• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 16 บทที่ 1

    บทที่ 1

    เที่ยงธรรม

     

    เจิงหนานอ๋องเซี่ยจื้อซานมิได้นอนหลับอย่างเต็มตื่นมาสิบวันสิบคืนแล้ว

    ดวงตาสาดประกายเฉียบคมยามมองผ่านไพร่พลสามพันคนที่น่าเคารพยำเกรงคู่นั้นของมัน ยามนี้กลับอ่อนล้าจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น เส้นเลือดฝอยแผ่กระจาย

    แต่เซี่ยจื้อซานมิกล้าหลับตา มันกัดดาบสั้นเล่มหนึ่งเอาไว้ ดาบศึกอีกเล่มหนึ่งห้อยขวางตรงเอว มือปีนป่ายไปบนชะง่อนผาด้วยมือและเท้า พยายามมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกที่อันตรายยิ่งกว่า ดวงตาไม่ลืมกวาดมองรอบด้าน พยายามทะลุผ่านป่าเขาที่ปกคลุมด้วยหมอกควัน ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

    ราวกับจะมีศัตรูปรากฏตัวในหมอกได้ทุกเมื่อ

    ผู้ที่อยู่ด้านหลังมันเหลือเพียงยี่สิบกว่าคนสุดท้าย นอกจากองครักษ์ที่ค่อนข้างห้าวหาญไม่กี่คน บรรดารองแม่ทัพคนสนิทได้พลัดพรากไปในการต่อสู้ เป็นตายมิอาจรู้ได้ เซี่ยจื้อซานไม่ต้องการที่จะหาพวกมันคนใดคนหนึ่งกลับมา ขณะนี้ในใจมันมีเพียงความคิดเดียว

    …หนีออกจากเหิงสุ่ย

    เมื่อสิบปีก่อนมันหนีเข้าป่าเป็นโจร จากนั้นยึดภูเขาตั้งตนเป็นอ๋อง สร้างดินแดนผืนหนึ่งด้วยมือเปล่า เอาชนะกองทัพทางการกลุ่มใหญ่ที่มาปราบปรามครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขั้นเคยนำพลบุกโจมตีเมืองเช่นกั้นโจวและหนานคัง สั่นคลอนราชสำนัก ทุนที่ใหญ่ที่สุดของเซี่ยจื้อซานคือเหิงสุ่ย ค่ายใหญ่ซึ่งมีลักษณะพื้นที่อันตรายแห่งนี้

    ทว่าคาดไม่ถึงว่าวันนี้เหิงสุ่ยกลับกลายเป็นกรงขังของมัน

    ทุกสิ่งอย่างนี้ ทั้งหมดเพราะคนผู้นั้นมาถึง

    เสียงปืนใหญ่ในที่ไกลดังขึ้นอีกแล้ว เซี่ยจื้อซานและไพร่พลทอดมองไป เห็นเพียงท้องนภาสะท้อนประกายไฟ พวกมันรู้ว่านั่นคือที่อยู่ของค่ายฉางเหอต้ง ดูเหมือนแม้กระทั่งฐานที่มั่นสุดท้ายก็ถูกยึดไปแล้วเช่นกัน

    เซี่ยจื้อซานมองดูครู่หนึ่ง ซ้ำยังมองลูกน้องที่สีหน้าสลดหดหู่ข้างกาย ก่อนฝืนปลุกเร้าจิตใจ หยิบดาบสั้นที่คาบในปากออกพลางตะโกนไปยังพวกมัน

    “เดินต่อไป! อย่าได้ท้อถอย! ขอเพียงหนีพ้นเคราะห์นี้ เมื่อถึงถ่งกังพวกเราก็จะผงาดขึ้นอีกครั้ง!” ถ่งกังกับเหิงสุ่ยคือสองชัยภูมิใหญ่ของเมืองหนานอันแห่งนี้ หลันเทียนเฟิ่งหัวหน้าค่ายที่ถ่งกังในปีนั้นมันก่อกบฏแทบจะพร้อมกันกับเซี่ยจื้อซาน แสนยานุภาพและกองกำลังก็ไล่เลี่ยกัน หลายปีที่ผ่านมาแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ร่วมกันต่อต้านทางการ ขอเพียงบรรลุถึงถ่งกัง เรียกรวมไพร่พลที่พลัดพรากขึ้นใหม่อีกครั้งที่ด้านโน้น หากสองค่ายร่วมมือกันสู้รบกับกองทัพทางการที่มารุกรานอีกครั้งต้องพลิกจากแพ้เป็นชนะได้อย่างแน่นอน เซี่ยจื้อซานเชื่อมั่นเช่นนี้

    นี่คือทางรอดเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ของมันเช่นเดียวกัน

    เมื่อคิดถึงตรงนี้เซี่ยจื้อซานก็กัดดาบสั้นแน่นอีกคราแล้วปีนป่ายหน้าผาสืบต่อ

    เซี่ยจื้อซานคือชนเผ่าป่าเถื่อนชาวเซอ เค้าโครงหน้าตาแข็งแกร่งคมคาย ร่างกายแขนขาดุจดั่งเหล็กเส้น แม้จิตใจอ่อนล้า แต่ทักษะการปีนเขายังคงคล่องแคล่วเสมือนลิงค่าง ชาวเซอเรียกขานตนเองว่า ‘เค่อภูเขา*’ แต่ละยุคสมัยอาศัยอยู่ในถิ่นฐานที่อันตราย เผาหญ้าขุดหลุมเพาะปลูกและล่าสัตว์ประทังชีวิต สำหรับเซี่ยจื้อซานแล้วป่าเขาแห่งนี้คือบ้าน

    ไพร่พลล้วนติดตามก้าวไปข้างหน้าภายใต้การให้กำลังใจของเซี่ยจื้อซานพลางหวนนึกถึงบุญคุณความแค้น พฤติกรรมปล้นสะดมข่มขืนชำเราตามอำเภอใจ วันเวลาแห่งความสุขที่ได้ทำให้ชาวบ้านในร้อยหลี่โดยรอบหวาดกลัวเมื่อได้ยินข่าวในหลายปีที่ผ่านมา พวกมันไม่อยากละทิ้งไปเช่นนี้

    ขณะเซี่ยจื้อซานปีนเขา ในใจกลับต้านทานความคิดหลากประเภทที่ผุดขึ้นมาไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะความทรงจำที่พ่ายแพ้ติดๆ กันในหลายเดือนนี้

    มันคิดไม่ตกโดยแท้จริงว่าตนเองพ่ายแพ้ศึกนี้ตั้งแต่เมื่อใด

    หลังได้ยินข่าวโจรจางโจวแห่งฝูเจี้ยนทางตะวันออกถูกกองทัพทางการปราบปรามในตอนแรก เซี่ยจื้อซานก็ได้เตรียมป้องกันก่อนแล้ว มันมอบภารกิจรักษาความปลอดภัยในการซ่อมแซมค่ายให้ไพร่พล เตรียมรับมือศัตรูทุกเมื่อ ภายหลังอาศัยผู้ประสานงานภายในที่ซื้อตัวกับทางการ เซี่ยจื้อซานยังได้รู้ว่าผู้ตรวจการเจียงซีใต้เตรียมรวมพลกับกองทัพทางการหูก่วง บุกโจมตีถ่งกังที่ใกล้กับชายแดนหูก่วง เลือกต้นเดือนสิบเอ็ดเป็นวันรวมตัว เซี่ยจื้อซานจึงให้ไพร่พลพักผ่อนก่อนเพื่อเตรียมรับศึกหากหลันเทียนเฟิ่งแห่งถ่งกังถูกตีแตก

    มิคาดว่ากองกำลังสิบเส้นทางแห่งเจียงซีใต้รวมหมื่นคนพลันปรากฏตัวที่เหิงสุ่ยในต้นเดือนสิบเสมือนภูตผี

    สิ่งที่เซี่ยจื้อซานกับไพร่พลเผชิญสืบต่อคือความวุ่นวายกับความปราชัยที่ไม่ว่างเว้น กองทัพทางการไม่รู้ทำเช่นไรกลับปีนข้ามหน้าผาล่วงหน้ามาอย่างพรั่งพร้อม ช่วงชิงที่สูงและยึดครองกับดักหินไม้ที่โจรวางไว้บนเขาและปล่อยลงมาทั้งหมด อุดทางหนีส่วนใหญ่ของโจรที่ออกมารับศึกเอาไว้ จากนั้นยังสร้างเสียงระเบิดและประกายไฟที่บริเวณหุบเขาลึกอย่างต่อเนื่อง เซี่ยจื้อซานกับพรรคพวกโจรคิดว่าค่ายหลักเหิงสุ่ยถูกกองทัพทางการซุ่มโจมตีและยึดจุดยุทธศาสตร์แล้ว จึงล่าถอยไปยังฐานที่มั่นจั่วซี

    จากนั้นรังโจรยังทยอยถูกตีแตกทีละแห่ง เซี่ยจื้อซานทำได้เพียงถอยหนีเรื่อยๆ ไม่หยุด สิ่งที่ทำให้มันงุนงงที่สุดคือทุกครั้งขณะหยุดพักสร้างฐานที่มั่นรังโจรเตรียมยืนหยัดต่อต้าน กองทัพทางการล้วนบุกมาถึงจากจุดอ่อนที่สุดของค่ายได้ ทำให้มันถูกโจมตีจนแตกพ่ายอีก คล้ายการจัดวางค่ายใต้อาณัติของตนเองทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุมของศัตรู

    และความฮึกเหิมในการบุกมาของกองทัพทางการกลุ่มนี้มิอาจเปรียบกับกองทัพทางการท้องถิ่นซึ่งปกติหย่อนยานไม่คณามือ เซี่ยจื้อซานเคยต่อต้านมาหลายครั้งในอดีต ครั้งนี้ถึงแม้เคลื่อนพลในภูมิทัศน์ที่อันตรายยากข้ามผ่านนี้ก็ยังคงทรหดเฉียบขาด

    ตั้งตัวเป็นอ๋องที่เหิงสุ่ยได้หลายปี เซี่ยจื้อซานย่อมมิใช่ผู้ที่โจรธรรมดาจะเทียบได้ มันเข้าใจหลักการข้อหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ทหารของกองทัพขบวนหนึ่งเป็นเช่นไร เห็นได้จากผู้บัญชาการ

    คนแซ่หวังผู้นี้เป็นบุคคลเช่นไรกันแน่

    สักวันหนึ่งข้าต้องได้พบมัน

    เซี่ยจื้อซานคิดเช่นนี้

    ในเวลาที่ข้าจัดตั้งค่ายใหม่อีกครั้ง และพลิกกลับมาเอาชนะมันซึ่งหน้า

    เซี่ยจื้อซานจับหินผาที่แหลมคมไว้มั่น ปลายนิ้วล้วนมีเลือดซึมออกมา แต่มันไม่รู้สึกเจ็บปวด การตัดสินใจอันยิ่งใหญ่ได้กลบความเจ็บปวดทั้งหมดแล้ว

    ในที่สุดก็ปีนข้ามชะง่อนผากองนั้นได้ เซี่ยจื้อซานกับไพร่พลบรรลุถึงหน้าเส้นทางเล็กๆ อันแคบโค้งเส้นหนึ่ง สองฟากฝั่งทางคือผาสูงประหนึ่งกำแพง เร้นลับผิดปกติ เส้นทางทอดยาวเต็มไปด้วยหญ้าสูงถึงเอว เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้คนเดินผ่านมาหลายปีแล้ว

    เซี่ยจื้อซานที่ยึดครองเหิงสุ่ยหลายปีเคยส่งลูกน้องกลุ่มใหญ่สำรวจแถบค่ายภูเขาอย่างละเอียด กระจ่างแจ้งเส้นทางสำคัญและลักษณะพื้นที่ทั้งหมดอย่างทะลุปรุโปร่ง ซ้ำยังสั่งให้ช่างสร้างรั้วป้องกันเพื่อกำบังในจุดสำคัญ สร้างให้เหิงสุ่ยเป็นดินแดนเขาวงกตแห่งหนึ่งของมัน ในเส้นทางลับจำนวนมากของเหิงสุ่ย ทางแคบที่ตั้งอยู่ที่จั่วซีเส้นนี้คือความหวังสุดท้ายของเซี่ยจื้อซาน ขอเพียงผ่านมันไปได้ เดินทางอีกประมาณหนึ่งวันครึ่งก็บรรลุถึงหน้าค่ายพันธมิตรที่ถ่งกังแล้ว เวลาเดินทางสั้นกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับเส้นทางเขาอื่นๆ ที่ทหารไล่ตามใช้เดินทาง

    ทางเล็กๆ กับหน้าผาล้วนถูกหมอกหนาล้อมรอบ อากาศเปียกชื้นจนเหมือนหยดน้ำจะจับตัวออกมาจากรูจมูก รอบด้านเงียบสงัดอย่างยิ่งและไร้ซึ่งความผิดปกติ

    เซี่ยจื้อซานใช้มือซ้ายหยิบดาบสั้นที่กัดไว้มาพลิกจับ มือขวายื่นไปยังเอว ชักดาบศึกที่ติดตัวหลายปีออกมาจากฝักหนังช้าๆ อย่างไร้สุ้มเสียง ดาบคมกว้างรูปแบบเรียบง่ายนั้นเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน คมดาบบิ่นหลายแห่งเพราะต่อสู้อย่างดุเดือดติดต่อกันในสิบวันมานี้

    มันยกดาบไว้ข้างหน้า ก้าวเข้าไปในทางแคบก้าวแรก

    ไพร่พลเองก็หนุนเนื่องติดตามเข้าไป เดินตรงเข้าไปในทางเล็กๆ อันคดเคี้ยว

    เมื่อบรรลุถึงช่วงกลางของทางเล็กๆ รอบด้านยังคงปราศจากความผิดปกติ พวกมันจึงคลายใจพอสมควรอย่างอดมิได้

    รอดแล้ว…

    บนสมรภูมิ นี่มักเป็นความคิดที่อันตรายที่สุด

    เพราะขณะที่พวกมันคิดเช่นนี้ บนผาสูงสองฝั่งทางต่างผุดเงาคนนับร้อยขึ้นมา หัวใจของเซี่ยจื้อซานดั่งร่วงลงสู่ทะเลสาบน้ำแข็ง

    ร่างที่พลันยืนขึ้นมากมายขับไล่ไอหมอกให้กระจายออกไปในทันใด เซี่ยจื้อซานกับไพร่พลยี่สิบกว่าคนเงยหน้ามองไปข้างบน เห็นเพียงคันเกาทัณฑ์น้าวจนสุดหลายคัน หัวลูกศรอันเฉียบคมเล็งใส่พวกมันลงมาจากที่สูง

    บนผาสูงชูไว้ด้วยธงทัพผืนหนึ่ง ใต้ธงนั้นเงาร่างกำยำอย่างยิ่งเงาหนึ่งกำลังยืนอยู่ เซี่ยจื้อซานอาศัยสัญชาตญาณก็รู้ว่านั่นคือหัวหน้าของฝ่ายตรงข้าม

    ชายฉกรรจ์ผู้นั้นสวมใส่ชุดเกราะเปื้อนเต็มไปด้วยคราบโคลนและผุพังแล้วหลายจุด กลางช่องว่างระหว่างแผ่นเกราะยัดไว้ด้วยใบหญ้า เห็นได้ชัดว่ามันสวมเกราะนี้บุกโจมตีวงล้อมข้าศึกกลางขุนเขาหลายวันแล้ว ข้ามผ่านเส้นทางอันตรายกับการต่อสู้ดุเดือดนับไม่ถ้วน มันศีรษะใหญ่ใบหน้าเหลี่ยม สีผิวเข้มคล้ำ บริเวณหว่างคิ้วมีรอยเลือดที่แห้งสนิทรอยหนึ่ง รอบริมฝีปากล้อมเต็มไปด้วยหนวดเคราที่ขึ้นสะเปะสะปะ บริเวณคางด้านซ้ายยังถูกเผาจนเหลืองเกรียมเป็นวงเล็กๆ ชายฉกรรจ์รูปร่างบึกบึน แต่ท่ายืนกลับมิได้ชวนให้รู้สึกเทอะทะ ถือดาบข่านเตาที่เปื้อนเต็มไปด้วยโลหิต อากัปกิริยานั้นองอาจดุจดั่งทวารบาลของวัด

    คนผู้นี้คืออู่เหวินติ้งเจ้าเมืองจี๋อันแห่งเจียงซีใต้ หนึ่งในผู้บัญชาการกองพลทัพทางการสิบเส้นทางในครั้งนี้ มันนำทหารหนึ่งพันนายบุกฝ่าเหิงสุ่ยและจั่วซีอย่างห้าวหาญในหลายวันนี้ ทำลายรังโจรใต้อาณัติของเซี่ยจื้อซานติดต่อกันทั้งสองแห่ง วันก่อนหลังบุกทะลวงค่ายภูเขาตระกูลหยางก็มิได้หยุดพักแม้แต่น้อย ยังคัดเลือกทหารเด่นล้ำสี่ร้อยนายเร่งมาโอบล้อมซุ่มโจมตีด้วยตัวเอง รอจนเซี่ยจื้อซานผู้เป็นหัวหน้าโจรเข้ามาติดกับเองจนสำเร็จดังคาด

    แม้ปีนี้อู่เหวินติ้งอายุสี่สิบสองปีแล้ว แต่มันที่ชอบฝึกวิทยายุทธ์ตั้งแต่เด็ก ภายนอกดูเหมือนอายุสามสิบต้นๆ มันกับเซี่ยจื้อซานอายุไล่เลี่ยกัน คนทั้งสองมีร่างกายแข็งแรงโดยธรรมชาติ ผ่านการต่อสู้อันดุเดือดหลายวันเช่นเดียวกัน แต่เทียบกันในขณะนี้ อู่เหวินติ้งยังคงมีพละกำลังเต็มเปี่ยมอย่างเห็นได้ชัด คล้ายยังสู้ได้อีกเจ็ดวันเจ็ดคืน เซี่ยจื้อซานที่เคยตั้งตนเป็นอ๋องกลับเหมือนเปลือกกลวงที่ถูกคว้านเนื้อในออกไป

    ดวงตากลมโตทั้งสองของอู่เหวินติ้งจ้องมองเซี่ยจื้อซานจากที่สูง ขอเพียงมันโบกมือเล็กน้อย ลูกเกาทัณฑ์นับร้อยบนยอดผาก็จะพุ่งลงมาพร้อมกัน พวกเซี่ยจื้อซานยี่สิบคนต้องตายอย่างไร้ทางถอยเป็นแน่

    เซี่ยจื้อซานเองก็แหงนมองอู่เหวินติ้ง ศัตรูที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันสองคนคล้ายกำลังสนทนาโดยไม่กล่าวคำ

    เจ้าเลือกเองเถอะ…ดวงตาของอู่เหวินติ้งกำลังกล่าวเช่นนี้

    เซี่ยจื้อซานรู้ว่าไม่ว่าจะเลือกอย่างไร ความจริงไม่ต่างกันแม้แต่น้อย แต่มันพลันนึกถึงความคิดเมื่อครู่

    อยากพบคนผู้นั้นสักครา

    เซี่ยจื้อซานตัดสินใจแล้ว โยนดาบคู่สั้นยาวในมือลงในหญ้าสูงข้างทางเล็กๆ

     

    วัดถัดมา หน้าประตูค่ายเหิงสุ่ย

    ด้านหนึ่งของพื้นที่ว่างหน้าค่ายสุมซ้อนด้วยศีรษะนับร้อยนับพัน ทุกห้าศีรษะใช้เส้นผมผูกเป็นหนึ่งกองเพื่อรอให้นายทหารตรวจสอบและนับคำนวณ สีหน้าตอนตายของโจรแต่ละคนน่าสลดนัก บางคนยังคงมิได้หลับตา คล้ายกำลังทอดมองค่ายภูเขาที่เคยเรืองอำนาจแห่งนี้

    เซี่ยจื้อซานที่ยังคงเป็นเจ้าของค่ายภูเขานี้เมื่อครึ่งเดือนก่อนยามนี้เปลือยท่อนบน แขนทั้งสองถูกมัดไขว้หลัง กำลังถูกนำตัวออกมาจากในกรงขัง เดินผ่านพื้นดินทรายที่ซึมเต็มไปด้วยโลหิต

    แม้อยู่ในสภาพรอความตาย แต่บุรุษที่เคยอ้างตัวเป็นเจิงหนานอ๋องผู้นี้ยังคงยืดตัวตรงเดินผ่านเส้นทางช่วงสุดท้ายนี้

    กึ่งกลางที่ว่างหน้าประตูค่ายวางไว้ด้วยเก้าอี้หนังเสือตัวหนึ่ง เป็นสิ่งที่ยกออกมาจากในตำหนักค่ายภูเขา เป็น ‘บัลลังก์’ ในวันวานของเซี่ยจื้อซาน เก้าอี้ยังคงว่างอยู่ แต่สองฝั่งที่ว่างยืนเต็มไปด้วยขุนศึกกองทัพทางการจำนวนมาก พวกมันล้วนอยากมองดูด้วยตาตนเองว่า ‘ราชาโจร’ ที่เคยทำให้มณฑลเจียงซีบูรพาตกอยู่ในความหวาดกลัว ชื่อเสียงชั่วร้ายดังไกลถึงพื้นที่ใกล้เคียงเช่นมณฑลหูก่วงและก่วงตงผู้นี้มีลักษณะเช่นไรกันแน่

    ระหว่างเชือกที่รัดไขว้กัน เผยร่างที่รอยแผลกระดำกระด่างของเซี่ยจื้อซาน คล้ายกำลังบอกเล่าตำนานการผจญภัยของมัน เซี่ยจื้อซานถูกลบหลู่เช่นนี้หาได้นำพามาใส่ใจไม่…มันรู้ว่านี่คือจุดจบอันเที่ยงแท้ของผู้แพ้ ฝ่ายตรงข้ามเป็นขุนนางของทางการ เป็นไปมิได้ที่จะปฏิบัติต่อหัวหน้าโจรที่ก่อกบฏด้วยความนอบน้อม หาไม่ยากที่จะพิชิตใจผู้คน

    มันกวาดมองผู้ชมโดยรอบแวบหนึ่ง เห็นเพียงเงาร่างเตี้ยล่ำที่มิได้สวมเกราะเงาหนึ่งในนั้นคุ้นตายิ่งนัก เมื่อมองดูอย่างละเอียดกลับเป็นจางเป่าผู้เป็นนายช่าง คนผู้นี้ฝีมืองานไม้และความคิดล้ำเลิศ เป็นที่รู้จักทั้งใกล้และไกล หลังเซี่ยจื้อซานก่อกบฏสร้างค่ายไม่นานก็จับมันขึ้นเขาแล้วจูงใจด้วยเงินทอง ให้มันสร้างสิ่งป้องกันค่ายแต่ละจุดที่เหิงสุ่ย

    ที่แท้แม้แต่คนผู้นี้ก็ถูกค้นหาออกมาประกาศนิรโทษ…มิน่าจุดอ่อนและทางหนีทั้งหมดของค่ายภูเขาล้วนถูกฝ่ายตรงข้ามรู้ชัด…

    พ่ายให้คู่ต่อสู้เช่นนี้…ไม่เสียที

    เซี่ยจื้อซานมองไปอีกครา ยังเห็นอู่เหวินติ้งที่จับเป็นมันเองกับมือ

    อู่เหวินติ้งยามนี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว มันมิได้สวมใส่เกราะศึก เพียงห้อยกระบี่เล่มหนึ่งที่ข้างเอว แต่ความองอาจมิได้เป็นรองขณะอยู่ในสมรภูมิเมื่อวานแม้แต่น้อย บาดแผลตรงหน้าผากก็ใช้ผ้าฝ้ายพันปิด

    ลักษณะเช่นนี้ของอู่เหวินติ้งยากที่จะชวนให้นึกภาพได้ว่ามันคืออดีตบัณฑิตจิ้นซื่อ* ในบรรดาขุนนางบุ๋นจำนวนมาก อู่เหวินติ้งคืออัจฉริยะผู้กล้าหาญที่หาได้ยาก ขณะเยาว์วัยได้ใช้วิทยายุทธ์และพละกำลังอันไร้เทียบเทียมสร้างชื่อในหมู่บ้านเมืองจิงโจว ยังเป็นศิษย์เด่นล้ำของสำนักกระบี่ซงเฟิงอันเลื่องชื่อในยุทธภพท้องถิ่น หลังสมรสเริ่มพากเพียรเรียนหนังสือ อายุยี่สิบเก้าปีได้เข้าสอบต่อพระพักตร์และได้เป็นถึงหนึ่งในบัณฑิตเอกสามชั้นเข้าสู่วงราชการนับแต่บัดนั้น

    คนส่วนใหญ่ในราชสำนักเองก็เล็งเห็นคุณสมบัติพิเศษของอู่เหวินติ้ง ตำแหน่งขุนนางที่มอบหมายให้มันตำแหน่งแรกคือผู้พิพากษา รับผิดชอบการตัดสินคดีในฉางโจวมณฑลเจียงซู เผชิญหน้าผู้คนหลากหลายอาชีพกับพวกชั่วช้านับไม่ถ้วนที่ตลาด ไม่กลัวอำนาจขุนนางละโมบ ซื่อสัตย์ยุติธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด แต่ก็ล่วงเกินชนชั้นสูงที่ยักยอกทรัพย์สินชาวบ้าน ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกจับเข้าคุกขณะหลิวจิ่นมหาขันทีกุมอำนาจ ถูกทรมานสารพัดและปลดออกจากตำแหน่งขุนนาง หลังหลิวจิ่นถูกประหารอู่เหวินติ้งจึงได้ถูกเรียกใช้อีกครั้ง ขณะดำรงตำแหน่งในทางการหลายแห่งล้วนแล้วแต่มีผลงานปราบกบฏ กล่าวได้ว่าหล่อหลอมมาจากการต่อสู้เป็นตายมาโดยตลอด บุคลิกอันเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวนั้นขุนนางทั่วไปย่อมมิอาจเทียบได้

    เซี่ยจื้อซานมองเห็นอู่เหวินติ้งจึงผงกศีรษะเล็กน้อยทักทายมัน

    อู่เหวินติ้งเห็นแล้วรู้สึกตกตะลึงพอสมควร แต่มันเกลียดชังความชั่วเสมือนศัตรูคู่แค้นมาชั่วชีวิต ไม่มีความรู้สึกเคารพเลื่อมใสต่อหัวหน้าโจรผู้นี้แม้แต่น้อย ยังคงใช้สายตาเย็นชาจับจ้องมัน

    ทหารสองนายคุมตัวเซี่ยจื้อซานมาหน้าเก้าอี้ที่อยู่กึ่งกลาง กดไหล่มันซ้ายขวาแล้วเตะข้อพับขา บีบให้มันคุกเข่าลงกับที่

    ยามนี้ทหารกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากในค่าย มีจำนวนประมาณสามสิบกว่านาย ทั้งหมดล้วนสวมใส่เกราะศึกที่เบาสบายซึ่งสร้างขึ้นจากแผ่นไม้ไผ่หรือหนังฟอกบาง สิ่งที่พกคืออาวุธสั้นจำพวกดาบขวาน ท่อนล่างรัดขาสวมรองเท้าฟาง แต่ละนายฝีเท้าคล่องแคล่วว่องไว ก้าวเดินแทบจะไร้สุ้มเสียง

    นักรบเหล่านี้คือองครักษ์เด่นล้ำของผู้ตรวจการเจียงซีใต้ ภายนอกดูเหมือนห้าวหาญจัดเจน แต่ความจริงเพิ่งเข้าเป็นทหารได้ไม่ถึงหนึ่งปี

    ที่แท้เมื่อทางการท้องถิ่นต้องการปราบปรามโจร ล้วนไม่อาจเคลื่อนไพร่พลที่ถูกส่งมาประจำยังพื้นที่ออกไปเองได้โดยง่าย ประการแรกเนื่องเพราะราชสำนักเข้มงวดต่อการควบคุมอำนาจกองทัพทางการท้องถิ่นเป็นอย่างยิ่ง ประการที่สองต่อให้ระดมพล ความสามารถในการต่อสู้และการฝึกฝนของพวกมันก็มิอาจรับมือกับการต่อสู้ในทุ่งนาป่าเขาได้ ตลอดมาล้วนต้องเกณฑ์นักรบหมาป่าในแถบพื้นที่ไกลโพ้นเป็นกำลังรบหลัก ทว่าการระดมพลเช่นนี้สิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากรกองทัพเป็นอย่างมาก ซ้ำยังยากที่จะบัญชาการเพราะความไม่เข้าใจด้านภาษา มิอาจกำจัดโจรที่ตลบตะแลงเจ้าเล่ห์ได้ ผู้ตรวจการจึงเปลี่ยนแปลงวิธีการแต่เก่าก่อน ส่งทหารเข้าเป็นขุนนาง คัดเลือกผู้เหี้ยมหาญจากแต่ละอำเภอตั้งเป็นทหารชาวบ้าน ฝึกฝนอิงตามสถานการณ์ต่อสู้จริง ผลสุดท้ายความสามารถในการเคลื่อนทัพและประสิทธิภาพการต่อสู้เหนือกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก เหมือนเช่นผู้เด่นล้ำกลุ่มนี้ ทักษะของทุกคนดั่งลิงค่าง ไม่หวั่นเกรงภัยพาลบนสมรภูมิพื้นที่ภูเขา ปีนผาพรางกาย พิชิตชัยกองทัพจู่โจมสายฟ้าแลบซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับตั้งแต่ทำลายล้างรังโจรที่เขาเซี่ยงหูเมืองจางโจวมณฑลฝูเจี้ยนในเดือนสองเดือนสามของปีนี้ จนถึงบุกโจมตีเหิงสุ่ย ล้วนสร้างผลงานโดดเด่นอันใหญ่ยิ่งโดยการจู่โจมกะทันหันจากหน้าผาด้านหลัง

    หัวหน้านักรบปีนเขากลุ่มนี้คือบุรุษรูปร่างเตี้ยเล็ก บนหน้าประดับด้วยจมูกแหลมงองุ้ม แผ่นหลังห้อยเฉียงดาบยาวเล่มหนึ่ง มิใช่ใครอื่น เป็นเมิ่งชีเหอศิษย์สำนักปากว้าแห่งฝู่โจวที่มีภูมิหลังเป็นโจรภูเขา

    เซี่ยจื้อซานที่คุกเข่าอยู่หรี่ตาจ้องมองไป แต่ผู้ที่มันจับจ้องหาใช่เมิ่งชีเหอไม่ แต่เป็นอีกคนหนึ่งที่เมิ่งชีเหอคุ้มกันประชิดตัวอยู่ในขณะนี้

    คนผู้นี้สวมชุดเกราะขุนศึกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้ชุดเกราะหาได้หรูหราไม่ แต่ในหมู่นักรบที่แต่งกายเหมือนนายพรานมากกว่าทหารกลุ่มนี้ยังคงจำแนกออกในแวบเดียว

    เป็นผู้ที่ต่อให้เซี่ยจื้อซานต้องยอมจำนนก็อยากเห็นสักแวบ

    เมื่อเห็นรูปลักษณ์คนผู้นี้กับตา เซี่ยจื้อซานก็ค่อนข้างแปลกใจ แม้ท่าเดินคนผู้นี้เหยียดตรง แต่ดูจากรูปร่างและโครงสร้างกระดูกของมันค่อนข้างผอมบาง ใบหน้าซูบผอมที่ไว้เครายาวยังสุภาพเรียบร้อย หากมิได้สวมเกราะพกกระบี่ จะเป็นลักษณะของอาจารย์สอนหนังสือตามชนบทคนหนึ่ง

    นี่…คือบุรุษที่เอาชนะข้า?

    ทว่าขณะที่คนผู้นี้ค่อยๆ เข้ามาใกล้ ทำให้เซี่ยจื้อซานมองดูอย่างละเอียดยิ่งขึ้น จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงความคิด ดวงตาทั้งสองใต้หมวกศึกนั้นเปล่งประกายความเฉลียวฉลาดที่ไม่เหมือนทั่วไป โฉมหน้านั้นหาได้มีลักษณะน่าเกรงขามของทรราชที่โน้มน้าวให้ปฏิบัติตามไม่ แต่กลับมีอำนาจที่มิอาจบรรยายและมิอาจล่วงเกินได้ พลังส่วนนั้นเหนือกว่าอำนาจของทรราชอย่างมาก

    ขณะเซี่ยจื้อซานมองดูมันก็พลันรู้สึกว่าเมื่อก่อนขณะตนเองอ้างตัวเป็น ‘อ๋อง’ คือเรื่องน่าขันเพียงใด

    หวังโส่วเหรินผู้ตรวจการเจียงซีใต้เดินไปเบื้องหน้าเก้าอี้หนังเสือนั้น ปลดกระบี่ข้างเอวลงช้าๆ แล้วนั่งบนเก้าอี้ มือซ้ายยันกระบี่ไว้ด้านข้างเสมือนไม้เท้า ทุกการเคลื่อนไหวล้วนสง่าผ่าเผย

    หวังโส่วเหรินทำเช่นนี้หาได้ตั้งใจวางท่าไม่ แต่เป็นหัวหน้ากองทัพ ตนเองต้องเป็นแบบอย่างให้เหล่าทหารตลอดเวลา หลังรบชนะจึงยังคงสวมใส่ชุดเกราะทั้งชุด

    พวกเมิ่งชีเหอแบ่งกันอารักขาอยู่สองฝั่งของผู้ตรวจการหวัง ในขณะเดียวกันอู่เหวินติ้งเองก็เดินออกมาจากกองทหาร ข้างกายติดตามด้วยเพชฌฆาตที่รูปร่างสูงใหญ่แทบเสมอเหมือนกับมัน บนไหล่พาดไว้ด้วยดาบหนักที่ใช้ตัดศีรษะเล่มหนึ่ง

    หวังโส่วเหรินกับเซี่ยจื้อซานกำลังสบตากัน มันสังเกตหัวหน้าโจรที่เป็นภัยต่อเจียงซีใต้หลายปีผู้นี้แล้วรู้สึกเพียงคนผู้นี้สง่าผ่าเผย ขณะคุกเข่ายังคงบุคลิกเยือกเย็น ในใจค่อนข้างเสียดายเล็กน้อย

    เซี่ยจื้อซานเปิดหูเปิดตาลักษณะหวังโส่วเหรินแล้ว ยังมีขุนพลที่เฝ้าอยู่ข้างกายมัน ยิ่งเข้าใจว่าตนเองหาได้พ่ายแพ้แก่โชคชะตาไม่

    เพียงแต่เซี่ยจื้อซานไม่มีวันรู้ว่าหนึ่งปีมานี้หวังโส่วเหรินยังเคยทำเรื่องราวมากน้อยอยู่เบื้องหลังเพื่อปราบโจร ทั้งตรวจสอบและโน้มน้าวเหล่าเจ้าหน้าที่ทางการที่ไปเป็นหูตาและเคยรับสินบนจากโจร ใช้พวกมันเป็นไส้ศึกอีกที และทั้งออก ‘ระเบียบป้ายสิบเคหา’* ควบคุมให้ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนคอยตรวจสอบกันเองอย่างเคร่งครัด ทำให้โจรไร้ที่กบดาน นอกจากนี้ยังจงใจปล่อยข่าววันเวลายกทัพลวง ลอบส่งทหารล่วงหน้าทำให้โจรไม่ทันป้องกัน ก่อนยกทัพไปเหิงสุ่ยได้ประกาศนิรโทษกลุ่มโจรลี่โถวแห่งอำเภอหลงชวนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของชายแดนก่วงตงทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นอันดับแรกเพื่อขจัดความกังวล กอปรกับคัดเลือกทหารชาวบ้านในพื้นที่มาฝึกฝนเพิ่มขึ้น แผนการและการเตรียมพร้อมทุกก้าวของหวังโส่วเหรินล้วนระมัดระวังอย่างยิ่ง ให้ฝ่ายตนเองมีโอกาสชนะมากที่สุด ไม่ฝากความหวังไว้กับโชคชะตาเป็นอันขาด

    แต่เมื่อถึงเวลารับศึกอย่างแท้จริง กลยุทธ์บัญชาการของหวังโส่วเหรินกลับพิสดารเกินคาดเดา ใช้กองทัพจู่โจมสายฟ้าแลบโอบล้อมโดยไม่หวั่นเกรงภัยพาล เจตนาเผยแพร่แผนลวงทำให้เซี่ยจื้อซานคิดว่าค่ายหลักแตกแล้ว ค่อยติดตามซ้ำเติมให้ถึงที่สุดอย่างรวดเร็ว ความกล้าหาญในการตัดสินใจของมันชวนให้รู้สึกอัศจรรย์ใจ

    อู่เหวินติ้งแก่กว่าหวังโส่วเหรินสองปีและมีประสบการณ์กวาดล้างโจรผู้ร้าย แรกเริ่มขณะรับคำสั่งมาช่วยรบ รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งต่อความสามารถของกองกำลังผู้ตรวจการหวัง กระทั่งเปิดศึกจึงเลื่อมใสด้วยใจจริง

    สิ่งที่มันไม่รู้คือก่อนตนเองจะดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองจี๋อัน อำเภอหลูหลิงที่อยู่ในการควบคุมของมัน หลายปีก่อนหวังโส่วเหรินเคยทำศึกวัดชิงเหลียนอันสวยงามอย่างยิ่ง เพียงแต่ชาวบ้านในพื้นที่ปิดปากเงียบต่อเรื่องการเข้าร่วมศึกของใต้เท้าหวังตามคำกำชับของมัน

    ยามนี้อู่เหวินติ้งล้วงกระดาษออกมาจากในอกเสื้อ เปิดออกมาเริ่มอ่านข้อกล่าวหาอันชั่วร้ายอย่างยิ่งแต่ละอย่างของเซี่ยจื้อซาน

    เซี่ยจื้อซานคล้ายไม่ได้ยิน ดวงตายังคงจ้องมองหวังโส่วเหรินที่อยู่เบื้องหน้าไม่ขยับ

    กระทั่งอู่เหวินติ้งอ่านจบ หวังโส่วเหรินจึงใช้สองมือยันกระบี่ไว้กึ่งกลางหน้าลำตัว ก้มตัวไปข้างหน้าพอประมาณพลางถาม “เซี่ยจื้อซานหัวหน้าโจร เจ้ามีคำใดจะกล่าว”

    “แพ้เป็นเจ้า ชนะเป็นโจร ข้ายอมรับแล้ว” เซี่ยจื้อซานตอบเสียงเย็นชา “ตั้งตัวเป็นอ๋องที่ค่ายเหิงสุ่ยหลายปี แม้เป็นเวลาอันสั้นก็เหนือกว่าชีวิตข้าทาสบริวารธรรมดา เป็นเจ้านายตัวเองได้ ข้าเซี่ยจื้อซานไม่เสียใจสักนิด”

    หวังโส่วเหรินจ้องมันโดยไม่เอ่ยคำ

    จิตใจห้าวหาญแห่งทรราชนี้ชวนให้หวั่นไหวได้ง่ายโดยแท้จริง แต่หวังโส่วเหรินมิได้ซาบซึ้งสักนิด เพราะมันรู้ดีว่าเบื้องหลังของจิตใจห้าวหาญนี้กักเก็บไว้ด้วยตัณหาที่หมายจะปล้นฆ่าเผาทำลาย ราคะที่หมายจะจี้ตัวกระทำชำเรา

    นักสู้ที่ทำเพื่อความเห็นแก่ตัวของตนเองมิใช่วีรบุรุษผู้กล้าอันใด

    มหาโจรเบื้องหน้าผู้นี้สอนสั่งอะไรมิได้อีกแล้ว ทุกอย่างสายเกินไป

    หวังโส่วเหรินมิได้มองดูมันอีกและโบกมือให้อู่เหวินติ้ง

    “ในเมื่อเซี่ยจื้อซานหัวหน้าโจรยอมรับความผิดทั้งหมดแล้ว วันนี้ให้ประหารเสียที่นี่ เสียบหัวประจานที่ประตู”

    สุ้มเสียงเยือกเย็นดังขึ้น เซี่ยจื้อซานยังคงมองดูหวังโส่วเหรินอยู่ตลอด หวังว่าจะดึงดูดสายตาของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง แต่หวังโส่วเหรินหาได้มองดูมันอีกสักแวบไม่ ฉากความเห็นใจจอมปลอมที่เซี่ยจื้อซานเฝ้ารอ สูญสลายโดยพลัน

    มันกำลังจะกล่าวอะไรอีก แต่องครักษ์กดร่างกายของมันก้มต่ำไปข้างหน้า

    มือดาบยืนอยู่ข้างกายมันแล้ว

     

    ในวันเดียวกัน หวังโส่วเหรินใช้คนประกาศนิรโทษต่อหลันเทียนเฟิ่งหัวหน้าโจรถ่งกัง พร้อมส่งทหารบุกไปอย่างลึกลับโดยเร็ว หลันเทียนเฟิ่งรวบรวมหัวโจกย่อยใต้อาณัติเข้าหารือเพราะมิอาจตัดสินได้ว่าได้รับการนิรโทษจริงหรือไม่ เมื่อการป้องกันหละหลวม กองทัพสี่เส้นทางของพวกอู่เหวินติ้งจึงบุกฝ่ามาถึง หลันเทียนเฟิ่งพ่ายแพ้หนีตายกะทันหัน กองทัพทางการฉวยโอกาสติดตามซ้ำเติม ทำลายรังโจรที่ถ่งกังติดต่อกันสิบสามแห่ง หลันเทียนเฟิ่งถูกบีบจนกระทำอัตวินิบาตกรรมที่เขาด้านหลัง

    นับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งเดือนหนึ่งจนถึงเดือนสิบสอง หวังโส่วเหรินทำลายโจรกบฏที่จางโจว เหิงสุ่ย ถ่งกังติดต่อกันสามแห่ง ประกาศนิรโทษฉือจ้งหรงหัวหน้าโจรลี่โถว ภัยคุกคามที่ทำให้เจียงซีใต้และสามมณฑลใกล้เคียงลำบากใจหลายสิบปี มันใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็ปราบปรามได้อย่างราบคาบ จึงทำให้ผู้คนตกตะลึง แม้กระทั่งหวังฉยงเสนาบดีกรมทหารที่เลื่อนขั้นมันก็รู้สึกผิดคาดอย่างมาก

    ‘มองคนไม่ผิด…’ หวังฉยงอดมิได้ที่จะอุทานขณะรับรายงานที่เมืองหลวง

    ทว่ากวาดล้างโจรผู้ร้ายหาใช่การทดสอบใหญ่ที่สุดที่หวังฉยงมอบให้หวังโส่วเหรินไม่ และหวังโส่วเหรินเองก็กระจ่างว่าตนเองถูกส่งมาเจียงซีเพื่ออะไร

    พายุที่ใหญ่ยิ่งกว่ากำลังก่อตัวอยู่ที่ท้องฟ้าผืนนั้น ไม่รู้ว่าจะมีผู้ใดต้านทานได้หรือไม่

    ต่อให้เป็นหวังโส่วเหริน ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานได้เช่นกัน

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook