จางเสี่ยวฝานกับหลินจิงอวี่ตกตะลึงอ้าปากค้าง
นักพรตหนุ่มยิ้มพลางเร่งรัด
“ตามข้ามาเร็ว”
กล่าวจบก็เดินนำขึ้นสะพาน
เมื่อเหยียบย่างขึ้นไป เด็กทั้งสองจึงค่อยพบว่าแม้นสองฟากมีสายนทีรินไหล แต่กลางสะพานกลับไม่เปียกชื้น แสงอาทิตย์ส่องผ่านก้อนเมฆลงมากระทบถูกสายน้ำบังเกิดการหักเหของแสงจนเป็นสีรุ้งงามตา
นักพรตหนุ่มเห็นทั้งสองเหม่อมองจนเคลิบเคลิ้มจึงกล่าวเตือนว่า
“พวกเจ้าระวังไว้บ้าง ด้านล่างสะพานคือเหวลึก หากพลัดตกลงไปหาศพไม่เจอแน่”
จางเสี่ยวฝานกับหลินจิงอวี่สะดุ้งเฮือก รีบเดินตัวลีบอยู่กลางสะพาน
สะพานรุ้งแห่งนี้ทั้งยาวทั้งสูง ขณะเดินรู้สึกได้ว่าปุยเมฆทั้งสองฟากค่อยๆ ลดระดับต่ำลง แสดงว่าตัวสะพานไต่ระดับสูงขึ้น และเสียงแปลกๆ ที่ได้ยินเมื่อสักครู่ก็ยังดังเข้าหูไม่หยุด
เดินไปอีกระยะหนึ่งเมฆขาวก็บางตา พวกมันถึงกับเดินทะลุชั้นเมฆ ทิวทัศน์ตรงหน้าพลันแจ่มกระจ่าง ท้องฟ้าใสแจ๋วราวกับผ้าที่เพิ่งถูกซัก มองไปทางใดก็เห็นแต่แผ่นฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา ทะเลเมฆขาวบริสุทธิ์ลอยเลื่อนอยู่ด้านล่าง ดูแล้วบันดาลให้จิตใจแจ่มใสไร้กังวล
และตรงเบื้องหน้าก็คือที่ตั้งของ ‘วิหารหยกวิสุทธิ์’ วิหารหลักของอารามเมฆาเขียวบนยอดดอยทะลุเมฆา
ดุจปลายยอดประดับหยกเขียว อารามโดดเดี่ยวสูงเสียดฟ้า ‘วิหารหยกวิสุทธิ์’ ตั้งอยู่บนยอดเขาทะลุเมฆา คลอเคลียด้วยเมฆบางๆ กระเรียนหลายตัวส่งเสียงร้องขณะบินผ่าน บ้างบินวนอยู่กลางอากาศ ให้ความรู้สึกเหมือนแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์
ตรงนี้สะพานรุ้งหยุดความสูงชัน วกอ้อมเป็นวงแหวนอยู่กลางอากาศ จรดปลายลงข้างสระน้ำมรกตหน้าตัววิหาร ทันใดนั้นภายในวิหารเหมือนจะมีเสียงโคลงสำหรับท่องจำคำสั่งสอนของลัทธิเต๋าดังแว่วออกมา ยิ่งตอกย้ำบรรยากาศความเป็นเซียน เสียงแปลกๆ เมื่อสักครู่ดังแทรก ยิ่งนานก็ยิ่งดังกึกก้อง
ทั้งสามลงจากสะพานรุ้งเดินไปถึงขอบสระ มีบันไดหินขนาดกว้างขวางต่อเชื่อมจากข้างสระขึ้นไปจนถึงหน้าประตูวิหาร น้ำในสระเขียวขจีดุจสีมรกต ใสแจ๋วจนเหมือนกระจก สะท้อนให้เห็นภาพคนและขุนเขาอย่างชัดเจน