เพลงกลอนคลั่งยุทธ์
ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 18 บทที่ 1
บทที่ 1
เผชิญกองทัพ
ภายใต้ดวงอาทิตย์ร้อนแรงยามบ่ายกลางคิมหันตฤดู หนวดเครารกครึ้มของอู่เหวินติ้งซึ่งเปียกซึมไปด้วยเหงื่อพันติดอยู่บนคางและลำคอ มันใช้สายรัดแขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่เข้าดวงตาออกไป สายตาอันแน่วแน่ยังคงมองเบื้องหน้าของถนนร้างชานเมือง
ทุกอย่างยังคงว่างเปล่าไร้ผู้คน
อู่เหวินติ้งกัดฟัน เร่งเร้าม้าพ่วงพีให้เดินหน้าสืบต่อ ในใจมันคิดอยู่เพียงอย่างเดียว
ต้องพบใต้เท้าหวังให้ได้
บุรุษที่สวรรค์คุ้มครอง ไม่มีทางตกตายง่ายดายเพียงนี้
ร่างกำยำเหมือนหมีของอู่เหวินติ้งทำให้พาหนะยากจะรับไหว มันจึงมิได้สวมเกราะศึกเพื่อที่จะเดินทางได้สะดวกรวดเร็ว ใส่เพียงเสื้อผ้ารัดรูปและพกดาบข่านเตาที่ชอบใช้ยามนำทหารปราบโจรและบุกโจมตีขบวนศัตรูท่ามกลางภูมิทัศน์อันตรายในอดีต ขณะนี้สีหน้าที่ไอสังหารพลุ่งพล่านและแฝงความร้อนรนของมัน ไม่ต่างกับขณะต่อสู้ในวันนั้นเช่นกัน
หลังจากได้รับข่าวการยกทัพก่อกบฏของหนิงอ๋องจูเฉินเหา อู่เหวินติ้งก็เข้าสู่ภาวะตึงเครียดเช่นนี้
ผู้กล้าหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าคนขี่ม้าตามอยู่ด้านหลังมัน เรียงเป็นขบวนยาวเดินหน้าเสาะหาไปพร้อมกันบนถนนชานเมือง
จำนวนม้าศึกนี้คือทั้งหมดที่เมืองจี๋อันใช้ได้ในปัจจุบัน ทหารม้ากว่าครึ่งเป็นนักรบที่ยังคงอยู่ข้างกายหลังอู่เหวินติ้งปราบปรามโจรที่ถ่งกังและเหิงสุ่ยในอดีต อีกครึ่งหนึ่งคือทหารชาวบ้านที่ถูกฝึกใหม่ในเมืองจี๋อันในสองปีมานี้
นับจากปราบโจรสำเร็จและกลับไปดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองที่จี๋อันสืบต่อ อู่เหวินติ้งมิกล้าลืมคำกำชับของหวังโส่วเหรินสักขณะเดียว ภายใต้สถานการณ์ที่ชาวบ้านดำรงชีวิตโดยไม่ได้รับอันตราย ให้พยายามฝึกทหารชาวบ้านให้มากที่สุด เก็บสะสมเสบียงทัพให้มากที่สุด
บัดนี้อู่เหวินติ้งรู้เหตุผลของหวังโส่วเหรินแล้ว
มือขวามันถือเชือกบังเหียนม้า มือซ้ายจับฝักดาบตรงข้างเอวที่แกว่งไปตามฝีเท้าม้า ดาบข่านเตาเล่มนี้เพิ่งดื่มโลหิตมาเมื่อสองวันก่อน เมื่อข่าวหนิงอ๋องก่อกบฏถ่ายทอดถึงเมืองจี๋อัน ในเมืองก็มีขุนนางและพ่อค้าหนีตายอย่างตื่นตระหนก อู่เหวินติ้งฟันห้าคนในนั้นด้วยมือตัวเอง เพื่อทำให้สถานการณ์ในเมืองและจิตใจผู้คนสงบลงอย่างรวดเร็ว มันรีบส่งหนังสือไปยังตำบลทั้งหมดในเมืองจี๋อัน สั่งการให้ขุนนางและชาวบ้านแต่ละพื้นที่เตรียมรับศึกเต็มกำลัง
ในสายตาชาวจี๋อัน เจ้าเมืองอู่ที่ยามปกติโอบอ้อมอารีเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งในชั่วข้ามคืน เฉกเช่นขุนพลเทพที่รูปโฉมดุร้ายน่าเกรงขามในวัดประจำเมือง เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วเช่นนี้เอง ความหวาดกลัวที่มีต่อกองทัพกบฏของหนิงอ๋องของชาวบ้านจึงถูกกลบด้วยความน่ายำเกรงของอู่เหวินติ้ง
หลังรอให้สถานการณ์ของจี๋อันสงบลงและแบ่งสันงานเตรียมรบจนเสร็จเรียบร้อย อู่เหวินติ้งจึงนำทหารม้าขบวนนี้เดินทางออกนอกเมืองมุ่งสู่ทิศเหนือ เสาะหาหวังโส่วเหรินโดยไม่รีรอ
อู่เหวินติ้งที่เคยทำศึกใต้อาณัติของหวังโส่วเหรินเชื่อมั่นว่าผู้ที่จะยุติมหาภัยก่อกบฏครานี้ได้ ในผืนพสุธามีเพียงหวังโส่วเหรินผู้เดียว
ก่อนหน้านี้ระหว่างทางขึ้นเหนือหวังโส่วเหรินเคยผ่านเมืองจี๋อัน เป็นเหตุให้อู่เหวินติ้งรู้ว่าใต้เท้าหวังกำลังจะไปหนานชาง และต่อมามันรู้ว่ามีผู้ไม่ยอมศิโรราบอย่างพวกซุนซุ่ยผู้ตรวจการเจียงซีถูกประหารชีวิตที่ตำหนักหนิงอ๋องแห่งหนานชาง แต่ในใบรายชื่อของขุนนางที่ถูกสังหารกลับปราศจากใต้เท้าหวัง ก็หมายความว่าหวังโส่วเหรินหนีพ้นเงื้อมมือปีศาจของกองทัพกบฏหนิงอ๋องแล้ว หรืออย่างน้อยยังคงมิได้ถูกจับ
อู่เหวินติ้งร้อนใจดังไฟสุมโดยแท้จริง มันเป็นขุนนางที่เจียงซีนานแล้ว ย่อมได้ยินว่าหลายปีมานี้ตำหนักหนิงอ๋องมีบทบาทอย่างไร หวังโส่วเหรินที่ระหว่างทางปราศจากกำลังทหารในมือ เผชิญหน้าพวกบ้าคลั่งใต้อาณัติหนิงอ๋อง เฉกเช่นแพะโดดเดี่ยวถูกฝูงหมาป่าไล่ล่า…
มันหันมองกองกำลังร้อยกว่าคนที่ขี่ม้าอยู่เบื้องหลัง พวกมันอดทนต่อดวงอาทิตย์ร้อนจัดจนเหงื่อไหลเปียกหลังติดตามอู่เหวินติ้งออกนอกเมืองเพื่อเสาะหาใต้เท้าหวังโดยม้าแทบมิได้หยุดฝีเท้ามาสองวันแล้ว แต่ถึงบัดนี้ยังคงไม่มีสักคนเอ่ยปากรำพึงรำพัน พวกมันเพียงควบขี่อยู่เงียบๆ รักษาภาวะเตรียมรบตลอดเวลา การก่อกบฏเพิ่งเกิดขึ้น พื้นที่หลายร้อยหลี่รอบหนานชางล้วนบรรยากาศตึงเครียด ไม่มีผู้ใดรู้ว่ากองทัพกบฏตำหนักหนิงอ๋องมีความเคลื่อนไหวอันใด และยากรับรองว่าที่แห่งใดจะไม่ประสบศัตรู ด้วยเหตุนี้อู่เหวินติ้งจึงมิกล้าให้ขบวนม้ากระจัดกระจาย แต่ให้รวมตัวกันเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ในผู้ขี่ม้าตามติดอยู่ด้านหลังอู่เหวินติ้ง กลับมีผู้หนึ่งหาใช่ทหารชาวบ้านที่มันฝึกซ้อมมา สามวันก่อนยังไม่ใช่ลูกน้องของมันเสียด้วยซ้ำ
คนผู้นี้คือสตรีเพียงหนึ่งเดียวในกองทัพม้าหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าคน
ฮั่วเหยาฮวาแผ่ผมสั้นบางๆ เฉกเช่นแม่ชีที่เพิ่งไว้ผมคืนสู่ฆราวาส หากมิใช่มีดวงตาสุกใสเรียวยาวคู่นั้น ก็ยากที่จะจำแนกชายหญิงได้โดยแท้จริง ใบหน้าของนางเข้มคล้ำกว่าแต่ก่อนมาก คล้ายเป็นผลจากการทำงานกลางแจ้งเป็นเวลานาน ผิวหนังบนหน้าหยาบกร้านยิ่งขึ้น ข้างใต้ปรากฏรอยกระเป็นจุดๆ เมื่อเทียบขณะอยู่ใต้อาณัติจอมเวทปัวหลงเมื่อก่อน นางในตอนนี้สลัดกลิ่นอายหยาดเยิ้มออกไปแล้ว แต่เพิ่มด้วยพลังชีวิตอันแข็งแรงที่ดึงดูดอย่างยิ่ง
สิ่งที่สวมอยู่บนร่างนางคือชุดรัดรูปสีเข้มที่ไม่ต่างกับเครื่องแบบบุรุษเช่นกัน สองเท้าที่เหยียบโกลนม้าสวมรองเท้าฟางเก่าคู่หนึ่ง ข้างเอวพกดาบทหารแคว้นวอที่หู่หลิงหลันให้นางในวันนั้น ข้างอานม้าแขวนไว้ด้วยกระบองยาวสี่ฉื่อกว่าเล่มหนึ่งที่สร้างขึ้นเอง กระบองนั้นหน้าหนาท้ายเรียวเล็ก ด้านหน้าฉื่อกว่าห่อหุ้มด้วยหนังฟอกชั้นหนึ่ง เป็นอาวุธหนักที่นางเตรียมใช้บนสมรภูมิใหญ่แทนดาบเลื่อย
รูปร่างของฮั่วเหยาฮวาซูบผอมกว่าวันวานอย่างชัดเจน แต่กลับเห็นได้ชัดว่าแข็งแรงกว่าเดิม ท่าทางขี่ม้าชำนิชำนาญไร้เทียบเทียม ความสามารถในการประสานงานของแขนขามิใช่ทหารชาวบ้านนายใดข้างกายจะเทียบได้
อู่เหวินติ้งรับรู้ได้นานแล้วว่าฮั่วเหยาฮวาฝีมือไม่ธรรมดา ยามมองดูท่าขี่ม้าของนางขณะนี้ยังคงอดมิได้ที่จะชื่นชม เมื่อก่อนมันไม่เคยเห็นบุคคลเช่นนี้ในกองทัพ แม้กระทั่งเมิ่งชีเหอศิษย์สำนักปากว้าที่สร้างผลงานไม่ธรรมดาในศึกปราบโจรก็คล้ายไม่เทียบเท่า
เป็นคนในยุทธภพกระมัง…
อู่เหวินติ้งลอบสังเกตฮั่วเหยาฮวาตลอดเวลาขณะเดินทาง สตรีที่พลันมาเข้าร่วมกองทัพจากอำเภอหลูหลิงนางนี้ มิอาจทำให้มันเชื่อใจได้โดยแท้จริง โดยเฉพาะหลังรู้ภูมิหลังของนางมากยิ่งขึ้น
อู่เหวินติ้งเคยไต่ถามชายฉกรรจ์หลูหลิงที่มาเมืองจี๋อันเข้าร่วมพันธมิตรกองทัพคุณธรรมกับฮั่วเหยาฮวาอย่างละเอียด ได้รู้ว่าสตรีนางนี้กลับเป็นหัวโจกย่อยใต้อาณัติของจอมเวทปัวหลงโจรชั่วที่อาละวาดในพื้นที่เมื่อก่อน ฆ่าคนมากมายอย่างยิ่ง กลุ่มศิษย์จอมเวทพวกนั้นถูกหวังโส่วเหรินนำกำลังกวาดล้างเมื่อหลายปีก่อน หลังจอมเวทปัวหลงพ่ายแพ้หลบหนีไปก็ได้ยินว่าเข้าร่วมตำหนักหนิงอ๋อง บัดนี้เป็นหนึ่งในผู้นำกองทัพกบฏ และปีศาจสาวที่หายสาบสูญเนิ่นนานนางนี้ พลันกลับมาหลูหลิงอีกครั้งเมื่อหนึ่งปีก่อน ปลงผมสารภาพบาปต่อหน้าผู้คน วิงวอนขอให้อภัย ทำให้คนท้องถิ่นตื่นตะลึงไม่หยุด
ฮั่วเหยาฮวาทำบาปมากมายอย่างยิ่ง ขุนนางและชาวหลูหลิงย่อมไม่มีทางยกโทษให้นางอย่างง่ายดาย แต่พวกมันก็กลัวเกรงฝีมือของนางเช่นกันจึงมิกล้าบุ่มบ่ามจับกุมนางสำเร็จโทษ ได้แต่อนุญาตให้นางอาศัยอยู่ในผืนนารกร้างแห้งแล้งผืนเล็กนอกเมือง นานวันเข้า ชาวบ้านเห็นฮั่วเหยาฮวาไร้ซึ่งจิตใจชั่วร้ายแล้วจริงๆ จึงค่อยๆ ผ่อนคลายความระแวดระวังต่อนาง นางทำนาผืนนั้นด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองเพื่อประทังชีวิต และสร้างกระท่อมหลังหนึ่งสำหรับพักอาศัย นับจากนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปราศจากเรื่องราวมาโดยตลอด ชาวบ้านมองเห็นฮั่วเหยาฮวานอกจากทำนาแล้ว ยังอุทิศตนซ่อมแซมสะพานและศาลารอบเมือง หรือกำจัดก้อนหินบนถนนและวัชพืชที่อุดตันกระแสน้ำ ชวนให้ยากที่จะนึกโยงถึงนางปีศาจบ้าคลั่งตนนั้นก่อนหน้า
กระทั่งข่าวการก่อกบฏของตำหนักหนิงอ๋องเผยแพร่สู่อำเภอหลูหลิง ชาวบ้านจึงได้เห็นนางนำดาบทหารเดินออกมาจากกระท่อม ซ้ำยังไปจวนว่าการอำเภอ ยืมอาวุธหนักที่มีอยู่เล่มหนึ่งจากทหารชาวบ้านและผู้คุ้มกันเขตท้องถิ่น นั่นก็คือกระบองไม้ใหญ่เล่มนั้น และภายหลังก็ติดตามชายฉกรรจ์สิบกว่าคนมาจี๋อัน…
อู่เหวินติ้งหันหน้ากลับ มองดูเส้นทางเบื้องหน้าสืบต่อ ในใจกลับยังพะวงกับสตรีที่ขี่ม้าอยู่ด้านหลัง
จะเป็นสายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักหนิงอ๋องหรือไม่…แต่ก็หาได้เหมือน คงไม่มีสายลับที่สะดุดตาและชวนให้ระแวดระวังเช่นนี้กระมัง…
อู่เหวินติ้งย่อมปฏิเสธการเข้าร่วมพันธมิตรของฮั่วเหยาฮวาได้ แต่มันก็ไม่อยากปล่อยกองหนุนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ไปโดยเสียเปล่า พลังยุทธ์และประสบการณ์ขั้นนี้ เพียงฮั่วเหยาฮวาคนเดียวก็ต้านทหารชาวบ้านธรรมดาหลายสิบนายไปจนถึงนับร้อยนายได้ ในช่วงเวลาคับขันที่เกี่ยวโยงถึงแผ่นดินต้าหมิงนี้ อู่เหวินติ้งรู้ว่ามิอาจสิ้นเปลืองกำลังใดๆ โดยเปล่าประโยชน์จึงสนใจนางชั่วคราว
ฮั่วเหยาฮวายังคงขี่ม้าโดยมิได้เผยสีหน้าอารมณ์ใดๆ นางที่มีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชนไร้เทียบเทียม ไหนเลยจะมิได้สังเกตว่าอู่เหวินติ้งคลางแคลงตนยิ่งนัก เพียงแต่นางเลือกรับการปฏิบัติอย่างเย็นชาของอู่เหวินติ้งกับคนอื่นๆ เงียบๆ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
หลายปีมานี้ฮั่วเหยาฮวากระจ่างยิ่งนักว่าหากจะได้รับความไว้วางใจจากผู้คนใหม่อีกครั้ง มิต้องอาศัยคำพูดแต่อย่างใด
“ใต้เท้าเจ้าเมือง!”
ทหารม้านายหนึ่งทางซ้ายของอู่เหวินติ้งพลันตะโกนและยกแส้ม้าขึ้นชี้ไปยังเบื้องหน้า
เกือบจะในขณะเดียวกัน อู่เหวินติ้งได้ยินเสียงตวาดอ่อนหวานเสียงหนึ่งถ่ายทอดมา
ฮั่วเหยาฮวาเร่งม้าแทรกขบวนออกมา ประเดี๋ยวเดียวก็ควบผ่านอู่เหวินติ้งที่อยู่ด้านหน้าสุดวิ่งไปยังทิศทางที่แส้ม้าชี้ไป
การตอบสนองของอู่เหวินติ้งเองก็มิได้เชื่องช้า มันรีบลงแส้ม้าศึกไล่ตามฮั่วเหยาฮวาไปข้างหน้าทันทีเช่นกัน อู่เหวินติ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันหมายจะตามไปให้ทันสุดความสามารถ ในขณะเดียวกันหัวใจบังเกิดความขุ่นเคือง
จะออกลายแล้วจริงหรือ
ม้าหลายร้อยตัวที่เหลือต่างก็มุ่งหน้าไปด้วยความเร็วทั้งหมดเช่นกัน ฝีเท้าก่อเป็นพายุฝุ่นหอบหนึ่งขึ้นบนถนนชานเมือง
วิชาขี่ม้าของอู่เหวินติ้งยากที่จะเทียบเคียงกับฮั่วเหยาฮวาที่เคยเป็นโจรปล้นม้า ระยะยังคงห่างกับนางอยู่จั้งกว่า อู่เหวินติ้งทอดมองไปข้างหน้า มองเห็นว่ามีเงาร่างของกองกำลังกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นดังคาดและเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
มิอาจให้นางบรรลุถึงก่อนก้าวหนึ่ง…หากเป็นใต้เท้าหวังจริง ไม่รู้นางจะทำอะไร…
สิ่งที่ทำให้อู่เหวินติ้งเคร่งเครียดยิ่งกว่าคือการมองเห็นฮั่วเหยาฮวาที่อยู่เบื้องหน้าชักดาบทหารบนเอวออกมาเสียงดังชิ้งและลดเฉียงๆ อยู่ข้างอานม้า แสงแดดสะท้อนจนคมดาบราวกับกำลังลุกไหม้
อู่เหวินติ้งไม่มีทักษะขี่ม้าที่แข็งขันเพียงนั้น จำต้องแบ่งสมาธิชักดาบข่านเตาใหญ่ออกมาขณะควบม้าสุดความเร็ว แล้วค่อยเร่งเร้าม้าพ่วงพีเข้าไปสืบต่อ
ฮั่วเหยาฮวากับอู่เหวินติ้งนำหน้าเหล่าทหารม้าหลายสิบฉื่อ และพวกมันเข้าใกล้กองกำลังฝั่งตรงข้ามไม่ถึงห้าสิบจั้งแล้ว ภายใต้แสงอาทิตย์เห็นได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเองก็มีอย่างน้อยหนึ่งร้อยคนพกดาบทวนแวววับ เห็นได้ชัดว่ามิใช่นักเดินทางทั่วไป กองกำลังกลุ่มนั้นหยุดลงก่อนแล้ว และตั้งเป็นขบวนป้องกัน
ฮั่วเหยาฮวาชะลอพาหนะลงก่อนเข้าใกล้ฝ่ายตรงข้ามประมาณสามจั้ง อู่เหวินติ้งฉวยโอกาสเร่งตามไป เมื่อผ่านฮั่วเหยาฮวาจึงดึงเชือกบังเหียนม้าเอาไว้ มือขวาถือด้ามดาบข่านเตา หันหน้ามองดูนักดาบหญิงที่น่าสงสัยนางนี้
ฮั่วเหยาฮวากลับมิได้กระวนกระวาย นางเพียงให้ม้าเดินทอดน่องไปทางขวาด้านหลังอู่เหวินติ้ง และกล่าวกับมัน “ข้าคุ้มกันท่าน”
อู่เหวินติ้งกุมด้ามดาบมั่นและยังคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ขณะนี้หามีทางเลือกไม่ มันปล่อยด้ามดาบออก ชูมือขวาขึ้นฟ้า บอกเป็นสัญญาณให้ม้าร้อยตัวด้านหลังหยุดรอคำสั่งอยู่ในที่ไกลเพื่อป้องกันอุบายของผู้มาด้านหน้า
ฮั่วเหยาฮวาลดดาบลงควบคุมเชือกบังเหียนม้าด้วยมือเดียวและเดินหน้าเข้าไปสืบต่อตามอู่เหวินติ้ง กระทั่งห่างกับฝ่ายตรงข้ามจั้งกว่าจึงหยุดลงอีกครั้ง
เห็นเพียงในกลุ่มคนร้อยกว่าคนนั้นมีม้ายี่สิบสามสิบตัว อาวุธที่พกก็มิใช่อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีเลิศอะไร ผู้ที่สวมใส่เกราะศึกมีเพียงประมาณยี่สิบกว่าคน อีกทั้งล้วนเป็นจำพวกเกราะไม้และเกราะไม้ไผ่ที่หยาบกระด้าง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้กล้าในพื้นที่ มีเพียงสามสิบกว่าคนนั้นที่ป้องกันอยู่หน้าขบวน แม้มิได้สวมเกราะ แต่ทั้งหมดพกดาบเดี่ยวที่รูปแบบใกล้เคียงกัน แต่ละคนยืนตรงด้วยท่วงท่าระแวดระวัง ในความเงียบงันแฝงด้วยพลังที่ปะทุได้ทุกเมื่อ อู่เหวินติ้งพอเห็นก็รู้ว่าเป็นนักสู้สำนักเดียวกัน
ในนักสู้มีเพียงหนึ่งคนขี่ม้า เป็นชายฉกรรจ์อายุใกล้ห้าสิบปีแล้ว ศีรษะล้านกว่าครึ่ง บนเอวพกดาบขนปักษาอันล้ำค่าเล่มหนึ่ง ท่าทางทรงอำนาจอย่างยิ่ง
นักสู้ที่ขี่ม้าผู้นี้สังเกตอู่เหวินติ้งอยู่ครู่หนึ่งจากไกลๆ ก่อนใช้สุ้มเสียงก้องกังวานตะโกน
“เป็นใต้เท้าอู่เจ้าเมืองจี๋อันหรือ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ โลหิตร้อนวูบหนึ่งก็ผุดขึ้นในอกอู่เหวินติ้ง
เพราะบนโลกมีเพียงผู้เดียวที่เข้าใจอุปนิสัยของมันเช่นนี้ รู้ว่ามันจะร้อนใจเร่งนำทหารออกจากเมืองเพื่อเสาะหาและต้อนรับอยู่ที่นี่
ดังคาด เหล่านักสู้ฝั่งตรงข้ามแหวกออกซ้ายขวาหลีกทางให้คนผู้หนึ่งที่ขี่ม้าอยู่ด้านหลัง มันสวมเสื้อใส่หมวกที่ธรรมดาเหลือเกิน เอวพกกระบี่ยาว เป็นลักษณะของปัญญาชนวัยกลางคน ไม่มีหน้าตาน่าเกรงขามเกินคนแต่อย่างใด แต่กลับแผ่บุคลิกที่ชวนให้เคารพออกมาเอง
เป็นหวังโส่วเหริน
อู่เหวินติ้งรีบลงจากม้า แทบเหมือนตกลงมาจากอาน ฮั่วเหยาฮวาที่อยู่ด้านหลังมันก็เก็บดาบคืนสู่ฝัก กระโดดลงจากอานม้าแล้วเช่นกัน คนทั้งสองกราบกรานหวังโส่วเหรินพร้อมกัน
อู่เหวินติ้งก้มศีรษะติดพื้นดิน น้ำตาแทบจะหลั่งลงมา ขณะนี้อารมณ์แห่งความตื้นตันของมันมิอาจบรรยายด้วยถ้อยคำ
“สือไท่* คารวะใต้เท้าผู้ตรวจการ! ใต้เท้ารอดพ้นภยันตราย ไม่ถูกโจรกบฏประทุษร้าย สวรรค์คุ้มครองแผ่นดินต้าหมิง!”
หวังโส่วเหรินลงจากม้าพลางโบกมือบอกให้อู่เหวินติ้งกับฮั่วเหยาฮวาไม่ต้องมากพิธี ในขณะเดียวกันก็แค่นยิ้มในใจ
กล่าวว่า ‘สวรรค์คุ้มครองต้าหมิง’ ตอนนี้นับว่าเร็วเกินไปแล้ว…
ข้ารอดมาถึงวันนี้ได้ ผู้ที่คุ้มครองข้าหาใช่เพียงสวรรค์ไม่
อู่เหวินติ้งเพิ่งยืนตรง หวังโส่วเหรินก็เดินมาถึงเบื้องหน้ามันแล้ว สี่มือซ้อนทับจับกัน หวังโส่วเหรินมองดูลูกน้องในวันวานที่มากความสามารถบุ๋นบู๊รอบด้านและรูปโฉมทรงพลังผู้นี้ก็ดีใจจนแทบควบคุมมิได้ อีกทั้งคลายใจอย่างมาก อู่เหวินติ้งนำทหารออกมาเช่นนี้ก็หมายความว่าสถานการณ์เมืองจี๋อันสงบ ขุนนางและชาวบ้านเตรียมพร้อมรับศึกภายใต้การรวมเป็นหนึ่งเดียวของมัน
และหวังโส่วเหรินเชื่อมั่นในความสามารถของอู่เหวินติ้ง จึงตัดสินใจออกจากเมืองหลินเจียงลงใต้
สองวันก่อนมันหนีรอดจากการไล่ล่าอันโหดเหี้ยมของทหารไพรทมิฬกองทัพกบฏของหนิงอ๋อง บรรลุถึงเมืองหลินเจียงภายใต้การคุ้มกันของหกกระบี่บ้านแตก ได้รับการสนับสนุนจากกำลังทหารกลุ่มแรก ทว่าหวังโส่วเหรินพิจารณาสถานการณ์ทันที วิเคราะห์ได้ว่าหลินเจียงหาใช่สถานที่ซึ่งอยู่ได้นานไม่ เพราะที่ตั้งใกล้กับหนานชางอันเป็นฐานที่ตั้งของฝ่ายศัตรูมากเกินไป อีกทั้งลักษณะพื้นที่ไร้ชัยภูมิให้ป้องกันได้ หากกองทัพกบฏยกกำลังด้วยขบวนเรือ อาจถูกตีแตกได้ในสองสามวัน กอปรกับจิตใจผู้คนเมืองหลินเจียงเลื่อนลอย กำลังทหารไม่เพียงพอ หาใช่สถานที่รวบรวมกำลังทหารกองทัพคุณธรรมในอุดมคติไม่ ครั้นหวังโส่วเหรินชี้ขาดได้ก็ปฏิบัติอย่างรวดเร็วใช้ทหารกระทำการอย่างกล้าหาญ สั่งให้ไต้เต๋อหรูเจ้าเมืองหลินเจียงอยู่ป้องกัน วันถัดมาตนเองนำทหารกลุ่มหนึ่งออกจากหลินเจียงทันที
และฐานที่ตั้งกองทัพคุณธรรมที่ตรงกับทัศนะของมันที่สุด…คือจี๋อัน
หลินเจียงกับจี๋อันห่างกันประมาณสี่ห้าวันเดินทาง กองกำลังของหวังโส่วเหรินเพิ่งเดินได้ครึ่งทางก็ได้รับการต้อนรับจากอู่เหวินติ้ง หวังโส่วเหรินรู้สึกว่านี่คือลางดี
อู่เหวินติ้งรีบกวักมือไปยังขบวนม้าด้านหลังให้พวกมันเข้ามาคารวะใต้เท้าหวัง ทหารชาวบ้านที่ติดตามหวังโส่วเหรินมาแลเห็นกองหนุนอันแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นร้อยกว่านายก็ล้วนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
นักดาบที่ป้องกันใต้เท้าหวังอยู่หน้าสุดคือหร่วนเสาสยงเจ้าสำนักอู๋จี๋ตระกูลหร่วนแห่งเมืองหลินเจียงและเหล่าศิษย์ พวกมันหาได้เผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาเหมือนทหารชาวบ้าน ยังคงจับจ้องสตรีนางนั้นข้างกายอู่เหวินติ้งอย่างตึงเครียด อาศัยสัญชาตญาณของนักสู้ พวกมันล้วนได้กลิ่นอันตรายที่ฮั่วเหยาฮวาแผ่ออกมา
หร่วนเสาสยงยังวางฝ่ามือขวาไว้บนด้ามดาบขนปักษาเบาๆ เพียงเพราะมันรู้สึกว่าสตรีนางนี้ยืนอยู่ใกล้ใต้เท้าหวังเกินไป…
ฮั่วเหยาฮวาอาศัยอู่เหวินติ้งหลบสายตาของหวังโส่วเหรินด้วยตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างอยู่ตลอด ขณะเดียวกันก็ทอดมองไปในหมู่ลูกน้องของหวังโส่วเหรินไม่หยุด แต่กลับหาเงาร่างที่นางใคร่อยากพบไม่เจอ คิ้วโก่งทั้งคู่ของนางขมวดแน่น ยากจะปิดบังความผิดหวัง
ยามนี้สายตาดุจมีดดาบสองสายมองไปยังนาง ฮั่วเหยาฮวาหันรับสายตาที่ความเที่ยงธรรมเต็มเปี่ยมของหวังโส่วเหรินซึ่งหน้าก่อนก้มศีรษะลงอย่างละอายใจ ใบหน้าปราศจากสีโลหิต
คนทั้งสองสบตากันคราวก่อน คือศึกวัดชิงเหลียนที่เขาชิงหยวนในราตรีเมื่อห้าปีที่แล้ว
หวังโส่วเหรินย่อมจำนางไม่ได้
ฮั่วเหยาฮวาคุกเข่าลงกับที่และปลดดาบทหารพร้อมฝักดาบกับแถบผ้าที่ห้อยตรงข้างเอวลงวางไว้บนพื้นเบื้องหน้า
“ฮั่วเหยาฮวาผู้มีโทษ คารวะใต้เท้าหวัง”
นางกลั้นน้ำตาเอาไว้พลางมองพื้นดิน ปลุกความกล้าอย่างมากที่สุดเพื่อกล่าว
ย้อนกลับไปในวันวานที่หลูหลิง ฮั่วเหยาฮวายังคงได้ยินชาวบ้านกล่าวถึงวีรกรรมของหวังโส่วเหรินนายอำเภอเจียงซีใต้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะผลงานที่มันใช้ทหารปราบโจรดั่งเทพยดา หวังโส่วเหรินขึ้นชื่อเรื่องความซื่อตรงเกลียดชังความชั่วเสมือนศัตรูคู่แค้น ฮั่วเหยาฮวารู้ว่าหากตนเองปรากฏตัวเบื้องหน้ามันอีกครั้งอาจมีผลลัพธ์เช่นไร แต่นางยังคงเลือกเผชิญหน้า
บัดนี้ดาบประจำตัววางอยู่ด้านหน้า เท่ากับฮั่วเหยาฮวายอมให้หวังโส่วเหรินลงโทษ
หวังโส่วเหรินก้มมองฮั่วเหยาฮวาเนิ่นนาน จึงลูบไล้เครายาวกล่าว “เรื่องของแม่นางฮั่ว ข้าเคยได้ยินพวกจอมยุทธ์จิงกล่าวนานแล้ว”
มันหยุดพูด ในดวงตาปรากฏแววดุดันออกมา
“ถึงแม้เป็นเช่นนั้น เจ้าก็น่าจะรู้ว่าความผิดที่ตนเองได้กระทำในอดีตไม่อาจใช้ชีวิตที่เหลือไถ่โทษได้หมดกระมัง”
ฮั่วเหยาฮวาฝืนแรงเงยหน้าขึ้น สบสายตาของหวังโส่วเหริน
“ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชดใช้ได้หมด” นางกล่าวทีละคำ
อู่เหวินติ้งมองดูจากด้านข้าง สายตาจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของฮั่วเหยาฮวา ในอดีตอู่เหวินติ้งเคยเป็นตุลาการมณฑลที่ฉางโจวคอยควบคุมดูแลกฎหมาย เคยเห็นพวกเจ้าเล่ห์มานักต่อนัก ขณะนี้มันชี้ขาดได้จากสีหน้าของฮั่วเหยาฮวาว่าอารมณ์สำนักผิดของนางจริงใจโดยแท้ จึงอดมิได้ที่จะทอดถอนใจ
หวังโส่วเหรินฟังคำพูดของฮั่วเหยาฮวาแล้วพยักหน้า
“วันเวลาที่เหลืออยู่ เจ้าล้วนต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการสำนึกผิด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าชีวิตที่เหลือของเจ้าจะไม่มีความหมายอีกต่อไป เจ้ายังคงทำเรื่องราวบางอย่างได้”
มันเดินเข้าไปขณะกล่าวและก้มตัวเก็บดาบทหารขึ้นมายื่นให้ฮั่วเหยาฮวา
“พวกจอมยุทธ์จิงเชื่อเจ้า ฉะนั้นข้าเองก็เชื่อเจ้า”
ยอดฝีมือระดับฮั่วเหยาฮวาเช่นนี้ หากหวังโส่วเหรินจะใช้ความสามารถของนาง ต้องมอบหมายภารกิจสำคัญเป็นแน่ หากมิอาจไว้วางใจ มิสู้ไม่ใช้จะดีกว่า
ฮั่วเหยาฮวาไม่มีความรู้สึกเลือดร้อนพลุ่งพล่านเช่นนี้มาเนิ่นนาน ครั้งสุดท้ายคงเป็นตอนที่เคียงไหล่ทำศึกกับซีเสี่ยวเหยียน คนเช่นนั้นทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองฝากฝังชีวิตไว้ได้อย่างสิ้นเชิง ฮั่วเหยาฮวาหลั่งน้ำตาร้อนอุ่นรับดาบทหารมาอย่างเคารพด้วยสองมือ นิ้วมือทั้งสิบของนางล้วนสั่นเทาด้วยความตื้นตัน เหมือนเช่นสิ่งที่รับไว้ในมือคือชีวิตใหม่ของตนเอง
นางเช็ดน้ำตาออกไป ห้อยดาบคืนข้างเอวอีกครั้ง ร่างยืดตรงกว่าก่อนหน้า
“ใช่แล้ว…” ฮั่วเหยาฮวาถามอีกหลังจัดดาบทหารจนเข้าที่ “พวกจอมยุทธ์จิง…อยู่ที่ใด”
อู่เหวินติ้งหาได้กระจ่างว่า ‘พวกจอมยุทธ์จิง’ ที่นางกับใต้เท้าหวังกล่าวคือผู้ใด แต่มันยังคงมิอาจเชื่อถือฮั่วเหยาฮวาได้จึงตวาดเสียงดุ “เรื่องเกี่ยวกับการทหาร ไยถามส่งเดชได้”
“ไม่เป็นไร” หวังโส่วเหรินกลับยกมือปรามอู่เหวินติ้งเอาไว้และยิ้มน้อยๆ ให้ฮั่วเหยาฮวา “ตอนนี้พวกเรายังคงเผชิญหน้าวิกฤตร้ายแรง ต้องแข่งกับเวลา กลับจี๋อันไปพลางคุยกันไปพลางเถอะ”
หวังโส่วเหรินกับอู่เหวินติ้งขี่ม้าเดินเคียงกัน ม้าทั้งสองของฮั่วเหยาฮวาและหร่วนเสาสยงคุ้มกันอยู่สองข้าง เงี่ยฟังคำพูดของใต้เท้าหวังเช่นกัน
หนิงอ๋องจูเฉินเหาประกาศยกทัพก่อกบฏ จนบัดนี้ผ่านไปสามวันแล้ว จากการประเมินของหวังโส่วเหริน ตำหนักหนิงอ๋องวางแผนก่อกบฏนานแล้ว เวลาที่ใช้ในการเตรียมรบคงไม่นานเกินไป อาจระดมกองทัพได้ทุกเมื่อภายในวันเดียว อีกทั้งคาดคำนวณว่าอย่างน้อยกำลังทหารทั้งหมดมีมากถึงแปดหมื่นนาย อำนาจทหารแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
หวังโส่วเหรินสมมติว่าหากตนเองเป็นจูเฉินเหา ย่อมระดมกองทัพผ่านแม่น้ำไปทางบูรพาอย่างรวดเร็วเพื่อช่วงชิงหนานจิงในอึดใจเดียว
“หากโจรกบฏจูเฉินเหาได้เมืองหลวงหนานจิง ก็จะได้ทั้งได้ชัยภูมิและปลุกขวัญกำลังใจกองทัพ อาจถือโอกาสประกาศขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ บรรลุแนวโน้มยึดครองแผ่นดินครึ่งค่อนในชั่วข้ามคืน ดึงดูดพวกโฉดชั่วเข้าร่วมได้มากขึ้น ยามนั้นถึงแม้ราชสำนักจะพยายามสุดความสามารถ ชัยชนะก็ยากที่จะคาดการณ์”
หวังโส่วเหรินขมวดหัวคิ้วแน่นขณะกล่าว สิ่งที่มันกังวลยิ่งกว่าย่อมเป็นเมื่อถึงยามนั้นการศึกจะยิ่งยืดเยื้อยาวนาน ชาวบ้านตกอยู่ในความยากลำบาก ไม่ว่าสุดท้ายผู้ใดจะเป็นจักรพรรดิ ผู้ที่เสียหายยังคงเป็นอาณาประชาราษฎร์
ต้องขัดขวางจูเฉินเหาก่อนก้าวหนึ่ง ขณะมันยังไม่จุดเพลิงสงครามเป็นวงกว้าง นี่คือเป้าหมายของหวังโส่วเหริน
ทว่าสิ่งที่หวังโส่วเหรินขาดแคลนที่สุดในยามนี้คือเวลา แม้มันถือธงคำสั่งกับตราประทับที่ระดมและบัญชาการกองทัพได้ แต่จะรวบรวมกำลังทหารที่เพียงพอต่อต้านกองทัพกบฏของหนิงอ๋อง หวังโส่วเหรินคำนวณว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลายี่สิบวัน หากบุ่มบ่ามยกทัพเพื่อที่จะรีบสกัดกองทัพกบฏก่อนต้องปราชัยเป็นแน่
ถึงแม้เป็นหวังโส่วเหรินที่มีแผนการเหนือคาดอยู่เต็มทรวงก็ไม่อาจฝ่าฝืนหลักการพื้นฐานด้านกำลังทหารได้
“ในเมื่อมิอาจยกทัพสกัดกองทัพกบฏได้ชั่วคราว พวกเราต้องคิดวิธีหนึ่งถ่วงพวกมันเอาไว้ วิธีที่ไม่ต้องใช้ทหาร”
อู่เหวินติ้งฟังหวังโส่วเหรินกล่าวเช่นนี้ก็หวนนึกถึงตอนที่พวกมันปราบปรามโจรภูเขาที่ถ่งกังและสุ่ยเหยียนเมื่อสองปีก่อนขึ้นมาทันที ใต้เท้าหวังใช้แผนสกัดกั้นกำลังหลักของโจรผู้ร้ายเช่นไรก่อนเปิดฉากจู่โจมกะทันหัน…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของอู่เหวินติ้งก็ลุกวาวขึ้นมา สบตากับหวังโส่วเหริน
วิธีโป้ปด
หวังโส่วเหรินรู้ว่าอู่เหวินติ้งคิดได้แล้ว จึงยิ้มน้อยๆ ล้วงหนังสือฉบับหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อยื่นให้
อู่เหวินติ้งเปิดออกมาดูบนอานม้า เห็นเป็นฎีกาคำสั่งจัดเตรียมทหารแผ่นหนึ่ง
‘…สวี่ไท่นำกองทัพชายแดนรวมสี่หมื่นออกจากเฟิ่งหยาง
เชวี่ยหย่งนำกองทัพชายแดนสองหมื่นรวมตัวกับสวี่ไท่
เฉินจินและบรรดาแม่ทัพนำทหารรวมหกหมื่น แยกทางบรรจบที่หนานชาง
หลิวฮุยและกุ้ยหย่งแบ่งกันนำกองทัพเมืองหลวงสี่หมื่น บุกจากเส้นทางน้ำเมืองสวีโจวและเมืองไหวอันสองทาง
หวังโส่วเหรินนำทหารเจียงซีใต้สองหมื่นเข้าทางทิศเหนือ…‘
อู่เหวินติ้งอ่านต่อไป ทั้งหมดคือจำนวนทหารและทิศทางในการรวมพลของกองทัพทางการแต่ละเส้นทาง ในคำสั่งทหารกำชับให้แต่ละส่วนต้องเคลื่อนที่ช้าลงหลังบรรลุถึงที่รวมพลเพื่อก่อเป็นรูปขบวนโอบล้อมหนานชาง รอคอยกองทัพกบฏของจูเฉินเหาออกจากเมืองค่อยตัดกองทัพและขนาบตีหน้าหลัง
เมื่ออ่านจำนวนรายงานกำลังทหารแต่ละบรรทัดนั้น อู่เหวินติ้งก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่พออ่านต่อไปอีกมันจึงนึกขึ้นได้ว่าเป็นเรื่องเช่นไร ฎีกาทั้งฉบับล้วนเป็นหวังโส่วเหรินแต่งขึ้น ทหารที่ระดมกำลังมาต่อต้านกองทัพกบฏได้ในตอนนี้มีเพียงพันกว่าคนที่จี๋อัน
“โจรกบฏจูเฉินเหาสังหารใต้เท้าอีชวน แต่กลับไม่รู้ว่ามันให้อาวุธที่ร้ายกาจชิ้นหนึ่งแก่ข้าก่อนแล้ว” หวังโส่วเหรินมองป่าในที่ไกลขณะกล่าว ผู้ที่คิดถึงอยู่ในใจคือผู้ล่วงลับที่เสียสละ
‘อีชวน’ คือฉายาของซุนซุ่ยผู้ตรวจการเจียงซี ภายใต้การจัดการของหวังฉยงเสนาบดีกรมทหาร ซุนซุ่ยกับหวังโส่วเหรินขุนนางภักดีมากความสามารถสองคนนี้จึงมาดำรงตำแหน่งที่เจียงซีตามลำดับเพื่อรับมือกับแผนการของจูเฉินเหาล่วงหน้า ในมือซุนซุ่ยแม้ไม่มีทหาร มิอาจโจมตีโจรที่หนิงอ๋องซื้อตัวได้โดยตรง แต่กลับเตรียมพร้อมสำหรับการก่อกบฏในภายภาคหน้าไว้ก่อนแล้ว ข้อหนึ่งในนั้นคือลอบสร้างเครือข่ายสืบเสาะและถ่ายทอดข่าวที่เจียงซี โดยยึดหนานชางเป็นศูนย์กลาง ขอบข่ายครอบคลุมเมืองหลายแห่งตามแม่น้ำ ล้วนเป็นสถานที่ที่ซุนซุ่ยคาดคิดว่าตำหนักหนิงอ๋องจะเคลื่อนไหวหลังยกทัพ
และเมื่อต้นปีนี้ ซุนซุ่ยกับหวังโส่วเหรินเคยเข้าเป็นอาคันตุกะที่ตำหนักหนิงอ๋อง ซุนซุ่ยรับรู้จากปากหนิงอ๋องว่าวันก่อกบฏอยู่ไม่ไกลแล้ว มันจึงฉวยโอกาสขณะรวมตัวที่หนานชางครานั้นมอบสายข้อมูลนี้ให้หวังโส่วเหริน รวมทั้งสัญลักษณ์รหัสลับที่ใช้และใบรายชื่อหูตาในแต่ละพื้นที่ บัดนี้จึงใช้เครือข่ายนี้กระจายข้อมูลเท็จในฐานที่ตั้งของกองทัพกบฏได้พอดี
แต่หวังโส่วเหรินรู้ว่านี่ยังคงไม่เพียงพอ นักวางแผนข้างกายจูเฉินเหามีมากอย่างยิ่ง แค่ข้อมูลเท็จอาจไม่พอทำให้หนิงอ๋องเกิดความคลางแคลงใจจนหยุดปฏิบัติการ ต้องสร้างพิรุธที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อถือ
ก็หมายความว่าต้องส่งคนรุดหน้าไปกระทำการเบื้องหลังศัตรู
ข้างกายหวังโส่วเหริน ผู้ที่รับหน้าที่นี้ได้มีเพียงหกกระบี่บ้านแตก
ในคืนที่เข้าสู่เมืองหลินเจียง แม้หวังโส่วเหรินเหนื่อยล้าถึงขีดสุด แต่ก็ครุ่นคิดแผนการแต่ละประเภทเพื่อรับมือกองทัพกบฏ และคิดวิธีกระจายข่าวปลอมนี้ได้ ซ้ำยังปั้นเรื่องเขียนคำสั่งทหารฉบับนั้น
เมื่อตัดสินใจได้ มันจึงเรียกรวมหกกระบี่บ้านแตกทั้งห้ามาปรึกษาหารือ
‘บัดนี้ได้รับการป้องกันจากกำลังทหารของเมืองหลินเจียง วิกฤตคลี่คลายแล้วเล็กน้อย’ หวังโส่วเหรินกวาดมองพวกจิงเลี่ยพลางกล่าว ‘ข้ากำลังคิดว่าหากยังคงรั้งจอมยุทธ์ทั้งหลายไว้ข้างกาย หาใช่แผนการที่ดีไม่’
จิงเลี่ยและเยียนเหิงมองหน้ากันแวบหนึ่ง
‘มิผิด ใต้เท้าหวัง’ จิงเลี่ยจับหนวดเคราพลางกล่าว ‘พวกเราหกกระบี่บ้านแตก แต่ไรมาล้วนชำนาญการบุกโจมตี’
‘ใต้เท้าหวังอยากใช้พวกเราทำอะไร กล่าวประโยคเดียวก็พอแล้ว’ เยียนเหิงประสานมือกล่าว ‘พวกเราล้วนเตรียมพร้อมล่วงหน้าแล้ว การต่อสู้ในภายหน้าจะอันตรายกว่าวันนี้สิบเท่า’
‘แค่สิบเท่าหรือ’ เลี่ยนเฟยหงหัวเราะพลางกล่าว แต่เสียงหัวเราะนั้นสะกิดแผลเกาทัณฑ์บนไหล่ คิ้วขาวอดมิได้ที่จะขมวดขึ้นมา
หวังโส่วเหรินหัวใจร้อนระอุ แต่มันรู้ว่าไม่ใช่เวลาซาบซึ้ง
เอาไว้หลังชนะก็แล้วกัน ก่อนหน้านั้นกล่าวอะไรที่ซาบซึ้งก็ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย
หวังโส่วเหรินบอกแผนการทั้งหมดแก่หกกระบี่บ้านแตก และคัดลอกรหัสลับกับใบรายชื่อของเครือข่ายที่ส่งข่าวนั้นฉบับหนึ่ง มอบให้จิงเลี่ยเก็บไว้ใช้เช่นกัน
ทัพใหญ่ของจูเฉินเหาจู่โจมได้ทุกเมื่อ หน้าที่ตรึงกำลังมิอาจล่าช้าสักขณะ พวกจิงเลี่ยต้องช่วงชิงเวลากระทำการ วันถัดมาหวังโส่วเหรินจึงออกจากเมืองหลินเจียงพร้อมกับหกกระบี่บ้านแตก เพียงแต่เดินทางไปยังทิศตรงข้ามกัน…
ฟังถึงตรงนี้ ฮั่วเหยาฮวาอดมิได้ที่จะควบม้าเพิ่มความเร็วหลายก้าว ไปสกัดกั้นอยู่หน้าม้าของหวังโส่วเหรินกับอู่เหวินติ้ง
“ใต้เท้าหวังโปรดส่งข้าไปสนับสนุนพวกจิงเลี่ยด้วย!” นางก้มศีรษะวอนขอไปยังหวังโส่วเหริน สิบนิ้วที่จับเชือกบังเหียนม้าออกแรงจนข้อต่อนิ้วมือขาว “ข้าเร่ร่อนในยุทธภพเนิ่นนาน อีกทั้งคุ้นเคยต่อ…การกระทำการของคนพวกนั้นในตำหนักหนิงอ๋องยิ่งนัก จะปั่นป่วนพวกมัน คือความถนัดของข้า!”
หวังโส่วเหรินมองดูนางแวบหนึ่ง ซ้ำยังสบตากับอู่เหวินติ้ง ในความเป็นจริงยามนี้พวกมันยังอยู่ในขั้นรวบรวมกำลังทหาร ไม่ต้องการพลังยุทธ์ของฮั่วเหยาฮวา แต่หากมีกองกำลังอีกขบวนหนึ่งคอยสร้างทหารลวงอยู่หลังศัตรู ประสานงานกันกับหกกระบี่บ้านแตก ก็ยิ่งวิเศษโดยแท้จริง
แน่นอนพวกมันกระจ่างอย่างมากว่าฮั่วเหยาฮวาร้องขอด้วยตัวเอง ครึ่งหนึ่งก็เพื่อพบกับพวกจิงเลี่ยอีกครั้ง…
“น่าเสียดายเมิ่งชีเหอสละชีพไปแล้ว…” หวังโส่วเหรินกล่าวด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว อู่เหวินติ้งได้ยินว่าพวกพ้องเก่าผู้ห้าวหาญที่ปราบโจรในวันนั้นเสียชีวิตแล้วก็อดมิได้ที่จะสะท้าน รู้สึกเสียใจอย่างมาก หวังโส่วเหรินกล่าวกับมันสืบต่อ “ท่านคัดเลือกลูกน้องที่ฝีมือฉับไวและฉลาดปราดเปรื่องที่สุดสิบคน เคลื่อนพลไปด้วยกันกับแม่นางฮั่ว”
ฮั่วเหยาฮวาฟังแล้วยินดียิ่ง ทว่าหวังโส่วเหรินยังมองตรงมายังนางอย่างดุดันสืบต่อ
“จำไว้ ในเมื่อเจ้าเข้าร่วมทัพข้า ผลลัพธ์ของทุกการกระทำล้วนเกี่ยวพันถึงชีวิตความเป็นอยู่ของปวงชน มิอาจให้ความรู้สึกส่วนตัวหรือความรู้สึกผิดเหนือกว่าการตัดสินใจอันเยือกเย็น”
มือซ้ายฮั่วเหยาฮวาประคองดาบทหารข้างเอวเอาไว้ นึกถึงเหตุการณ์ที่หวังโส่วเหรินมอบดาบให้แก่นางอีกครั้งเมื่อครู่
นั่นคือความเชื่อถือ แต่ก็เป็นภาระหน้าที่เช่นกัน
นางมองตรงไปยังหวังโส่วเหรินโดยไม่มีความละอายเช่นก่อนหน้าอีก และผงกศีรษะอย่างแรง
ฮั่วเหยาฮวาที่เคยติดตามจอมเวทปัวหลงไม่เคยคิดมาก่อนว่าการปฏิบัติตามไม่ต้องเกิดจากความหวาดกลัวเสมอไป แต่มาจากจิตภาคภูมิได้เช่นกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…