เพลงกลอนคลั่งยุทธ์
ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 14 บทที่ 2
บทที่ 2
บุกโจมตี
อารามอวี้เจินแห่งอู่ตังได้ชื่อว่า ‘เมืองดินเหลือง’ เนื่องมาจากความใหญ่โตโอฬารของมัน ในปีนั้นกองกำลังยากสันติของจูตี้จักรพรรดิหย่งเล่อชิงบัลลังก์ เนื่องเพราะได้ตำแหน่งมาโดยมิชอบเป็นเหตุให้ออกราชโองการบูรณะอารามเต๋าอู่ตัง และเคยเยี่ยมเยือนผู้บรรลุจางซานเฟิงปรมาจารย์แห่งสำนักอู่ตัง หวังใช้ศรัทธาพิชิตใจปวงชน ทำให้อำนาจของตนเองมั่นคง ตั้งแต่ตำหนักทองแดงจุดสูงสุดของยอดเขาทอง อารามเต๋าและตำหนักแต่ละแห่งของเขาอู่ตังต่างได้รับการสร้างตามข้อกำหนดของจักรพรรดิ โดยเฉพาะอารามอวี้เจินที่ใหญ่ที่สุดยิ่งโอ่อ่าทรงพลัง ราวกับเป็นภาพจำลองของพระราชวังในเมืองหลวง
ทว่าขณะนี้อารามอวี้เจินกำลังถูกกองทัพค่ายพลเสินจีที่ก่อตั้งขึ้นโดยจักรพรรดิหย่งเล่อและมาจากเมืองหลวงโจมตีอย่างรุนแรง ปืนใหญ่กระหน่ำยิงจนอาศรมนับร้อยพังถล่มกลายเป็นซากปรักหักพัง
เสาหลักกึ่งกลางในกำแพงตำหนักเจินเซียนยังคงตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นสูงอย่างมั่นคง กระเบื้องหลังคาตำหนักทุกแห่งเป็นรูถูกระเบิด มุมทางตะวันออกเฉียงใต้ถูกระดมยิงจนเกิดเพลิงเผาไหม้ ตำรากับเอกสารบันทึกล้ำค่าของสำนักอู่ตังมากมายที่เก็บซ่อนอยู่ที่นี่แปรเป็นเถ้าธุลี
ลูกปืนใหญ่อีกลูกหนึ่งยิงถูกตำหนักเจินเซียนทะลุกระเบื้องหลังคาด้านหลังเข้าไปโจมตีรูปปั้นเทพเจินอู่ในโถงตำหนักพอดี เศียรที่ปั้นตามโฉมหน้าปรมาจารย์จางซานเฟิงถูกยิงจนแตกละเอียดพร้อมกับไหล่ข้างซ้าย เศษทองระเบิดขึ้นกลางอากาศดุจดั่งดอกไม้ไฟ เหลือเพียงรูปปั้นเทพแขนเดียวไร้เศียรองค์หนึ่งซึ่งยังคงเหยียบสัตว์เทพเสวียนอู่ที่เป็นเต่าและงูในร่างเดียวอย่างโดดเดี่ยว ชูกระบี่เทพไปยังหลังคาตำหนักที่แตกร้าว
ต่อมาเสียงปืนใหญ่ค่อยๆ เบาบาง หาได้เป็นเพราะในค่ายพลเสินจีมีใครสั่งการให้ชะลอการระดมยิงไม่ แต่เนื่องจากสาเหตุที่เถรตรงอย่างยิ่ง ขบวนปืนใหญ่สามด้านที่โอบล้อมอยู่นอกกำแพงรอบอารามอวี้เจินนั้นมีปืนใหญ่จำนวนหนึ่งดินระเบิดหมดแล้ว
จะส่งอุปกรณ์หนักอึ้งจำพวกปืนให้ทหารค่ายพลเสินจีจำนวนมากขึ้นเขาอู่ตัง เดิมก็ลำบากอยู่แล้ว ระหว่างทางยังต้องแบ่งสันกำลังทหาร ระแวดระวังมือกระบี่อู่ตังอาศัยลักษณะพื้นที่ป่าเขาลอบโจมตี นอกจากนี้เพื่อถางป่าไม้สามด้าน กองทัพพลเสินจีก็ต้องแบ่งกำลังทหารออกไปบัญชาการงานโยธาของกรรมกร สุดท้ายยังมีทหารจำนวนหนึ่งรั้งอยู่ที่ค่ายหลักด้านล่างเชิงเขา พิทักษ์จางหย่งกงกงและปกป้องทรัพย์สินพลาธิการ…ภายใต้ดุลพินิจของโหลวหยวนเซิ่ง…ผลสุดท้ายก็ตัดสินใจขนส่งเพียงลูกปืนใหญ่และดินปืนครึ่งหนึ่งขึ้นเขา
การใช้ดินระเบิดจำนวนนี้รับมือนักสู้อู่ตังที่มีเพียงวิชาตัวเบากับอาวุธ เดิมควรมีล้นเหลือ…หากการบัญชาการของค่ายพลเสินจีมิได้ปั่นป่วนหรือกระทำผิดพลาด
เฉินเฉวียนหลี่รองแม่ทัพอีกนายหนึ่งใต้อาณัติโหลวหยวนเซิ่งเชี่ยวชาญการสอดแนมศัตรู เป็นทหารผ่านศึกที่ประสบการณ์โชกโชน หลังโหลวหยวนเซิ่งสั่งการให้เปิดศึกมันก็ไปสำรวจสถานการณ์ต่อสู้ทางตะวันตกของอารามอวี้เจิน ในขณะที่อสรพิษน้ำตาลเจ็ดคนลอบโจมตีกองกลาง เฉินเฉวียนหลี่แม้สังเกตเห็น แต่หาได้คิดลงมือไม่ เพราะเชื่อว่าด้วยความแน่นหนาของขบวนแม่ทัพในกองกลาง กอปรกับทหารองครักษ์เด่นล้ำต้องรับมือได้เป็นแน่
ทว่าการระดมยิงไม่หยุดสักที ขบวนแม่ทัพยังคงมิได้ออกคำสั่งใหม่ เฉินเฉวียนหลี่เริ่มรู้สึกไม่สบายใจและรีบเร่งกลับไป
เมื่อเฉินเฉวียนหลี่บรรลุถึงขบวนแม่ทัพตรงกึ่งกลางพลันเห็นศพของแม่ทัพโหลวหยวนเซิ่งล้มอยู่กลางกองเลือด ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงระดมยิงด้านหน้าเริ่มเบาบาง
หม่าจวินหมิงยืนอยู่ด้านข้างอย่างตื่นกลัว มิได้มองมันสักแวบ เฉินเฉวียนหลี่เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
เฉินเฉวียนหลี่ที่ใจเย็นมาโดยตลอด หน้าเปลี่ยนเป็นแดงคล้ำเพราะความเดือดดาลในทันที มันพุ่งไปตบหน้าหม่าจวินหมิงอย่างแรงจนรองแม่ทัพที่เดิมควรสืบตำแหน่งผู้บัญชาการผู้นี้ล้มคว่ำ กลุ่มคนขบวนแม่ทัพล้วนมองดูอย่างตกตะลึง
“หยุดยิง! ตั้งขบวนปืน!”
เฉินเฉวียนหลี่ตวาดใส่นายทหารควบคุมสัญญาณ
ปืนใหญ่ค่ายพลเสินจีแม้อานุภาพไร้เทียบเทียม แต่ความแม่นยำมีจำกัด ไม่พอที่จะอาศัยมันพิฆาตศัตรูเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะเผชิญหน้าศัตรูที่จำนวนคนไม่มากแต่เคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นอู่ตัง ยิ่งใช้ได้เพียงยับยั้ง ต้องผสมผสานขบวนทหารปืนไฟที่ค่อนข้างคล่องแคล่วกอปรกับทหารราบดาบทวนคุ้มกันจึงสำแดงความเยี่ยมยอดของกระบวนปืนค่ายพลเสินจีได้อย่างแท้จริง
ภายใต้สถานการณ์ปกติ พอออกคำสั่งหยุดยิง ทหารด้านหน้าจะหาได้หยุดยิงทันทีไม่ ปืนใหญ่ทุกกระบอกจะยิงอีกสองครั้งจึงหยุด ทหารปืนที่อยู่ด้านหลังระหว่างระดมยิงแต่เดิมก็จะฉวยโอกาสนี้ตั้งขบวนใหม่อีก รอให้การระดมยิงยุติจริงๆ จึงเติมเข้าไปและบุกโจมตี ระหว่างที่ระดมยิงและขบวนปืนสับเปลี่ยนกันเช่นนี้จึงไม่มีช่องโหว่ให้ฝ่ายศัตรูฉวยโอกาสได้
แต่ตอนนี้ค่ายพลเสินจีกลับไม่มีเวลาเช่นนี้ ปืนใหญ่หลายกระบอกหาได้เป็นฝ่ายหยุดจุดชนวนตามคำสั่งไม่ แต่เป็นตัวดินระเบิดเองที่หมดเกลี้ยงแล้ว
เหมือนเช่นนักสู้ผู้หนึ่งรั้งกระบวนจัดท่วงท่าใหม่อีกครั้งด้วยตัวเอง หรือเรี่ยวแรงขาดช่วงจึงถูกบีบให้หยุดพัก
ความต่างเล็กน้อยนี้เพียงพอที่จะตัดสินเป็นตายแพ้ชนะบนสมรภูมิได้
ขณะที่สังเกตเห็นการระดมยิงของฝ่ายตรงข้ามเบาบางลง คนสำนักอู่ตังที่ซุกซ่อนอยู่ในหลุมของลานกว้างอารามอวี้เจิน ดวงตามากมายพลันเปล่งประกายเหมือนเช่นได้ยินสัญญาณตอบโต้
ในนักรบสำนักอู่ตังสองร้อยกว่าคน ผู้ที่คว้าโอกาสนี้ได้ฉับไวที่สุดคือเจียงอวิ๋นหลันที่ก้มหมอบอยู่ทางตะวันออกของหลุมใต้ลานกว้าง
ความเคียดแค้นกับความกลัดกลุ้มที่สั่งสมอยู่ในทรวงมานานแล้วปะทุในพริบตา ร่างกายที่ม้วนขดแต่เดิมของเจียงอวิ๋นหลันเหมือนขดลวดกางออกในครู่เดียว มันกระโดดขึ้นใช้แขนซ้ายยื่นไปข้างบน ปลายนิ้วของกรงเล็บเหล็กเกี่ยวขอบของปากหลุม ออกแรงขยับผสมผสานกับการยืดเอว ทั้งร่างลอยขึ้นบนพื้นดินอย่างเบาหวิว
แม้กล่าวว่าการระดมยิงอ่อนลงแล้ว แต่ยังคงมีลูกปืนใหญ่พกพาเสียงคำรามอันน่าหวาดผวา ลอยตกลงใส่ในกำแพงรอบอารามอวี้เจินอย่างต่อเนื่อง ลูกหนึ่งในนั้นกำลังตกลงบนที่ว่างที่ห่างจากทางซ้ายด้านหน้าเจียงอวิ๋นหลันไม่ถึงสามจั้ง พายุที่ระเบิดขึ้นด้วยอานุภาพอันรุนแรง พัดมาปะทะหน้าตรงที่เจียงอวิ๋นหลันอยู่ เป่าฝุ่นโคลนที่ย้อมติดทั่วร่างมันออกไป
เจียงอวิ๋นหลันกลับไม่กะพริบตาแม้แต่แวบเดียว มันรับกระแสลมอันรุนแรงนั้น หน้าตาดุจดั่งกำลังดื่มด่ำลมฤดูใบไม้ผลิอันอ่อนโยน ขณะผมยุ่งปลิวสยาย เจียงอวิ๋นหลันเปล่งเสียงตะโกนดังก้องไปยังสหายร่วมสำนักด้านหลัง
“บุก!”
เงาร่างหลายสิบเงาพุ่งขึ้นมาจากใต้พื้นดินราวกับเป็นวิญญาณร้ายจากนรกที่กลับมายังโลกมนุษย์ ทุกผู้คนทั่วทั้งร่างแผ่ไอสังหารแรงกล้า สะบัดฝุ่นดินบนร่างวิ่งไปข้างหน้าตามเจียงอวิ๋นหลัน
ท่ามกลางเสียงระดมยิงครึกโครม พวกมันหาได้ได้ยินเสียงร้องของเจียงอวิ๋นหลันจริงๆ ไม่ แต่มองเห็นท่าทางของมันจึงปีนขึ้นมาพร้อมกัน
เจียงอวิ๋นหลันเสี่ยงฝ่าการระดมยิงที่เบาบางแต่ยังคงอันตราย วิ่งตรงไปยังอารามอวี้เจิน ในใจเชื่อมั่นว่าตนเองไม่มีทางถูกระเบิดเป็นอันขาด
คนที่ตามอยู่ด้านหลังมันก็เช่นกัน ดวงตาทุกคู่ล้วนสว่างดุจเดือนดาวในหมอกควัน เปี่ยมด้วยพลังแห่งชีวิต คล้ายชีวิตของพวกมันเกิดมาเพื่อเวลานี้
ภายใต้การกระตุ้นขอบกองกำลังเจียงอวิ๋นหลัน เงาร่างมากกว่าเดิมปรากฏอย่างต่อเนื่องจากหลุมใต้พื้น
เจียงอวิ๋นหลันนำสหายร่วมสำนักราวแปดสิบคนผ่านลานกว้างอย่างว่องไว บนพื้นกระจายไปด้วยวัสดุก่อสร้างที่ถูกระเบิดตกลงมา แผ่นศิลาเองก็ถูกย่ำจนมีหลุมบ่อทุกแห่ง เป็นซากปรักหักพังขรุขระที่ไม่มีพื้นผิวราบเรียบแม้แต่ชุ่นเดียว ขณะเหล่านักสู้วิ่งผ่านมันฝีเท้ากลับคล่องแคล่วว่องไวผิดปกติคล้ายฝูงวิญญาณตอนกลางวันแสกๆ ลื่นไถลไปตามพื้นผิวสูงต่ำ
สิ่งที่กระจายอยู่บนพื้นย่อมมิใช่เพียงอิฐไม้ ทุกแห่งวางขวางไว้ด้วยซากศพที่ถูกระเบิดจนขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ มีศิษย์อู่ตังและมีทหารราชองครักษ์ที่ตายอย่างอนาถใต้ไฟปืนใหญ่ของฝ่ายตนเอง ทหารม้าเกราะหนักสังกัดค่ายซานเชียนจำนวนหนึ่ง เกราะเหล็กหนักอึ้งบนร่างมิอาจต้านรับอานุภาพของลูกปืนใหญ่ได้เช่นกัน แผ่นเกราะถูกระเบิดจนบุบยุบบิดเบี้ยว ห่อหุ้มซากศพที่เลือดเนื้อเลือนรางไว้แนบแน่น บางศพถลึงลูกตาที่ไร้ซึ่งพลังชีวิตมองดูท้องฟ้าอย่างเคืองแค้น
ยามนี้ลูกปืนใหญ่ยังลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง กลับมีลูกหนึ่งตกลงในหมู่นักสู้พอดี
มีสี่คนถูกระเบิดจนลอยล้ม แต่มิได้บาดเจ็บหนักจึงลุกขึ้นมาได้อีก แต่มีอีกห้าคนถูกระเบิดตายคาที่
สหายร่วมสำนักคนอื่นรวมถึงเจียงอวิ๋นหลัน หาได้มองดูพวกมันสักแวบไม่ แต่ยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องพร้อมกับหมอกควันหนาแน่นที่พวยพุ่ง
เป็นเพราะสหายร่วมสำนักเสียสละแล้ว ยิ่งมิอาจหยุดลงได้สักขณะเดียว เพราะสิ่งเดียวที่ปลอบประโลมดวงวิญญาณอันแกล้วกล้าของผู้ตายได้อยู่ด้านหน้า
ในขณะเดียวกันที่แนวโอบล้อมด้านนอกอารามอวี้เจิน ทหารปืนค่ายพลเสินจีกำลังเร่งมาด้านหน้าของขบวนปืนใหญ่สงครามอย่างรีบร้อน ขุนนางบู๊บัญชาการตะโกนสั่งการอย่างร้อนใจ หมายตั้งขบวนปืนให้เร็วที่สุดเพื่อเติมช่องว่างหลังการระดมยิงหยุดลง
ช่วงหนึ่งของกำแพงล้อมรอบด้านตะวันออกเฉียงใต้ของอารามอวี้เจินถูกหอกลองที่ถูกระเบิดพังทับจนพังทลายเป็นช่องว่างที่คนสองสามคนเคียงไหล่ผ่านไปได้ เมื่อครู่เจียงอวิ๋นหลันกระโดดออกมาจากหลุม อาศัยสายตาอันเฉียบคมพบเจอช่องว่างนั้น เป็นเหตุให้นำเหล่าสหายร่วมสำนักพุ่งไปด้านนั้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แนวป้องกันของทหารค่ายพลเสินจีคาดการณ์ว่าศัตรูจำต้องปรากฏจากตำแหน่งประตูด้านหน้าและด้านข้างของอารามเต๋า เป็นเหตุให้ขณะรีบตั้งขบวนปืนก็ใช้ปากประตูเป็นเป้าหมายเช่นกัน ภายใต้การปกปิดของหมอกควันจากการระดมยิง มีทหารจำนวนไม่มากที่สนใจช่องว่างของกำแพงล้อมรอบนั้น
จู่ๆ เงาร่างชุดดำเงาหนึ่งปรากฏจากช่องว่างนั้น บรรดาทหารคาดคิดไม่ถึง หมายเปลี่ยนทิศทางขบวนปืนอย่างรีบร้อน ทว่าขบวนปืนเดิมทีก็เรียงแถวอย่างรีบเร่งได้เพียงครึ่งหนึ่ง ภายใต้การยักย้ายกะทันหันยิ่งทำให้วุ่นวาย ทหารบางคนทำตัวไม่ถูกยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
เจียงอวิ๋นหลันพุ่งออกมาจากช่องกำแพง ในที่สุดก็มองเห็นเงาร่างของศัตรูอีกครั้ง พลันรู้สึกตื่นเต้นสุดบรรยาย
ในสายตาของมัน ทั้งหมดนั้นคือเหยื่ออ้วนพีหลายตัว
มันเปล่งเสียงร้องแผ่วเบาคล้ายสัตว์ป่าพุ่งไปหามือปืนกลุ่มที่ใกล้ตนเองที่สุด เกราะกรงเล็บเหล็กมือซ้ายตั้งขวางป้องกันอยู่ตรงใบหน้า ดวงตาทั้งสองอันเรียวเล็กและดุร้ายเพียงเผยออกมาจากด้านบนแผ่นเกล็ดของเกราะแขนจ้องศัตรูเขม็ง กระบี่เงินในฝ่ามือขวาหันหาดวงอาทิตย์เปล่งประกายสว่างไสว
ประกายกระบี่นั้นทำให้ทหารที่มองเห็นขวัญผวาในทันใด
เจียงอวิ๋นหลันที่ใช้กระบี่เร็วได้อย่างโดดเด่นในสำนักอู่ตัง ผ่านการฝึกหนักหลายปี ความว่องไวของฝีมือและเพลงเท้าเพียงพอที่จะประลองกับสหายร่วมสำนักสายพญางูได้แล้ว และเป็นรองเพียงยอดฝีมือวิชาตัวเบาอสรพิษน้ำตาลที่เด่นล้ำที่สุด แต่หลังได้ผ่านการต่อสู้ยามค่ำคืนอย่างเอาเป็นเอาตายกับพวกจิงเลี่ยที่เฉิงตู วรยุทธ์ของมันก็ก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง ความเร็วของมันถึงขั้นที่แม้แต่เยี่ยเฉินยวนก็ต้องรับมืออย่างรอบคอบ
เจียงอวิ๋นหลันรู้ดีว่าด้วยอุปนิสัยของตนเองหาใช่วัตถุดิบที่จะฝึกปรือไท่จี๋วิชายุทธ์สูงสุดที่ใช้อ่อนแข็งควบคู่ ช้าเร็วอิสระไม่ หนทางเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือก็คืออาศัยการตอบสนองอันฉับไวและความเร็วเปิดเส้นทางผ่านไปยังจุดสูงสุดอีกสายหนึ่ง ภายหน้าจึงมีความหวังที่จะเคียงไหล่กับศิษย์อู่ตังเด่นล้ำคนอื่นๆ
สักวันหนึ่ง…ข้าต้องกลายเป็นรองเจ้าสำนักผู้ไม่เข้าใจไท่จี๋เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่เคยมีมาก่อนของสำนักอู่ตัง
มือปืนไฟค่ายพลเสินจีพลันเห็นมือกระบี่ดุร้ายที่สวมชุดดำทะมึน แขนข้างหนึ่งสวมกรงเล็บเหล็กคล้ายสัตว์ประหลาดผู้นี้ เพียงแวบเดียวก็เข้ามาใกล้ในระยะยี่สิบก้าวแล้ว สิบกว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดไม่สนใจรูปขบวนอีกต่อไป ไม่รอให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สั่งการ ต่างจุดชนวนปืนไฟเองอย่างรีบร้อน เล็งปากกระบอกปืนหาเจียงอวิ๋นหลัน
แลเห็นปากกระบอกปืนที่อันตรายหันหาตนเอง เจียงอวิ๋นหลันก็ตวาดเสียงดัง ขาทั้งสองถีบตัวขึ้นอย่างแรง ร่างกายลอยไปด้านหน้าเหมือนลูกเกาทัณฑ์ ย่นระยะห่างจั้งกว่าที่เหลืออย่างรวดเร็ว
ประกายของกระบี่เงินสะท้อนเข้ารูม่านตาของทหารปืนไฟ
แต่ชั่วขณะต่อมาก็ถูกแสงที่รุนแรงยิ่งกว่าสาดทับ
ขณะที่ห่างเพียงเจ็ดฉื่อนั่นเอง ปากกระบอกปืนของทหารค่ายพลเสินจีพลันปะทุแสงแวบวาบติดต่อกัน
ลูกตะกั่วหนักแปดเฉียน* ตามมาตรฐานของค่ายพลเสินจียิงออกจากปากกระบอกปืนด้วยความเร็วและพลังที่ไม่ว่ากระบี่หรือทวนของนักสู้คนใดก็ยากที่จะไล่ทัน
เจียงอวิ๋นหลันที่อยู่กลางอากาศ ขณะนี้ไร้ซึ่งความคิด
ราวกับแม้แต่ชีวิตก็มิใช่ของตนเอง
มันรู้สึกถึงการกระแทกคล้ายฉีกขาดที่ท้อง เนื้อหนังแผ่นใหญ่ข้างต้นขาซ้ายถูกตัดออกไปอย่างแรงพร้อมผ้าดำของกางเกง…
ลูกตะกั่วลูกหนึ่งยิงมาถึงกลางใบหน้าเจียงอวิ๋นหลัน โจมตีเกราะแขนที่ขวางกั้นอยู่ตรงหน้ามัน ทว่าอานุภาพลูกตะกั่วนั้นยังไม่สลายไปทั้งหมด หักเหจากแผ่นเกราะที่บุบยุบเฉียงขึ้นไปด้านบน ถูกขมับขวาของเจียงอวิ๋นหลัน
เคราะห์ดีพลังของลูกตะกั่วถูกเกราะเหล็กลดทอน แม้จะโจมตีถูกกะโหลกศีรษะที่แข็งแรงที่สุดของร่างกายก็หาได้ทะลุผ่านกระดูกเข้าไปไม่ เพราะมุมที่กระดอนถูกตื้นเล็กน้อย เพียงถากผ่านไปตามกะโหลกศีรษะ ตัดเนื้อหนังตรงขมับขวาของเจียงอวิ๋นไปพร้อมเส้นผม
นี่คือโชคดีที่มิอาจเกิดซ้ำอีก เพียงแผ่นกรงเล็บเหล็กหักล้างพลังของลูกตะกั่วน้อยลงกว่านี้ก็อาจทำให้ลูกตะกั่วโจมตีมุมของกะโหลกศีรษะลึกขึ้นอีก และเจียงอวิ๋นหลันก็คงถูกยิงทะลุกะโหลกสละชีพอย่างอนาถไปแล้ว
อาจเป็นดังเช่นที่มันคิดว่านั่นมิใช่ชะตากรรมของมัน
ขณะกระหน่ำยิงเหล่าทหารปืนไฟมิอาจชี้ขาดว่าสังหารศัตรูได้แล้วหรือไม่
ต่อมันพวกมันจึงรู้
เพราะมองเห็นประกายกระบี่โผพุ่ง
ร่างชุดดำพุ่งเข้าในหมู่ทหารปืน คนที่ยืนอยู่หน้าสุดมีรูโลหิตที่คอหอยในพริบตา อีกคนหนึ่งถูกกรงเล็บเหล็กแหลมคมสี่นิ้วฉีกใบหน้าขาด
เจียงอวิ๋นหลันสังหารสองคนติดต่อกันจึงแตะสัมผัสพื้น แต่หาได้หยุดลงเพียงนี้ไม่ มันกระโดดไปข้างหน้าอีกครั้ง โลหิตสดที่พรั่งพรูออกมาจากขมับปิดตาขวาของมัน แต่ดวงตาอีกข้างหนึ่งจ้องมือปืนแถวที่สองในส่วนลึกของขบวนศัตรูไว้แล้ว
ที่ช่องว่างบริเวณกำแพงล้อมรอบที่ด้านหลังเจียงอวิ๋นหลัน เลี่ยวเทียนอิงยอดฝีมือไท่จี๋ถือพลองเหล็กเสมอคิ้ว จงย่าหนานนักดาบคู่สายพลอีกา เจียวหงเยี่ยถือกระบี่ยาวสองมือกับคนสำนักอู่ตังเจ็ดสิบกว่าคนกำลังทยอยกันวิ่งออกมา
เพื่อที่จะช่วงชิงเวลาให้พวกมัน เจียงอวิ๋นหลันรู้ว่าตนเองยังจำเป็นต้องบุกอีกครั้ง
…ถึงแม้รู้ทั้งรู้ว่าต้องรับการระดมยิงรอบที่สอง
เจียงอวิ๋นหลันไม่สนใจทหารปืนไฟที่เปิดฉากยิงไปแล้ว มันกระโดดไปยังมือปืนแถวที่สอง
ทหารปืนกลุ่มที่สองเองก็มิได้สนใจว่าจะพลาดถูกพวกพ้องเพราะความรีบร้อน จึงรีบชุดชนวนปืนไฟ เล็งปากกระบอกปืนไปยังเจียงอวิ๋นหลันดังคาด
พวกมันรู้ดีว่านักสู้สำนักอู่ตังน่ากลัวเพียงไรในการต่อสู้ระยะประชิด ในใจคิดเพียงจำเป็นต้องกำจัดผู้ที่บุกเข้ามาในขบวนปืนผู้นี้ให้เร็วที่สุด
เสียงระเบิดติดต่อกันของปืนไฟแถวที่สองดังขึ้น
แต่ครานี้เจียงอวิ๋นหลันเตรียมตัวไว้ดียิ่งขึ้น มันคาดคำนวณจังหวะการยิงของปืนไฟไว้แล้ว พลันสำแดงท่าเท้าอสรพิษของกระบี่เคลื่อนอู่ตังก่อนเพื่อเปลี่ยนทิศทางไปด้านขวาอย่างรวดเร็ว หลบหลีกแนวยิงของปากกระบอกปืนจำนวนมาก ในขณะเดียวกันแขนซ้ายของมันพับงอขึ้นมาใช้แผ่นเหล็กป้องกันข้างใบหน้า ถือโอกาสหมุนตัวไปทางขวา
ลูกตะกั่วจำนวนมากยิงอากาศ ทว่าจะแคล้วคลาดปลอดภัยภายใต้การเรียงแถวยิงของมือปืนในระยะใกล้เช่นนี้หาใช่มนุษย์คนใดจะกระทำได้
แขนซ้ายเจียงอวิ๋นหลันถูกกระสุนอีกครั้ง ครั้งนี้เกราะแขนถูกโจมตีอย่างจัง พลังงานความร้อนทำให้แผ่นเกราะโค้งงอ กระดูกแขนถูกโจมตีจนแตกผ่านแผ่นเกราะ ในขณะเดียวกันกระดูกซี่โครงท่อนหนึ่งด้านซ้ายของเจียงอวิ๋นหลันถูกลูกตะกั่วยิงจนแตกละเอียด
ด้านหลังเจียงอวิ๋นหลันมีทหารค่ายพลเสินจีสามนายถูกลูกหลงจนบาดเจ็บล้มตาย
ความเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจกลับมิได้ขัดขวางเจียงอวิ๋นหลันสักนิด ความน่าสังเวชที่ประสบในวัยสิบห้าปีบ่มเพาะพลังแห่งจิตใจอันน่าอัศจรรย์ที่ทนรับความเจ็บปวดได้ออกมา
ตามมาด้วยเสียงคำราม เจียงอวิ๋นหลันฟันกระบี่เงินออกตามท่าหมุนตัว ศีรษะที่สวมหมวกศึกอันหนึ่งลอยออกไปพร้อมโลหิต
ฝนโลหิตสาดบนหน้าเหล่าทหารปืน ความตื่นกลัวนั้นเพียงพอที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายที่มากยิ่งขึ้นในขบวนทหารได้ ในชั่วขณะที่ทหารหน้าหลังมิได้มองเห็นแผลบนร่างเจียงอวิ๋นหลันชัดเจน จึงเข้าใจผิดคิดว่ากระสุนยิงใส่ร่างมันไม่ได้ผลแม้แต่น้อย พวกมันล้วนอดมิได้ที่จะสงสัยว่า
หรือว่าคนของสำนักอู่ตังเคยฝึกปรือวิชาเซียน แม้แต่ปืนไฟก็ทำลายร่างมิได้
ในสายตาพวกมัน เจียงอวิ๋นหลันที่สวมชุดดำ รูปโฉมอัปลักษณ์ประหนึ่งตัวประหลาดที่มาจากนอกโลก และกระบี่ของเจียงอวิ๋นหลันยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ของ ‘ตัวประหลาด’ ในใจพวกมัน แรงตัดศีรษะด้วยกระบี่ของเจียงอวิ๋นหลันยังไม่สลาย ขณะมันย่อท่านั่งม้าก็บิดไหล่กับข้อมือ ซ้ำยังนำคมเย็นยะเยือกของกระบี่ยาวแกว่งกลับออกไปตัดข้อพับหลังขาและข้างเอวทหารปืนไฟสองนายติดต่อกัน คนทั้งสองต่างแผดร้องล้มลง ความเร็วของเพลงกระบี่เจียงอวิ๋นหลันมิใช่ตาเปล่าของทหารจะมองทันได้ ในสายตาของพวกมันคล้ายหากคนใดยืนอยู่ใกล้เคียงก็จะกลายเป็นเหยื่อของกระบี่มารสีเงินเล่มนั้น จึงหนีเตลิดออกไปอย่างลนลาน
หลังเจียงอวิ๋นหลันฟันติดต่อกันสามกระบี่ก็หยุดลง ขณะกำลังจะปรับเปลี่ยนลมหายใจ เพียงสูดลมหายใจกระดูกซี่โครงที่แตกละเอียดก็ถ่ายทอดความเจ็บปวดมา ต่อให้ความมุ่งมั่นของเจียงอวิ๋นหลันแข็งแกร่งเพียงใดก็ระงับการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายมิได้ กล้ามเนื้อซี่โครงหดตัวอย่างมิอาจควบคุมภายใต้ความเจ็บปวด ลมหายใจเฮือกนั้นสูดไม่เข้า จากนั้นขาซ้ายที่บาดเจ็บอ่อนระทวย ร่างของเจียงอวิ๋นหลันโซเซอยู่ที่เดิมแล้วจึงฝืนยืนนิ่งได้
ร่างที่ส่ายไหวทำให้ทหารปืนไฟที่โอบล้อมรอบด้านมองออกว่ามันอ่อนแอลง
…มันบาดเจ็บแล้ว!
เมื่อแน่ใจว่ามือกระบี่อู่ตังตรงหน้าผู้นี้ยังคงเป็นมนุษย์ เหล่าทหารก็มีความกล้าขึ้นมา มือดาบโล่ที่รับหน้าที่คุ้มกันทหารปืนยังเข้าบุกประชิดเจียงอวิ๋นหลันไปพร้อมกับทหารค่ายพลเสินจีกลุ่มหนึ่งซึ่งถือปืนไฟอยู่พร้อมสรรพ
คนผู้นี้ฆ่าตายได้!
เจียงอวิ๋นหลันดึงดูดความสนใจของทหารทั้งหมดบริเวณใกล้เคียง นี่คือสิ่งที่มันต้องการ
ขณะที่ทหารกำลังจะโจมตีเจียงอวิ๋นหลันนั้นเอง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ทหารปืนไฟนายหนึ่งด้านหน้าสุดลอยขึ้นทั้งร่าง ลูกตาถลนกลางอากาศ กระอักเลือดตกลงบนร่างสหายร่วมรบคนอื่นๆ ความแรงนั้นชนทหารห้าหกคนจนหงายล้ม
บริเวณที่ทหารนายนี้ยืนอยู่แต่เดิมมีพลองเหล็กท่อนหนึ่งกำลังสั่นไหว
เลี่ยวเทียนอิงยอดฝีมือสายเต่าพิทักษ์อู่ตังถือพลองเหล็ก นั่งท่านั่งม้าพลางพ่นลมช้าๆ นี่คือการหายใจหลังปล่อยพลังตามมาตรฐานของไท่จี๋
ทั้งหมดอาศัยเวลาที่แลกมาด้วยโลหิตชโลมของร่างเจียงอวิ๋นหลันกับกระบี่เร็วอันน่าหวาดผวานั้นช่วยดึงดูดสายตาเหล่าทหาร กองกำลังอู่ตังจึงฝ่ามาถึงอย่างเงียบๆ
จงย่าหนานถลันออกมาจากด้านหลังเลี่ยวเทียนอิงสืบต่อ จงย่าหนานที่รูปร่างล่ำสัน แข็งแรงจนเหมือนลูกเหล็กทรงกลม สองมือถือดาบข่านเตาสั้นกว้างคู่หนึ่งที่เข้ากันอย่างยิ่งกับโครงร่างของมัน พอกระโจนออกมาก็งอเข่าดุจพยัคฆ์นั่งย่อ ดาบคู่หมุนกลิ้งฉวัดเฉวียนใส่ช่วงล่างศัตรูอย่างต่อเนื่อง
ทหารราชองครักษ์แม้ฝึกซ้อมมาโดยตลอด แต่ล้วนเป็นการรับมือขบวนรบบุกฝ่าธรรมดา ไหนเลยจะเคยเผชิญหน้าเพลงดาบช่วงล่างอันพิสดารเช่นนี้ บริเวณที่ดาบข่านเตาผ่าน ทหารสามนายล้มลงติดต่อกัน ล้วนถูกกระบวนท่าบริเวณขา ข้อพับเข่าของคนสุดท้ายยังเกือบถูกฟันจนเส้นเอ็นขาดสะบั้น ดาบคาดเอวที่เพิ่งชักออกมาต่างก็หล่นลง ล้มอยู่ในกองเลือดของตนเองและสหายร่วมรบ
ยามนี้ทหารทวนยาวนายหนึ่งหมายฉวยโอกาสแทงศีรษะจงย่าหนานที่ท่วงท่าต่ำเตี้ย ปลายทวนเพิ่งออกได้ครึ่งทางเลี่ยวเทียนอิงก็เข้ามาหาแล้ว พลองเหล็กเสมอคิ้วพาดบนด้ามทวน
ทหารทวนยาวรู้สึกเพียงด้ามทวนในมือถ่ายทอดความรู้สึกประหลาดมา เหมือนเช่นน้ำหนักของด้ามทวนพลันสูญหายไป
ทวนยาวของมันพลันแทงเฉไปด้านข้างอย่างควบคุมมิได้ เสียบเข้าบริเวณเอวของทหารปืนไฟนายหนึ่ง
หลังเลี่ยวเทียนอิงใช้ทักษะแปรพลังของไท่จี๋ชักนำทวนยาวก็ถือโอกาสหมุนควงปล่อยพลัง หัวพลองอันหนักอึ้งเสือกตรงออกไปโจมตีกระดูกหน้าอกของทหารทวนนายนั้นจนแหลกละเอียด ร่างจวนจะสิ้นลมของทหารทวนลอยออกไปด้านหลัง ซ้ำยังสร้างความทุกข์ยากให้เหล่าทหารอีก
พลังประหลาดจากพลองไท่จี๋ของเลี่ยวเทียนอิงเหนือกว่าจินตนาการของเหล่าทหาร อานุภาพอันน่าสะพรึงของมันไม่เป็นรองกระบี่เร็วของเจียงอวิ๋นหลัน
เลี่ยวเทียนอิงเคยขึ้นเป็นตัวสำรองของสำนักอู่ตังท้าประลองตำแหน่งรองเจ้าสำนัก ความแตกฉานด้านวรยุทธ์ล้วนเหนือกว่าเจียงอวิ๋นหลัน การท้าประลองครั้งนั้นมันเคราะห์ร้ายถูกซือซิงเฮ่าใช้มวยไท่จี๋ที่ลึกล้ำยิ่งกว่าทุ่มจนขาหัก แม้หายเป็นปกติแล้ว แต่ความคล่องแคล่วกับพลังก็มิได้ฟื้นฟูกลับมาเต็มเปี่ยมเช่นแต่ก่อน ดูเหมือนวิทยายุทธ์ยากที่จะพุ่งสู่จุดสูงสุดได้อีก แต่เลี่ยวเทียนอิงหาได้เสียใจไม่ อย่างน้อยครั้งหนึ่งมันก็เคยได้ท้าประลอง
ลองถามว่าบนโลกมีคนเท่าใดที่เคยเข้าใกล้ตำแหน่งรองเจ้าสำนักอู่ตังเช่นนี้
บัดนี้วิกฤตที่ใหญ่ที่สุดมาเยือนสำนัก เลี่ยวเทียนอิงยิ่งต่อสู้โดยไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง ความสำเร็จในสำนักอู่ตังของมันคือทุกสิ่งอย่างในชีวิต หากอู่ตังพังพินาศก็เท่ากับมันไม่เคยมีชีวิตมาก่อน
เจียวหงเยี่ยมือกระบี่สายพลอีกาก็เร่งมาช่วยต่อสู้ข้างกายเลี่ยวเทียนอิงกับจงย่าหนาน กระบี่ยาวสี่ฉื่อที่ผสมผสานวิชาทวนของมันปล่อยพลังกวัดแกว่งด้วยสองมือ ปาดคอหอยของทหารค่ายพลเสินจีสองนาย ซ้ำยังแทงทะลุดวงตาคนหนึ่ง เทียบกับเพลงกระบี่ที่เดินบนวิถีทางปราดเปรียวเช่นแต่ก่อน บัดนี้กระบี่สองมือที่เจียวหงเยี่ยคิดค้นขึ้น แม้แก่นแท้ยังไม่สมบูรณ์เต็มเปี่ยม แต่เรื่องของพลังกับระยะสังหารล้วนเหมาะกับการใช้บนสมรภูมิเช่นนี้ยิ่งกว่า เจียวหงเยี่ยขัดแย้งในใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าสมควรขอบคุณถงจิ้งที่ใช้ท่าตามลักษณ์สกัดชีพจรทำร้ายข้อมือขวาของมันในวันนั้นหรือไม่จึงมีเพลงกระบี่ชุดนี้ในวันนี้
ภายใต้การเปิดทางของยอดฝีมือทั้งสามคนนี้ คนสำนักอู่ตังเจ็ดสิบคนด้านหลังทยอยกันเข้าสู่วงรบ ประหนึ่งดาบแหลมค่อยๆ ใหญ่ขึ้น แทงเข้าในขบวนทหารค่ายพลเสินจี
ทหารที่จะฉวยโอกาสลอบโจมตีเจียงอวิ๋นหลันแต่เดิม ขณะนี้ถูกกองกำลังใหม่นี้สยบจึงไม่สนใจบุกโจมตีมันอีกและหลบหนีไป ทั้งปีกขวาของขบวนปืนล้วนระส่ำระสายเพราะการจู่โจมกะทันหันนี้
จงย่าหนานที่บนร่างย้อมด้วยโลหิตสดใหม่ของศัตรูหกคนหมุนกลิ้งมาคุ้มกันข้างกายเจียงอวิ๋นหลันแล้ว หางตาชำเลืองสภาพของเจียงอวิ๋นหลัน เห็นเพียงเจียงอวิ๋นหลันที่เลือดไหลอาบหน้า สีหน้าขาวจนเหมือนกระดาษ สีแดงกับขาวตัดกันรุนแรงทำให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลดาบยิ่งไม่เหมือนมนุษย์ คราบเลือดบริเวณที่บาดเจ็บบนร่างมันแม้ถูกชุดดำสายพลอีกาอำพราง แต่จากการหายใจเข้าออกที่อ่อนและเร่งกระชั้นนั้นจงย่าหนานจึงรู้ว่าเจียงอวิ๋นหลันบาดเจ็บหนักอย่างยิ่ง
“ข้า…ไม่เป็นไร อย่า…หยุด!” เจียงอวิ๋นหลันฝืนตะโกน สองพยางค์สุดท้ายอาศัยความมุ่งมั่นฝืนทนบาดแผลสาหัสของกระดูกซี่โครงเค้นออกมา
มิอาจหยุดฝีเท้า หยุดอยู่ที่นี่…ความพยายามทั้งหมดก็เสียเปล่า!
ฟันของเจียงอวิ๋นหลันกัดริมฝีปากจนขาด มุมปากหลั่งโลหิต ในขณะเดียวกันสืบเท้าออกอีกครั้ง
อย่าหยุด…นี่คือเคล็ดลับ ก้าวไปด้วยกันอย่าหยุดลงอีก
จนกระทั่งขณะสิ้นลม
มันรู้สึกว่าท่อนล่างฉ่ำเย็น เป็นโลหิตสดที่ไหลออกมาจากบาดแผลกระสุนบริเวณท้องเปียกซึมกางเกง
ประเสริฐนัก ยังมีความรู้สึก หมายความว่าข้ายังมีชีวิตอยู่
ก้าวแรกคือสิ่งที่ยากเย็นที่สุด เจียงอวิ๋นหลันยกขาขวาที่สั่นไหวขึ้น ใต้รองเท้าห่างจากพื้นดิน เฉียดดินโคลนจึงก้าวออกไปข้างหน้าได้ จากนั้นก้าวที่สอง มันเตรียมรับความเจ็บปวดจากแผลกระสุนที่ขาซ้ายเอาไว้ก่อนแล้ว แต่พบว่าระดับของความเจ็บปวดน้อยกว่าที่มันจินตนาการ มันรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เสียเลือดมากเกินไปจนเริ่มลดทอนความรู้สึกเจ็บแล้ว มันแค่นยิ้ม มือขวากุมด้ามกระบี่เงินแนบแน่น ฝืนทนไว้โดยไม่ใช้กระบี่ต่างไม้เท้าค้ำยันร่างกาย
กระบี่อู่ตังมิได้มีไว้ใช้เช่นนี้
มองเห็นเจียงอวิ๋นหลันยกกระบี่สืบเท้าได้อีกครั้งอยู่ด้านข้าง จงย่าหนานก็ยิ้มน้อยๆ คิดว่านี่คือวี่แววที่มันฟื้นคืนพลังมาได้แล้ว
แต่ไม่รู้ว่านี่คือการก้าวไปข้างหน้าครั้งสุดท้ายของชีวิตมัน
พอเริ่มขยับร่างกายขึ้นมา เจียงอวิ๋นหลันก็อาศัยพลังที่ผลักดันไปข้างหน้า ค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นทุกก้าว การเดินทำให้เลือดลมที่เหลือของร่างกายไหลเวียนขึ้นมา ใบหน้าของมันฟื้นฟูพลังชีวิตขึ้นบ้างแล้ว ในดวงตาจุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง
“…บุก!”
เจียงอวิ๋นหลันเงยหน้าคำรามคล้ายจะเรียกวิญญาณนักรบของสายพลอีกา
ฝีเท้าของมันพลันเร็วขึ้น ซ้ำยังคืนสู่ความเร็วที่มีอยู่แต่เดิม มันกลั้นความเจ็บปวดที่กระดูกหัก ใช้แรงไหล่ยกแขนซ้ายขึ้น เกราะกรงเล็บเหล็กตั้งอยู่บนกระบี่ยาว อาวุธทั้งสองตั้งซ้อนทับกันอยู่ตรงหน้าอก
ภายใต้การนำทัพของเจียงอวิ๋นหลัน จงย่าหนาน เลี่ยวเทียนอิง เจียวหงเยี่ยกับคนสำนักอู่ตังราวเจ็ดสิบคนบุกฝ่าเข้าส่วนลึกยิ่งกว่าของขบวนปืนพร้อมกัน เมื่อครู่พวกมันล้วนเห็นกับตาแล้วว่าเจียงอวิ๋นหลันต้านทานการยิงหมู่ของปืนไฟค่ายพลเสินจีอย่างน่าอัศจรรย์สองครั้งแต่ไม่ตาย ขณะนี้พวกมันเชื่อมั่นว่าขอเพียงติดตามเงาหลังชุดดำเงานี้ บนโลกไม่มีสิ่งใดสังหารพวกมันได้
ในขณะเดียวกันขบวนปืนค่ายพลเสินจีก็หันมารับมือเภทภัยที่บุกเข้ามาในขบวน นอกจากนั้นทหารราบค่ายอู่จวินที่เตรียมพร้อมอยู่ทางตะวันออกของอารามอวี้เจินแต่เดิมกลุ่มหนึ่งก็วิ่งมาสมทบ
เกราะทหารนับพันกลบกลืนศิษย์อู่ตังเจ็ดสิบกว่าคนนี้
วังวนแห่งคาวโลหิตผุดขึ้นไม่ขาดในขบวนรบ
อาวุธอู่ตังย้อมติดสีแดงสด หากกล่าวถึงความสามารถในการประจัญบานระยะใกล้เฉพาะบุคคล ทหารราชองครักษ์กับศิษย์อู่ตังห่างชั้นกันอย่างยิ่ง ถึงแม้ในเจ็ดสิบกว่าคนนี้ส่วนมากล้วนเป็นศิษย์ที่เข้าสำนักค่อนข้างช้า ยังคงฝึกปรืออยู่ในช่วงแรก แต่ด้วยคุณสมบัติการฝึกฝนของสำนักอู่ตัง พวกมันล้วนแตกฉานในวรยุทธ์สำนักได้อย่างไม่ธรรมดา ด้วยระยะเวลาเช่นนี้หากอยู่สำนักภายนอกทั่วไปรองจากเก้าสำนักใหญ่ก็คงเป็นศิษย์เด่นล้ำของสำนักไปนานแล้ว อาจถึงขั้นสร้างชื่อเสียงเกียรติยศในยุทธภพ บรรดาพวกมันถึงแม้เป็นคนในสำนักที่คุณวุฒิน้อยที่สุด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับราชองครักษ์ก็ยังคงมีกำลังรบหนึ่งต้านสาม
ทว่าสมรภูมิคือสถานที่อันโหดร้ายต่างจากการสนามประลองในยุทธภพ เนื่องเพราะสิ่งที่ประลองหาใช่ความสามารถเพียงตัวคนเดียวไม่
และยามนี้พวกมันกำลังปะทะซึ่งหน้ากับศัตรูที่มากกว่าหลายสิบเท่า
เจียงอวิ๋นหลันยังคงอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน มันนำกลุ่มคนบุกฝ่าไปยังตำแหน่งที่แน่นหนาที่สุดของขบวนศัตรู เนื่องเพราะสัญชาตญาณบอกมันว่านั่นคือจุดศูนย์กลางที่สุดของขบวนทหาร
ยิ่งเข้าไปลึกความวุ่นวายที่พวกเราสร้างขึ้นก็ยิ่งมาก
จากนั้นคนอื่นๆ จึงมีโอกาสเก็บเกี่ยวชัยชนะ…
ความเร็วของเจียงอวิ๋นหลันเปลี่ยนเป็นเร็วเหมือนยามปกติ ราวกับโลหิตสดที่ไหลไปทำให้ร่างกายเบาลง หักล้างกับการสูญเสียพลังพอดี
หลังจากยกเท้าขึ้นอีกครั้ง มีทหารค่ายพลเสินจีตายใต้กระบี่ยาวของมันติดต่อกันสิบสองนาย มันถึงขั้นมิได้เช็ดเลือดที่ปิดตาขวาออกไปคล้ายไม่ต้องใช้ดวงตา อาศัยเพียงความรู้สึกก็เล็งและรู้ว่าคมกระบี่สมควรแทงไปยังที่ใด
ทหารค่ายพลเสินจีอีกนายหนึ่งกลายเป็นเครื่องสังเวยใต้คมกระบี่มัน เจียงอวิ๋นหลันลอยไปเบื้องหน้ามันอย่างว่องไวเสมือนวิญญาณ อีกฝ่ายไม่มีที่เหลือให้หลบหนีหรือหลุดรอดอย่างสิ้นเชิง ไม่ทันแม้กระทั่งจะตั้งท่าทางต่อต้านใดๆ กระเดือกก็ถูกแทงทะลุ
ทหารดาบโล่นายหนึ่งด้านข้างฉวยโอกาสบุกมาหมายฟันท้ายทอยของเจียงอวิ๋นหลัน จงย่าหนานเพิ่งฟันศัตรูรายหนึ่งก็เร่งมาทันเวลา มือขวาตวัดดาบสกัดดาบทหารนั้นเอาไว้
ดาบขวาของจงย่าหนานยังมิได้ตอบโต้ เจียงอวิ๋นหลันกลับแกว่งแขนซ้ายขึ้น ยื่นสองนิ้วของกรงเล็บเหล็กเสียบตรงใส่ดวงตาทั้งสองของทหารดาบโล่นายนี้ ปลายกรงเล็บทะลุเข้าหัวสมอง กระดูกแขนซ้ายของเจียงอวิ๋นหลันถูกกระสุนปืนยิงจนหักแล้วชัดๆ แต่มันกลับใช้งานโดยไม่พะว้าพะวังแม้แต่น้อย ราวกับแขนข้างนี้มิได้เป็นของตนเองอีกแล้ว
โลหิตสดติดอยู่บนปลายกรงเล็บ เจียงอวิ๋นหลันวิ่งไปยังทิศทางที่ศัตรูมากยิ่งกว่าเดิม จงย่าหนานและเจียวหงเยี่ยล้วนมองเห็นแล้ว เงาหลังท่าวิ่งของเจียงอวิ๋นหลันดูเหมือนปราศจากน้ำหนัก ดุจดั่งวิญญาณที่ไม่มีร่างจริง
หรือกล่าวได้ว่าเหมือนร่างกายที่ถูกขุดคว้านจนกลวงแล้ว สิ่งที่บีบให้มันสู้สืบต่อคือพลังอีกประเภทหนึ่งนอกเหนือจากชีวิต
ไม่มีสหายร่วมสำนักมองเห็น ตาซ้ายที่ยังไม่ถูกโลหิตสดปกปิดข้างนั้นของเจียงอวิ๋นหลัน ขณะนี้ชุ่มฉ่ำแล้ว
มันกำลังร้องไห้
เพราะมันรู้ว่าตนเองกำลังนำเจ็ดสิบคนด้านหลังบุกไปที่ใด
ที่ตายซึ่งเลี่ยงมิได้
ต่อให้เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจรับมือศัตรูที่ปรากฏตัวจากทุกสารทิศไม่หมดสิ้น เริ่มมีคนสำนักอู่ตังล้มลง ตามด้วยจำนวนคนน้อยลง แม้พวกมันบุกไปข้างหน้าก็ไม่เฉียบคมเหมือนก่อนหน้าอีก และค่อยๆ ช้าลงแล้ว
เจียวหงเยี่ยมองข้ามหอกทวนด้ามหนึ่งที่แทงมาอย่างเย็นชาจากทางซ้าย แม้ยังคงใช้กระบี่ยาวสังหารศัตรู แต่ครึ่งร่างตนเองเปื้อนเต็มไปด้วยเลือดแล้ว ขาซ้ายค่อยๆ ลากไถอยู่บนพื้น
ไหล่ขวาของเลี่ยวเทียนอิงปักไว้ด้วยปลายดาบท่อนหนึ่งที่ถูกพลองเหล็กของมันทุบหัก
จำนวนคนที่ยังคงยืนอยู่ของสำนักอู่ตังลดลงจนเหลือน้อยกว่าสี่สิบคน
ทหารค่ายพลเสินจีที่โอบล้อมสองฝั่งพลันยืดระยะออกอย่างรวดเร็ว ศิษย์อู่ตังพอมองดูไปยังด้านทิศใต้ไม่ถึงยี่สิบก้าวก็พบปากกระบอกปืนร้อยกว่ากระบอกเรียงแถวอย่างหนาแน่น
ขณะปืนไฟกระหน่ำยิง เจียงอวิ๋นหลันหาได้มองไปข้างหลังไม่ มันยังคงพุ่งไปข้างหน้า
หลังสังหารศัตรูคนที่สี่สิบสองในวันนี้ได้ในที่สุด เจียงอวิ๋นหลันมองเห็นเบื้องหน้าเป็นพื้นที่ว่าง ฝั่งตรงข้ามคือทหารปืนไฟทั้งแถว
มันจึงหยุดลง มองดูด้านหลัง คนที่ติดตามมันอยู่ไม่รู้หายไปหมดตั้งแต่เมื่อใด
เลี่ยวเทียนอิงล้มอยู่ในกองซากศพของสหายร่วมสำนัก ดวงตาโกรธแค้นมองไปยังท้องฟ้า
เจียวหงเยี่ยนอนอยู่ห่างจากมันเพียงห้าหกก้าว สองมือยังคงจับกระบี่ยาวที่สะเก็ดเลือดเกรอะกรังแล้วเอาไว้แน่น
จงย่าหนานที่ร่างกายปรุพรุนขณะนี้ยังไม่สิ้นลม ดวงตามันมิอาจมองเห็นแล้ว แต่ในใจกลับคิดถึงอาจวี๋ผู้เป็นภรรยา ยังมีบุตรที่นางอุ้มอยู่ในอ้อมอก
พวกมันตอนนี้เป็นอย่างไร…
เจียงอวิ๋นหลันมองเห็นศัตรูที่ด้านหลังต่างก็กระจายออกเพื่อหลบแนวยิงของปืนไฟ มันมองไปยังด้านหน้าอีกครั้ง ศัตรูที่อยู่ไกลเหล่านั้น พวกมันกำลังจุดชนวนแล้ว เจียงอวิ๋นหลันรู้ว่าตนเองไม่สามารถนำคนใดคนหนึ่งในพวกมันไปด้วยได้อีกแล้ว
แต่ในใจมันมิได้หลงเหลือความเสียใจใดๆ เนื่องเพราะมันรู้ว่าตนเองบรรลุสิ่งใดแล้ว และรู้ว่าหลังตนเองหลับตาจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น
มันราวกับมองเห็นเงาร่างชุดขาวเงานั้นบุกไปข้างหน้าในเพลิงสงครามล่วงหน้า
“นี่เพิ่งเริ่มต้น”
ขณะเจียงอวิ๋นหลันกล่าว มันยังยิ้มยิงฟันที่เปื้อนเต็มไปด้วยเลือด
ไม่มีผู้ใดได้ยินคำพูดประโยคนี้ของมัน
เสียงระเบิดกับเปลวไฟของปืนไฟ
ร่างของเจียงอวิ๋นหลันกระโดดเต้นรำครั้งสุดท้ายในชีวิตมัน
ชั่วขณะก่อนสิ้นลม ในหัวสมองเจียงอวิ๋นหลันพลันปรากฏฉากที่มันกับเยี่ยเฉินยวนและสหายร่วมสำนักที่สวมชุดถือพรตสีดำสายพลอีกาสามสิบกว่าคนขึ้นเขาชิงเฉิงด้วยกันยามเช้าขณะดวงอาทิตย์เฉิดฉัน
ภายใต้ฟ้าครามเมฆขาว อาวุธที่แต่ละคนพกพาเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงอาทิตย์ ทุกเฮือกที่หายใจรับอากาศต้นเหมันตฤดูล้วนแล้วแต่หวานชื่นยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดพูดคุย คล้ายต่างคนต่างกำลังรับรู้ถึงช่วงเวลานั้นอย่างทะนุถนอมและมุ่งมั่น
ในวันนั้นสำนักอู่ตังกำลังจะพิชิตเป้าหมายแรกแห่งเก้าสำนักใหญ่ ไม่มีผู้ใดขัดขวางการสร้างประวัติศาสตร์ของพวกมันได้
ชีวิต…ประเสริฐเสียจริง
ร่างปรุพรุนบิดเบี้ยวของเจียงอวิ๋นหลันล้มลงขณะหยดเลือดกระจายทั่วฟ้า
โปรดติดตามตอนต่อไป…