• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่มที่ 29 ตอนที่ 2

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    บทที่2ความไม่ยอมแพ้ของแคว้นแห่งวิญญูชน

    แสงเปลวไฟส่ายไหวอยู่บนหน้ากากสีเงินและในดวงตาสีดำ เหมือนสายฟ้าแลบท่ามกลางสายฝน ยามนี้เป็นช่วงฤดูเหมันต์ เกล็ดหิมะจึงโปรยปรายลงมา

    หิมะขาวปกคลุมท้องทุ่ง หมู่บ้านเงียบสงบริมถนนหลวงเดิมทีควรเป็นภาพที่สวยงาม แต่เมื่อถูกเปลวเพลิงคลุ้มคลั่งเผาผลาญ เพียงชั่วอึดใจก็กลายเป็นพื้นที่ไหม้เกรียมและรกร้าง

    หลงชิ่งนิ่งเงียบมองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา มองไม่ออกถึงความยินดี มีเพียงมือที่กุมบังเหียนแน่นเท่านั้นที่แสดงให้เห็นความรู้สึกแท้จริงของมันในตอนนี้

    หลังจากนำทหารม้าชาวหมานจากทุ่งร้างตะวันออกบุกเข้าเขตแดนต้าถังแล้ว มันเพิ่งสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้วางเพลิงไปสองรอบเท่านั้น รอบแรกคือที่ชายแดนตะวันออกซึ่งอยู่ห่างไกล อีกรอบหนึ่งคือที่หมู่บ้านที่อยู่เบื้องหน้ามันในตอนนี้

    มันนำทหารม้าฝีมือดีในบังคับบัญชาสองพันนายรีบเร่งมุ่งหน้าสู่ฉางอันโดยไม่สนใจว่าต้องเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นทัพผู้กล้าผดุงธรรมของต้าถัง หรือพวกทหารม้าค่ายเซียวฉี ล้วนไม่มีทางตามมันทัน

    มันอยู่ห่างจากฉางอันไม่ไกลแล้ว

    สมัยก่อนตอนที่มันแพ้หนิงเชวียในการสอบเข้าชั้นสองของสถานศึกษาแล้วพาคณะทูตของอาศรมเทพและทหารม้าพิทักษ์นิกายออกจากฉางอันไปอย่างหม่นหมองใจ มันก็เดินทางบนถนนเส้นนี้

    มันนึกถึงภาพที่ได้เห็นบนถนนหลวงในตอนนั้น ย้อนนึกถึงความรู้สึกในตอนนั้น จากนั้นนึกถึงคำสาบานที่ตนเคยลั่นวาจาไว้

    ‘ข้าจะถล่มบ้านเรือนที่น่าเกลียดเหล่านี้ให้พินาศ ขุดรากถอนโคนต้นไม้ดอกไม้พวกนี้ให้หมด จุดไฟเผาสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ให้เป็นจุณ ให้ท้องนภาและปฐพีที่นี่เหลือเพียงแต่แสงสว่างเท่านั้น’

    มันกำลังจะกลับไปยังฉางอันที่ทำให้มันได้รับความอัปยศและความเจ็บปวดอย่างไม่สิ้นสุด รวมไปถึงเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตมันในบางแง่มุม พลังและด่านฌานของมันในตอนนี้สูงกว่าตอนนั้นมาก แต่แววตาของมันกลับไม่สว่างบริสุทธิ์แล้ว

    ทุ่งนาริมถนน ดอกไม้ที่ยังไม่ผลิบาน แต่บ้านเรือนที่ชาวนาของต้าถังทาเป็นสีต่างๆ ยังคงสวยงามหรือจะพูดว่าน่าเกลียดดังเดิมก็ไม่ผิด เช่นนั้นก็เผาให้สิ้นซากไปเสียเถอะ

    นี่คือการบอกกล่าวต่อคนในฉางอันว่า‘ข้ามาแล้ว’

     

    ฉางอันกำลังมีหิมะตก ทางเหนือของเขาเหยาซานฝนกำลังตก ล้วนหนาวเย็นไม่ต่างกัน น้ำฝนเปียกชุดเกราะ เสื้อคลุมขนสัตว์ แล้วซึมเข้าไปในเสื้อผ้าจนสัมผัสผิวเนื้อทำให้ยิ่งทนได้ยาก ท่ามกลางฝนหนาวกองกำลังปราบแดนใต้ทั้งกองทัพกำลังเดินทางขึ้นเหนือ ในป่าของเขาเหยาซานมีเงาร่างทหารต้าถังแน่นขนัดไปหมดดุจดั่งใบไม้ร่วงที่ทับถมมานับพันปี

    การเดินทัพยากลำบากมาก สภาพอากาศและน้ำฝนที่หนาวเย็น ใบไม้ร่วงที่เน่าเปื่อย และทางเดินบนเขาที่ถูกย่ำจนเละเทะล้วนเป็นอุปสรรคของพวกมัน ระหว่างทางมีหลายคนที่ตามเพื่อนไม่ทัน

    ทหารส่วนใหญ่ยังคงเดินหน้าต่อไป แม้ใบหน้าซีดขาว กายใจเหนื่อยล้า แต่พวกมันยังคงก้มหน้ากัดฟันเดินตามคนข้างหน้า มีแต่ต้องกัดฟันจึงยืนหยัดต่อไปได้ มีแต่ต้องนิ่งเงียบจึงสามารถประหยัดพลังเฮือกสุดท้าย มีแต่ต้องก้มหน้าคนที่เหนื่อยล้าจึงมองเห็นทิศทางที่กองทัพกำลังมุ่งไปได้อย่างชัดเจน

    ทหารต้าถังแสนกว่านายเดินทางท่ามกลางป่าเขาแต่กลับแทบไม่ส่งเสียง มีเพียงเสียงรองเท้าที่ย่ำดินโคลน และบางครั้งคล้ายได้ยินเสียงของหนักร่วงลงพื้นเท่านั้น

    ความนิ่งเงียบนี้ทำให้ใจเต้นระรัว เป็นจุดที่ทำให้ศัตรูของพวกมันหวาดกลัวมากที่สุด

    ตั้งแต่แม่ทัพนายกองไปจนถึงทหารธรรมดาล้วนเชื่อมั่นว่าแม้กองทัพร่วมอาศรมเทพจะมีทหารนับล้านตามที่ได้ข่าวมาจริง ขอเพียงพวกมันไปถึงที่นั่นได้จะต้องสกัดฝ่ายตรงข้ามได้อยู่หมัดอย่างแน่นอน

    พวกมันต้องรีบไปให้ถึงหุบเขาชิงสยา กองทัพร่วมอาศรมเทพให้เวลาพวกมันน้อยนัก พวกมันไม่อาจนอนหลับ ไม่อาจหุงข้าวกิน เวลาทั้งหมดของพวกมันล้วนใช้ในการเดินทาง เดินทางในยามกลางวัน เดินทางในยามกลางคืน เดินทางท่ามกลางหิมะ เดินทางท่ามกลางสายฝน เสี่ยงอันตรายหาทางลัดในป่าทึบที่เต็มไปด้วยไอพิษ พวกมันเดินทางอย่างมิได้หยุดพัก

    ทว่าหนทางยาวไกลเหลือเกิน กองกำลังปราบแดนใต้แม้ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง แต่ตอนนี้ยังอยู่ห่างจากหุบเขาชิงสยาพอสมควร ล่วงเลยเวลาที่กรมทหารร้องขอมาหลายวันแล้ว หากพูดตามหลักหุบเขาชิงสยาน่าจะเสียแก่ข้าศึกแล้ว ต่อให้กองกำลังปราบแดนใต้ไปถึงที่นั่นก็ไม่มีประโยชน์อันใด กลับกลายเป็นภัยอันตรายเสียด้วยซ้ำ เรื่องที่พวกมันควรทำมากที่สุดในตอนนี้คือไปสืบข่าวของศัตรู จากนั้นรอกำลังสนับสนุน แต่พวกมันยังคงเดินทางต่ออย่างสุดชีวิต เพราะพวกมันไม่ได้รับคำสั่งใหม่

    ภารกิจของพวกมันยังคงเป็นรีบไปต้านข้าศึกที่หุบเขาชิงสยา เพราะพวกมันเชื่อมั่นในความสามารถของบรรดาเซียนเซิงแห่งสถานศึกษาอย่างแทบไม่ลืมหูลืมตา

    เพราะพวกมันไม่ยอมแพ้

     

    อีกด้านของเหยาซานมีเมฆฝนเบาบาง

    ฝนตกปรอยๆ ลงมาบนที่ราบอันเงียบสงบ แล้วถูกดินดูดซับลงไปในพริบตา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะชะล้างคราบเลือดที่สะสมมาเป็นเวลาเจ็ดวัน ทำได้เพียงเพิ่มความชุ่มชื้นให้เท่านั้น

    พื้นดินหน้าหุบเขาชิงสยาต้องทนรับแรงกดอัดมหาศาลจากพลังปฐมแห่งฟ้าดินที่เกิดจากการต่อสู้ของสามสุดยอดฝีมืออย่างต่อเนื่อง จึงค่อนข้างแข็งแน่น น้ำฝนซึมลงไปได้ช้า ขังอยู่ในรอยกีบเท้าม้าที่มากมายและสับสนไม่เป็นระเบียบ

    ทิศใต้ของสนามรบมีเสียงกึกก้องดังมา ผืนดินเริ่มสั่นสะเทือน น้ำที่ขังอยู่ในรอยกีบเท้าม้าเริ่มสั่นไหว

    “เครื่องยิงหินของแคว้นหนานจิ้นมาถึงแล้ว”

    ศิษย์พี่หกมองสิ่งของที่โผล่มาแต่ไกล รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนของพื้นดิน ร่างกายที่แข็งแกร่งประดุจเหล็กมีคราบเลือดอยู่มากมาย บนค้อนมีรอยถูกฟันอยู่นับไม่ถ้วน ศิษย์พี่สี่ถือถาดเหอซานนั่งอยูในกระโจม ต่อสู้กับกระบี่ลวงตาที่เจ้าอารามทิ้งไว้เมื่อหลายวันก่อน นอกจากมันแล้วศิษย์สถานศึกษาคนอื่นๆ ล้วนบาดเจ็บสาหัส หวังฉือทัดดอกไม้อยู่หนึ่งดอกที่ใบหู คราบเลือดบนกลีบดอกเปรอะดำไปนานแล้ว ซีเหมินปู้ฮั่วอกเสื้อเปรอะเลือด ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ สองมือของเป่ยกงเว่ยยางวางอยู่บนพิณที่เต็มไปด้วยคราบเลือด กระตุกตลอดเวลา

    จวินโม่เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นสีขาวสะอาดไม่เปื้อนเลือด แขนเสื้อข้างขวาพลิ้วไสวเบาๆ กลางลมหนาว มันก้มหน้าอย่างเหนื่อยล้ารับฝนที่ตกลงมา มองน้ำในรอยกีบเท้าม้าเบื้องหน้า นิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด

    หน้าหุบเขาชิงสยามีแขนขาและซากศพอยู่เกลื่อนกลาด เว้นแต่เพียงรอบตัวมันที่ค่อนข้างโล่งกว้าง

    หลังจากหลิ่วไป๋จากไป หน้าหุบเขาเกิดการสู้รบหลายครั้ง ทุกครั้งที่เห็นว่ากองทัพร่วมจะกลืนกินบรรดาศิษย์สถานศึกษาได้กลับมีประกายกระบี่และเสียงพิณปรากฏขึ้นท่ามกลางกองเลือด เยี่ยหงอวี๋ยืนมองอยู่แต่ไกลที่ฝั่งตรงข้าม ชุดหน่วยพิพากษาเปื้อนเลือดจนกลายเป็นสีเลือดจริงๆ แล้ว เจ็ดวันผ่านไป ในที่สุดนางก็มองเห็นแสงอรุณแห่งชัยชนะ

    สถานศึกษาถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เฮ่าเทียน ไม่อาจทำได้ทุกอย่าง

    จวินโม่ก้มตัวลงช้าๆ หยิบหมวกทรงสูงที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมา หลังจากสู้กับหลิ่วไป๋แล้วหมวกหล่นมันก็ไม่ได้สนใจอีก หมวกของมันเปื้อนเลือดและฝุ่น มันขมวดคิ้ว อยากปัดเลือดและฝุ่นออก แต่มือซ้ายถือหมวกอยู่ มือขวาไม่มีแล้ว ตอนนั้นเองมู่โย่วก็เดินมาข้างกายมัน รับหมวกมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดทำความสะอาดให้อย่างพิถีพิถัน

    จวินโม่ค้อมตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย คล้ายคารวะขอบคุณนาง

    มู่โย่วดวงตาชื้นขึ้น ยิ้มคารวะตอบ

    นี่คือการคารวะกันและกัน

    มู่โย่วเอ่ยว่า

    “ข้าตกลงแต่งกับท่านแล้ว”

    จวินโม่เอ่ยกลับไปเรียบๆ

    “ช่างดีจริงๆ”

    มู่โย่วสวมหมวกให้จวินโม่ จัดให้ตั้งตรงอย่างจริงจัง แล้วจวินโม่ก็เอ่ยว่า

    “ตายพร้อมหมวกที่ตั้งตรง สอดคล้องกับจรรยา”

    “ตายพร้อมกันก็สอดคล้องกับหลักเหตุผล”

    หน้าหุบเขาชิงสยาพลันเกิดเสียงร้องไห้ฟูมฟาย

    เป่ยกงเว่ยยางตบสายพิณขาด เลือดสาดกระจาย ตะโกนทั้งน้ำตาไหลพรากว่า

    “มารดามันเถอะ!ไม่ยอมแพ้!”

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook