ล่า
ทดลองอ่านนิยาย ล่า ตอน เมืองหมาป่าภูผามรณะ บทที่ 2
บทที่ 2
คืนนั้นผมกับบอดใหญ่จ้าวดื่มกันจนเมา นอนไม่ได้สติอยู่ที่นั่น วันที่สองพอตื่นขึ้นมาบอดใหญ่จ้าวก็บอกข่าวเรื่องหนึ่งให้ผมได้รู้ พวกเขาหาเด็กสามคนนั่นพบแล้ว ใช่หมาป่าที่หนีหายไปทั้งสามตัวจริงๆ ด้วย พวกมันไม่รู้ไปขโมยเสื้อผ้าจากไหนมาสวมคลุมร่าง นอกจากนี้กระปุกกระเบื้องใส่มดที่ผมพูดถึง พวกเขาก็หาเจอด้วยเช่นกัน แต่มันไม่ใช่กระปุกกระเบื้องดินเผาทั่วไป หากเป็นกระปุกใส่เถ้ากระดูกคนตาย บางทีหมาป่าพวกนี้อาจขุดได้มาจากหลุมฝังศพที่ไหนสักแห่ง
ผมสะท้านไปทั้งใจ ถามตัดบท “ตกลงหมาป่าทั้งสามตัวเป็นยังไงบ้าง”
บอดใหญ่จ้าวส่งเสียงประชดเย็นชาออกมาคำหนึ่ง บอกว่าหมาป่าทั้งสามตัวเย่อหยิ่งจองหอง หลังถูกพรานป่าใช้หมาไล่ต้อนจนขึ้นไปอยู่บนหน้าผา พวกมันก็เลือกกระโดดหน้าผาพร้อมกัน ทำเอาพวกพรานป่าโมโหแทบกระอักเลือดตาย อุตส่าห์ลำบากลำบนบุกป่าฝ่าดงตั้งครึ่งค่อนวัน แต่สุดท้ายแม้แต่ขนหมาป่าสักเส้นก็ไม่ได้ติดมือกลับมา!
ผมทอดถอนใจ นึกไม่ออกว่าควรพูดอะไรต่อ
บอดใหญ่จ้าวตบไหล่ผม “เฮ้อ กว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปเสียบ่าย! รีบกลับเถอะ คราวหน้าถ้ารถเสียกลางทาง จำไว้ ไม่ว่าข้างนอกจะเป็นใครก็ห้ามลงจากรถเด็ดขาด!”
ผมพยักหน้า ยกชาดื่มกำจัดกลิ่นเหล้า ก่อนจะขับรถกลับไป ระหว่างทางตอนข้ามแม่น้ำจวี้หม่า ใจผมก็ยังคงนึกผวา หลายปีมานี้โลกมนุษย์สับสนวุ่นวาย คนเรานับวันก็ยิ่งเหมือนหมาป่าเข้าไปทุกที ส่วนหมาป่ากลับเหมือนคนมากขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะแยกออกว่าใครเป็นใคร
หลังจากผ่านไปได้สองสามวันนึกไม่ถึงไป๋หล่างลูกน้องคนสนิทของนายห้างจะโทรมาหาผมด้วยตัวเอง เขาถามผมถึงเรื่องราวของพรานป่าที่เอาของมาขายให้ในครั้งก่อน เสร็จแล้วก็เล่าเรื่องของอีกฝ่ายคร่าวๆ ก่อนจะถามว่าผมรับซื้อหนังอะไรไว้บ้าง ผมบอกว่าหนังหมาป่า หนังหมาป่าขาว! ไป๋หล่างไม่พูดไม่จา ผมนึกอยู่ในใจ ซวยแล้วๆ เขาต้องกำลังเข้าใจผิดแน่ๆ! จึงรีบอธิบาย บอกว่าหนังสัตว์ที่คนคนนั้นขายมาให้นั้นมีอยู่ผืนหนึ่งเป็นหนังหมาป่าสีขาวบริสุทธิ์ไม่ต่างอะไรกับหนังกระต่าย! ไป๋หล่างตอบรับออกมาคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ บอกว่านายห้างต้องการพบ ให้ผมรีบไปหาเป็นการด่วน พร้อมเอาหนังหมาป่าผืนนั้นติดมือไปด้วย
พอวางสายเสร็จผมก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า มอบหมายให้หม่าซานอยู่ดูแลร้านแทน ก่อนจะรีบออกไปหานายห้าง
บ้านของนายห้างอยู่ไม่ไกลจากร้านของผมเท่าไหร่นัก เขาอาศัยอยู่ในตรอกเล็กๆ บนถนนเถี่ยซู่ เมื่อเดินเข้าไปสุดซอยก็จะพบกับบ้านหลังเล็กๆ ไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง หน้าประตูใหญ่สีดำสองบานมีสิงโตหินตั้งอยู่สองตัว ย่านเมืองเก่าของเป่ยจิงไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ยิ่งมีเงินมาก คนก็ยิ่งเลือกอาศัยอยู่ในตรอกเล็ก อย่าได้คิดดูแคลนตรอกแคบประตูเล็กๆ สองบานไม่สะดุดตาแบบนี้เชียว เพราะไม่แน่ว่าด้านในอาจเป็นพลับพลาศาลาหอสูง สะพานเล็กธารน้ำไหล ดัดแปลงมาจากคฤหาสน์ของแม่ทัพท่านอ๋องในอดีตก็เป็นได้ โดยเฉพาะพวกบ้านเดี่ยวหลังโดดแบบโบราณพวกนั้น ช่างเหมือนคำกล่าว ‘ซุ้มทางเดินอ่างเลี้ยงปลาต้นทับทิม คุณชายหนุ่มสุนัขอ้วนบ่าวเจ้าเนื้อ’* ราคาในเวลานี้ล้วนพุ่งทะยานขึ้นหลักร้อยล้านแล้วทั้งนั้น ช่วยไม่ได้ บ้านหลายหลังในเวลานี้ได้กลายเป็นโบราณสถานที่ต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ไปแล้ว
พอเดินมาถึงหน้าประตูผมก็หยุดทำใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจับห่วงประตูเคาะลงไปสองสามที ไป๋หล่างเดินออกมาเปิดประตูให้ด้วยตัวเอง เขายิ้มพลางตบไหล่ผมบอกว่านายห้างรออยู่ข้างใน ให้ผมรีบเข้าไป แต่ทันใดนั้นเขาก็สำทับขึ้นมาประโยคหนึ่ง บอกว่าอย่าเพิ่งเอาหนังหมาป่าออกมา รอให้คนไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ผมพึมพำรับปากออกมาคำหนึ่ง ก้มหน้าเดินเข้าไปด้านใน
ไป๋หล่างคนนี้ไม่ธรรมดา ว่ากันว่าแต่ก่อนเขาเป็นลูกหลานของหัวหน้าโจรไป๋หลางผู้มีชื่อเสียง ถึงคนจะดูขาวสะอาด สุภาพ แต่เวลาโมโหขึ้นมา แม้แต่กับเจ้าบอดดำเขาก็ยังกล้าเล่นมวยปล้ำด้วย สมัยก่อนเขาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพรานเถื่อน ตั้งหลักปักฐานอยู่บริเวณตะเข็บชายแดนจีนกับมองโกล ล่าม้า กวาง ละมั่ง รวมถึงพวกหมาป่า เลี้ยงชีพด้วยการขายของป่าและหนังสัตว์ ตอนรุ่งเรืองสุดๆ ในมือมีลูกน้องนับร้อย แม้แต่ตำรวจในท้องที่ก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ถูกตำรวจตระเวนชายแดนปราบปรามกวาดล้าง ออกไล่ล่าสามวันสามคืนติด หนำซ้ำยังเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่า ก่อนจะได้นายห้างที่เผอิญผ่านไปแถวนั้นพอดีช่วยไว้ นับแต่นั้นเขาก็มอบกายถวายชีวิตติดตามนายห้างมาโดยตลอด
ผมหันกลับไปมองไป๋หล่าง เห็นเขาแยกเขี้ยวยิ้ม โบกมือมาทางผม
ไป๋หล่างหางตายกสูง คิ้วขาด หน้าแหลมเหมือนหมาป่า ว่ากันว่าเป็นโหงวเฮ้งที่ไม่ดีเอาเสียเลย ตำรานรลักษณ์บอกไว้ว่าโหงวเฮ้งแบบนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องได้ตายกลายเป็นผีหัวขาดเข้าสักวัน หนำซ้ำตายแล้วยังจะกลายเป็นผีร้ายอีกต่างหาก แม้แต่ภาพถ่ายก็ยังเอาไว้ใช้ไล่เสนียดจัญไรได้ หากว่ากันตามที่ยายผมบอก ยังดีที่เขาเกิดในยุคบ้านเมืองสงบสุข หากเกิดก่อนยุคกองทัพปลดปล่อยประชาชน ไป๋หล่างคนนี้คงไม่แคล้วได้เป็นมือมีดซีเป่ยแน่
มือมีดซีเป่ยคืออะไร
เฮ้อ พูดง่ายๆ ก็โจรนั่นแหละ
บางครั้งพอลองคิดดู ผมก็รู้สึกว่าคนอย่างบอดใหญ่จ้าวนี่แหละถึงจะเรียกว่าดี โมโหก็ด่า ดีใจก็แยกเขี้ยวยิ้ม น้ำใสใจจริง ไม่มีความคิดชั่วร้ายแอบแฝง อย่างน้อยก็ยังดีกว่าพวกชอบทำต่อตัวหน้าอย่างลับหลังอย่าง
ผมรีบชักเท้าตรงเข้าไปในห้อง ไม่คิดอะไรอีก พอเห็นผมเดินเข้าไป นายห้างก็พยักหน้าและส่งสัญญาณบอกให้ผมนั่งลง ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับชากาหนึ่ง
ผมมองไปรอบๆ ในห้องโถงมีคนนั่งอยู่จำนวนหนึ่ง มีทั้งที่ผมรู้จักและไม่รู้จัก บอดใหญ่จ้าวมาถึงก่อนนานแล้ว เขานั่งอยู่ทางด้านข้าง ขยิบตาเป็นสัญญาณบอกให้ผมไปนั่งข้างๆ เขา
ผมนั่งลงเงียบๆ กระซิบถาม “มีเรื่องอะไรใช่หรือเปล่า”
บอดใหญ่จ้าวกลับลีลา ทำปากบุ้ยใบ้ไปในห้อง “เอ็งรู้หรือเปล่าว่าใครมา”
ผมหรี่ตามองไปยังม่านที่กั้นขวางอยู่ตรงหน้าประตู ด้านในมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ อีกฝ่ายใส่เสื้อซุนยัตเซ็นที่ถูกซักจนซีด แผ่นหลังเหยียดตรง กำลังพูดอะไรบางอย่าง ส่วนนายห้างก็นั่งอยู่อีกด้าน รินน้ำชาให้อีกฝ่ายด้วยทีท่านอบน้อม
ประหลาดจริงๆ นายห้างแม้จะเป็นคนอ่อนน้อม แต่ก็ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเกรงอกเกรงใจแขกแบบนี้ ทำไมเขาถึงต้องต้อนรับคนคนนี้ด้วยท่าทีกระตือรือร้นแบบนั้นด้วย
ผมยื่นปากชี้ไปทางอีกฝ่าย กระซิบถามบอดใหญ่จ้าว “ใคร?”
น้ำเสียงของบอดใหญ่จ้าวเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา “ใคร? ผู้เฒ่ากวนตงไง!”
“เอ๋?” ผมนั่งตัวตรงเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาทันที ในหัวคิด นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมแม้แต่ผู้เฒ่ากวนตงก็ยังลงเขามาแบบนี้!
ผู้เฒ่ากวนตงเรียกได้ว่าเป็นบุคคลในตำนานที่ยังมีชีวิต ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขา และไม่มีใครรู้ว่าเขาอายุเท่าไหร่ ในทุ่งล่าสัตว์ตั้งแต่เจ้านายยันลูกน้อง ทุกคนต่างเรียกเขาว่าผู้เฒ่ากวนตง ผู้เฒ่ากวนตงเป็นคนซานตง ออกท่องโลกกว้างทั่วกวนตง (ฝั่งตะวันออกของด่านหานกู่) ตั้งแต่อายุสิบสาม พำนักอาศัยอยู่ในสุสานเก่าเขตตงเป่ยมานานหลายสิบปี ล่าสัตว์ ขุดโสม ตัดเขากวางอ่อน เก็บเห็ด ฟอกหนัง เรื่องราวในป่าไม่มีเรื่องไหนที่เขาไม่รู้ สัตว์ทั้งหลายในป่าดิบไม่มีที่เขาไม่เคยกิน ชายชราพำนักอยู่ในป่าลึกเป็นเวลาช้านาน เลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ นิสัยตรงไปตรงมา ดุดัน ฉับไวไม่ต่างกับสัตว์ป่า
เขามักพูดว่าสังคมมนุษย์ในเวลานี้เลวร้าย สมัยที่พวกเขาออกไปผจญภัยที่ต้าซิงอันหลิ่งเขตกวนตง กลางป่ากลางเขาไม่ว่าอะไรก็ล้วนมีด้วยกันทั้งนั้น! ถ้ำอสรพิษ หุบเขาหมูป่า รังต่อพิษ ซานเซียว บอดดำ หมาใน ลมไป๋เหมา หรือเซียนพฤกษาเฒ่า…พวกเขาล้วนเคยพบพานมาแล้วทั้งสิ้น! ตลอดชีวิตคงมีแต่จิตใจมนุษย์ที่ชั่วร้ายเยี่ยงนี้เท่านั้นที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน!
มีครั้งหนึ่งหลังดื่มเหล้าเสร็จ ทุกคนก็พากันนั่งนับนิ้วคำนวณดู ผู้เฒ่ากวนตงเคยผ่านทั้งสงครามกลางเมือง สงครามปลดปล่อยประชาชน ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม สมัยปฏิรูปและเปิดประเทศมาแล้ว เช่นนั้นเขาก็น่าจะอายุเกินร้อยไปมากโขอยู่
ผมนั่งไม่ติดเก้าอี้ หันไปถามบอดใหญ่จ้าว “ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงต้องรบกวนผู้เฒ่ากวนตงด้วย!”
บอดใหญ่จ้าวเบ้ปาก “ก็เรื่องของเอ็งนั่นแหละ แถมยังเสือกมีคนตายเพิ่มอีก!”
ผมตกใจ “เอ๋? มีคนตายเพิ่มอีก?”
บอดใหญ่จ้าวกระซิบ “หลังเกิดเรื่องนายห้างรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล เลยส่งคนไปต้าซิงอันหลิ่งเพื่อสืบเรื่อง สุดท้ายก็พบว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ พรานป่ารายนั้นที่แท้ไม่ได้ถูกงูกัดตาย แต่ถูกคนฆ่าตาย”
ผมยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีก “ฝีมือใคร”
บอดใหญ่จ้าวบอก “ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้อยู่แค่ตา!”
ผมชักเครียด “เฮ้ย เฮียอย่าเที่ยวพูดเหลวไหล!”
บอดใหญ่จ้าวตอบ “ไอ้บ้า ใครบอกว่าเป็นเอ็ง! คนใจปลาซิวอย่างเอ็ง มีหรือจะกล้าทำ! ข้าหมายความว่าในหมู่พวกเรามีคนทรยศ เขาเรียกว่าอะไรนะ โจรในบ้านยากป้องกันใช่มั้ย ระยำเอ๊ย!”
เขากระซิบต่ออีกว่า “สองสามวันก่อนนายห้างส่งพรานเฒ่าที่ยังชีพด้วยการเป็นพรานป่าอยู่แถวตงเป่ยนานครึ่งค่อนชีวิตคนหนึ่งไปต้าซิงอันหลิ่ง พรานเฒ่ารายนั้นประสบการณ์เต็มเปี่ยม เขาแกะรอยเดินทางไปตามเส้นทางที่พรานป่าคนนั้นใช้ แต่เดินไปได้ไม่เท่าไหร่พรานเฒ่ารายนั้นก็พบปัญหา ชายที่เอาผืนหนังมาขายรายนั้นไม่ได้เดินส่งเดช แต่เดินไปตามสัญลักษณ์ที่มีคนทำทิ้งไว้ สุดท้ายพอถึงปลายทางเขาก็ตายอยู่ที่นั่น”
ผมถาม “สัญลักษณ์? สัญลักษณ์อะไร สัญลักษณ์ของใคร”
บอดใหญ่จ้าวยิ้มหยัน “ปัญหาอยู่ตรงนี้ บอกให้เอ็งรู้ไว้ สัญลักษณ์นั่นเป็นสัญลักษณ์ของทุ่งล่าสัตว์ของพวกเรา”
ผมร้องอุทานออกมาเบาๆ “อะไรนะ! สัญลักษณ์ของทุ่งล่าสัตว์ของพวกเรา? สัญลักษณ์หน้าปีศาจ คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงอันนั้น?”
บอดใหญ่จ้าวพยักหน้าด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม
ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกแล้วว่านายห้างมีทุ่งล่าสัตว์อยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีกฎเกณฑ์เข้มงวด หลังพาแขกเข้าป่าไป พรานป่าต้องเดินไปตามสัญลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครพวกนั้นเท่านั้น เพราะหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น จะได้สะดวกต่อการส่งคนเข้าไปช่วยเหลือ สัญลักษณ์ของทุ่งล่าสัตว์โดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็นภาพใบหน้าหมาป่าบิดเบี้ยว ใบหน้าหมาป่านี้พิลึกพิลั่นสุดๆ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังก็แล้วกัน มันคล้ายใบหน้าก่อนตายของหมาป่า เพราะดูทุกข์ทรมานเป็นที่สุด ทั้งใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงยิ้ม เห็นได้ชัดว่าทั้งดุร้ายทั้งแปลกประหลาด
ผมถาม “แล้วไงต่อ คนที่ส่งไปเจอเรื่องผิดปกติใช่หรือเปล่า”
บอดใหญ่จ้าวพูดด้วยสีหน้าท่าทางแปลกๆ “พรานเฒ่าคนนั้นตื่นเต้นมาก หลังออกจากป่ามาเขาก็รีบขึ้นรถส่งไม้ ตอนอยู่บนรถ เพราะมือถือแบตฯ หมดเลยยืมมือถือของคนขับรถโทรหานายห้างทั้งๆ ที่มืดแล้ว เขาละล่ำละลักอย่างกับคนเสียสติ เอาแต่บอกว่าที่นั่นมีผี มีเรื่องไม่ปกติ พอพูดมาถึงตรงนี้สัญญาณมือถือก็ขาดหายไปเสียเฉยๆ หลังจากนั้นก็ติดต่ออะไรกันไม่ได้อีก วันที่สองไอ้หมาเหลืองรายนั้นก็โทรมาบอกว่าพรานป่าคนนั้นตายอยู่ในโรงแรม สภาพไม่ต่างอะไรกับเหยื่อรายแรก แค่วันที่สองศพก็ส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปทั่ว ตอนทำความสะอาด พนักงานโรงแรมได้กลิ่นเหม็นถึงได้โทรแจ้งตำรวจ ว่ากันว่าถูกงูกัดตายเหมือนกัน!”
ผมพูดโพล่งอย่างหมดความอดทน “แบบนี้ไม่เหลวไหลเกินไปหน่อยหรือไง! โรงแรมบ้าอะไรถึงมีงูได้ หรือจะบอกว่างูจากในป่าเข้าโรงแรมไปพร้อมกับชาวบ้าน!”
“เห็นไหม ขนาดเด็กอ่อนหัดอย่างเอ็งก็ยังดูออกว่าเรื่องมันไม่ปกติ แล้วนายห้างมีหรือจะไม่รู้ นายห้างรีบส่งพรานเฒ่าสองคนไปตรวจสอบที่นั่นอีกรอบ ดูว่าตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ผลก็คือ…”
ผมรีบพูด “ผลที่ได้คือ?”
บอดใหญ่จ้าวตอบ “เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องนอกเหนือความคาดหมายขึ้นอีก ครั้งนี้นายห้างให้พวกเขาพกโทรศัพท์ดาวเทียมติดตัวไปด้วย จะได้รักษาการติดต่อกับพวกเราได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง พร้อมเซรุ่ม…เผื่อถูกงูกัด ผล…ผลก็คือพรานเฒ่าทั้งสองคนกลับหายสาบสูญ…”
ผมตกใจจนอ้าปากค้าง “เวร! แล้ว…แล้วไงต่อ แจ้งตำรวจหรือยัง”
บอดใหญ่จ้าวบอก “ไม่แจ้งได้ไง พวกเราเองก็พอมีเส้นสายกับทางตำรวจอยู่ กองกำลังในพื้นที่เริ่มเคลื่อนไหว กระจายกำลังค้นหาแล้ว พรานของพวกเราล้วนได้รับการฝึกฝนแบบมืออาชีพ ตลอดเส้นทางจะมีการทิ้งสัญลักษณ์ไว้ เพียงไม่นานกองกำลังช่วยเหลือก็ค้นหาสัญลักษณ์พบ หลังแกะรอยไปตามสัญลักษณ์พวกนั้นอยู่ราวๆ ครึ่งวัน พวกเขาก็พบกับปัญหา พรานเฒ่าสองคนนั้นเหมือนจะเดินวนเวียนไปมารอบแล้วรอบเล่า ทุกคนต่างสงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าพวกเขาทั้งคู่เจอผีก่อกำแพงเจอต้นไม้บังตาเข้า ทุกคนแกะรอยตามสัญลักษณ์พวกนั้นไป แต่สุดท้ายสัญลักษณ์ก็หายเกลี้ยง ไม่เหลือร่องรอยให้ตามหาได้อีก…อย่างกับว่าจู่ๆ พรานป่าพวกนั้นก็หายตัวไปเสียเฉยๆ!”
ผมไม่อยากนึกเชื่อ “บ้าไปแล้ว คนเป็นๆ สองคนหายตัวไปเฉยๆ นี่นะ!”
บอดใหญ่จ้าวถ่มน้ำลาย พูดอย่างหนักแน่น “ไอ้เวร ก็พวกนั้นหายตัวไปจริงๆ!”
ผมบอก ”เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ถูกหมีดำกิน ยังไงบนพื้นก็ต้องมีรอยเลือดหลงเหลืออยู่บ้าง!”
บอดใหญ่จ้าวสีหน้าเคร่งขรึม ส่ายหน้าช้าๆ “ถ้าถูกตัวอะไรจับกินเข้าไปจริง อย่างน้อยก็ต้องมีร่องรอยหลงเหลือให้เห็น แต่ปัญหาคือที่นั่นสะอาดเอี่ยม ไม่มีร่องรอยอะไรเลยสักนิด! เรื่องนี้พิลึกโคตรๆ!”
ผมนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้า พูดเหมือนคนสติปัญญาเฉียบแหลม “คนที่ออกไปค้นหาเป็นพวกกองกำลังทหาร ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร รับรองได้ว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแน่! คนพวกนี้ทำงานแบบไหนมีหรือผมจะไม่รู้ ทั้งหัวหน้าทั้งลูกน้องล้วนเหลวไหลไม่เอาถ่าน เรื่องที่ไม่รู้ไม่เข้าใจเอะอะก็โยงเข้าเรื่องลี้ลับปาฏิหาริย์ประจำ พวกเด็กเลี้ยงแกะทั้งนั้น!”
บอดใหญ่จ้าวหันหน้ามาจ้องมองดูผม ”เมื่อสามวันก่อนไป๋หล่างพาพรานมือดีจำนวนหนึ่งไปที่นั่นเป็นการเฉพาะ วันนี้เพิ่งกลับมา”
ผมตะลึง ไป๋หล่างเป็นคนละเอียดรอบคอบ ไม่มีทางทำอะไรผิดพลาดได้ หรือว่าบนเขาจะมีเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์เกิดขึ้นจริง อีกอย่างวันนี้เขาเพิ่งกลับมา แล้วทำไมถึงต้องเรียกผมมาที่นี่ด้วย หรือเพราะก่อนตายคนที่เอาผืนหนังมาขายนั้นได้เขียนชื่อของผมไว้ หรือว่าเขากำลังสงสัยผมอยู่
บอดใหญ่จ้าวหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจ “ที่นั่นเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย ไม่เกิดเรื่องสิแปลก…”
“เฮียหมายความว่า?”
บอดใหญ่จ้าวน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “เมื่อกี้ข้าก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง พรานเฒ่าที่ไปคนแรก ละล่ำละลักพูดผ่านสายราวกับถูกผีเข้าอยู่สองคำ”
ผมจำไม่ได้แน่ชัดจึงถาม ”เขาว่า?”
บอดใหญ่จ้าวมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง พอเห็นว่าไม่มีใครจับตามอง เขาก็กระซิบตอบ “มีผี…”
ท่าทีหวาดวิตกของบอดใหญ่จ้าวตอนพูดคำว่า ‘มีผี’ สองคำนั้นออกมาทำเอาผมสะดุ้งโหยง ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง หันไปถามเขา “ต่อให้มีคนหายตัวไป เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของพวกเรา ทำไมต้องรบกวนผู้เฒ่ากวนตงด้วย”
บอดใหญ่จ้าวประชดอย่างเย็นชาออกมาทีหนึ่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะเขี้ยวงูอันเบ้อเริ่มนั่น ใครจะไปเชิญผู้เฒ่ากวนตงมาได้”
ผมชักเริ่มไม่เข้าใจ ก็แค่เขี้ยวงูเขี้ยวอันหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสักหน่อย ทำไมถึงทำให้ชายชราที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างผู้เฒ่ากวนตงตื่นตระหนกยอมลงเขามาได้ ผมถามเขาอีกครั้งว่าตกลงเขี้ยวงูที่ว่ามันใหญ่ขนาดไหนกันแน่ แต่บอดใหญ่จ้าวกลับทำลึกลับ เขาย้ำซ้ำไปซ้ำมาว่านายห้างเคยสั่งไว้ ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนนอกล่วงรู้เด็ดขาด ทำเอาผมโมโหชูนิ้วกลางให้เขาพร้อมสบถ “เวร!” ออกมาคำหนึ่ง
ในตอนนั้นเองเสียงหัวเราะเบิกบานของผู้เฒ่ากวนตงก็ดังลอยออกมาจากในห้อง เขาเอ่ยปากร้อง “ดีๆๆ” ติดกันหลายคราว ก่อนจะลุกเดินออกมาด้วยตัวเอง ไม่ยอมให้นายห้างส่ง
พวกเราต่างรีบลุกขึ้นยืน ค้อมกายส่งชายชราออกนอกประตู
ชายชราไพล่แขนทั้งสองข้างไว้ทางด้านหลัง จังหวะย่างก้าวสุขุมมั่นคง ขณะกำลังเดินผ่านผมไป จู่ๆ เขาก็หยุดชะงักเท้า หันกลับมายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วยิ้ม “เสี่ยวชี ตาของเจ้าสบายดีใช่หรือเปล่า”
ผมรีบตอบ “สบายดีครับสบายดี เพราะได้บารมีของผู้อาวุโสคุ้มครอง ตาจึงสบายดี!”
ชายชราถามต่ออีกประโยค “แล้วน้าเล็กของเจ้ามีข่าวคราวบ้างแล้วหรือยัง”
ผมส่ายหน้า “ยังเลยครับ”
ผู้เฒ่ากวนตงหัวร่อ ตบไหล่ผมเต็มแรง “อีกไม่นานแล้ว! อีกไม่นาน! ฮ่าๆๆ!”
หลังพูดจาแปลกๆ จบเขาก็หยิกแก้มผมทีหนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมเดินจากไป ไม่สนใจที่จะมองดูคนอื่น
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา ก่อนจะหันมองดูผมด้วยสีหน้าแปลกประหลาด แม้แต่บอดใหญ่จ้าวเองก็ยังขยิบตาให้ ผมรีบก้มหน้า แอบนึกด่าแม่อีกฝ่ายอยู่ในใจ
ผู้เฒ่ากวนตงนิสัยแปลกประหลาด เย่อหยิ่งจองหองเป็นที่สุด ปกติไม่เคยนึกใส่ใจใครทั้งนั้น จะมีแต่กับผมเท่านั้นที่พอจะโอเคอยู่บ้าง หนำซ้ำยังมักถามไถ่ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเกิดที่ตงเป่ยของผมอยู่เป็นประจำ รวมถึงเรื่องของตา เรื่องของน้าเล็กที่หายสาบสูญ คล้ายสนใจเรื่องพวกนั้นเป็นอย่างมาก แถมถามจบก็เป็นอันต้องระเบิดเสียงหัวเราะเสียทุกครั้ง ทำเอาเวลากินเหล้าบอดใหญ่จ้าวมักแอบถามผมแทบทุกครั้งว่าชายชราคนนี้ใช่พวกโรคจิตชอบเด็กเอ๊าะๆ หรือเปล่า
เหลวไหลบัดซบที่สุด!
ครั้งล่าสุดที่เฒ่ากวนตงมาคือเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นผมเพิ่งเข้ามาทำงาน ยังเป็นแค่เด็กในร้าน ทำอะไรก็ไม่ถูก ได้แต่ยืนหวาดๆ รินน้ำชาปรนนิบัติรับใช้ชายชราอยู่ข้างๆ มองดูเขาเดินไปรอบๆ ร้าน วิพากษ์วิจารณ์สินค้าภายในร้านของพวกเราด้วยคำพูดสั้นๆ แต่ได้ใจความว่ามีแต่ขยะ คร่ำคร่าเสียจนขนเขินแทบจะหลุดร่วงหมดแล้ว แถมยังคว้าเอาสมบัติล้ำค่าของที่ร้าน หนังเสือลายพาดกลอนที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมปูลงกับพื้น ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น สูบกล้องยาสูบ เล่าเรื่องราวมากมายสมัยยังล่าสัตว์อยู่ที่ต้าซิงอันหลิ่งให้ฟัง ส่วนผมก็นั่งฟังด้วยใจระทึก
เขากระแอมกระไอออกมาแรงๆ สองสามที ก่อนจะขากเสลดลงบนหัวเลียงผาพลางเอ่ยปากตำหนิผมเสียงดัง บอกว่าผมพูดจาทำอะไรล้วนกระบิดกระบวนอย่างกับพวกผู้หญิง! หลังจากนั้นเขาก็เคาะเถ้ายาสูบลงบนหนังเสือ เถ้ายาสูบเผาหนังเสือไหม้ดำ ผู้จัดการร้านในเวลานั้นเจ็บปวดแทบขาดใจตาย ใบหน้าประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวแดง แต่ถึงกระนั้นกลับไม่กล้าเอ่ยปาก ไม่กล้าแม้แต่จะชำเลืองดู เห็นท่าทางตกใจเนื้อเต้นแทบร้องไห้ออกมาของผู้จัดการตอนนั้นผมโคตรสะใจ
ต้องรู้ไว้ว่าหนังเสือนั่นมันของแท้ ไม่ใช่หนังหมาย้อมสีที่ขายกันอยู่ข้างถนน เป็นของที่นายห้างสั่งให้เอามาแขวนไว้ในร้านเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายเป็นการเฉพาะ หนังเสือเก่าแก่ผืนนี้เก็บรักษาไว้ได้ดีเยี่ยม รูปทรงหรือก็ได้รูป หากมีรอยขูดขีดแม้เพียงน้อย ราคามีหวังได้หายวูบ ผู้เฒ่ากวนตงเคาะเถ้ายาสูบลงไปหน้าตาเฉยแบบนั้น อย่างน้อยก็เผาเงินหายไปหลายแสน!
ที่ผู้เฒ่ากวนตงถามบ่อยๆ ยังคงเป็นเรื่องการหายตัวไปตั้งแต่เล็กของน้าเล็กของผม เขารู้เรื่องนี้ขณะกำลังคุยสัพเพเหระอยู่กับผม และนับแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็มักถามผมถึงเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ ทำอย่างกับผมเป็นคนเอาตัวน้าเล็กไปซ่อนเสียเอง ทุกครั้งที่ได้ยินเขาถาม ผมก็อดขนลุกซู่ไม่ได้
หลังผู้เฒ่ากวนตงกลับไป ไป๋หล่างก็บอกกับทุกคนเพียงสั้นๆ ว่ามีพี่น้องหลายคนหายตัวไปในป่าลึกเขตต้าซิงอันหลิ่ง เป็นไม่พบคน ตายไม่พบศพ ชีวิตของพี่น้องจะทิ้งกันไปง่ายๆ ไม่ได้ ครั้งนี้นายห้างเชิญผู้เฒ่ากวนตงลงจากเขามาเป็นการเฉพาะก็เพื่อเดินทางไปค้นหาคนในป่าลึกด้วยกัน และเพราะการไปในครั้งนี้อาจไปนานอยู่สักหน่อย ดังนั้นนายห้างจึงมีเรื่องที่จะมอบหมายให้ทุกคน
ผมรู้สึกกลุ้มใจอยู่เล็กๆ ทุกปีนายห้างจะหายเข้าป่าไปนานสองสามเดือน ครั้งนี้ถึงจะเชิญผู้เฒ่ากวนตงลงเขามา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เรียกทุกคนมารวมตัวกันแบบนี้เสียหน่อย ขนาดคนตัวเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีบทบาทอะไรในการล่าสัตว์เลยอย่างผมก็ยังถูกเรียกให้มาที่นี่ หรือว่าจะมีเรื่องใหญ่อะไรต้องประกาศจริงๆ
ผมเหยียบเท้าบอดใหญ่จ้าวเงียบๆ ทีหนึ่ง เขาส่ายหน้า บอกให้รู้ว่าตัวเองก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน
นายห้างเอ่ยปากทักทายพอเป็นพิธี ก่อนจะให้ไป๋หล่างหยิบเอาของสิ่งหนึ่งออกมาส่งต่อให้ทุกคนได้ดูพลางบอกไป๋หล่างพบเจ้าสิ่งนี้แถวๆ ที่พวกพี่น้องหายตัวไป ผมเบียดขึ้นหน้าเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ของสิ่งนั้นขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือ มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ กึ่งโปร่งแสง มีคนหยิบมันขึ้นดม บอกว่ามีกลิ่นคาวเลือดจางๆ คล้ายมาจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำ เหมือนจะเป็นเกล็ดปลา ไม่แน่ว่าอาจเป็นเกล็ดปลาทะเลขนาดใหญ่ แต่ว่าเมื่อครู่ผู้เฒ่ากวนตงก็คงได้เห็นเจ้าของสิ่งนี้แล้ว นายห้างเองก็มีทีท่าระแวดระวัง แสดงว่ามันย่อมไม่ใช่เกล็ดปลาธรรมดาๆ แน่ ทุกคนต่างกระซิบกระซาบถกเถียงกันไปมา ไม่มีใครรู้ชัดว่าแท้แล้วเจ้าสิ่งนั้นคืออะไร
นายห้างให้ไป๋หล่างส่งจานสำริดใบหนึ่งให้ทุกคนดู บนจานมีผ้าแดงปิดไว้ ครั้นเลิกผ้าแดงออก ก็พบว่าบนจานมีสิ่งคล้ายหยกขาวชิ้นหนึ่งวางอยู่ มันมีขนาดประมาณนิ้วมือ ด้านหนึ่งหนา อีกด้านค่อยๆ เรียวเล็กลงคล้ายอาวุธลับสมัยโบราณ
หรือว่าเจ้าสิ่งนี้ก็คือเขี้ยวงูยักษ์ที่บอดใหญ่จ้าวเคยพูดถึง ผมมองไปทางบอดใหญ่จ้าว เขาพยักหน้าเงียบๆ ใจผมเต้นระส่ำ ถึงจะเคยได้ยินก่อนแล้วว่ามีเขี้ยวงูใหญ่ขนาดนี้ แต่ผมก็ไม่เคยนึกเชื่อ นึกไม่ถึงว่ามันจะมีอยู่จริง!
หลังสาละวนเบียดเสียดขึ้นหน้า พิจารณาดูมันโดยละเอียด ผมก็พบว่าเจ้าสิ่งที่ดูเหมือนชิ้นหยกในตอนแรกนั้นพอเอามาไว้บนมือถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่ เขี้ยวงูนี้ไม่วับวาวใสกระจ่างเหมือนหยก สัมผัสหรือก็ไม่เย็นเช่นหยก ความต่างที่เห็นชัดคือมันกลวง ดูเหมือนหน่อไม้เบอร์เล็ก
เห็นชัดว่าเจ้าของสิ่งนี้เหมือนเขี้ยวงูยักษ์จริงๆ เขี้ยวงูโค้งแหลม ด้านในกลวง เต็มไปด้วยพิษร้าย เมื่อเป็นเช่นนี้ ของเมื่อครู่ก็ย่อมอธิบายได้ว่ามันคือเกล็ดงูยักษ์! ขนาดเขี้ยวพิษยังใหญ่ขนาดนั้น หากเกล็ดของมันจะใหญ่เท่าฝ่ามือก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด!
ขณะที่ผมกำลังนึกกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่คนอื่นๆ กลับพากันตื่นตะลึง ได้แต่ข้ามองเอ็ง เอ็งมองข้า ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ในที่สุด ก็มีคนตะกุกตะกักพูด “นาย…นายห้าง…นี่…นี่มันเขี้ยวงู! แต่ว่า…ไม่ใช่! ต่อให้ต้าซิงอันหลิ่งมีงูตัวใหญ่ขนาดนี้อยู่จริง ก็ไม่มีทางเป็นงูพิษได้!”
ผมเพิ่งได้สติ เขี้ยวงูนี้ยาวหนึ่งนิ้วคนเต็มๆ บนโลกไม่มีทางมีงูตัวใหญ่ขนาดนี้ได้! ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นพรานมืออาชีพ ดังนั้นเพียงไม่นานทุกคนก็คิดเทียบบัญญัติไตรยางศ์จากขนาดของเขี้ยวงูที่อยู่ตรงหน้าได้ หากนี่เป็นเขี้ยวงูจริง เช่นนั้นงูตัวนี้ก็เกรงว่าจะยาวหลายสิบเมตร ลำตัวใหญ่เท่าโอ่งน้ำ! ต่อให้โลกนี้มีงูตัวใหญ่ขนาดนั้นจริงมันก็ไม่มีทางอยู่ที่ต้าซิงอันหลิ่งได้ และยิ่งไม่มีทางเป็นงูพิษ!
เจ้าสิ่งที่เรียกว่างูยักษ์นี้มีอยู่มากในดินแดนเขตร้อน โดยเฉพาะป่าดิบชื้นแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เต็มไปด้วยหุบเขาห้วยหนองคลองบึง ว่ากันว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สองทหารญี่ปุ่นบุกโจมตีพม่า สหรัฐอเมริกาส่งกองกำลังทหารปืนใหญ่เข้าไปซุ่มโจมตีกองทัพญี่ปุ่นในป่า ผลก็คือถูกงูโบอายักษ์ที่ซุ่มอยู่บริเวณหนองน้ำแถวนั้นเล่นงานเข้า งูยักษ์ตัวที่ว่าลำตัวหนาขนาดโอ่งน้ำ มันพันรัดรถขนส่งทหาร เปลี่ยนรถขนส่งทหารกลายเป็นขนมเกลียว สุดท้ายต้องใช้ปืนครกถล่มใส่มันถึงจะตาย!
เรื่องงูยักษ์ปรากฏตัวในเขตร้อนชื้นนั้นอธิบายได้ไม่ยาก สภาพอากาศชื้นอบอุ่น หุบเขาหนองน้ำสะดวกต่อการเคลื่อนไหวของพวกมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร ปัญหาคือ ต้าซิงอันหลิ่งของพวกเราอยู่ในเขตหนาว หิมะปกคลุมยอดเขานานหลายเดือน อุณหภูมิติดลบหลายสิบองศา เป็นไปได้ยังไงที่จะมีงูยักษ์เข้ามาอาศัยอยู่ ต่อให้มีอยู่จริง ต่อให้ไม่อดตาย มันก็น่าจะหนาวตายไปก่อนหน้านี้นานแล้ว!
นายห้างถาม “ทุกคนคิดเห็นเช่นไร”
ทุกคนต่างลังเล จะให้ตอบยังไง ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นไปไม่ได้ หรือจะให้บอกว่านายห้างพลาดแล้ว ของสิ่งนี้เป็นของที่ทำปลอมขึ้นมา?
นายห้างกวาดตามอง “ฉันให้คนตรวจสอบดูแล้ว และก็ให้ผู้เฒ่ากวนตงดูแล้วด้วยเช่นกัน ของสิ่งนี้ใช่เขี้ยวงูไม่ผิดแน่”
ทุกคนต่างพากันแตกตื่น เจ้านี่เป็นเขี้ยวงูจริงงั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็โคตรอัศจรรย์แล้ว ต้าซิงอันหลิ่งมีงูยักษ์ตัวใหญ่ขนาดนี้ หรือว่าที่คนเฒ่าคนแก่เล่าสืบต่อกันมาว่าบนเขามีงูยักษ์นอนผึ่งเกล็ด ลำตัวของมันพันรอบยอดเขาเล็กๆ ได้รอบหนึ่งจะเป็นความจริง
ทุกคนต่างนึกหวาดหวั่น เลือดในตัวผมวิ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง ตอนเด็กๆ ผมเคยได้ยินตาเล่า ในป่าเขามีพวกงูยักษ์ซ่อนตัวอยู่ เวลาอากาศดีๆ พวกมันจะออกมานอนผึ่งเกล็ดอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ แค่เกล็ดของพวกมันก็ใหญ่เท่าฝ่ามือแล้ว แต่ผมคิดเสมอว่ามันก็แค่เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น นึกไม่ถึงว่างูยักษ์แบบนั้นจะมีอยู่บนโลกด้วย
ชายรูปร่างผอมบางคนหนึ่งพูด “นายห้าง ว่ากันตามหลักแล้ว ตง…ตงเป่ยไม่น่าจะมีงูยักษ์แบบนี้”
นายห้างพยักหน้า “เขี้ยวพิษเป็นของจริง แต่งูยักษ์ไม่แน่ว่าจะต้องเกิดที่ตงเป่ย”
ชายรูปร่างผอมบางไม่เข้าใจ “ถ้า…ถ้าอย่างนั้นเขี้ยวพิษนี่มันอะไรกัน”
นายห้างว่า “เขี้ยวพิษพบบริเวณที่พี่น้องของพวกเราหายสาบสูญ แต่ว่าพวกเราพบก็แต่เขี้ยวของมัน ไม่พบตัว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่า เขี้ยวนี้มีคนเอามันไปทิ้งไว้ หรือว่ามีงูแบบนั้นอยู่ที่นั่นจริงกันแน่”
ผมขบคิดรวดเร็ว เรื่องนี้ชักซับซ้อนสับสนมากขึ้นทุกที
ตกลงเขี้ยวพิษนี้ได้มาจากไหนกันแน่ แรกเริ่มบอดใหญ่จ้าวบอกว่าเขี้ยวพิษนี้ได้มาจากในท้องของพรานขายผืนหนังรายนั้น แล้วทำไมนายห้างถึงบอกว่าไป๋หล่างเก็บได้จากในป่า บอดใหญ่จ้าวไม่มีทางพูดผิด ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องโกหก หรือว่านายห้างกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง เขากำลังปกปิดมันจากใคร หรือว่าจากหนอนบ่อนไส้ที่บอดใหญ่จ้าวพูดถึง
ผมครุ่นคิดอย่างสับสน ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น ไม่แน่ว่าลึกเข้าไปในต้าซิงอันหลิ่งอาจมีงูยักษ์หลบซ่อนอยู่จริงก็เป็นได้ ถ้าอย่างนั้นก็โคตรมหัศจรรย์เลย! สุดยอด!
แต่จะว่าไปก็ไม่ถูก งูยักษ์ในป่าดิบชื้นเขตร้อนมีพิษเสียที่ไหน เพราะไม่มีความจำเป็น อาศัยแค่ร่างกายใหญ่โตที่รัดเสือรัดจระเข้ให้แหลกได้ภายในชั่วพริบตาก็ทำให้มันขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดสุดของห่วงโซ่อาหารแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เขี้ยวพิษอะไรแม้แต่น้อย หรือต่อให้มีงูตัวใหญ่เท่าสัตว์ยักษ์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์อยู่จริง อีกทั้งยังมีเขี้ยวพิษติดตัว แต่เขี้ยวของมันกลับถูกอะไรบางอย่างหักลงง่ายดาย เช่นนั้นเจ้าสิ่งมีชีวิตลึกลับที่หักเขี้ยวของมันได้คือตัวอะไร มีลักษณะแบบไหน ก็คงยากเกินกว่าที่ใครจะนึกออก
อยู่กับธุรกิจค้าหนังสัตว์มานานปี ผมย่อมต้องรู้ ในดินแดนส่วนลึกของต้าซิงอันหลิ่งยังมีสัตว์ประหลาดลึกลับที่โลกภายนอกไม่เคยรู้จักอยู่อีกมาก สัตว์บางจำพวกมหัศจรรย์พันลึกสุดๆ ยากเกินกว่าจะอนุมานได้ด้วยสามัญสำนึก ไม่แน่ว่าในดินแดนส่วนลึกของต้าซิงอันหลิ่งอาจมีสัตว์เทพในตำนานซุ่มซ่อนอยู่! เรื่องนี้ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกคึกคักตื่นเต้น
ในตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นอีก “เป็นไปได้หรือเปล่าที่พี่น้องที่หายสาบสูญไปของพวกเราจะถูกงูยักษ์นั่นกินไปแล้ว”
ไป๋หล่างส่ายหน้า “พวกเราเองก็คิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ แต่หลังจากตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พวกเรากลับพบว่าพื้นที่ละแวกนั้นสะอาดหมดจด ไม่มีรอยเลือด สุมทุมพุ่มไม้แถวนั้นก็ไม่มีร่องรอยของการถูกกดทับ หนำซ้ำยังไม่มีร่องรอยคนลั่นไกยิงหน้าไม้ นอกเสียจากว่าพวกนั้นจะยอมตามมันไปเองแต่โดยดี”
เรื่องนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งพิลึกพิลั่นมากขึ้นทุกที
พวกพรานป่าในเขตทุ่งล่าสัตว์ล้วนเป็นพรานมืออาชีพที่มาจากทั่วทุกสารทิศ เคยใช้ปืนผาหน้าไม้ต่อสู้กับพวกสัตว์ป่ามาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะบอดดำหรือเสือตงเป่ย ต่อให้รู้ดีว่ามีแต่ตายกับตายเท่านั้น ยังไงก่อนตายพวกเขาก็ต้องขอให้ได้ยิงปืนใส่อีกฝ่ายสักนัด! เอาเป็นว่าถึงพรานป่าจำพวกเจอสัตว์ดุร้ายต่อหน้าก็ได้แต่ยอมจำนนต่อชะตากรรมจะมีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีทางเป็นพรานป่าของพวกเรา
ยิ่งไปกว่านั้นไป๋หล่างเองก็พูดชัดเจนแล้วว่า พรานป่าสองคนนั้นไม่แค่ยอมจำนนต่อชะตากรรมเท่านั้น หากยังยอมเดินตามตูดเจ้านั่นไปแต่โดยดีอีก นี่มันความคิดบ้าบอคอแตกแบบไหนกัน หรือจะบอกว่าพวกเขาถูกมนตร์สะกดของพวกสัตว์ป่าจนเห็นภาพหลอน กลายเป็นหุ่นเชิดของพวกมัน!
นายห้างพูดต่อ “ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็คือพรรคพวกของพวกเรา เป็นต้องพบคน ตายต้องพบศพ ครั้งนี้ฉันจะไปพาพวกเขากลับมาด้วยตัวเอง ขึ้นเขาครั้งนี้อาจมีอันตราย ดังนั้นฉันจะไม่บังคับใครทั้งสิ้น คนที่คิดจะไปด้วยก็ขอให้อยู่ต่อ ส่วนใครที่ไม่อยากไปก็ให้ถอยออกไป ฉันไม่โทษใครทั้งนั้น”
ผู้คนต่างพากันแตกตื่นขึ้นอีกรอบ บางคนรู้สึกหวั่นไหว ละล้าละลังหันซ้ายหันขวามองดูคนที่อยู่รอบข้าง เก้อเขินเกินกว่าจะถอยฉากออกไปต่อหน้าพี่น้องมากมายแบบนั้น
ไป๋หล่างเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง “พี่น้องทั้งหลายนายห้างรู้ดีว่าทุกคนไม่กลัวตาย แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ทุกคนต่างมีเด็กคนชราให้ต้องดูแล คนที่มีภาระครอบครัวไม่ต้องไป พวกเราเข้าใจดี และจะไม่ถือโทษโกรธกันด้วย”
ทุกคนต่างพากันส่งเสียงกระซิบกระซาบ บางคนเดินหวาดๆ ออกมา โค้งคำนับขอโทษนายห้าง บ้างก็บอกว่าในบ้านมีเรื่องที่ไม่อาจละทิ้ง บ้างก็บอกว่าสุขภาพไม่ดี ไม่เหมาะจะเดินทางไกล นายห้างพยักหน้าน้อยๆ ให้พวกเขาออกไปยืนอยู่อีกฟาก บอดใหญ่จ้าวเตะผม บอกให้เดินออกไป แต่ผมไม่นึกใส่ใจ กลับเงยหน้ายืนตัวตรง งานนี้ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องขอเข้าป่าด้วยให้ได้ จะให้ผมถอย? ฝันไปเถอะ!
นายห้างพยักหน้า เลือกคนจำนวนหนึ่ง ให้พวกเขากลับไปเตรียมตัว สามวันให้หลังมุ่งหน้าเดินทางไปต้าซิงอันหลิ่ง หลังบอกขอบคุณทุกคนที่ยอมร่วมลำบากและมอบหมายงานหลังออกเดินทางเป็นที่เรียบร้อย นายห้างก็เชิญทุกคนกลับด้วยความสุภาพ
บอดใหญ่จ้าวจะออกไปเช่นกัน แต่ผมดึงเขาเอาไว้ สุดท้ายในห้องก็เหลือเพียงไป๋หล่าง นายห้าง แล้วก็ยังมีเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนรอรับใช้อยู่หลังนายห้าง ท่าทางเหมือนไม่คิดจะจากไปไหน ผมทนรอไม่ไหว เอ่ยปากขอโทษนายห้าง บอกว่าตอนนั้นผมประมาทเลินเล่อ รับซื้อผืนหนังพวกนั้นมาจนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โต วันหน้าผมจะไม่ทำการค้าแบบนี้อีก ไป๋หล่างขยิบตาเป็นสัญญาณ ผมรีบหยิบเอาหนังหมาป่าสีขาวผืนนั้นออกมาจากเป้ บอกกับนายห้างว่านี่ก็คือผืนหนังที่คนคนนั้นเอามาขาย
บอดใหญ่จ้าวตะลึง ร้องอุทานออกมา “นี่เหรอหนังหมาป่า นี่มันหนังปีศาจกระต่ายจำแลงมากกว่า!”
เขาคว้าหนังหมาป่าไปพิจารณาดู หลังจากตรวจดูโดยละเอียดสุดท้ายเขาก็พูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ “เวร! นี่มันหนังหมาป่าจริงๆ ด้วย!”
ไป๋หล่างเองก็ขยับเข้ามาดูแผ่นหนังผืนนี้ด้วยเช่นกัน เขาขมวดคิ้ว “หนังผืนนี้ไม่ปกติ”
บอดใหญ่จ้าวตะลึง “ว่าไงนะ หรือจะบอกว่านี่ไม่ใช่หนังหมาป่า”
ไป๋หล่างยื่นส่งมันให้กับนายห้าง นายห้างหรี่ตาดูครู่หนึ่ง “มันไม่ใช่หนังหมาป่าจริงๆ”
บอดใหญ่จ้าวร้อนรนขึ้นมาทันที “เป็นไปไม่ได้! ข้าอยู่กลางป่ากลางเขามาครึ่งค่อนชีวิต หนังหมาป่าเป็นแบบไหนมีหรือที่ข้าจะบอกไม่ได้!”
ไป๋หล่างพูดเสียงราบเรียบ “หนังหมาป่าไม่มีทางขาวบริสุทธิ์แบบนี้ นอกเสียจากว่าจะเป็นหนังหมาอื่นๆ”
นายห้างส่งผืนหนังนั้นให้ผมพิจารณาดูและถามความคิดเห็น ผมเกาหัว “เรื่องนี้…ผมดูไม่ออก”
บอดใหญ่จ้าวเริ่มมีน้ำโห เขาผุดลุกขึ้นรวดเร็ว “ข้าอยู่บนเขาชำแหละหมาป่ามาตั้งแต่ยังเล็ก แล้วหนังหมาป่าเป็นแบบไหนทำไมข้าจะดูไม่ออก นี่มันหนังหมาป่าชัดๆ!”
ไป๋หล่างตบไหล่เขาเบาๆ พลางพูดปลอบ “บอดใหญ่นั่งลงก่อน ค่อยๆ คุยกัน เรื่องจับอินทรีนายมันมืออาชีพ แต่สำหรับเรื่องหมาป่ายังไงก็ต้องฟังผม ผมล่าหมาป่าอยู่ที่มองโกลมายี่สิบปี หนังหมาหนังหมาป่ามีหรือจะแยกไม่ได้ นายฟังให้ดีไม่ว่าหนังผืนนี้จะเป็นหนังอะไร ยังไงมันก็มีปัญหาอยู่ดี”
บอดใหญ่จ้าวกระฟัดกระเฟียดแล้วนั่งลง “ว่ามาๆ!”
ไป๋หล่างชี้ “ดูนี่ ปกติตรงกลางหลังของหนังหมาป่าจะมีเส้นขนสีดำเป็นแนวตรง แต่หนังผืนนี้ไม่มี”
บอดใหญ่จ้าวรับมันมาพิจารณาดูโดยละเอียด ไม่มีแนวเส้นขนสีดำจริงๆ เขาพูด “เป็นไปได้หรือเปล่าที่มันเป็นหมาป่าพันทาง เลยไม่มีขนสีดำ”
ไป๋หล่างแย้งอย่างไม่สบอารมณ์ “ขอเพียงเป็นหมาป่า ไม่ว่าจะพันธุ์แท้หรือพันทางก็ล้วนมีแนวเส้นขนสีดำด้วยกันทั้งนั้น เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นอื่น”
บอดใหญ่จ้าวพิจารณาดูผืนหนังซ้ำแล้วซ้ำอีก “ไม่ถูก ดูเล็บเท้านี่ จมูกนี่ ยังไงก็หมาป่าชัดๆ”
ไป๋หล่างยิ้มอย่างจนใจ “ถูกต้อง เพราะฉะนั้นผมถึงได้บอกว่ามีปัญหา”
หลายวันมานี้ผมลองพลิกค้นข้อมูลในหนังสือ หาวิธีแยกแยะหมาป่ากับหมาบ้านออกจากกัน หนังหมาป่าปกติบนหลังของมันจะมีขนสีเทาดำ ไม่ก็สีเหลืองอ่อนแซมอยู่ สีบนลำตัวค่อนไปทางหม่น ขนหนังกระด้างสีเดียวตลอดตัว หากไม่ใช่สีดำก็เป็นสีน้ำตาลดำ ส่วนหนังหมาจะมีหลายสี อีกอย่างหูของหมาป่าจะเล็กกว่าหมาทั่วไปอยู่ประมาณหนึ่ง บริเวณคอจะมีขนบางส่วนงอกติดอยู่ในหนัง หนังมีกลิ่นสาบ ปากค่อนข้างแหลม ปลายหางเป็นสีดำ
หากว่ากันตามนี้หนังผืนนี้ต้องเป็นหนังหมาป่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สีของมันกลับไม่สอดคล้องกับสามัญสำนึก ดังนั้นผมจึงไม่กล้าพูดเสนอความคิดเห็นอะไรออกมา
ผมถาม “ถ้าไม่ใช่หนังหมาป่า แล้วมันเป็นหนังอะไร”
ไป๋หล่างขมวดหัวคิ้ว พูดอย่างลังเล “ผมล่าหมาป่าอยู่ที่มองโกลมาก็ตั้งมาก แต่ไม่เคยเห็นพบเจอหนังหมาป่าแบบนี้…”
ในตอนนั้นเองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หลังนายห้างมาตลอดก็เปิดปากพูดออกมาเนิบๆ “หนังหมาป่า หมาป่าหิมะ”
เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่หลังนายห้างมาโดยตลอด ผมจึงไม่ทันได้ใส่ใจ ในเวลานี้พอมองไป ผมก็พบว่าผมของอีกฝ่ายไม่เพียงยาวมากหากยังพันกันยุ่ง ผิวดำคล้ำ ดูไม่เหมือนคนจีน หากคล้ายชาวทิเบต คนคนนี้ผมไม่เคยรู้จัก พอมองไปทางบอดใหญ่จ้าว เขาส่งสายตาบอกให้ผมรู้เป็นนัยว่าอีกฝ่ายเป็นคนของทุ่งล่าสัตว์เหมือนกัน
“หมาป่าหิมะ?” ผมพูด “ไม่น่าใช่ หนังหมาป่าหิมะเคยผ่านมือผมมาไม่ใช่น้อย หนังของพวกมันไม่ได้ขาวปลอดแบบนี้ แต่เป็นสีเทา แถมยังไม่ได้หายากอะไร!”
เด็กหนุ่มคนดังกล่าวพูดเย็นชา “นายไม่เข้าใจ”
เขาไม่แม้แต่จะชายตามองดูผม ตรงกันข้ามกลับหยิบหนังหมาป่าผืนนั้นขึ้นมา แต่แทนที่จะมองดูผืนหนัง เขากลับไปสนใจรอยฝีเข็มเล็กๆ สองแถวบริเวณช่วงท้องแทน
ผมรู้สึกโมโห ต่อหน้าคนตั้งมากมาย อุตส่าห์ถามแล้วแต่กลับไม่แม้จะชายตามอง คิดว่าตัวเองใหญ่มาจากไหนวะ
แต่นายห้างกลับไม่ถือสาอีกฝ่าย หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง พอเขาไม่มีทีท่าจะพูดอะไรอีก นายห้างก็หันไปถามไป๋หล่าง “นายรู้เรื่องหมาป่าหิมะหรือเปล่า”
ไป๋หล่างหน้าซีด เขาลังเลไปชั่วขณะ “นายห้าง หมาป่าหิมะถึงจะมีอยู่จริง แต่ก็ยังคงไม่ใช่อยู่ดี”
บอดใหญ่จ้าวถาม “ไม่ใช่ตรงไหน”
ไป๋หล่างส่ายหน้า “หมาป่าหิมะที่ทุกคนพูดถึง คือหมาป่าทิเบต หมาป่าชนิดนี้ใช้ชีวิตอยู่บนดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ขนของมันสีเทาอ่อน จึงถูกเรียกอีกชื่อว่าหมาป่าขาว และนี่ก็เป็นจุดที่ผมบอกว่าไม่ถูก ขนของหมาป่าชนิดนี้แท้จริงเป็นสีเทา ไม่ได้ขาวแบบนี้ ความจริงหมาป่าหิมะแท้ๆ คือหมาป่านิวฟันด์แลนด์ มีชีวิตอยู่แถบขั้วโลกเหนือ มีเพียงหมาป่าขั้วโลกเหนือชนิดนี้เท่านั้นที่ขนของมันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ อีกอย่างหมาป่าทั่วไปจะมีแนวขนสีดำอยู่บนหลัง ยกเว้นก็แต่หมาป่าชนิดนี้เท่านั้นที่ขาวปลอดตลอดทั้งตัว บนแผ่นหลังไม่มีแนวขนสีดำ หากเป็นไปตามที่พูด หนังหมาป่าผืนนี้ก็เป็นได้แค่หนังหมาป่าขั้วโลกเหนือเท่านั้น”
ผมเองก็นึกสงสัย “ถ้าหากเป็นหมาป่าขั้วโลกเหนือจริง ทำไมถึงถูกพรานป่าจากต้าซิงอันหลิ่งล่าได้”
ไป๋หล่างยิ้มขื่น “ผมถึงได้บอกว่าเรื่องนี้มีปัญหา ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ แต่หมาป่านิวฟันด์แลนด์สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ยี่สิบ ตอนนี้ต่อให้ไปถึงขั้วโลกเหนือก็หาพวกมันไม่เจอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพรานป่าคนนั้น…ได้มันมาได้ยังไง”
บอดใหญ่จ้าวอ้าปาก “สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว? ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมหนังหมาป่านั่นมาโผล่อยู่ที่นี่ได้”
ไป๋หล่างเองก็ไม่แน่ใจ “ผมถึงได้บอกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ อยู่ ว่ากันตามหลักแล้วนี่ไม่มีทางเป็นหนังหมาป่าขั้วโลกเหนือได้ แต่พี่ชายตัวน้อยไม่มีทางเข้าใจผิด ดังนั้นผมถึงบอกไม่ได้ว่าแท้แล้วเรื่องราวมันเป็นไงมาไงกันแน่”
คำพูดประโยคนี้ของไป๋หล่างฟังดูแปลกๆ ทำไมเขาถึงได้บอกว่าคำพูดของไอ้ดำนั่นไม่มีทางผิดได้ ให้ตายเถอะ อย่าว่าแต่อื่นไกลเลย ขนาดพระยูไลเองก็ยังผิดพลาดได้ แล้วทำไมเจ้านั่นถึงจะพูดผิดไม่ได้!
แต่นายห้างกลับเห็นด้วยกับคำพูดของไป๋หล่าง เขาพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นมันก็คงเป็นหมาป่าหิมะจริงๆ”
ผมไม่นึกยอมแพ้ คิดอยากเถียงอีกฝ่าย แต่บอดใหญ่จ้าวกลับดึงผมไว้ ขยิบตาบอกเป็นนัยไม่ให้ผมทะเลาะกับชาวบ้าน ผมจึงได้แต่เก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้
ทุกคนพูดคุยสัพเพเหระด้วยกันอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋หล่างกับบอดใหญ่จ้าวเดินจากไปแล้ว ผมเองก็กำลังหงุดหงิดโมโห เตรียมเดินจากไปแต่กลับถูกนายห้างรั้งตัวไว้ “เสี่ยวชี นายอยากถามว่าขึ้นเขาคราวนี้ฉันจะพานายไปด้วยหรือเปล่าใช่ไหม”
ผมอ้าปาก นึกอยากเอ่ยอะไรออกมาสักสองสามประโยค แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรดี จึงได้แต่พยักหน้าทึ่มทื่อ
นายห้างไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พูดออกมาช้าๆ คล้ายใคร่ครวญเสร็จสรรพ “ครั้งนี้นายไปด้วยก็แล้วกัน”
ในที่สุดก้อนหินใหญ่ในใจผมก็ถูกยกออก ผมตื่นเต้นจนหน้าแดงพร้อมพยักหน้าเต็มกำลัง พูดอะไรไม่ออก
นายห้างคล้ายรันทดเล็กๆ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ “ฉันรู้ หลายปีมานี้นายอยากเข้าป่ามาโดยตลอด…”
ผมไม่ได้พูดอะไร คิดว่าอีกเดี๋ยวนายห้างคงบอกต่อถึงเหตุผลที่ไม่ยอมพาผมไปด้วย แต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ เขากลับบอกออกมาว่า “ครั้งนี้ผู้เฒ่ากวนตงเป็นคนอนุญาตให้นายไป”
“ผู้เฒ่ากวนตงอนุญาตให้ผมไป?” ผมตะลึงอยู่ที่นั่น ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความเช่นไร
นายห้างหันหลังเดินเข้าไปในห้องหนังสือ “เสี่ยวชี เข้ามาดื่มชาเป็นเพื่อนกันสักครู่ก่อน”
ผมตอบรับ “ครับ” ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปนั่งอยู่ในห้องหนังสือ
นายห้างชอบดื่มชา ชาที่นายห้างโปรดปรานคือชาปี้หลัวชุน ชาปี้หลัวชุนมีคุณสมบัติพิเศษ เป็นชารสชาติบางเบา แต่เวลาจะดื่มกลับต้องใส่มันลงในถ้วยกระเบื้องเนื้อหนา ใบชาที่อยู่ในถ้วย จะเหยียดตรงประหนึ่งเรือธง ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำ น้ำชามีสีเขียวสดใส รสชาติอ่อนละมุน หลังจากดื่มไปคำหนึ่ง ผมก็เริ่มบทสนทนาเบาๆ คอยสังเกตดูทีท่าของนายห้างอย่างระมัดระวัง
ดื่มชา แท้ก็คือการพูดคุย และมักเป็นการพูดคุยกันอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะหัวข้อสนทนาค่อนข้างจริงจัง ดังนั้นจึงต้องการน้ำชาใสสะอาด กลิ่นชาหอมละมุน ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศเคร่งขรึมให้จางลง
สมัยนี้ผู้คนล้วนยุ่งวุ่นวาย เถ้าแก่เองก็ยิ่งยุ่ง ใครจะว่างขนาดเรียกชาวบ้านให้มานั่งดื่มชาเป็นเพื่อนได้
นายห้างจิบชาคำหนึ่ง ถามผมเนิบๆ “เสี่ยวชี นายทำงานอยู่ที่ร้านนานแค่ไหนแล้ว”
ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “เกือบห้าปีแล้วครับนายห้าง”
นายห้างตอบรับคำหนึ่ง “ยังจำได้หรือเปล่า ตอนรับนายเข้าทำงาน ฉันเคยถามอะไร”
ผมบอก “ตอนนั้นคุณถามผมว่าคิดเห็นยังไงเรื่องการล่าสัตว์”
นายห้างพยักหน้า “อืม นายตอบว่า?”
“ตอนนั้นผมบอกว่ายิ่งเป็นชนเผ่าที่รักสัตว์มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งชอบล่าสัตว์มากเท่านั้น อย่างชาวคาซัค ชาวมองโกล ชาวโอโรเชน ชาวจั้ง ผมรู้สึกว่ายิ่งพวกเขารักสัตว์มาก พวกเขาก็ยิ่งรู้จักทะนุถนอมพวกมัน ใส่ใจพวกมัน”
นายห้างพยักหน้า “นายพูดได้ถูกต้อง คนจำนวนมากบอกว่าเปิดทุ่งล่าสัตว์ไม่ได้ เพราะการเปิดทุ่งล่าสัตว์จะทำให้พวกสัตว์ป่าสูญพันธุ์ เรื่องนี้นายคิดเห็นยังไง”
ผมตื่นเต้น “คำพูดพวกนี้โคตรเหลวไหล ชนเผ่าล่าสัตว์ในประเทศจีนมีอยู่มากมาย ล่าสัตว์กันมาตั้งแต่หลายพันปีก่อน ทำไมไม่เห็นมีสัตว์ที่ไหนสูญพันธุ์ ตรงกันข้ามทั้งๆ ที่ตอนนี้มีกฎหมายห้ามล่าสัตว์ แต่พวกสัตว์กลับสูญพันธุ์ไม่หยุด! อีกอย่างต่อให้แค่เรื่องห้ามล่าสัตว์เรื่องเดียว ยังไงมันก็เหลวไหลอยู่ดี ชาวโอโรเชนรุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ นอกจากล่าสัตว์แล้วพวกเขายังจะทำอะไรได้อีก บอกไม่ให้พวกเขาล่าสัตว์ก็ไม่ล่าสัตว์งั้นหรือ ไม่ล่าสัตว์จะให้พวกเขากินลมฟ้าอากาศหรือไง!”
นายห้างพยักหน้า “คนมากมายบอกว่าการล่าสัตว์ทำให้พวกสัตว์ป่าสูญพันธุ์ เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ต่างประเทศมีฤดูกาลล่าสัตว์ พอถึงเวลาและเงื่อนไขที่สอดคล้อง ผู้คนก็จะออกล่าสัตว์ได้อย่างถูกกฎหมาย ล่าสัตว์ต้องเสียภาษี ประเทศนำรายได้ส่วนนี้ไปปกป้องคุ้มครองสัตว์ป่าให้ดียิ่งขึ้น ฉันคิดว่าวิธีนี้ไม่เลว ประเทศของพวกเราทำเป็นก็แต่ ‘เข้มงวด’ ไม่รู้จัก ‘ผ่อนปรน’ หนำซ้ำยังไม่มีงบประมาณสำหรับคุ้มครองสัตว์ป่า ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง พรานป่าอย่างพวกเราก็มีจรรยาบรรณอาชีพ มีกฎที่สืบต่อมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ไม่ถึงฤดูล่าสัตว์ไม่เข้าป่า สองหัวไม่ยิงยิงตรงกลาง ไม่ยิงสัตว์ที่กำลังตั้งท้อง ยังไม่โตเต็มวัยไม่ยิง คำพูดเหล่านี้ความจริงแล้วล้วนมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น ระยะนี้ฉันได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการล่าสัตว์ของพวกรัสเซียเล่มหนึ่ง บอกว่าวิธีการล่าสัตว์แบบนี้ช่วยส่งเสริมให้ฝูงสัตว์มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นายว่ามีเหตุผลหรือเปล่า”
ผมบอก “ถูกต้องที่สุด! พวก ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ‘สัตว์ตราจารย์’ ในประเทศหลายคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด เก่งก็แต่โวยวาย! พวกรัสเซียถึงจะเจ้าเล่ห์เชื่อถือไม่ค่อยได้ แต่กับเรื่องล่าสัตว์พวกเขากลับมีสายตากว้างไกล!”
ผมพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องการประจบประแจงเอาใจนายห้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
คนที่ไม่เข้าใจมักบอกว่าสัตว์สูญพันธุ์เพราะถูกล่า พวกพรานป่าไม่มีทางได้ตายดี เรื่องนี้ล้วนเป็นคำพูดเหลวไหล!
คนพวกนี้ไม่รู้จักใช้สมองคิด โลกเรามีพรานป่าอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทำไมประเทศในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป หรือทวีปแอฟริกา รวมถึงประเทศจีนเมื่อครั้งอดีตสมัยที่อนุญาตให้มีการล่าสัตว์ พวกสัตว์ป่าถึงล้วนอยู่ดีกินดี ตรงกันข้ามกับปัจจุบัน หลังเริ่มมีการห้ามล่าสัตว์ สัตว์ป่าจำนวนมากของประเทศจีนก็ต่างพากันสูญพันธุ์!
ว่างๆ ผมมักคุยกับพวกบอดใหญ่จ้าวถึงเรื่องนี้ ทำไมระยะหลังสัตว์ป่าถึงได้ลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว บ้างก็ถึงกับสูญพันธุ์ หลังจากวิเคราะห์กันอยู่ครู่หนึ่งสาเหตุหลักๆ ก็มีเพียงไม่กี่อย่าง
ประการแรกเพราะการเปิดให้มีการบุกเบิกพื้นที่รกร้างขนานใหญ่ แผ้วถางทำลายป่า ถมทะเลสร้างพื้นที่ทางการเกษตร สภาพแวดล้อมที่พวกสัตว์ใช้ดำรงชีวิตถูกทำลายอย่างหนัก จนพวกมันไม่มีบ้านอยู่อาศัย ไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัว ป่าดิบในเขตตงเป่ยถูกแผ้วถางไปเป็นจำนวนมาก ทุ่งหญ้าในมองโกลและทิเบตก็ถูกใช้ไปกับการทำปศุสัตว์เป็นจำนวนมหาศาล ป่าไม้ทุ่งหญ้าลดลง พื้นที่ชายทะเล ห้วยหนองคลองบึงถูกปิดกั้น กวางโร กวาง อูฐ หมีดำ กวางแดงและอื่นๆ ต่างไม่มีสถานที่ให้หลบซ่อน ไม่มีอาหารให้กิน ไม่มีที่ให้อพยพโยกย้าย จนเป็นเหตุให้พวกมันล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
รองลงมาคือยาปราบศัตรูพืชที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง ยาปราบศัตรูพืชที่มีพิษรุนแรงพวกนั้นทำให้พวกนกถูกพิษล้มตายกันให้ระนาว
ผู้คนมากมายอาจไม่เคยคิดมาก่อนว่ายาปราบศัตรูพืชแท้ก็คือเพชฌฆาตอันดับหนึ่งของพวกสัตว์ปีก การใช้ยาปราบศัตรูพืชพร่ำเพรื่อทำให้นกจำนวนมากต้องตาย ช่วงฤดูใบไม้ผลิเกษตรกรบางคนหลังหว่านเมล็ดพันธุ์พืชเสร็จ พวกเขาก็จะเอาธัญพืชไปแช่ยาปราบศัตรูพืช เสร็จแล้วก็เอาไปวางไว้กลางทุ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้พวกนกมากินเมล็ดพืช วันที่สองหากแวะเข้าไปดู ก็จะพบว่าที่ข้างๆ ถ้วยชามพวกนั้นมีนกนอนตายกันให้เกลื่อน
สุดท้ายก็คือสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ สภาพอากาศที่เปลี่ยนไป สารเคมีปนเปื้อนต่างๆ ทำให้สิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะสัตว์น้ำตายไปเป็นเบือ รวมถึงปรากฏการณ์ผิดปกติต่างๆ
ถ้าจะถามว่าการล่าสัตว์ทำให้สัตว์ป่าลดน้อยลงหรือเปล่า
คำตอบย่อมต้องใช่ เรื่องนี้พวกเราเองก็ต้องยอมรับ
พรานป่าไร้คุณธรรมจำนวนมากวางยาเบื่อไว้ทั่วป่า ยาเบื่อทำได้ง่าย พบเห็นได้ทั่วไป พวกชาวบ้านจำนวนไม่น้อยเวลาออกไปเลี้ยงแกะในตอนเช้า พวกเขาจะโรยยาเบื่อไว้ตามทาง พอตกเย็นขณะเดินทางกลับ พวกเขาก็จะย้อนทางเดินกลับมาเก็บสัตว์ที่ถูกเบื่อตาย นกเหล่านี้พวกเขาไม่กิน แต่จะขายให้กับพวกพ่อค้าอาหารป่า ก่อนจะกระจายไปตามร้านอาหารเล็กๆ ทั่วประเทศ ยาเบื่อมีตั้งแต่ยาเบื่อนก ยาเบื่อจิ้งจอก ยาเบื่อหมาป่า ไม่ว่าจะเป็นยาเบื่อชนิดใดก็ล้วนทำได้ไม่ยาก แต่ประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูง ยาเบื่อนกทำได้โดยการเอาธัญพืชไปแช่ไว้ในยากำจัดศัตรูพืช ก่อนจะนำไปตากให้แห้ง โปรยทิ้งไว้ตามทาง พวกนกเขาลายกินแล้วจะตายทันที ส่วนยาเบื่อจิ้งจอกทำได้ด้วยการแคะเม็ดพุทราออก หลังจากนั้นก็ยัดยาพิษเข้าไปแทน ข้างๆ ทิ้งพุทราที่ไม่มีพิษเอาไว้หลายๆ ลูก จิ้งจอกนิสัยขี้ระแวง มีแต่ทำแบบนี้เท่านั้นพวกมันถึงจะติดกับ ส่วนยาเบื่อหมาป่าจะยุ่งยากขึ้นมาอีกขั้น ต้องใช้น้ำมันวัว น้ำมันแพะ น้ำมันไก่เคี่ยวจนกลายเป็นไขมันข้นๆ หลังจากนั้นก็ใช้ไขมันพวกนี้ห่อยาพิษไว้อีกที เรียกอีกอย่างว่ายาเบื่อหอม หมาป่าติดกับง่ายมาก
ยังมีพรานป่าไร้จิตสำนึกที่วางลวดกับดักไว้ทั่วป่าอีก คนพวกนี้คิดแต่จะทำการค้าไร้คุณธรรมต้นทุนต่ำ ลงทุนเพียงลวดกับดักยาวหนึ่งถึงสองเมตรเท่านั้นก็ได้แล้ว บ่วงลวดใช้เพื่อฆ่าสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เสือ เสือดาว หมาป่า หมูป่า เมื่อไหร่ที่เผลอเข้าไปติดบ่วงพวกมันก็จะไม่มีวันหลุดรอดออกมาได้อีก ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่น ทรมาทรกรรมก่อนจะตายไปในที่สุด บางพวกใช้ตาข่ายดักนกกับตะเกียงเหมืองจับนกบนยอดเขา ตาข่ายดักนกทำขึ้นโดยใช้เชือกเส้นบางๆ ถักทอจนได้ตาข่ายขนาดใหญ่คล้ายแหกว้างประมาณยี่สิบสามสิบเมตร ลึกห้าหกเมตร จะต่างกันตรงที่ตาของมันจะมีขนาดใหญ่กว่า เมื่อถูกล่อด้วยแสงไฟ นกก็จะบินเข้าไปในตาข่าย ติดตายบนนั้น หากเป็นช่วงฤดูอพยพ ตาข่ายดักนกขนาดใหญ่พวกนี้แค่คืนเดียวก็ดักจับนกได้ถึงหลายร้อยตัว ขนาดหงส์ก็ยังมี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพวกใช้ไฟฟ้าแรงสูงช็อตปลาในน้ำ บนหลังแบกแบตเตอรี่ที่ให้กำลังไฟฟ้าแรงสูงไว้ นำไม้ที่มัดปลายไว้ด้วยขดลวดเหนี่ยวนำไฟฟ้าจุ่มมันลงไปในน้ำเพื่อช็อตปลา ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะกุ้งหอยปูปลาหรือเต่า ก็ล้วนถูกช็อตตายเกลี้ยง
พรานเถื่อนและวิธีล่าสัตว์แบบผิดกฎหมายที่ทำให้พวกสัตว์ป่าบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก หลายชนิดต้องสูญพันธุ์เหล่านี้ไม่เพียงควรถูกประณาม หากแต่ยังควรถูกต่อต้านด้วย ความจริงพวกพรานเถื่อน คนที่ล่าสัตว์ด้วยวิธีผิดกฎหมายพวกนี้สมควรถูกจับส่งเข้าคุกด้วยซ้ำ
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือพฤติกรรมเหิมเกริมของพวกพรานเถื่อน อย่างการล่าฝูงเลียงผาจนตายเป็นเบือที่เข่อเข่อซีหลี่ในมณฑลชิงไห่ การใช้ปืนกลกราดยิงละมั่งที่ชายแดนจีนและมองโกล การล่าเสือโคร่งตงเป่ยที่เขตพื้นที่เขาทั้งต้าซิงอันหลิ่งและเสี่ยวซิงอันหลิ่ง การแอบลักลอบล่าช้างที่สิบสองปันนา
การกระทำเหล่านี้เป็นการทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง
คนพวกนี้จับได้สมควรยิงทิ้งเสียให้หมด ไม่ต้องให้อุทธรณ์อะไรทั้งนั้น
แต่ว่ายังไงผมก็ต้องพูดขอความยุติธรรมให้กับทางนี้สักประโยค พรานป่าที่แท้จริงจะไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด การล่าสัตว์ไม่ได้เป็นเพียงการฆ่าสัตว์ แต่ยังเป็นการแสดงความเคารพต่อสัตว์เหล่านั้น แสวงหาความสุขจากการต่อสู้กับบรรดาสัตว์ในป่ากว้าง คนที่ชอบล่าสัตว์ล้วนเป็นคนที่รักสัตว์ด้วยใจแท้จริง ที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่การล่าล้างสังหาร หากแต่เป็นความรู้สึกของการใช้ชีวิตอยู่กลางป่าเขาเหมือนเมื่อครั้งบรรพกาล
ขณะเดียวกันผมก็ต้องขอความยุติธรรมให้กลุ่มอนุรักษ์เช่นเดียวกัน พรานเถื่อนเป็นห่วงโซ่ธุรกิจผิดกฎหมาย ขอเพียงควบคุมหนึ่งในห่วงโซ่นั้นได้ ธุรกิจนี้ย่อมไม่อาจดำเนินต่อไปได้อีก ถึงคุณจะใช้กฎหมายพันธนาการพวกพรานเถื่อนไม่ได้ แต่คุณก็ควบคุมตัวเองด้วยการไม่ไปซื้อของป่าผิดกฎหมายได้ เมื่อไม่มีคนซื้อ พรานเถื่อนย่อมไม่คิดออกไปล่าล้างสังหารฝูงเลียงผาละมั่งอะไรได้อีก
คนจำนวนมากสวมใส่เสื้อหนังสัตว์แต่ปากกลับพร่ำด่าพรานป่า แบบนี้ไม่เหลวไหลเกินไปหน่อยหรือไง!
นายห้างพูดต่อ “เสี่ยวชี นายตามพวกเราเข้าป่าครั้งแรก กฎของป่าเขาที่ฉันจะบอกให้รู้ต่อไปนี้นายต้องจำไว้ให้ดี”
“นายห้างว่ามาได้เลย ผมจะทำตามที่นายห้างบอกทุกอย่าง!”
เขาพูดน้ำเสียงจริงจัง “พวกเราดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ ชามข้าวที่บรรพชนมอบให้นี้ พวกเราต้องรักษามันไว้ให้ดี! สมัยนี้สังคมให้ค่าให้ราคาพวกเราไม่มาก หนำซ้ำยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เฝ้าด่าทอพวกเราอยู่! แต่พวกเราจะดูแคลนตัวเองไม่ได้เด็ดขาด! อาชีพล่าสัตว์ของพวกเราจัดเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง มีจรรยาบรรณเช่นเดียวกับอาชีพอื่น หากมองย้อนกลับไปการล่าสัตว์นับเป็นศิลปะเก่าแก่ที่สุดแขนงหนึ่ง นับแต่มีมนุษย์อยู่บนโลก พวกเราก็เริ่มล่าสัตว์แล้ว นายไม่ล่าสัตว์ พวกมันก็จะจับนายกินแทน นายจำเป็นต้องจัดการพวกมัน อีกทั้งยังต้องลงมือให้เด็ดขาด!
ดังนั้นอาชีพล่าสัตว์ของพวกเราจึงไม่ต่างอะไรกับช่างไม้ ช่างปั้น หรือจิตรกร มันเป็นศิลปะ เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ไม่มีอะไรให้ต้องอับอาย! นายว่าในป่าลึกนี้มีสัตว์ป่าอยู่กี่มากน้อย”
“ต้องมากอยู่แล้ว!”
“อะไรบ้างที่ในป่าไม่มี กวางชะมด กวางโร กระต่ายป่า ไก่ป่า อยากได้อะไรก็มีสิ่งนั้น ของดีมีอยู่เต็มไปหมด! ทว่าในป่าลึกก็มีอันตรายซ่อนแฝงอยู่เช่นกัน หมาป่า เสือ เสือดาว หมีดำ หมูป่า ต่อพิษ ซานเซียว งูลายสาบคอแดง เจ้าพวกนี้ไม่ใช่ของเล่น แม้พบเจอเข้ามีหวังได้เห็นเลือด ดีไม่ดีอาจถึงแก่ชีวิต!
พวกเราล่าสัตว์ ที่จริงคือการเอาชีวิตไปเสี่ยง หัวไม่ต่างอะไรกับแขวนอยู่บนเชือกผูกเอว เดินก้าวหนึ่งก็เหมือนทิ้งรอยเลือดไว้ทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นเวลาเข้าป่าพรานป่าถึงต้องยึดถือกฎเกณฑ์เป็นหลัก มีเพียงทำตามกฎเท่านั้น เจ้าป่าเจ้าเขาถึงจะประทานอาหารให้พวกเรา ไม่ปล่อยให้พวกเราต้องเอาชีวิตน้อยๆ ไปทิ้งไว้กลางป่า!
บนภูเขาสัตว์ป่ามากมาย อันตรายมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง กฎเกณฑ์ปฏิบัติหรือก็มีไม่ใช่น้อย หากให้พูดถึงกฎการออกล่าสัตว์ของพวกเรานั้นยิ่งมากเข้าไปใหญ่ พวกเราเน้นเรื่องกราบไหว้บรรพชน นับถือผู้เฒ่าผู้แก่ บูชาแผ่นฟ้า ให้เกียรติผืนดิน เคารพสายน้ำ เป็นมิตรต่อสรรพสิ่ง เจ็ดฆ่า แปดไม่ล่า นายพรานเข้าป่าไม่ว่าจะล่าสัตว์ ตากแผ่นหนัง ตัดเขากวาง ขุดโสม เก็บเห็ด ล้วนมีกฎเกณฑ์ วิธีการและข้อห้ามต่างๆ กำหนดไว้ เรื่องพวกนี้นายไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ เรียนรู้ไป แต่เข้าป่าต้องทำตามกฎอย่างเคร่งครัด จะทำตามอำเภอใจไม่ได้เด็ดขาด
นอกจากนี้พรานป่าต่างมีกลุ่มของตนเอง มีพื้นที่ส่วนตัว ห้ามล้ำแดน ห้ามอิจฉาผู้อื่น ตัวเองเป็นคนของวงไหน ล่าอะไร ที่ไหนไปได้ที่ไหนไปไม่ได้ ขอบเขตของตนอยู่แค่ไหนนายต้องรู้ชัด จะเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจไม่ได้ พรานป่าอย่างพวกเราแบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่ม บ้างก็จับงู บ้างก็จับอินทรี บ้างก็ล่าเสือ บ้างก็ล่าหมี บ้างก็ขุดโสม ทุกคนต่างมีวิถีทางของตน ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน
พรานป่าที่ออกล่าสัตว์เองก็ไม่เหมือนกัน บ้างชอบใช้ปืน บ้างชอบใช้ธนู บ้างชอบขุดหลุมพราง บ้างก็ชอบวางกับดัก ขณะเดียวกันก็มีคนชอบล้อมวงออกล่า ทุกคนต่างมีอิสระ ทำตามความชอบของตน พวกเราไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยว เสี่ยวชี เอาเป็นว่านายจงจำไว้ กฎเกณฑ์หลายพันปีก่อนสืบทอดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ได้ย่อมต้องมีเหตุผลของมัน หากนายรู้สึกว่าไม่เหมาะไม่ควร นั่นก็ด้วยเพราะนายไม่เข้าใจ คำเตือนมีเพียงประโยคเดียว หากใครทำลายกฎ คนผู้นั้นย่อมไม่อาจลงจากเขาได้”
ถึงจะฟังคำพูดมากมายก่ายกองของนายห้างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงตั้งอกตั้งใจฟัง
หลังจากพูดอยู่ครู่หนึ่งนายห้างก็เหมือนจะเริ่มเหนื่อยอ่อน เขาโบกมือ เอนหลังลงช้าๆ “ไม่พูดแล้วๆ เรื่องพวกนี้นายค่อยๆ เรียนรู้ ทำตามชาวบ้านไปเดี๋ยวก็เข้าใจเอง”
ผมรับคำออกมาทีหนึ่ง ขณะกำลังคิดจะไป นายห้างก็ถามผม “ตาของนายสบายดีใช่หรือเปล่า”
ผมตอบ “สบายดีๆ เพราะมีบารมีของนายห้าง ตาของผมเลยสบายดี”
พอกล่าวคำอำลาจบ ผมก็ถอยฉากออกมา
ขณะกำลังจะเดินพ้นประตู เสียงของนายห้างก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังอีกประโยค “เสี่ยวชี จำไว้ ชีวิตคนกับล่าสัตว์ก็เหมือนกัน คนเล่นงานนายหนักมากเท่าใด เขาก็ยิ่งจริงใจกับนายมากเท่านั้น”
ผมตะลึง หันหลังกลับหมายจะถามว่าเขาหมายความเช่นไร แต่ผมกลับเห็นนายห้างเอนหลังนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย ตาทั้งสองข้างปิดสนิท
หลังเดินพ้นประตูใหญ่ออกไป ผมก็ปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดอยู่เต็มหน้าผากออก ตลอดทางได้แต่เฝ้าครุ่นคิดถึงคำพูดประโยคสุดท้ายของนายห้างว่าแท้แล้วมันหมายความว่ายังไงกันแน่
(หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)