“เสียแรงฉายาข้ามีคำว่าจื้อ* แต่กลับไม่ฉุกใจคิดว่ามารร้ายที่อุตส่าห์ฝึกปรือวิชาอำมหิตอย่างธวัชโลหิตมีหรือจะไม่ละโมบอยากครองมุกดูดโลหิต”
สีหน้ามันเคียดขึ้ง ประกาศเสียงเฉียบขาด
“จะให้ข้ามอบสิ่งชั่วร้ายที่สุดในแผ่นดินให้เจ้าไปก่อกรรมทำเข็ญอย่างนั้นรึ ฝันไปเถอะ”
มารร้ายในหมอกดำบันดาลโทสะ
“เช่นนั้นก็ไปเฝ้าพุทธองค์ของเจ้าเสียเถอะไอ้โล้นเฒ่า!”
สีแดงวูบวาบ ธวัชโลหิตโบกสะบัดตามลม เสียงผีคร่ำวิญญาณครวญดังเสียดแก้วหู ร่างเจ้าผีร้ายปรากฏขึ้นอีกครา ตีลังกากลางอากาศหนึ่งตลบ ก่อนจะพุ่งเข้าหาผู่จื้อ
ผู่จื้อตวาดเสียงดัง จีวรบนร่างพองขึ้นเหมือนถูกอัดลม ร่างที่ผอมแห้งดูเหมือนจะใหญ่โตขึ้นไม่น้อย มันออกแรงกระตุกสร้อยประคำหยกในมือจนขาดผึง แต่ทว่าลูกประคำสุกใสสิบกว่าเม็ดแทนที่จะร่วงกระจายตกพื้นกลับหมุนวนอยู่กลางอากาศ แต่ละเม็ดสาดประกายสีเขียวเรืองรองลอยขึ้นเบื้องหน้า มีเพียงเม็ดสีม่วงเข้มเท่านั้นที่ร่วงตกลง
ผู่จื้อยื่นมือไปรับไว้ สองมือประกบกันเป็นรูปขวดน้ำ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ทั่วร่างเปล่งรัศมีสีทองรำไร ปากเอื้อนเอ่ยคำสวดมนต์เน้นย้ำทีละคำอย่างช้าๆ
“โอมมณีปัทเมหุม**!”
“เพลงสวดเสียงมหามนต์!”
คราวนี้เสียงคนในหมอกดำฟังดูตื่นเครียด
ทันทีที่คำว่า ‘หุม’ หลุดจากปาก ประคำหยกทุกเม็ดพลันเปล่งแสงสว่างจ้าสกัดกั้นเจ้าผีร้ายไว้ได้อย่างชะงัด เพราะทันทีที่ตัวมันสัมผัสแสงประคำก็เปลี่ยนเป็นไร้สภาพ ชะงักค้างอยู่กับที่
ถึงกระนั้นร่างผู่จื้อก็โงนเงนแทบล้มลง ตะขาบเจ็ดหางนับเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายกาจในแผ่นดิน ด้วยพลังฝึกปรือหลายร้อยปีของผู่จื้อยังยากที่จะต้านทานได้ ทว่าบนใบหน้าที่เคลือบด้วยไอพิษกลับระบายรอยยิ้มน้อยๆ ดูแล้วชวนขนหัวลุก
“เฮอะ!”
* จื้อ แปลว่าเฉลียวฉลาด
** บทสวด ‘โอมมณีปัทเมหุม’ คือบทสวดเสียงมหามนต์ และในคัมภีร์พุทธยังเรียกอีกชื่อว่าบทสวดหัวใจพระแม่กวนอิม ในคัมภีร์บันทึกไว้ ‘บทสวดนี้สัมพันธ์ถึงการเกิดแก่เจ็บตาย ผู้ที่เข้าใจอย่างถ่องแท้จะหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง จิตใจถูกชำระจนสะอาดบริสุทธิ์ บรรลุถึงโลกแห่งนิพพาน เป็นบทสวดมนต์ที่มีชื่อที่สุดบทหนึ่งในพระคัมภีร์’