางถอนหายใจอยู่ข้างใน มันทำให้เขานึกถึงตอนเป็นเด็ก ตอนนั้นคนอื่นก็มองเขาแบบนี้รึเปล่านะ

    ขณะที่บรรยากาศดูแปลกๆ ไป โจเซฟก็ถือโอกาสพูดต่อ

    “เหมือนจะถึงคิวของผมแล้วนะครับ ผมคิดทบทวนอย่างหนักระหว่างสองคน ซาช่าและมาร์โค่”

    รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของมาร์โค่ โจเซฟยิ้มกว้างก่อนจะพูดต่อ

    “ของหวานของทั้งสองจานทำออกมาได้ดีมาก เป็นของหวานที่ผมชอบ พออายุมากขึ้นก็จะชอบอาหารที่เคี้ยวแล้วเมื่อยกรามน้อยหน่อย ทั้งชิฟฟอนสตรอเบอรี่เค้กของซาช่าและทีรามิสุของมาร์โค่ต่างก็นุ่มมาก ผมจึงชอบครับ ความสมดุลของรสชาติก็สมบูรณ์แบบและไม่เลี่ยนเลย เป็นเรื่องยากมากที่จะให้เลือกว่าจานไหนดีกว่ากัน เพราะมันไม่ใช่ของหวานแบบเดียวกัน”

    มินจุนพยักหน้า อาหารของทั้งสองได้แปดคะแนนเท่ากัน แม้จะมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือว่ามีมาตรฐานระดับเดียวกัน แล้วโจเซฟก็พูดต่อว่า

    “แต่มาร์โค่ ทีรามิสุของคุณนั้นเมื่อเทียบกันแล้วทำให้ในปากรู้สึกสดชื่นน้อยกว่าชิฟฟอนสตรอเบอรี่เค้กของซาช่าที่ใส่น้ำเลมอนลงไปในครีมด้วย ความเปรี้ยวของตัวสตรอเบอรี่เองก็ช่วยทำความสะอาดลิ้น แต่ทีรามิสุของคุณแค่หวานอย่างเดียว ถ้ามองในแง่ที่มันเป็นทีรามิสุก็ไม่มีอะไรให้ติเลย แต่ว่า…ขอโทษด้วยครับ ผมโหวตให้ซาช่า”

    “ขอบคุณค่ะ”

    ซาช่าตอบเบาๆ เพราะมาร์โค่กำลังยืนทำหน้าเศร้าอยู่ข้างๆ เธอจึงไม่กล้าดีใจออกนอกหน้า ระหว่างนั้นเอมิลี่ก็กระแอมแล้วเหลือบมองไปที่มินจุนกับโคลอี้

    “ขอบอกก่อนเลยนะคะ นี่เป็นแค่ความชอบส่วนตัวของฉันเท่านั้น ถือว่าเป็นการโหวตของแขกคนหนึ่งมากกว่าการโหวตของกรรมการ และช่วงนี้ฉันก็สนใจอาหารเอเชียมาก ฉันต้องการกลิ่นและรสชาติที่แปลกใหม่มากระตุ้น…”

    เอมิลี่อ้าปากแล้วชี้ที่ลิ้นของตัวเอง

    “ซึ่งลิ้นของฉันก็บอกว่าอาหารของพวกคุณสองคนเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี ทั้งทัคคาลบีและหม่าผอโต้วฝูฉันเคยกินมาหลายครั้งแล้ว แต่…ฉันสามารถบอกได้เลยว่าอาหารของพวกคุณมันอร่อยเป็นอันดับต้นๆ จากที่ฉันเคยกินมาทั้งหมดเลยค่ะ”

    “ขอบคุณครับ”

    มินจุนยิ้มจางๆ แล้วตอบไป ส่วนโคลอี้ทำหน้าราวกับกำลังลังเลว่าตัวเองควรจะพูดขอบคุณดีหรือเปล่า และก่อนที่โคลอี้จะตัดสินใจได้ เอมิลี่ก็พูดต่อเสียก่อน

    “โคลอี้ ฉันกังวลเรื่องที่คุณใส่เนยถั่วลงไป แต่…มันเป็นไพ่ใบเด็ดของคุณสินะ รสชาติที่เดิมทีจะเผ็ดร้อนอย่างเดียวกลับมีรสชาตินุ่มนวลเพิ่มเข้ามา และมินจุน ทัคคาลบีของคุณให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ตรงกลางระหว่างหมูผัดขิงกับทัคคาลบี อาจจะเรียกว่าฟิวชั่นก็ได้”

    มินจุนกับโคลอี้ได้แต่มองเอมิลี่โดยไม่ตอบอะไร เอมิลี่จึงยิ้มอย่างอึดอัดแล้วพูดต่อ

    “การพูดชมแบบนี้แล้วต้องให้ใครคนหนึ่งแพ้ไปมันก็รู้สึกแปลกๆ นะคะ ฉันแค่อยากบอกว่าทั้งสองจานอร่อยมากและ…คนที่ฉันเลือกก็คือคุณค่ะ มินจุน”

    ตอนนั้นสีหน้าของโคลอี้ดูกระอักกระอ่วนมาก แต่เธอก็พยายามกลั้นความเสียดายไว้โดยการยิ้มและปรบมือ มินจุนที่กำลังจะก้มหน้าจึงชะงักไปครู่ แล้วพูดตอบกลับไป

    “ขอบคุณที่ชอบครับ”

    “ฉันไม่ได้กินอาหารทุกอย่างแล้วบอกว่าอร่อยหรอกนะคะ มินจุน ระหว่างที่อยู่ในการแข่งขันนี้คุณพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดมาก อาหารที่คุณทำในตอนแรกๆ รสชาติมันไม่ได้ดีขนาดนี้เลย…”

    มินจุนยิ้มตอบ เอมิลี่จึงมองด้วยสายตาภูมิใจราวกับกำลังมองหลานชายที่กำลังเติบโต

    “ทำให้ได้แบบนี้ต่อไปนะคะ ถ้าทำอาหารได้เหมือนวันนี้ คุณอาจจะชนะก็ได้ค่ะ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เรื่องที่ฉันเคยทาบทามคุณมาเป็นนักชิมจะต้องถูกยกเลิก แต่…ฉันก็จะเป็นกำลังใจให้นะคะ”

    “พูดแบบนี้ออกรายการได้เหรอครับ”

    “ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังนี่คะ คุณอาจจะเป็นนักชิมที่ดังที่สุดในประเทศ ไม่สิ ในประวัติศาสตร์เลยก็ได้นะคะ”

    การถูกชมขนาดนี้ทำให้น่าอึดอัดใจเสียมากกว่า มินจุนยิ้มเจื่อนๆ พลางก้าวถอยมาด้านหลัง แล้วอลันก็พูดเสียงดังว่า

    “การโหวตของกรรมการถือเป็นการโหวตของแขกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่ได้ถูกพวกเราเลือกจะต้องเป็นกังวล เอาล่ะ ผมขอประกาศจำนวนจานที่แขกหยิบไปมากที่สุดก่อนนะครับ ซึ่งก็คงจะพอเดากันได้อยู่แล้ว”

    การรีฟิลอาหารหนึ่งครั้งจะสามารถเสิร์ฟได้ประมาณยี่สิบจาน อาหารของฮิวโก้รีฟิลไปถึงห้ารอบ อย่างน้อยก็น่าจะได้ไปเกินร้อยจาน ส่วนมินจุนที่รีฟิลไปสี่รอบก็น่าจะอยู่ระหว่างแปดสิบจานถึงหนึ่งร้อยจาน ส่วนคนที่รีฟิลไปสองรอบก็มีแค่มาร์โค่คนเดียว

    “คนที่ได้คะแนนน้อยที่สุดก็คือมาร์โค่ครับ คุณทำไปได้ห้าสิบสองจาน คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไรครับ”

    “เหมือนที่ติมาเมื่อกี้ มันหวานเกินไป ซึ่งก็คงมีคนที่ชอบแบบนั้น แต่…ผมลืมคิดว่าคนทั่วไปน่าจะเลือกจานที่กินแล้วสดชื่นมากกว่า ผมพลาดเอง”

    “ยังดีครับที่คุณรู้ข้อผิดพลาด แต่มาร์โค่ ทีรามิสุของคุณรสชาติดีครับ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกแย่”

    การประกาศยังคงดำเนินต่อไป ฮิวโก้ได้ที่หนึ่ง ได้ทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบสามจาน ที่สองคือคาย่า ทำได้เก้าสิบสามจาน และต่อไปก็คือ…

    “มินจุนได้ที่สาม ทำไปได้เก้าสิบสองจาน”

    มินจุนนั่นเอง เขายิ้มนิดๆ พลางใช้ข้อศอกสะกิดคาย่า พอคาย่าหรี่ตามองราวกับถามว่าสะกิดทำไม เขาจึงกระซิบเบาๆ ว่า

    “ต่างกันแค่จานเดียวเองนะ”

    “นายเอาชนะความต่างนั้นไม่ได้หรอก”

    “ถ้าแค่จานเดียวก็ไม่ต้องไปเอาชนะความต่างอะไรหรอก มันก็เหมือนๆ กันแหละ”

    “ตอนที่ยูเซน เบลต์วิ่ง เขาก็ชนะด้วยความต่างแค่คืบนี่แหละ มันเป็นเรื่องปกติของโลกนี้”

    “ไม่รู้สิ จะต่างมากหรือต่างน้อย แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่มีหรอกนะนักวิ่งที่ชื่อยูเซน เบลต์น่ะ”

    “เชอะ นายไม่รู้เองน่ะสิ ตาทึ่ม ไปอยู่ที่มุมไหนของโลกมาเนี่ย”

    อยากจะบอกว่าโบลต์ ไม่ใช่เบลต์ แต่มินจุนก็พยายามกลั้นความอยากนั้นเอาไว้ เพราะกรรมการกำลังจ้องราวกับบอกว่าอย่าส่งเสียงดัง ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกครูดุไม่มีผิด คาย่าจึงบ่นพึมพำก่อนจะก้มหน้าลง

    หลังจากประกาศคะแนนที่ได้จากการนับจานเสร็จไปแล้วก็ไม่มีใครวุ่นวายใจอะไร เพราะเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือคะแนนโหวต เพราะสุดท้ายคะแนนโหวตจะถือเป็นตัวตัดสิน

    “ผมจะไม่ยื้อเวลานะครับ จะประกาศรวมคะแนนโหวตเลย โดยจะประกาศตามลำดับคะแนนสูงสุดที่ได้จากการนับจานนะครับ ฮิวโก้เจ็ดโหวต คาย่าสิบเจ็ดโหวต”

    ตอนประกาศคะแนนโหวตของคาย่า ทุกคนก็พาส่งเสียงร้องว่า “โอ้โห” ออกมา เพราะถ้ารวมกับจำนวนจานและคะแนนโหวตของกรรมการแล้ว การได้คะแนนโหวตไปถึงสิบเจ็ดคะแนนเท่ากับเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ย คาย่าอาจได้ที่หนึ่งจากการลงคะแนนโหวตก็ได้ ขณะที่มินจุนกำลังตกใจอยู่นั้น

    “มินจุน…”

    อลันที่บอกว่าจะไม่ยื้อเวลากลับปิดปากเงียบไปครู่ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อย

    “ยี่สิบสี่โหวต”

    “บ้าไปแล้ว”

    ใครบางคนหลุดพูดออกมา แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะทุกคนรู้สึกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขาทำยังไงถึงได้คะแนนไปยี่สิบสี่โหวต ดวงตาของอลันหรี่ลง นี่น่าจะไม่ได้เป็นแค่เพียงเพราะอาหารของมินจุนอร่อยเท่านั้น

    คงเป็นเพราะความนิยมจากแฟนคลับนั่นแหละ

    เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แขกที่มามีไม่ถึงหนึ่งในสี่ด้วยซ้ำที่เป็นนักชิมจริงๆ ส่วนใหญ่มาตามกระแสความนิยม คนอื่นบอกกันว่าอร่อยก็เลยคิดว่ามันอร่อย ดูจากร้านอาหารที่ได้รับความนิยมก็ได้ นักชิมอาหารประเมินอย่างหนึ่ง กระแสของแขกเป็นอีกอย่างหนึ่ง แม้จะทำอาหารเหมือนกันออกมา บางครั้งก็รู้สึกว่าอร่อย แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าไม่อร่อย ดังนั้นเรื่องแบรนด์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เชฟที่มีความสามารถอย่างเดฟไม่เปิดร้านอาหารของตัวเอง แต่กลับมาทำงานเป็นหัวหน้าเชฟอยู่ที่สาขาของร้านโรสไอส์แลนด์ มันไม่ได้เป็นเพราะเขาไม่มีเงินทุนจะสร้างร้านอาหาร เทียบกันแล้วถ้าให้มินจุนเปิดร้านอาหารด้วยความสามารถที่มีอยู่น้อยนิดก็คงจะสามารถดึงแขกเข้าร้านได้มากมาย นั่นเป็นเพราะประสาทรับรสที่แม่นยำของเขาจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้มากพอๆ กับร้านอาหารที่ได้มิชลินสามดาว ไม่ใช่แค่นักชิมอาหารเท่านั้น แต่ในแวดวงธุรกิจอาหารก็อาจมองการ์ดที่ชื่อมินจุนใบนี้กันตาเป็นมันเลยก็ได้ แค่ดึงตัวไปอยู่ในทีมพัฒนาเมนูแล้วทำเมนูที่มีตราของมินจุนออกมาขาย นั่นจะเรียกลูกค้าได้มากเลยทีเดียว

    “อลัน”

    เสียงของเอมิลี่ช่วยดึงสติของอลันกลับมา อลันจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน

    “ผมตกใจจนพูดไม่ออกเลย เอาล่ะ ถ้างั้นประกาศต่อเลยนะครับ โคลอี้สิบโหวต แอนเดอร์สันสิบสองโหวต ซาช่าเก้าโหวต อีวานน่าหกโหวต โอลิเวียร์ห้าโหวต โจแอนหกโหวต และ…มาร์โค่เจ็ดโหวตครับ”

    เจ็ดโหวต ถ้านึกถึงแขกที่หยิบจานของมาร์โค่ไปซึ่งมีไม่ถึงห้าสิบคนก็ถือว่าเป็นคะแนนที่ดีพอสมควร ในระหว่างที่ทุกคนกำลังคำนวณคะแนนอยู่ในหัว โจเซฟก็พูดขึ้นมา

    “ผมจะขอประกาศคนที่ได้อันดับหนึ่งของการแข่งขันครั้งนี้นะครับ อันดับหนึ่งคือคนที่ได้คะแนนจากจานเก้าสิบสองคะแนน และสองร้อยสี่สิบคะแนนจากการโหวตยี่สิบสี่โหวต รวมเป็นทั้งหมดเป็นสามร้อยสามสิบสองคะแนนครับ อืม…พวกคุณก็คงจะพอเดากันได้ ใช่ครับ มินจุน คุณจะได้รับสิทธิพิเศษสำหรับการแข่งขันครั้งต่อไปครับ”

    “ขอบคุณครับ”

    มินจุนตอบอย่างงุนงง ก็ดีอยู่หรอกที่ชนะ แต่ยี่สิบสี่โหวตงั้นเหรอ มันเป็นเมนูที่เอาชนะได้อย่างขาดลอยแบบนั้นเลยเหรอ อันดับที่สองคือคาย่า แม้จะไม่มากเท่ามินจุน แต่เทียบกับคนอื่นแล้วคะแนนของเธอก็เหนือกว่าอยู่ดี อันดับต่อไปไม่ได้ถูกประกาศออกมาเพราะยังไงก็ไม่มีความหมาย จึงข้ามไปประกาศคนที่ได้คะแนนต่ำที่สุด

    “ผมจะขอประกาศคนที่ได้คะแนนต่ำที่สุดเลยนะครับ หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดคะแนน มาจากห้าคะแนนโหวต และเจ็ดสิบเอ็ดจาน โอลิเวียร์ ถึงเวลาที่คุณต้องออกไปจากบ้านแกรนด์เชฟแล้วครับ”

    โอลิเวียร์ร้องไห้ฟูมฟาย มินจุนจึงหันไปมองอย่างเห็นใจ แม้จะไม่ได้สนิทกันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย แต่เธอก็เป็นหญิงสาวเชื้อสายฮิสแปนิกที่มาขอให้เขาบอกคะแนนอาหารของเธออยู่เรื่อยๆ โคลอี้ดึงเธอเข้าไปกอดอย่างเศร้าสร้อย

    เมื่อโอลิเวียร์ออกไปแล้ว ความตื่นเต้นก็กลับมาอีกครั้ง เพราะผู้ตกรอบครั้งนี้มีสองคน คนต่อไปจะเป็นใคร มินจุนตั้งใจไม่คำนวณ เขาไม่อยากคำนวณ

    “ผู้ตกรอบคนที่สองได้ไปห้าสิบสองจานกับเจ็ดโหวต เทียบกับจำนวนจานแล้วถือว่าได้คะแนนโหวตที่ดีพอสมควรนะครับ มาร์โค่”

    บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบอันชวนให้หดหู่ แต่โจเซฟไม่ห่อเหี่ยวไปกับความเงียบนั้น เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “ผมชอบทีรามิสุของคุณนะครับ คุณทำดีแล้ว ขอให้คุณทำอาหารต่อไป ของหวานของคุณมันยอดเยี่ยมถึงขนาดที่จะนำเสิร์ฟในร้านของผมเลย”

    “ขอบคุณครับ”

    มาร์โค่ไม่ได้ร้องไห้ออกมาเหมือนโอลิเวียร์ แม้น้ำเสียงจะสั่น แต่คงไม่อยากให้น้ำตาไหลออกมา ทุกคนมองภาพที่มาร์โค่เดินออกไปโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่จะเดินพ้นประตูมาร์โค่ก็หันหลังกลับมามอง ไม่รู้ว่าสายตาเขามองไปที่ใคร แต่ทุกคนต่างก็คิดว่ามาร์โค่กำลังมองตัวเองอยู่

    “ต้องชนะให้ได้นะ!”

    ไม่มีใครเอ่ยปากรับคำของมาร์โค่เลยสักคน

     

    3 of 3หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook