ล่า
ทดลองอ่านนิยาย ล่า ตอน เมืองหมาป่าภูผามรณะ บทนำและบทที่ 1
บทนำ
หนังสือเล่มนี้เล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในป่าลึกของเทือกเขาใหญ่ในเขตต้าซิงอันหลิ่ง
เหตุประหลาดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อน
ตอนนั้นเป็นช่วงคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบปลายทศวรรษที่หกสิบทีมสำรวจลึกลับทีมหนึ่งเดินทางย้อนแสงอาทิตย์อัสดงมุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านหม่านอย่างช้าๆ ในขบวนมีล่ออยู่หลายตัว บนหลังของพวกมันคือผ้าสักหลาดผืนหนา ใต้ผ้าสักหลาดเป็นสิ่งของหนาหนักที่ไม่มีใครรู้ว่าคืออะไร รอยเท้าล่อพวกนั้นจมลึกไปบนพื้นหิมะ
ทันทีที่เห็นทีมสำรวจบุกป่าฝ่าดงเข้ามาถึงยังหมู่บ้าน พวกชาวบ้านก็อดนึกประหลาดใจไม่ได้ ที่นี่คือเทือกเขาต้าซิงอันหลิ่งซึ่งตั้งลึกอยู่ในป่าดิบผืนสุดท้ายแห่งผืนแผ่นดินจีน ริมฝั่งแม่น้ำเก่าแก่ที่ชื่ออาร์กุนซึ่งเป็นพรมแดนกั้นขวางระหว่างจีนกับรัสเซีย ยามปกติก็มีคนมาเยือนดินแดนแห่งนี้น้อยนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในเวลานี้ที่ย่างเข้าช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนแล้ว ป่าเขาล้วนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เหตุใดทีมสำรวจกลุ่มนี้ถึงยังฝ่าเข้ามากันอีก!
ต้าซิงอันหลิ่งมีลักษณะภูมิประเทศสูงๆ ต่ำๆ แค่เดือนกันยายนเส้นทางเข้าออกก็ถูกปิดจนหมด พอถึงเดือนตุลาคมหิมะเริ่มโปรยละออง ลมไป๋เหมา* โหมกระพือทั่วทั้งบริเวณ คมกริบเสียยิ่งกว่ามีดดาบ อุณหภูมิลดต่ำได้ถึงลบยี่สิบหรือลบสามสิบองศา หิมะหนาหนึ่งถึงสองเมตร แค่หลับไปตื่นหนึ่ง กองหิมะหนาหนักก็ถมทับจนเปิดประตูไม่ออก ไม่ว่าจะถีบกระทืบยังไงก็ไม่สะเทือน ในเวลาเช่นนี้มีก็แต่พวกผีตั้งค่าย** เท่านั้นถึงกล้าสวมหมวกหนังหมาหนาๆ มาเข้าป่าตัดไม้ (เวลาอากาศหนาวจัดต้นไม้จะเปราะที่สุด ตัดโค่นได้ง่าย เคลื่อนย้ายไม้ที่ถูกโค่นลงมาตามทางหิมะได้อย่างสะดวก) ส่วนพวกคนธรรมดาทั่วไปในกะโหลกไม่ได้มีสมองใสเป็นน้ำแข็งก็ไม่มีใครเขาบุกลุยเข้ามา
แต่ทีมสำรวจนี้ไม่เพียงแต่มาถึงแล้วเท่านั้น ด้านหลังยังมีทหารหน้าตาเครียดขึ้งตามมาอีกหลายนาย ทหารพวกนั้นสวมชุดทหารเก่าๆ สะพายปืนปลายดาบไว้บนไหล่ ท่าทางถมึงทึง ขยับเดินตามมาทีละก้าวๆ ใครเล่าจะไม่เชื่อ
ตอนสังเกตเห็นทหารกลุ่มดังกล่าว ชายในหมู่บ้านที่เคยเป็นทหารมาก่อนก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ ส่วนเรื่องที่ว่าผิดปกติตรงไหนนั้น เขาเองก็นึกไม่ออก แต่หลังจากได้กินหูหมูไปสองสามชิ้น ดื่มเหล้าข้าวโพดไปอีกหนึ่งชามใหญ่ เขาก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่าทหารพวกนั้นไม่มีเครื่องหมายอินทรธนูบนบ่า ชุดทหารหรือก็ดูแปลกๆ คล้ายชุดทหารสมัยก่อน ใบหน้าซีดเผือด นัยน์ตาแดงก่ำ…ไม่เหมือนคนเป็น แต่กลับคล้ายคนตายที่คลานออกมาจากใต้ดิน…
ทีมสำรวจหยุดอยู่ที่หมู่บ้านไม่นานนัก พวกเขาหยิบเอาจดหมายแนะนำตัวฉบับหนึ่งออกมา เลขานุการเฒ่าของพรรคสาขาย่อยเดินเงอะๆ งะๆ พาคนของตนไปเคาะประตูบ้านเฒ่ากู่
เฒ่ากู่เป็นพรานป่าที่มีชื่อเสียงที่สุดของหมู่บ้านหม่าน บ้างก็ว่าเขาเป็นพรานป่าที่โด่งดัง ฉลาดและใจกล้าที่สุดในต้าซิงอันหลิ่ง ลือกันว่าหนังสัตว์ที่เฒ่ากู่ถลกมาทั้งชีวิตนั้นมีจำนวนมากพอจะห่มคลุมยอดเขาได้ สัตว์ป่าในต้าซิงอันหลิ่ง ไม่ว่าจะหมาป่า หมาใน เสือ เสือดาว หมูป่า หมีดำ งูยักษ์ หมาจิ้งจอก เพียงพอนไซบีเรีย กวางโรตะวันออก กวางหมีลู่ แมวป่า เขาล้วนเคยพบและเคยล่าพวกมันมาแล้วทั้งสิ้น
วันที่ทีมสำรวจไปเคาะประตูบ้าน เฒ่ากู่กำลังฉลองครบสิบขวบให้ลูกชายอยู่พอดี เด็กน้อยสวมเสื้อบุนวมตัวใหม่ ยิ้มกว้าง จุดประทัดอยู่ในลานบ้าน หมาไก่แตกตื่นวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง พวกผู้หญิงส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ที่นั่งอยู่บนเตียงเตาอุ่นสบายคือพวกผู้ชายที่เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายอยู่ในหุบเขานี้เป็นเวลาช้านาน ทุกคนต่างกำลังเล่นเป่ายิงฉุบ ส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโร ต่อล้อต่อเถียง หัวเราะเบิกบาน ดื่มเหล้าเกาเหลียง เหล้าข้าวโพดที่หมักกันเองอย่างสนุกสนาน
ทันทีที่เห็นทีมสำรวจเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่กลางลาน พวกเขาบางคนก็เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ เหล้าเกาเหลียงอุ่นร้อนที่ตกถึงท้องเปลี่ยนคำพูดคำจาให้ร้อนแรงยิ่งกว่า ‘พวกเอ็งคิดจะทำอะไร ขึ้นเขาตอนนี้นี่นะ อยากขึ้นก็ขึ้นไปกันเองสิวะ!’
‘พวกเราต้องการไปยอดเขาซาหลง (พิฆาตมังกร)’ ชายที่เป็นหัวหน้าทีมสำรวจยื่นมือออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบ บนมือของเขาคือแผนที่ทหารฉบับหนึ่ง
‘ไปหาแม่เอ็งดิ!’ ชายคนหนึ่งโมโห เหวี่ยงหมวกหนังจิ้งจอกทิ้งแล้วคว้าแผนที่ในมืออีกฝ่ายมาฉีก แต่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนก็ฉีกมันไม่ขาด ชายคนดังกล่าวมองดูแผนที่ แผนที่บัดซบนี้ต้องเป็นของพวกผีญี่ปุ่นอย่างไม่ต้องสงสัย! พวกญี่ปุ่นสารเลวยึดครองตงเป่ยนานหลายสิบปี มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้ว่าอักษรญี่ปุ่นหน้าตาเป็นยังไง เขามองดูกากบาทสีแดงสองสามจุดบนแผนที่กับอักษรญี่ปุ่นสองสามแถว แต่เมื่อไม่อาจเข้าใจความหมาย เขาจึงเคลื่อนสายตาสงสัยไปยังชายที่เป็นหัวหน้าทีมสำรวจแทน แต่แล้วจู่ๆ เนื้อตัวเขาก็พลันแข็งทื่อ มุมปากกระตุก ร่างกายโอนเอนตกจากเตียงเตา แผนที่หล่นร่วงลงกับพื้น
หลายปีหลังจากนั้นทุกครั้งที่ถูกคนถามว่าตกลงในตอนนั้นเขาเห็นอะไรเข้ากันแน่ ทำไมถึงพลัดตกจากเตียงเตาได้ เขามักทำเพียงนิ่งเงียบกรอกเหล้าเข้าปากไม่หยุดจนสองตาแดงก่ำ ก่อนจะพึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครฟังเข้าใจออกมา “ไอ้บัดซบนั่นไม่มีลูกตา…”
ไม่มีลูกตาหมายความว่าอะไร ทุกคนซักถาม แต่เขากลับไม่ยอมพูดอะไรอีก ต่อมาหลังจากที่ทุกคนช่วยวิเคราะห์ ก็รู้สึกว่าคำพูดประโยคดังกล่าวมีความหมายได้สองอย่าง หนึ่งคือหัวหน้าทีมสำรวจนั้นไม่มีลูกตา เป็นคนตาบอด ส่วนอีกอย่างคือคนคนนั้นไม่มีตาดำ มีแต่ตาขาว (ว่ากันว่าลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่โรค แต่เพราะได้รับการเบิกเนตรสวรรค์ สุดอัศจรรย์พันลึก)
พูดถึงเรื่องในตอนนั้นต่อดีกว่า ชายที่เป็นหัวหน้าทีมสำรวจหยิบเอาแผนที่ขึ้นมายื่นให้เฒ่ากู่อีกครั้ง ไม่ปริปากพูดอะไรแม้แต่ครึ่งประโยค
หลังจากรับแผนที่มาดูอยู่ครู่หนึ่ง เฒ่ากู่ก็ลากชายผู้เป็นหัวหน้าทีมสำรวจเข้าไปคุยกันในห้อง ตอนกลับออกมา เขาไม่พูดอะไร ทำเพียงไล่พี่น้องเหล่านั้นกลับ พอเช้าวันที่สองเขาก็แบกปืนลูกซองที่อาบเลือดหมาป่าจำนวนนับไม่ถ้วนกระบอกนั้นขึ้นหลัง พร้อมจูงลูกน้อยที่เพิ่งครบสิบขวบเดินนำทีมสำรวจลึกลับขึ้นภูเขาไป
ออกเดินทางไปได้เพียงสามวัน ลมไป๋เหมาก็โถมกระหน่ำใส่เทือกเขาต้าซิงอันหลิ่งติดต่อกันถึงสามวันสามคืน หิมะที่โปรยละอองอยู่กลางสายลมถล่มใส่หัวและใบหน้าของผู้คนไม่ยั้ง ตกค่ำเสียงกิ่งไม้ที่ถูกกองหิมะทับถมจนหักลั่นดังออกมาจากป่าดิบไม่ขาดสาย ทุกคนต่างไม่สบายใจ นอนกระสับกระส่ายพลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่บนเตียงเตา ลมไป๋เหมารุนแรงแบบนี้ หิมะหรือก็ตกหนัก ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยหมอกทึบ แม้แต่จะออกไปล่าสัตว์ก็ยังทำไม่ได้ ครั้งนี้เกรงว่าเฒ่ากู่จะโชคร้ายมากกว่าโชคดี!
ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงหลังจากพายุหิมะผ่านพ้นไปได้ประมาณครึ่งเดือน ขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าคณะสำรวจคงถูกฝังอยู่ในป่าแล้ว เฒ่ากู่กลับกระเสือกกระสนพาตัวเองกลับหมู่บ้านได้สำเร็จ ขนคิ้วและเส้นผมของเขาต่างเต็มไปด้วยน้ำแข็งย้อยสีแดงฉาน ถึงจะยังมีลมหายใจ แต่ทั่วทั้งตัวก็อาบไปด้วยเลือดเย็นเยียบ
แม่เฒ่าเจียงคู่ชีวิตของเฒ่ากู่ตรงดิ่งเข้าไปหาสามีเป็นคนแรก หญิงชราสังเกตเห็นว่าด้านหลังของเสื้อคลุมหนังสัตว์ของเฒ่ากู่มีรอยฉีกขาดคล้ายถูกมีดฟันอยู่หลายจุด แต่ถึงอย่างนั้นแม่เฒ่าเจียงก็ยังคงใจเย็น สั่งให้คนพาเฒ่ากู่ขึ้นไปนอนบนเตียงเตา หลังเชิญคนพวกนั้นกลับหมด แม่เฒ่าเจียงก็รีบปิดประตูลงกลอน ข้างกายเหลือไว้ก็แต่ลูกสาวสองคน
พอปลดเสื้อคลุมหนังสัตว์ออก แผ่นหลังของเฒ่ากู่ที่ถูกไอเย็นกัดจนเปื่อยเป็นจ้ำสีม่วงดำก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา ลูกสาวคนโตร้องไห้ออกมาทันที ‘นี่พ่อไปเจออะไรเข้ากันแน่!’
แม่เฒ่าเจียงยังคงไม่หวั่นไหว หญิงชราสั่งให้ลูกสาวคนโตรีบไปตักหิมะในลานมากะละมังหนึ่ง ส่วนตัวเองก็จุดตะเกียงน้ำมัน ใช้มือกอบหิมะขึ้น ค่อยๆ ลูบไปบนแผ่นหลังของเฒ่ากู่ แผลที่เกิดจากไอเย็นกัดต้องใช้หิมะขัดถูเท่านั้น หากใช้น้ำร้อนลวก อังด้วยเตียงเตาอุ่น ต่อให้รักษาชีวิตเอาไว้ได้ เนื้อหนังพวกนั้นคงไม่แคล้วได้หลุดลอกออกเป็นแผ่น
แม่เฒ่าเจียงใช้ชีวิตอยู่กับเฒ่ากู่มามากกว่าครึ่งค่อนชีวิต ย่อมรู้จักเขาดี เฒ่ากู่เป็นคนเด็ดเดี่ยวรอบคอบ ทำอะไรล้วนระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะเป็นพรานป่าอันดับหนึ่งของต้าซิงอันหลิ่งได้ เสื้อคลุมหนังสัตว์ของเขาถูกมีดฟันขาด แต่แผ่นหลังกลับไม่มีบาดแผล นั่นก็หมายความว่าเขาเป็นคนฟันมันขาดเอง แต่ทำไมเขาถึงต้องเสี่ยงหนาวตายแบบนี้ด้วย
หญิงชรากอบหิมะกองแล้วกองเล่าถูไปตามตัวของเฒ่ากู่ช้าๆ หลังจากทำอยู่ครู่หนึ่งร่างกายของอีกฝ่ายก็เริ่มร้อนผ่าว สุดท้ายลูกสาวคนรองก็ร้องออกมา ‘แผ่นหลังของพ่อมีตัวหนังสือ!’ ครั้นใช้ตะเกียงน้ำมันส่องดู ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าบนแผ่นหลังม่วงดำนั้นมีอะไรบางอย่างปรากฏให้เห็นจางๆ เพียงไม่นานแม่เฒ่าเจียงก็พบว่านั่นเป็นภาพแผนที่
หญิงชราน้ำตาไหลพราก ที่แท้เฒ่ากู่ก็รู้ว่าแม่เฒ่าเจียงต้องใช้หิมะถูแผ่นหลังตนด้วยมือตัวเองแน่ และเมื่อทำเช่นนี้แผนที่ที่อยู่บนหลังก็ย่อมปรากฏออกมาให้เห็น ตาเฒ่าคนนี้ปณิธานแรงกล้าจริงๆ! แม่เฒ่าเจียงรู้ดี แผนที่นี้ตาเฒ่าของตนแลกมันมาด้วยชีวิต!
แม่เฒ่าเจียงตวาด สั่งให้ลูกสาวทั้งสองสาบาน ถึงตายก็ไม่มีวันแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด หลังจากนั้นก็ให้ลูกสาวคนโตใช้หิมะถูร่างของเฒ่ากู่ต่อ ส่วนตัวเองก็กลับไปรื้อฟื้นทักษะวาดลายเย็บพื้นรองเท้าเมื่อสมัยสาวๆ ลอกแผนที่ลงบนหนังแกะชิ้นเล็กๆ อย่างประณีตบรรจง กว่าจะเสร็จเวลาก็เลยผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว
หญิงชราบอกลูกสาวทั้งสองให้ไปนอน ส่วนตัวเองกลับมานั่งเฝ้าเฒ่ากู่ต่อ พอเห็นเฒ่ากู่นอนนิ่งอยู่บนเตียงเตา…น้ำตาของแม่เฒ่าเจียงก็ไหลออกมาเป็นสาย หญิงชรากุมมือเฒ่ากู่เอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แต่แล้วจู่ๆ มือของเฒ่ากู่ก็สั่นระริก แม่เฒ่าเจียงตะลึง จ้องมองดูอีกฝ่าย พอเห็นมือของเฒ่ากู่กำแน่น คล้ายมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน หญิงชราง้างมือข้างนั้นออก ก่อนจะพบว่าฝ่ามือของเฒ่ากู่เปรอะไปด้วยเลือด มีคนใช้มีดสลักตัวหนังสือจำนวนหนึ่งไว้บนฝ่ามือ แม่เฒ่าเจียงสังเกตเห็นอักษรคำว่า ‘สามสิบปีให้หลัง’ ได้อยู่รางๆ ส่วนตัวอักษรเล็กๆ ที่อยู่ถัดจากนั้นหญิงชรามองเห็นไม่ชัดนัก
แม่เฒ่าเจียงตกประหวั่น ในลำคอเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ ครั้นทอดตามองออกไป ภายนอกคือภูเขากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ลึกเข้าไปในเทือกเขามืดมิดมีลูกไฟปีศาจจำนวนหนึ่งกำลังส่องแสง ทันใดนั้นเองเสียงหอนโหยหวนของหมาป่าตัวหนึ่งก็ดังขึ้น ตามติดมาด้วยเสียงหอนยาวๆ คล้ายคลุ้มคลั่งของฝูงหมาป่าจากทั่วทุกสารทิศ ฝูงหมาป่าเหมือนโอบล้อมหมู่บ้านหม่านไว้ หมาที่พวกชาวบ้านเลี้ยงไว้ต่างพากันส่งเสียงร้องบ้าคลั่ง
แม่เฒ่าเจียงรู้สึกกระวนกระวายจึงลุกขึ้น ตั้งใจจะเดินไปปิดหน้าต่าง แต่แล้วแม่เฒ่าเจียงก็พบว่าหน้าต่างถูกปิดอยู่ก่อนแล้ว แต่นอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยละอองหิมะนั้นกลับมีใบหน้ามนุษย์ขนาดใหญ่ที่มีขนขึ้นอยู่เต็มแนบชิดอยู่ ใบหน้าดังกล่าวจ้องดูตนเองเขม็ง ริมฝีปากเปิดๆ ปิดๆ คล้ายกำลังพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา
แม่เฒ่าเจียงตกใจยืนนิ่งอยู่กับที่ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่หญิงชราก็อ่านรูปปากของใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนรุงรังนั้นออก คนคนนั้นพูดซ้ำๆ อยู่ประโยคหนึ่ง ‘สามสิบปีให้หลัง…’
บทที่ 1
สามสิบปีต่อมาผมไปเป็นผู้จัดการร้านขายหนังสัตว์อยู่ที่ย่านเฉียนเหมินในนครหลวงเป่ยจิง มีอยู่ครั้งหนึ่งจู่ๆ ในหัวผมก็นึกถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อน เฒ่ากู่ที่ว่าก็คือตาแท้ๆ ของผมเอง แม่ของผมมีน้องสาวน้องชายรวมกันสามคน แม่เป็นพี่สาวคนโต ถัดมาคือน้องสาวและน้องชาย น้องชายหรือน้าเล็กก็คือเด็กน้อยที่ขึ้นเขาไปพร้อมกับทีมสำรวจลึกลับและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยคนนั้นนั่นเอง หลังน้าเล็กหายสาบสูญ ตาก็แขวนปืนไม่ออกล่าสัตว์อีกเลย ต่อมาก็ให้ลูกสาวทั้งสองแต่งออกจากหมู่บ้าน เหลือแค่ตัวเองกับยายของผมสองคนฝังตัวอยู่กลางป่าเขาลึก
แรกๆ คุณน้าของผมก็ติดตามคนอื่นไปทำการค้าที่เมืองสุยเฟินเหอ ก่อนจะแต่งออกไปตั้งหลักปักฐานไกลถึงวลาดีวอสตอค แม่ของผมเดิมตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่กับตายาย แต่เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งขณะกำลังถางหญ้า แม่ได้ช่วยวิศวกรซ่อมทางรถไฟคนหนึ่งไว้ วิศวกรคนนั้นกำลังสำรวจพื้นที่อยู่ละแวกนั้นแต่ไม่ทันระวังจึงพลัดตกภูเขา และถูกแม่ของผมพาตัวกลับมารักษาที่บ้าน กว่าจะหายดีก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานถึงสามเดือนเต็ม พออาการบาดเจ็บหายเป็นปกติ เขาก็พาลูกสาวคนโตของชายชรากลับเฉิงตู
ใช่แล้ว วิศวกรที่เชี่ยวชาญในการแกล้งป่วยคนนั้นก็คือพ่อของผม หลังจากนั้นพวกเขาก็มีผม
ตอนอายุหกขวบแม่ได้ส่งผมให้ไปอยู่บ้านตานานถึงครึ่งปี ตอนนั้นตาเลิกล่าสัตว์นานแล้ว เขาสร้างกระท่อมหลังเล็กๆ ไว้บนเขาสำหรับพักอาศัย ทำไร่ข้าวโพดหลายสิบหมู่* อยู่ที่นั่น กระท่อมสร้างขึ้นจากกระดานไม้สน บนผนังเต็มไปด้วยหนังกวาง หนังหมาป่า หนังเสือดาว รวมถึงหนังงูที่มีความกว้างเกินกว่าหนึ่งไม้บรรทัด อากาศภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหนังสัตว์ปะปนกับกลิ่นหอมจางๆ ของไม้สน
ในป่าเขาเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมาป่า พวกมันเหมือนจะแฝงตัวอยู่ทุกหนแห่ง เสียงหอนของพวกมันดังระงมอยู่ตลอดทั้งคืน บางครั้งอาจมีฝูงหมาป่ารวมตัวกันวิ่งผ่านกระท่อมไป เรียกว่าสามารถได้ยินเสียงอุ้งเท้าของพวกมันย่ำอยู่บนหินกรวดเล็กๆ ชัดเจน ฝูงแกะฝูงวัวของพวกชาวบ้านที่อยู่ทางด้านล่างล้วนเคยถูกฝูงหมาป่าหิวกระหายพวกนี้โจมตีด้วยกันทั้งนั้น แต่จะว่าไปก็แปลก ฝูงหมาป่าพวกนั้นล้วนเคยวิ่งผ่านกระท่อมของพวกเราไป แต่พวกมันกลับไม่เคยหยุดแวะรบกวนพวกเราเลยสักครั้ง
ผมจำได้ ตอนนั้นผมเคยถามตาถึงเรื่องนี้ แต่ตากลับทำเพียงหรี่ตา ยกแก้วเขาวัวกรอกเหล้าข้าวโพดลงคอ มองดูภูเขากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่อยู่ด้านนอก ถอนหายใจลึกๆ ออกมาทีหนึ่ง ไม่พูดไม่จา
เวลาในป่าเขาเช้าสั้นกลางคืนยาว ภายใต้ตะเกียงน้ำมันที่ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง ผมเปลือยก้นซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมอุ่น เซ้าซี้ขอให้ตาเล่าเรื่องล่าสัตว์ให้ฟัง
ตานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตา ปากคาบกล้องยาสูบ เสียงทุ้มดัง ‘ภูเขาก็เหมือนกับคนเรา มีอารมณ์ความรู้สึก ลองแนบหูลงกับพื้น ฟังเสียงแมลง เสียงงู เสียงหอนของหมาป่า เสียงลมดู เสียงพวกนั้นล้วนเป็นเสียงพูดของภูเขา! หากแม้นภูเขาเอ็นดู มันก็จะมอบลูกสน เกาลัด โสม กวางโร เขากวางให้กับเจ้าอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว! แต่หากมันเกลียดชัง มันจะให้เจ้าได้พบกับลมไป๋เหมา ต่อพิษ ฝูงหมูป่า เสือ สัตว์ร้ายสารพัดชนิด!’
ได้ยินแบบนั้น ผมก็มีเหงื่อเย็นอาบไปทั่วทั้งตัว อดไม่ได้ที่จะพาร่างที่ซุกอยู่ใต้ผ้านวมอุ่นขึ้นมานั่งตัวตรง เอ่ยปากถามออกมาคำหนึ่ง ‘ตา แล้วภูเขาเอ็นดูตาหรือเปล่า’
ตาเขกหัวผมทีหนึ่ง ‘ตั้งใจฟังให้ดี!’
ตากระซิบ เล่าเรื่องตอนล่าสัตว์อยู่กลางป่าเขารกร้างให้ผมฟัง ที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมของป่าดิบร้อนชื้นอบอ้าว มีทั้งแปลงหมูป่าที่เกลื่อนกลาดไปด้วยโครงกระดูกมนุษย์ ถ้ำอสรพิษที่ถูกยึดครองด้วยงูพิษสีสันฉูดฉาดจำนวนนับไม่ถ้วน กอเห็ดพิษสีสันงดงามแปลกตา ตัวต่อพิษขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ไม่ต่างอะไรกับสุสานโบราณกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด…
ตาเคาะกล้องยาสูบลงบนเตียงเตาดัง ‘โป๊กๆ’ พลางเล่า มีอยู่ปีหนึ่งขณะกำลังรีบเข้าป่า เขาได้พบเห็นงูยักษ์ลำตัวหนาขนาดเท่าถังน้ำใหญ่ตัวหนึ่ง นอนผึ่งเกล็ดเกียจคร้านอยู่บนไหล่เขา หัวของงูยักษ์ใหญ่พอๆ กับโอ่งน้ำ! นอกจากนั้นเขายังเคยเห็นเห็ดกระดุมใหญ่เท่าตัวคนด้วย! วันนั้นฝนเพิ่งหยุดตก ขณะกำลังเดินข้ามลำธารเขาก็พบว่าในนั้นมีคนนั่งยองๆ อยู่ ในมือถือร่มคันสีขาว แต่พอเข้าไปใกล้ เขากลับพบว่านั่นไม่ใช่คน หากแต่เป็นเห็ดสีขาวสูงเท่าตัวคน!
ตาของผมเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง ส่วนผมก็ฟังตาไม่กะพริบ งูยักษ์ลำตัวเท่าถังน้ำนั้นแท้แล้วใหญ่แค่ไหน วงล้อมของสุสานโบราณเป็นยังไง ผมฝันร้ายติดกันอยู่หลายวัน ฝันเห็นงูยักษ์ตัวหนึ่งกลืนผมเข้าไปทั้งเป็น เห็ดสูงเท่าตัวคนที่กระจายอยู่ทั่วทั้งภูเขาวิ่งไล่ล่าผมไม่หยุด ฝูงหมาป่าคอยส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่ทางด้านหลัง ที่ขวางอยู่ด้านหน้าคือแปลงหมูป่าที่เกลื่อนไปด้วยโครงกระดูกมนุษย์…
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังจดจำคืนค่ำโดดเดี่ยวเดียวดายแต่อบอุ่นพวกนั้นได้ดี สายลมหนาวโหมกระหน่ำ หิมะปกคลุมทั่วทุกหนทุกแห่ง พระจันทร์แขวนตัวลอยอยู่บนฟากฟ้า เตาไฟสีแดงฉาน กลิ่นมันหวานถูกเผาที่ระคนอยู่กับกลิ่นหอมของไม้สนและเหล้าขาวลอยออกมาจากห้องครัว ตาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าเขาลึกด้วยเสียงทุ้มดัง
มืดแล้ว ตาของผมหลับตา กล่าวสรุปด้วยคำพูดที่แฝงไว้ซึ่งความหมายลึกซึ้ง ‘ไม่ว่าจะสิ่งแปลกประหลาดอะไรล้วนพบเห็นได้ในป่า ซานเซียว* กินคน ต่อพิษในหลุมฝังศพ งูลายสาบคอแดงที่เที่ยวไล่กัดคน อากาศพิษที่ปกคลุมทั่วฟ้าดิน หมอกหนาที่ไม่ยอมจางหายแม้จะผ่านไปแล้วหลายต่อหลายวัน เห็บหญ้าขาวที่ดูดเลือดคนจนแห้งทั้งเป็น แต่ที่น่ากลัวที่สุดยังไงก็ไม่พ้นมนุษย์’
ตอนนั้นผมยังเล็ก จึงไม่เข้าใจคำพูดที่แฝงไว้ซึ่งความหมายลึกซึ้งนี้
หลายปีหลังจากนั้นผมถึงค่อยๆ เข้าใจ ที่แท้บนโลกนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ซานเซียว หมูป่า ตัวต่อ หมอกหนาทึบ หากแต่เป็นใจคน
ชีวิตที่ปราศจากเรื่องให้ต้องวิตกกังวลกลางเขาดำเนินไปได้ไม่เท่าไร ผมก็ถูกส่งตัวกลับเข้าเมืองด้วยเพราะป่วยหนักและกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ไปโรงเรียน โดดเรียน มีความรัก อาศัยอยู่ข้างกายพ่อแม่อีกครั้ง ก่อนจะเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นสามในภาควิชาเห่ยๆ ที่เป่ยจิงสามปี พอเรียนจบ หลังใช้ชีวิตกระเสือกกระสนอยู่ระยะหนึ่ง ผมก็ได้ไปทำงานเฝ้าร้านขายหนังสัตว์ในเขตเฉียนเหมินตามที่มีคนแนะนำมา แรกๆ ผมก็ตั้งใจว่าจะทำมันไปสักพัก แต่นึกไม่ถึงว่าทำไปทำมาจะผ่านมาห้าปีแล้ว ตลอดระยะห้าปีมานี้เด็กในร้านอย่างผมสุดท้ายก็จับพลัดจับผลูได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการร้าน ไม่เพียงแต่รู้เรื่องหนังสัตว์เป็นอย่างดี หากแต่ยังได้สัมผัสกับโลกลึกลับเบื้องหลังธุรกิจการค้าหนังสัตว์อีกด้วย
บางครั้งเวลาเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ ผมก็มักย้อนนึกถึงเรื่องประหลาดเมื่อสามสิบปีก่อน
ทีมสำรวจลึกลับนั่นแท้แล้วมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ ทำไมหลังจากที่พวกเขาตายกันหมด ถึงได้ไม่มีใครเข้ามาสืบหาความจริง แล้วตากับคนพวกนั้นพบเจอเหตุวิกฤตอะไรเข้า ทำไมหลังจากเอาชีวิตรอดกลับมาได้ ตาถึงตัดสินใจล้างมือในอ่างทองคำ ใช้ชีวิตอยู่กลางป่าเขาตามลำพัง แล้วคำพูดที่ว่า ‘สามสิบปีให้หลัง’ มันหมายความว่ายังไง
หลังจากครุ่นคิดไปมาผมก็รู้สึกว่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อนนี้สุดท้ายคงได้แต่ผ่านผันไปตามกาลเวลา กลายเป็นเรื่องเล่ายามว่างหลังอาหาร เป็นนิทานเตือนใจชาวโลก ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ แต่นึกไม่ถึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างแท้แล้วกลับเพียงเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
วันนั้นก็เหมือนกับทุกๆ วันผมเอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้โยก โบกพัดจีบในมือไปมาเบาๆ เอื่อยเฉื่อยฟังรายการตลกของหม่าซานลี่ ชำเลืองมองลูกค้าที่มีอยู่ในร้านเพียงหนึ่งเดียว
คนคนนั้นสวมเสื้อคอปกสีขาว คอยขยับแว่นกรอบทองอยู่เป็นระยะ ตามองดูนี่นั่นเหมือนคนใจลอยอยู่อีกฟาก ประเดี๋ยวก็ลูบคลำหมวกหนังจิ้งจอก ประเดี๋ยวก็ดึงหางเสือดาวเล่น ประเดี๋ยวก็มองนาฬิกา เห็นได้ชัดว่ากำลังรอคนอยู่ ไม่ได้คิดซื้อของ
ผมขยิบตาให้กับหม่าซานเด็กในร้าน หม่าซานขยับเข้าไปรวดเร็ว แสร้งทำไม่รู้เรื่องรู้ราว ปัดผืนหนัง ตบเก้าอี้ เพียงไม่นานลูกค้าคนนั้นก็โมโหเดินจากไป
ผมเบ้ปาก เปิดฝาถ้วยชาออก ปาดเศษใบชาทิ้ง ละเลียดดื่มอย่างช้าๆ
พวกคุณคงไม่รู้อะไร ธุรกิจค้าหนังสัตว์ไม่เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ทุกร้านต่างมีลูกค้าประจำของตัวเอง ลูกค้าพวกนั้นเห็นหน้าตาเป็นสำคัญ เงินทองมีไม่ขาดมือ ไม่รู้แสร้งรู้ โง่เง่าแต่เงินหนา ทุกปีของล้ำค่าภายในร้านที่ถูกเก็บซุกซ่อนไว้ก้นหีบล้วนต้องเก็บไว้ให้คนพวกนี้ก่อนเป็นลำดับแรก สินค้าต้องใช่ ราคาต้องไม่ผิดเพี้ยน คนพวกนี้คือเทพเจ้าแห่งเงินตรา โกหกหลอกลวงกันไม่ได้เด็ดขาด ถ้าพวกเขาต้องการหนังจิ้งจอกแดงก็ห้ามเอาหนังจิ้งจอกอื่นไปย้อมสีมาหลอกขาย หากต้องการหนังเสือดาวก็ห้ามเอาหนังแมวดาวมาตบตากัน
หลังต้อนรับขับสู้เทพเจ้าแห่งเงินตราพวกนั้นเสร็จ การค้าตลอดทั้งปีก็เรียกได้ว่าเสร็จสิ้นไปแล้วเจ็ดแปดส่วน ส่วนพวกลูกค้าขาจรตบตาได้ก็ตบตา หลอกได้ก็หลอก หากขัดลูกหูลูกตานักก็ไล่ออกจากร้านไปเสียให้พ้นๆ เรียกได้ว่าเอาเปรียบคนแปลกหน้า ไม่เอาเปรียบคนกันเอง
ช่วยไม่ได้ กำรี้กำไรจากธุรกิจค้าหนังสัตว์ล้วนมาจากการขายของชิ้นโตด้วยกันทั้งนั้น ลูกค้าขาจรพวกนี้ ต่อให้เอามีดวางพาดบนคอ ก็รีดเอาเงินจากกระเป๋าพวกเขาไม่ได้ เฮอะ!
การค้าตลอดหลายเดือนมานี้นับว่าไม่เลว ไม่ต้องพูดถึงหนังสัตว์ชั้นเยี่ยม แม้แต่สินค้าเก่าเก็บหลายปีก็ยังขายออกไปได้เป็นจำนวนมาก ขณะกำลังคิดว่าอีกสองสามวันจะให้บอดใหญ่จ้าวเอาหนังชั้นยอดจากทุ่งล่าสัตว์มาเพิ่มให้อีกสักหน่อย ผมก็ได้ยินเสียงคนเดินพรวดพราดเข้ามา
พอเงยหน้าขึ้นดู ผมก็พบว่าอีกฝ่ายแลดูพิลึกพิลั่นไม่ใช่น้อย
ปลายเดือนเก้าอากาศร้อนจะตายชัก ชาร้อนตกถึงท้องแค่แก้วเดียว เสื้อผ้าก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อแล้ว แต่คนคนนี้กลับสวมโค้ตทหาร ห่อร่างมิดชิด ผ้าแดงรัดแน่นอยู่บนเอว เขายืนตัวตรงอยู่ที่นั่น ท่าทางเซ่อซ่าทึ่มทื่อ
เพราะเข้าใจว่าเป็นพวกขอทาน หม่าซานจึงตรงเข้าไปไล่ชายคนดังกล่าวให้ออกนอกร้าน อีกทั้งยังล้วงเอาเศษเงินจากในลิ้นชักยัดให้อีกฝ่าย บอกให้รีบไป จะได้ไม่รบกวนการค้า
คนคนนั้นกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ “ไล่อะไรของเอ็ง! ข้าเอาของดีมาขายให้ต่างหาก!”
ผมตะลึง รีบพิจารณาดูอีกฝ่ายโดยละเอียด คนคนนี้สวมโค้ตทหารไว้บนตัว ท่อนล่างคือกางเกงหนังสีกระดำกระด่าง จากบริเวณข้อเท้าถึงน่องมีผ้าพันแข้งหนาๆ พันรัดไว้ ที่เหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าคือรองเท้าหนังบุหญ้าอูลา สีของมันดำสนิท แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นพรานป่าที่ล่าสัตว์อยู่บนเขาตลอดทั้งปี เพราะบนเขาอุณหภูมิแตกต่างจากพื้นราบมากโข ร่างกายต้องเผชิญกับอากาศเย็นยะเยือกแสนสาหัส ทำให้หลายคนป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ หนึ่งปีสี่ฤดูจำต้องห่อหุ้มร่างกายด้วยโค้ตทหาร ส่วนที่ตุงๆ อยู่ใต้เสื้อโค้ตก็คือลำเพลิง คนพวกนี้ล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาหากินอยู่กลางป่าเขา นิสัยป่าเถื่อนไร้มารยาทจนเคย ทำอะไรล้วนยึดตามธรรมเนียมของพวกชาวป่าชาวเขา ไม่ชอบพูดมาก หากแต่พร้อมจะลงมือลงไม้กับคุณได้ทุกเมื่อ ในมือของคนพวกนี้มีของดีอยู่จริง หนำซ้ำยังไม่ใช่พวกเห็นแก่เงิน ขอเพียงคบหากับพวกเขาด้วยดี คนพวกนี้ย่อมยินดีช่วยเหลือคุณด้วยใจ
ผมรีบลุกขึ้นเดินไปคุยกับอีกฝ่าย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกคลางแคลงใจเล็กๆ นี่มันสมัยไหนแล้ว ทำไมถึงยังมีคนแต่งตัวโบราณคร่ำครึผิดยุคผิดสมัยมาในเมืองแบบนี้อีก
ผมระมัดระวังตัว ประสานมือคำนับ ถามเขาด้วยภาษาสแลงของพวกพรานป่า “พี่ชายล่องเขาอยู่ที่ไหน”
เขาตอบ “ทางเหนือ พวกเราเป็นมือปืน”
“แล้วพี่ชายเป็นสายใบ้หรือสายเสียง”
“สายเสียง พวกเราเป็นพวกกองหน้า ท่านเทพห้าขุนเขาคุ้มครอง เลยได้ของดีติดมือมานิดหน่อย ว่าแต่เถ้าแก่จะเอาหรือเปล่า”
ผมรีบตอบ “เอาสิเอา เชิญ! เชิญเข้าไปข้างในก่อน!” หลังจากนั้นก็หันไปเรียกหม่าซาน “หม่าซาน รีบไปเตรียมชา เอาชาหลงจิ่งจากซีหูในห้องมา!”
หม่าซานที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจที่ผมพูด สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย ก่อนจะเดินหน้าตาเหยเกไปชงชา ส่วนผมหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากเรียกเขาขึ้นอีกรอบ “ไม่ต้องเสียเวลาชงชาแล้ว เอาเหล้าเหมาไถในตู้ขวดนั้นมาดีกว่า!” หม่าซานขานรับออกมาคำหนึ่ง เขาเริ่มอ่านเกมออก เดินไปหยิบเหล้าอย่างไม่มีอิดออด
ที่พวกเราคุยกันเมื่อครู่คือภาษาสแลงของพวกพรานป่า ประการแรกเพื่อเป็นการสร้างความสนิทสนม ประการที่สองเพื่อยืนยันถึงสถานะของอีกฝ่าย ดูซิว่าอีกฝ่ายใช่พวกมือสมัครเล่น สิบแปดมงกุฎ หรือพวกตำรวจปลอมตัวมาหรือเปล่า ธุรกิจค้าหนังสัตว์นี้ของดีมักมีที่มาที่ไปไม่ถูกกฎหมาย ดูเผินๆ เหมือนจะมีคนคิดถึงเยอะ แต่ลับหลังคนที่คิดเล่นงานคุณก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยเช่นกัน หากไม่ระวังอาจเรือคว่ำเอาง่ายๆ
ที่ผมถามว่าล่องเขาอยู่ที่ไหนหมายความว่าเขาล่าสัตว์อยู่ที่ไหน เขาตอบว่าทางเหนือ นั่นก็แปลว่าเขาเป็นพวกพรานป่าจากภาคเหนือ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถาม ดูจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ หากไม่ได้มาจากต้าซิงอันหลิ่งก็ต้องมาจากเขาฉางไป๋โน่นแน่ แต่โอกาสที่จะเป็นต้าซิงอันหลิ่งเหมือนจะมีมากกว่า หลายปีมานี้เขาฉางไป๋เริ่มได้รับการบุกเบิกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว สัตว์ป่าเลยมีจำนวนลดลง ต่างกับต้าซิงอันหลิ่งที่ยังมีของดีอยู่มาก ส่วน ‘มือปืน’ กับ ‘กองหน้า’ นั้นหมายถึงการแบ่งตำแหน่งหน้าที่ของพวกพรานป่า การเข้าไปในป่าลึก พวกเขาจำต้องออกล้อมวงล่าสัตว์เป็นกลุ่ม บางคนทำหน้าที่ร้องตะโกน บางคนก็รับหน้าที่ตัดหาง บ้างก็รับหน้าที่สำรวจเส้นทาง ที่อยู่หน้าสุดยิงปืนจัดการกับสัตว์ป่าเรียกว่าพวก ‘กองหน้า’ ส่วน ‘สายเสียง’ กับ ‘สายใบ้’ คือการแยกประเภทพวกพรานป่า ในวงการล่าสัตว์แบ่งพรานป่าออกเป็นสองพวกง่ายๆ คือสายใบ้กับสายเสียง ‘สายใบ้’ เป็นพวกสายบุ๋นที่อาศัยวิธีการวางกับดัก ขุดหลุมพราง ใช้ยาพิษ ยิงธนูเป็นหลัก ส่วน ’สายเสียง’ ก็คือพวกพรานป่าสายบู๊แบบเก่าๆ ออกล่าสัตว์เป็นกลุ่มพร้อมปืนกับสุนัข มี ‘นายหัวคุมป่า’ เป็นผู้นำ ออกล้อมวงล่าสัตว์เป็นกลุ่มใหญ่ ‘สายใบ้’ กับ ‘สายเสียง’ ต่างล้วนนับถือ ‘ท่านเทพห้าขุนเขา’ เทพที่คอยดูแลพรานป่าโดยเฉพาะ พวกเขาเชื่อว่าที่ล่าสัตว์ได้ก็ด้วยเพราะมี ‘ท่านเทพห้าขุนเขา’ คุ้มครอง
ประโยคสุดท้ายที่ว่า ‘ท่านเทพห้าขุนเขาคุ้มครอง เลยได้ของดีติดมือมานิดหน่อย’ นั้น คำว่า ‘ของดี’ แท้ก็หมายถึงหนังสัตว์นั่นเอง ความหมายคือเพราะได้เทพแห่งภูเขาคุ้มครอง ครั้งนี้เลยได้หนังสัตว์กลับมาไม่น้อย ถามผมว่าต้องการหรือเปล่า
อยู่ๆ ก็มีคนเอาสินค้าชั้นเยี่ยมมาเสนอให้ถึงหน้าประตูแบบนี้ ผมมีหรือจะไม่รับ!
หม่าซานเอาเหล้าเข้ามา ผมกระตือรือร้นเรียกอีกฝ่าย “พี่ชาย ด้านนอกคนพลุกพล่านไม่สะดวก พวกเราเข้าไปพักสูดอากาศ* ข้างในเถอะ!”
คนคนนั้นหยิบเอาถุงหนังงูพาดขึ้นไหล่ เดินตามผมเข้าไปด้านใน แต่กลับส่ายหน้า “ฟ้าต่ำแล้ว ยังต้องย่ำอีก**!”
พิลึก…มีพรานที่ไหนบ้างไม่ชอบดื่มเหล้า ป่าเขารกร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย วันๆ ได้แต่คบค้าสมาคมอยู่กับพวกสิงสาราสัตว์ โอกาสได้พบเจอคนเป็นๆ ปีหนึ่งจะมีก็แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ความรู้สึกโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงามีเพียงเหล้าเท่านั้นที่จะช่วยผ่อนคลายได้ ขายหนังสัตว์ได้เงินถือเป็นเรื่องดี พวกเขายิ่งมีแต่ต้องดื่มเหล้าสักหลายๆ แก้วก่อนแล้วค่อยไป มีหรือจะรีบร้อนแบบนี้ ประหลาดคนจริงๆ
ผมคิดว่าเวรแล้ว หรือว่าคนคนนี้จะเป็นพวกสมองไม่เต็มเต็ง ไม่แน่ว่าบางทีตอนล่าสัตว์อาจถูกเจ้าบอดดำตบจนสมองเพี้ยนไปแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นผมจึงลองถามดู “พี่ชาย ในถุงมีของดีอะไร”
อีกฝ่ายวางถุงหนังงูตุงๆ ใบนั้นลงและเปิดมันออก “สะโพกขาว คอยาว เท้าเขย่ง ไม่ว่าอะไรข้าก็มีทั้งนั้น!”
สะโพกขาวคือกวางโร คอยาวหมายถึงกวาง ลึกเข้าไปในป่าดิบของต้าซิงอันหลิ่งทั้งสองอย่างนี้ยังพอพบเห็นได้บ่อย แต่เจ้าเท้าเขย่งนี่พบเจอได้ยากที่สุด เท้าเขย่งหรือบอดดำที่แท้ก็คือหมีดำนั่นเอง
ผมอ้าปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก หมีดำไม่เพียงเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองอันดับหนึ่งของประเทศ หนำซ้ำยังเรี่ยวแรงมหาศาล แข็งแรงโคตรๆ หมีดำหากถูกยิงท้องไส้ไหล มันยังใช้อุ้งเท้าของมันจับไส้ยัดกลับเข้าไปได้เอง ก่อนที่จะใช้อุ้งเท้าอีกข้างหนึ่งปิดปากแผลไว้ แล้วใช้ข้างที่จับไส้ยัดกลับเข้าไปแล้วฟาดใส่พรานป่า แค่ครู่เดียวก็ตบหัวมนุษย์จนเละเป็นโจ๊กได้แล้ว!
ขี้โม้ชะมัด สมัยนี้อย่าว่าแต่หนังหมีเลย แม้แต่จะซื้อหมีตัวเป็นๆ จากสวนสัตว์ก็ยังยาก แล้วมีหรือที่คนอย่างเขาจะหามาขายได้
ชายคนดังกล่าวไม่ได้พูดอะไรอีก เขาทำเพียงเทของในถุงหนังออกมาจนหมด กองหนังคุ้นตาหล่นร่วงออกมารวดเร็ว เขาคลี่มันกับพื้นทีละผืน
ผมอ้าปากค้าง เขาไม่ได้โม้จริงๆ หนังกวาง หนังละมั่ง หนังแมวป่า หนังหมาป่าทั้งผืนที่เขาคลี่ออกมาให้ดู ไม่เพียงสะอาดหมดจด หนำซ้ำยังผ่านการฟอกเบื้องต้นมาก่อนแล้วอีกด้วย นี่มันเหนือความคาดหมายจริงๆ!
หลังจากพิจารณาดูโดยละเอียด ผมก็พบว่าหนังพวกนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสิบกว่าผืน ที่อยู่ล่างสุดคือหนังหมีดำผืนค่อนข้างใหญ่ที่ถูกตัดหัวตัดเท้าออกไปแล้วผืนหนึ่ง กับหนังสัตว์ที่มีหัวและเท้าทั้งสี่ครบอยู่อีกผืน หนังสัตว์ผืนดังกล่าวสีขาวปลอด แม้จะมองไม่ออกว่ามันเป็นหนังของตัวอะไรกันแน่ แต่จะว่าไปหนังผืนนั้นก็ดูแปลกอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะปกติแล้วพรานป่าขายหนังมักจะตัดหัวตัดเท้าออก เหลือไว้แค่ผืนหนังเท่านั้น จะได้ม้วนเก็บไว้ในถุงหนังงูได้สะดวกก่อนจะยัดผ้าห่มเก่าๆ อีกผืนไว้ที่ด้านบน สอดมันไว้ใต้ที่นั่ง ถึงตอนนั้นย่อมไม่มีใครสังเกตเห็น
ผืนหนังที่ทั้งหัวและเท้าทั้งสี่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์แบบนี้ ต้องอาศัยทักษะการฟอกหนังสลับซับซ้อน นอกจากว่าทางผู้ซื้อจะกำหนดไว้ว่าต้องการหนังแบบนี้ไว้เพื่อการศึกษาวิจัย หาไม่แล้วพวกพรานป่าไม่มีทางยอมเปลืองแรงทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้เด็ดขาด
พรานป่าคนนี้คงมีเรื่องทะเลาะกับคนซื้อก่อนหน้านี้แน่ ถึงได้เอามันออกมาเดินเร่ขายแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญมาพบกับผมเข้า หนังพวกนี้ผมต้องรับซื้ออยู่แล้ว แต่ผืนหนังที่ครบสมบูรณ์ทั้งหัวทั้งเท้านี้ ผมคงให้ราคาได้เท่ากับผืนหนังธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ผมรับซื้อผืนหนัง ไม่ได้รับซื้อตัวอย่างงานวิจัย ถ้าไม่พอใจราคาที่ผมเสนอให้ก็เตรียมเอากลับไปให้ลูกที่บ้านเล่นได้เลย!
พอคิดได้แบบนี้ มือของผมก็เริ่มอยู่ไม่สุข หลังจากลูบคลำผืนหนังดูโดยละเอียดรอบหนึ่ง ดมกลิ่นมันอีกที ผมก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสินค้าชั้นยอด ข้าวของจำพวกหนังสัตว์นี้ทำปลอมยาก ของปลอมจะมีกลิ่นสารเคมียากจะปิดบังได้ปนอยู่เสมอ หากเป็นคนวงใน แค่ลูบดูดมดูก็บอกได้แล้วว่าเป็นของจริงของปลอม หนังพวกนี้ผมไม่จำเป็นต้องดู แค่ใช้มือลูบก็บอกได้แล้วว่าทั้งหมดล้วนเป็นของใหม่เป็นของแท้ ทันทีที่เปลี่ยนมือราคาของมันจะพุ่งสูงขึ้นอีกหลายเท่า ขายออกได้ง่ายดายไม่ต่างอะไรกับถ่มน้ำลายขากเสลด
ผมกระแอมออกมาทีหนึ่ง ตั้งใจจะตกลงราคากับอีกฝ่าย นึกไม่ถึงว่าแทนที่จะพูดถึงเรื่องราคา เขากลับโบกมือถามผมว่าผมพอจะหาลำเพลิงให้เขาได้หรือเปล่า
ผมตะลึง “ลำเพลิง?”
เขารีบถาม “ไม่แค่ลำเพลิง ดินเพลิง บ้องไฟ อะไรก็ได้ทั้งนั้น! ขอเพียงมีหมี่ผัดด้วยเท่านั้นก็พอ! ข้าจ่ายเงินสด ของดีพวกนี้ถือเป็นเงินมัดจำก็ได้!”
ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ไม่พูดไม่จา
หม่าซานยืนดูอยู่ข้างๆ โดยตลอด เขาจ้องมองผืนหนังพวกนั้นตาเป็นประกาย ในร้านตอนนี้ไม่มีผืนหนังแบบนี้เลยสักผืน ต้องรีบหามาเติมเป็นการด่วน ของพวกนี้ในสายตาของเขาไม่ใช่ผืนหนัง หากแต่เป็นตั๋วเงินปึกใหญ่ พอเห็นผมจู่ๆ ก็สีหน้านิ่งเฉยแบบนั้น เขาก็เฝ้าขยิบตาไม่หยุด
อย่าว่าแต่ขยิบตาเลย ต่อให้เค้นลูกตาจนทะลักผมก็ไม่มีทางตกลงรับปาก คนคนนี้มีปัญหา หนังของเขาไม่ขายเอาเงิน แต่กลับต้องการแลกอาวุธ ลำเพลิงคือปืนสั้น บ้องไฟคือปืนล่าสัตว์ ดินเพลิงคือปืนประดิษฐ์ หมี่ผัดคือกระสุน เห็นชัดอยู่แล้วว่าเขาต้องการเปลี่ยนผืนหนังพวกนี้เป็นอาวุธ จะเป็นปืนอะไรรุ่นไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่มีกระสุนให้เท่านั้นก็พอ!
การกระทำของเขาไม่เพียงผิดหลักการ หากแต่ยังเหลวไหลไร้เหตุผลด้วย
ผมทำธุรกิจค้าหนังสัตว์ ซื้อหนังสัตว์ขายหนังสัตว์ ส่วนหนังสัตว์ที่เอามาขายนั้นมีที่มาแบบไหน จะขโมยมา ชิงคนอื่นมา ผิดหรือไม่ผิดกฎหมาย ผมไม่ใส่ใจ ขอแค่ไม่ผิดกฎของธุรกิจค้าหนังสัตว์ ทุกอย่างย่อมไม่มีปัญหา
แต่คิดจะเอาหนังสัตว์แลกอาวุธ เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ขายอาวุธปืนไม่เพียงผิดกฎหมาย มันยังผิดต่อหลักการด้วย อย่าว่าแต่ผมไม่มีเลย ต่อให้มีผมก็ไม่กล้าขายให้เขา!
เรื่องแบบนี้เขาไม่มีทางไม่เข้าใจ
จู่ๆ ผมก็สะดุ้ง หรือว่าคนคนนี้จะเป็นตำรวจจงใจปลอมตัวมาคิดหลอกเล่นงานผม สมองผมครุ่นคิดรวดเร็ว รับซื้อหนังต้องห้ามยังพอแกล้งโง่ได้ อย่างมากก็แค่ถูกปรับ แต่ขายปืนสิโทษหนัก ต้องไปกินข้าวแดงอยู่ในคุก!
พรานป่ารายนั้นไม่โง่ เพราะเข้าใจว่าผมกำลังกังวลใจเรื่องอะไรอยู่ เขาจึงพูดออกมาตรงๆ “เถ้าแก่ไม่ต้องกังวล มีคนแนะนำข้ามา บอกว่าเถ้าแก่มีทางหาปืนให้ได้”
ผมระแวดระวังถาม “ผมก็แค่พ่อค้า จะมีหนทางอะไรได้…ว่าแต่ใครแนะนำคุณมา”
เขาตอบ “สหายข่ง”
ผมไม่เข้าใจ “สหายข่ง? สหายข่งไหน”
“ข่ง…ข่งฉี”
“บัดซบ! ที่แท้ก็ไอ้ลูกหมาข่ง!” ถึงจะนึกด่าแช่งชักหักกระดูกเจ้าของชื่อดังกล่าวอยู่ในใจ แต่ในเวลาเดียวกันผมก็รู้สึกโล่งอก
ข่งฉีเป็นเพื่อนนักเรียนสมัยมหาวิทยาลัย จัดได้ว่าเป็นคนเก่งคนหนึ่ง หลังเรียนจบเขาก็ไปทำงานอยู่ที่ภาคใต้ วันๆ เอาแต่ชวนให้ผมร่วมลงทุนทำธุรกิจด้วย เจ้าบ้านี่ปากไม่มีหูรูด ชอบดื่มเหล้าเป็นที่สุด พอเมาแล้วคำพูดเหลวไหลอะไรก็พ่นออกมาได้ไม่มีหยุด ขนาดเรื่องด้วงขี้ควายยังโม้จนกลายเป็นรถบรรทุกได้ เรื่องของผมเขาคงไม่แคล้วพูดส่งเดชออกมาตอนกำลังเมาแน่ ทำแบบนี้เท่ากับผลักผมลงเตาไฟชัดๆ!
ยุคเจ็ดศูนย์แปดศูนย์การซื้อขายปืนย่อมทำได้ไม่ยาก จะปืนสั้นปืนยาว ทหารใช้หรือชาวบ้านใช้ล้วนมีให้ซื้อหามาเก็บไว้ในครอบครอง ปืนที่ใช้ในกองทัพคือปืนที่ถูกทิ้งไว้ในสมัยสงคราม ส่วนปืนที่พวกชาวบ้านใช้คือปืนลมที่ใช้ยิงนกกับปืนประดิษฐ์ที่ทำขึ้นเอง ตอนนั้นไม่ว่าจะอยู่ไกลสักแค่ไหนก็ล้วนหาซื้อกันได้ไม่ยาก อยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ไปหม่านโจว ภาคตะวันตกเฉียงเหนือไปชิงไห่ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ไปหลงเต๋อ ไม่ก็ซงเถาในมณฑลกุ้ยโจว ส่วนแถบจิงจินก็ไปหาซื้อได้ที่ไป๋โกวตลาดกระเป๋าชื่อดังของมณฑลเหอเป่ย ที่นั่นถึงขนาดมีคำพูดที่ว่า ‘ไป๋โกวไม่เพียงมีชื่อเสียงเรื่องกระเป๋า อาวุธปืนหรือก็ลือเลื่องไปทั่ว’
ได้ยินนายห้างบอกว่าที่แถวอวิ๋นหนานยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
ที่นั่นถึงจะเรียกได้ว่าเหิมเกริมหนัก ขายปืนไม่ต่างอะไรกับขายผักกาดขาว หน้าร้านมีตะกร้าขนาดใหญ่ใบหนึ่งวางไว้ ด้านบนมีผ้าแดงปูไว้ และวางผักกาดขาวหัวใหญ่ๆ จำนวนหนึ่งทับไว้อีกที ด้านล่างเต็มไปด้วยปืนผาหน้าไม้ ไม่ว่าจะสั้นยาวล้วนมีพร้อมสรรพ คนขายปืนยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ ดูไม่ต่างอะไรกับคนขายผักทั่วไป การค้าดำเนินไปด้วยภาษามือที่ถูกกำหนดขึ้นเป็นพิเศษ คนซื้อยื่นมือออกไปลูบคลำผักกาดขาวที่อยู่ในตะกร้าแล้วตกลงราคากับคนขาย เรื่องราวพวกนี้หากเป็นคนในวงการแค่ไม่กี่นาทีก็ซื้อขายกันได้เป็นที่เรียบร้อย แต่คนนอกกลับยากจะเข้าถึง
วันเวลาแบบนั้นมันหมดยุคหมดสมัยแล้ว ศตวรรษที่ยี่สิบปลายปีแปดศูนย์ประเทศมีการควบคุมอาวุธปืนเข้มงวด ปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบหกมีการออกกฎหมาย ‘ควบคุมอาวุธปืน’ กวาดล้างอาวุธปืนในหมู่ชาวบ้านครั้งใหญ่ หลายปีมานี้พวกพ่อค้าอาวุธเถื่อนต่างถูกทางการจัดการจนแทบไม่มีเหลือ ไม่ว่าจะใต้ดินหรือบนดินล้วนถูกปราบปรามสิ้นซาก
ไอ้ลูกหมาข่งนี่ก็ช่างกล้า กลางวันแสกๆ อีกทั้งยังมีกฎหมายบังคับใช้ ยังกล้าบอกชาวบ้านว่าผมจัดหาอาวุธปืนให้ได้อีก ทำแบบนี้คงดูหนังเจ้าพ่อมาเฟียมากเกินไปแล้วแน่ๆ! สถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวง หากผมช่วยหาปืนให้จริง เกรงว่าวันที่สองคงไม่แคล้วได้ถูกเชิญตัวไปดื่มน้ำชาแหง!
ถึงจะนึกโมโห แต่ผมก็ยังคงอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างสุภาพ “พี่ชาย ผมขอพูดตรงๆ ถึงผมกับสหายข่งรู้จักกันมาแต่เล็ก แต่ไม่ได้พบหน้ากันมาก็หลายปีดีดักแล้ว ที่เขาบอกกับคุณล้วนเป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในวงการแล้ว ที่เมืองหลวงมีการควบคุมดูแลเข้มงวด อย่าว่าแต่ปืนเลย ขนาดธนูก็ยังซื้อขายไม่ได้ ว่ากันว่าอีกไม่กี่ปีเป่ยจิงจะมีการจัดกีฬาโอลิมปิก ถึงตอนนั้นแม้แต่หนังสติ๊กเด็กเล่นก็ยังจะถูกยึด
หากต้องการซื้อจริงๆ ก็ลองไปแถวตะเข็บชายแดนดู ที่สิบสองปันนา หม่านโจวการดูแลไม่เข้มงวดเท่าไหร่นัก คงยังพอหาซื้อได้อยู่ ส่วนผืนหนังพวกนี้ผมอยากได้จริงๆ หากพี่ชายเห็นสมควรก็ลองเสนอราคาดู พอเปลี่ยนมันเป็นเงินเสร็จ ถึงตอนนั้นจะซื้อหาอะไรก็ย่อมง่ายดาย แต่ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะ พี่ชายก็เอาผืนหนังพวกนี้กลับไปเสีย ผมจะถือว่าพี่ชายไม่เคยแวะเวียนมาที่นี่มาก่อน พี่ชายคิดเห็นเช่นไร”
พูดถึงตรงนี้ชายคนดังกล่าวก็ไม่พูดอะไรอีก หลังจากผ่านไปได้ครู่หนึ่งเขาก็โบกไม้โบกมือ บอกว่าตัวเองก็ไม่รู้ว่าของพวกนี้มีราคาค่างวดเท่าไหร่ ให้ผมเป็นฝ่ายเสนอราคาแทน หลังจากประเมินสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง ผมก็ตัดสินใจเสนอราคาให้เขาสูงกว่าปกติเล็กน้อย เขาพยักหน้าตกลง ไม่เจรจาต่อรองราคาอะไรแม้แต่ครึ่งคำ ผมรู้สึกเจ็บปวดใจเล็กๆ ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ผมคงกดราคาลงมาอีกสักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ให้หม่าซานรีบไปเอาเงินออกมานับต่อหน้าอีกฝ่าย บอกให้เขาเก็บมันไว้ให้ดี
เขาพยักหน้า ยัดเงินปึกใหญ่เก็บใส่ไว้ในโค้ตทหาร ขณะที่กำลังหันหลังเตรียมจากไป ผมก็เอ่ยปากเรียกเขาอีกครั้ง หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งมาเขียนใบเสร็จ ระบุชัดว่าวันนี้รับของจากเขามาเป็นจำนวนกี่ชิ้น เป็นเงินเท่าไหร่ เสร็จแล้วก็เขียนชื่อร้าน ที่อยู่ รวมถึงชื่อเต็มของผมไว้ที่ด้านหลัง ก่อนบอกว่าคราวหน้าให้มาหาผมตามที่อยู่นี้
หลังส่งอีกฝ่ายออกจากร้าน ผมก็ตื่นเต้นดีใจ บอกหม่าซานให้รีบปิดประตู เปิดไฟ ชื่นชมผืนหนังสิบกว่าผืนนั้นอีกหลายๆ รอบ เพราะไม่เคยมีผืนหนังผ่านมือมากมายแบบนี้มาก่อน หม่าซานตรงเข้ามาลูบหนังหมีไปมาด้วยความตื่นเต้นพลางถามอย่างสงสัย “พี่เสี่ยวชี นี่มันหนังเจ้าบอดดำจริงหรือเปล่า”
ผมไม่สบอารมณ์ “ไอ้เวรเอ๊ย เวลาบอกให้หัดก็ไม่ยอมหัด ขนาดหนังหมีก็ยังบอกไม่ได้ แล้วคิดว่านี่หนังอะไร หนังวัวดำงั้นสิ?”
เห็นผมครึ้มอกครึ้มใจแบบนั้น หม่าซานก็รีบพูดขึ้นมาทันที “โธ่ พี่เสี่ยวชี มีตาทิพย์อย่างพี่อยู่ทั้งคน แค่กวาดตาดูก็รู้ได้แล้วว่าหนังอะไร แล้วผมยังจะต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไมอีก!”
ผมร้องด่าออกมาคำหนึ่ง “ไอ้เวร ข้าเนี่ยระดับเห้งเจียเลยนะเว้ย!” แต่ในใจกลับรู้สึกภูมิใจ มองดูผืนหนังที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีปลาบปลื้ม แต่พอเห็นผืนหนังสีขาวผืนนั้น ผมก็อดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ คนคนนั้นไม่ขอค่าหนังผืนนี้เพิ่มเลยแม้แต่หยวนเดียว ไม่พูดถึงเสียด้วยซ้ำ หลังจากที่หยิบมันขึ้นมาพิจารณาดูโดยละเอียด ผมก็พบว่ามันเป็นหนังหมาป่า ที่อยู่ทางด้านบนคือหัวหมาป่าขนฟูกำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน สมองถูกควักออกจนเกลี้ยง หนังผืนนี้เป็นหนังเก่าต่างจากหนังใหม่ผืนอื่นๆ
ผมพยักหน้า วางผืนหนังลง รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งผมก็นึกขึ้นได้ จริงอยู่ที่ผืนหนังนี้เป็นหนังหมาป่าแน่ ไม่ว่าจะหัว ลำตัวหรือหางก็ถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าหมาป่าล้วนขนเทาแซมน้ำตาล ไม่มีหมาป่าที่ไหนที่จะขาวอย่างกับกระต่ายแบบนี้
หม่าซานพึมพำ “หนังหมาป่าขาวหาโคตรยาก แบบนี้ต้องทำเงินก้อนโตได้แน่!” เขากระซิบเสียงแผ่วออกมาติดๆ อีกประโยค “ว่าแต่มันคงไม่ใช่ของปลอมใช่หรือเปล่า”
ผมเองก็ไม่แน่ใจ ว่ากันตามหลักแล้วยิ่งสีขนหายากเท่าไหร่ โอกาสที่จะเป็นของปลอมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทั้งหมดทั้งมวลก็ด้วยเพราะมันขายได้ราคาดี แต่ทำธุรกิจค้าหนังสัตว์มาหลายปีดีดัก ยังไงผมก็ยังมั่นใจว่าตัวเองสามารถแยกแยะของจริงของปลอมได้อยู่ ใช่ว่าผมจะคุยโวโอ้อวด แต่ขอแค่ได้วางมือลงบนผืนหนัง ลูบมันไปช้าๆ ต่อให้หลับตาผมก็แยกแยะได้ว่าผืนหนังที่ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
แต่หนังหมาป่าผืนนี้ไม่ปกติจริงๆ ผมหยิบมันขึ้นมา ยกส่องเข้ากับแสงไฟ
หนังเทียมทำจากฝีมือมนุษย์แยกแยะได้ไม่ยาก พูดกันแบบคนวงใน จะแยกแยะหนังแท้หนังเทียมมีอยู่ด้วยกันสามขั้นตอน หนึ่งดู สองสัมผัส สามดม หลังผ่านสามขั้นตอน หนังแท้หรือไม่แท้ย่อมบอกได้ชัดแจ้ง
เมื่อได้ผืนหนังมา สิ่งแรกที่ควรทำคือตรวจดูให้ละเอียด หนังเทียมไม่ว่าจะทำได้เหมือนจริงสักแค่ไหน ความเงางามของมันก็ไม่มีทางสู้หนังแท้ได้ ริ้วรอยหรือก็ไม่ปรากฏ ไม่ให้ความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย หนังแท้จะมีรูขุมขนให้เห็นเด่นชัด ลวดลายกระจายอยู่ไม่ถ้วนทั่ว รูขุมขนกับลวดลายก็ไม่เหมือนกัน อย่างหนังวัวรูขุมขนจะเล็กละเอียด หนังตัวจามรีรูขุมขนจะค่อนข้างหยาบใหญ่ ส่วนหนังแกะรูขุมขนจะมีลักษณะคล้ายเกล็ดปลา นอกจากรูขุมขนแล้ว ริ้วรอยบนหนังก็ไม่มีทางสม่ำเสมอทั่วกันทั้งผืน บางจุดอาจมีมากหน่อย บางตำแหน่งอาจมีน้อยหน่อย ไม่มีทางเรียงตัวเป็นระเบียบเหมือนกันตลอดผืน
พอดูด้วยตาเสร็จ ก็ให้ลองใช้มือลูบคลำมันโดยละเอียดอีกที หลับตาสัมผัสมันดูสักครู่ หนังเทียมจะมีลักษณะแห้งผาก ให้สัมผัสที่ด้านกว่า ไม่มีความ ’ชุ่มชื้น’ เหมือนหนังแท้
สุดท้ายคือลองดม หนังแท้ไม่ว่าจะฟอกสักกี่ครั้งยังไงก็ยังคงมีกลิ่นติดอยู่ ไม่ใช่กลิ่นหอมกลิ่นเหม็นอะไรพวกนั้น แต่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของพวกมัน สิ่งนี้ทำเลียนแบบกันไม่ได้ ส่วนหนังเทียมไม่ว่าจะย้อมกลิ่นอะไรไว้ก็ไม่อาจกลบกลิ่นสารเคมีได้
ผมพิจารณาดูอยู่ครู่หนึ่ง ลูบไล้ผืนหนังอีกที ก่อนจะทดลองดมดู ขนและหนังของมันทั้งแข็งทั้งสาก แถมยังมีกลิ่นสาบปนอยู่จางๆ รับรองได้ว่าต้องใช่หนังแท้อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนจะใช่หนังหมาป่าหรือไม่นั้นผมเองก็ไม่มั่นใจ
หนังหมาป่าหาได้ไม่ยาก ราคาค่างวดก็ไม่เท่าไหร่ หนังหมาป่าชั้นดีที่ผ่านการฟอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างมากราคาก็ไม่กี่พัน เทียบกับหนังหมาทั่วไปแล้วแพงกว่ากันไม่กี่มากน้อย ดังนั้นจึงไม่นิยมทำปลอม แม้หนังหมาป่าที่ผ่านมือผมไปจะมีจำนวนไม่มากนัก แต่หนังหมาป่าขนขาวแบบนี้ใช่ว่าจะพบเห็นกันได้บ่อยๆ
หมาป่าที่อยู่ในประเทศจีนส่วนใหญ่เป็นหมาป่าสีเทา ซึ่งก็คือหมาป่ามองโกลนั่นเอง ขนของพวกมันสีเทาอมน้ำตาล ลักษณะคล้ายกับหมาพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด ว่ากันว่าในเขตซีจั้งที่มีหิมะตกตลอดทั้งปีนั้นมีหมาป่าหิมะอยู่สายพันธุ์หนึ่ง ขนของมันเป็นสีขาว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ด้วยเพราะมันใช้ชีวิตอยู่บนดินแดนหิมะ ทำให้ขนบนตัวของพวกมันเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม แต่ปัญหาอยู่ตรงที่หมาป่าหิมะซีจั้งนั้นผมเคยเห็นผ่านตาสัมผัสผ่านมือมาก่อน ขนของมันแท้แล้วเป็นสีเทาอ่อนๆ ไม่ได้เป็นสีขาวบริสุทธิ์เหมือนเนยขาวแบบนี้
บ้าเอ๊ย หนังหมาป่าขาวบริสุทธิ์อย่างกับหิมะนี่ช่วยเปิดหูเปิดตาผมดีแท้!
ผมคิดแล้วคิดอีก วันพรุ่งคงต้องไปขอคำชี้แนะจากไป๋หล่างสักหน่อยแล้ว ตอนหนุ่มๆ เขาตระเวนล่าหมาป่าอยู่ตามแนวชายแดนจีน-รัสเซียโดยเฉพาะ รู้เรื่องหมาป่าดีที่สุด ไม่แน่ว่าเขาอาจเคยเห็นก็ได้
ขณะที่ผมพลิกหนังหมาป่าดู ทันใดนั้นผมก็พบว่าบริเวณช่วงท้องของมันมีรูเล็กๆ เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบอยู่สองแถว คล้ายมีคนใช้เข็มเบอร์ใหญ่สุดแทงไว้ รูเล็กๆ พวกนี้มีไว้ทำไม หรือว่าจะมีคนว่างงานไม่มีอะไรทำ เอาของอะไรบางอย่างยัดไว้ด้านใน ก่อนจะเย็บมันเข้าหากัน
หม่าซานเองก็รู้สึกคึกคัก เขาปูแผ่นหนังลงกับพื้นทีละแผ่นๆ จนทั่วทั้งห้อง ก่อนจะลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนนั้น บอกว่าอยากรู้ว่าสัมผัสของผืนหนังราคาหลายสิบหมื่นว่าเป็นยังไง ผมถีบเขาทีหนึ่ง บอกให้รีบเก็บแผ่นหนังให้เรียบร้อย เกิดขนหลุดแม้เพียงเส้น ผมจะเฉือนลูกกระโปกเขาทิ้งเสีย!
มีภาษิตว่า ‘ร้านเล็กจักรวาลกว้างใหญ่ กาสุราตะวันจันทรานานเนิ่น’ อย่าได้นึกดูแคลนร้านของผมเชียว
ร้านนี้หากว่ากันแบบเท่าที่ตาเห็น ที่นี่ก็แค่ร้านขายหนังสัตว์ใต้ดินร้านหนึ่ง หากพูดกันให้ถูกต้อง ที่นี่เป็นท่าเรือเชื่อมต่อระหว่างด้านมืดกับด้านสว่างของธุรกิจค้าหนังสัตว์ ไม่ว่าพรานป่ามือฉมังที่มีผืนหนังหรือของป่าต้องห้ามอยากปล่อย พวกที่อยากเข้าป่าล่าสัตว์ ยิงปืนล่ากระต่าย รวมถึงคนที่อยากซื้อหนังสัตว์หายากในท้องตลาด สัตว์ป่าหายากในป่าดิบ พวกเขาล้วนมาหาผมได้ทุกเมื่อ ไม่มีปัญหา!
แน่นอน ธุรกิจผิดกฎหมายผมย่อมไม่ทำ
ผมรับผิดชอบแค่เป็นคนกลางให้เท่านั้น มือข้างหนึ่งชักจูงผู้ขาย มือข้างหนึ่งชักจูงผู้ซื้อ ส่วนเรื่องจะตกลงกันแบบไหน เจรจาเรื่องอะไร ผิดไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมทั้งนั้น
แน่นอน หากเกิดเรื่องพวกคุณจะมาหาผมไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วย และยิ่งไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
ทว่าเมื่อการค้าสำเร็จผมก็ต้องขอชักค่าน้ำชาสักเล็กน้อย ขอโทษครับ! ร้านค้าเล็กๆ แห่งนี้รับแต่เงินสดเท่านั้น
เงินนี้ไม่ได้ขโมยไม่ได้ช่วงชิงใครมา แล้วทำไมผมต้องปฏิเสธด้วย!
ที่ประเทศจีน การทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องสมัยศตวรรษที่ยี่สิบโน่น เดี๋ยวนี้หากอยากมีชีวิตเป็นผู้เป็นคนเหมือนกับคนอื่น ก็ต้องรู้จักหลับตาข้างลืมตาข้าง ทำธุรกิจสีเทาเล็กๆ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้าน ถึงจะพอมีเงินเย็นกับเขาได้
แน่นอน โลกของพวกมาเฟียผมย่อมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ต่อให้เงินมากสักแค่ไหน ไม่มีชีวิตได้ใช้ก็ไม่มีประโยชน์ คนแบบผมแม้จะหาเงินได้ไม่มากแต่ก็สบายใจ คนเราต้องรู้จักพอ ไม่อย่างนั้นอาจมีวันไหนสักวันที่พลั้งเผลอตกเข้าสู่วงโคจรที่ยากเกินกว่าจะถอนตัว
เพราะฉะนั้นผมถึงได้บอกว่าอย่าได้ดูแคลนธุรกิจที่ปีๆ หนึ่งทำการค้าแค่ไม่กี่ครั้งนี้เชียว เพราะความจริงแล้วเส้นทางสร้างผลกำไรนั้นล้วนเคลื่อนไหวอยู่ใต้ดินทั้งสิ้น
ธุรกิจค้าหนังสัตว์ลึกล้ำไม่ใช่น้อย!
หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน เพราะเห็นว่าที่ร้านไม่มีการซื้อขายอะไร ผมเลยตัดสินใจเข้าไปงีบหลับอยู่ในห้อง ขณะกำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว บอดใหญ่จ้าวก็โทรมา พอรับสายเสียงพูดร้อนรนราวกับไฟลนก้นก็ดังขึ้น “เสี่ยวชี เมื่อหลายวันก่อนเอ็งรับซื้อผืนหนังอะไรไว้บ้างหรือเปล่า!”
ผมกำลังงัวเงีย กว่าจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายก็หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ผมโมโห ร้องถามออกไป “อ้าว! ผมทำธุรกิจเกี่ยวกับหนังสัตว์ ไม่รับซื้อผืนหนัง แล้วเฮียจะให้ผมทำอะไร”
บอดใหญ่จ้าวน้ำเสียงร้อนรน “ไอ้บ้า! เอ็งคิดว่าข้ามีอารมณ์พูดเล่นด้วยหรือไง คิดดูให้ดีๆ เมื่อสองสามวันก่อนเอ็งรับซื้อของเถื่อนอะไรไว้หรือเปล่า ขอบอกให้รู้ คนที่เอาหนังมาขายให้เอ็งเกิดเรื่องแล้ว!”
ผมได้สติขึ้นมาทันที “ถูกจับ? หรือว่ามันซัดทอดมาถึงผม”
“เหอะ! ถ้าแค่ถูกจับก็คงดีหรอก ไอ้หมอนั่นตายแล้ว!”
ผมสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง “อะไรนะ! เวรเอ๊ย! ตายแล้ว? ใครตาย? ตายได้ไง!”
บอดใหญ่จ้าวตอบ “บัดซบ เพิ่งรู้จักกลัวหรือไง! เอ็งฟังให้ดี พวกข้ากับนายห้างเพิ่งกลับมาจากต้าซิงอันหลิ่ง เมื่อสองสามวันก่อนมีโทรศัพท์ถึงนายห้าง เป็นสายของหมาเหลือง* จากจยาเก๋อต๋าฉี บอกว่าตอนพวกเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าออกลาดตระเวนแล้วพบศพคนคนหนึ่งเข้า! ศพสวมโค้ตทหาร เน่าเหม็น ตายอยู่ในป่าดิบมาหลายวันแล้ว! พอค้นตัวดูก็พบว่าในกระเป๋ามีใบเสร็จรับสินค้าของที่ร้าน เห็นชัดๆ ว่าเป็นลายมือเอ็ง ไอ้หมาเหลืองนั่นเคยลักลอบทำการค้าลับๆ กับนายห้างอยู่สองสามหน รู้จักร้านของพวกเราดี เลยแอบเก็บใบเสร็จไว้! เอ็งนี่โชคดีโคตรๆ น่าจะไม่มีเรื่องอะไรใหญ่โต!”
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี คนที่เมื่อหลายวันก่อนยังมีชีวิตอยู่ ทำไมจู่ๆ ถึงตายได้
ผมซักไซ้บอดใหญ่จ้าวต่อ แต่เขาเองก็บอกรายละเอียดอะไรไม่ได้ บอกแค่ว่าหมาเหลืองรายนั้นเล่าว่าคนคนนั้นตายประหลาด เลือดอาบท่วมทั้งมือ!
เพิ่งรู้สึกโล่งอกไปได้ไม่ทันไร ผมก็เดือดดาลขึ้นมา “ตกอกตกใจหมด! ผมไม่ได้ฆ่าชาวบ้านตายสักหน่อย เฮียจะโทรมาค่ำมืดดึกดื่นทำไม!”
บอดใหญ่จ้าวประชดเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง “ไม่เกี่ยวกับเอ็ง? โง่เอ๊ย ถ้าไม่เกี่ยวกับเอ็ง ค่ำๆ มืดๆ ข้าจะโทรมาหาทำไม! เฮอะ กำลังซดเหล้ามันส์ๆ อยู่เชียว…บอกให้เอ็งรู้ไว้ ไอ้หมาเหลืองนั่นบอกกับนายห้างว่า ตอนพรานป่านั่นตาย เปลือกต้นไป๋ฮว่าที่แถวนั้นถูกลอกออกจนเกลี้ยง บนนั้นมีชื่อคนเขียนไว้ ก็ชื่อของเอ็งนั่นแหละ! ไหนจะกระดาษที่เขียนชื่อร้านของพวกเราที่อยู่ในกระเป๋าของไอ้เวรนั่นอีก ถ้าไม่เกี่ยวกับเอ็งแล้วจะเกี่ยวกับใคร!”
ผมตกใจ “เขียนชื่อผมไว้ก่อนตายเนี่ยนะ?”
บอดใหญ่จ้าวได้ใจ “เออ! พูดไปก็ขนลุกโคตรๆ ไอ้นั่นขนาดไส้ทะลักออกมาแล้ว ยังคลานลากไส้ไปตั้งสิบกว่าเมตร ลอกเปลือกไม้ออก ใช้นิ้วเขียนชื่อเอ็งลงบนต้นไม้ซ้ำๆ จนเล็บหลุด บนต้นไม้มีแต่เลือด…เอ็งไม่เคยเห็นคนตายอนาถล่ะสิ! ฮึ่ย!”
ผมสะท้านไปทั้งตัว ก่อนฝืนพูด “ไอ้บ้าเอ๊ย จะตายก็ตายไป ทำไมต้องเขียนชื่อผมเอาไว้ด้วย!”
บอดใหญ่จ้าวยิ้มชั่วร้ายอยู่ที่ปลายสายอีกด้าน “ใครจะไปรู้ บางทีมันอาจตกหลุมรักเอ็งมั้ง! เสี่ยวชีข้าขอเตือน คืนนี้ตอนนอนเอ็งระวังตัวไว้ให้ดี อย่าให้ไอ้นั่นไปหาเอ็งได้ก็แล้วกัน หึๆ ไม่แน่ว่าดีไม่ดีมันอาจอยากรวบหัวรวบหางเอ็งก็ได้!”
ยิ่งฟังผมก็ยิ่งผวา ขนลุกซู่ไปทั้งตัว มองดูในร้าน บนผนังเต็มไปด้วยหนังสัตว์ บรรยากาศชวนสะพรึง ผมรีบถามบอดใหญ่จ้าวว่าเขาตายตรงตำแหน่งไหน ผมจะรีบขับรถไปหาเดี๋ยวนี้ แต่เขากลับพึมพำบอกว่าค่ำมืดดึกดื่นปลุกเขาขึ้นมา ต้องเชิญเขาดื่มเหล้าถึงจะได้! ผมตอบได้ๆๆ อย่าว่าแต่ดื่มเหล้าเลย ต่อให้ต้องเรียกเจ้าแม่ซีหวังหมู่* มานั่งดื่มเหล้าเป็นเพื่อนก็ไม่เป็นปัญหา! บอดใหญ่จ้าวได้ใจ ส่งเสียงผ่านสายบอกว่าเจ้าแม่ซีหวังหมู่แก่ๆ เขาไม่กล้าแตะและไม่นึกอยากต้อง ให้ผมเก็บเอาไว้เองก็แล้วกัน ส่วนเขาขอแค่เจ็ดนางฟ้าก็พอ!
พอสตาร์ตรถได้ผมก็รีบบึ่งไปที่ทุ่งล่าสัตว์ทันที ในใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกว่าผมอาศัยร้านขายหนังสัตว์เล็กๆ นี้ทำมาหากิน การค้าดำเนินไปได้ด้วยดี ว่ากันตามจริงแล้วผมมันก็แค่ลูกจ๊อกเท่านั้น ปกติคอยอยู่ดูแลร้านให้นายห้าง ขณะเดียวกันก็แอบดีดลูกคิดรางแก้วหากำไรเข้ากระเป๋าตัวเองนิดๆ หน่อยๆ โชคดีที่นายห้างไม่เคยซักไม่เคยถาม ทุกปีคอยแนะนำคนกลุ่มหนึ่งให้ ไม่ซื้อเข้าก็ขายออก วนเวียนไปมาอยู่กับผม
หลายปีมานี้สัตว์ที่ถูกพูดถึงในหนังสือเรียนวิชาชีววิทยา ผมแทบจะได้สัมผัสมาหมดแล้วทุกชนิด แรกๆ ก็อาจรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย แต่ต่อมาก็เริ่มเคยชิน ควรเก็บเงินก็เก็บเงิน ควรลงบัญชีก็ลงบัญชี ดูแลปากตัวเองเป็นอย่างดี ไม่ซักถามอะไรให้มากความ
ช่วยไม่ได้ ธุรกิจค้าหนังสัตว์จะมีสินค้าถูกกฎหมายสักเท่าไหร่เชียว ไม่อย่างนั้นจะไปเอาหนังสัตว์มากมายอย่างหนังกวาง หนังหมี หนังเสือดาวมาจากไหน หรือพวกคุณเข้าใจว่าพวกมันล้วนเป็นสัตว์เลี้ยงใต้ถุนบ้าน
นายห้างไม่เพียงเปิดร้านขายหนังสัตว์ ยังสร้างทุ่งล่าสัตว์ไว้บนเขาซีซานอีกแห่ง เลี้ยงพรานมืออาชีพไว้กลุ่มหนึ่ง มีทั้งพรานล่าหมาป่าฝีมือฉมังชาวมองโกล พรานล่ากวางชาวโอโรเชน กับพรานเฒ่าที่รู้ซึ้งถึงเทคนิคล่าสัตว์สมัยโบราณอีกกลุ่มหนึ่ง
ทุ่งล่าสัตว์กว้างใหญ่ อาณาเขตครอบคลุมภูเขารกร้างหลายลูก ที่นั่นมีคนงานคอยเลี้ยงเหยื่อที่ไว้ใช้ล่าสัตว์อยู่หลายชนิด ไม่ว่าจะกระต่าย ไก่ป่า กวางชะมด กวาง อีกทั้งยังมีปืนอีกเพียบ พวกเศรษฐีที่ไปที่นั่นสามารถเข้าไปล่าสัตว์อย่างเมามันพร้อมพรานป่ามืออาชีพได้
และถ้าคุณมีเงินมากพอ พรานป่ามืออาชีพพวกนั้นก็พร้อมจะพาคุณขึ้นเขา (เขาฉางไป๋หรือไม่ก็เขาต้าซิงอันหลิ่ง) เข้าป่าล่าสัตว์จริงๆ จังๆ สัมผัสกับชีวิตนายพราน ลิ้มลองรสชาติของการนอนกลางดินกินกลางทรายว่าแท้แล้วเป็นเช่นไร
แน่นอนว่าราคาของมันย่อมไม่ธรรมดา
อย่าทำเป็นเล่นไป ธุรกิจเข้าป่าล่าสัตว์นี้ทำเงินได้ไม่ใช่น้อยๆ!
สมัยนี้เศรษฐีมีกันอยู่เยอะ มูลค่าของเงินหรือก็เล็กลง อะไรที่มันน่าตื่นเต้นก็ทำเจ้าสิ่งนั้น โดยเฉพาะที่ผิดกฎหมาย
เมื่อหลายปีก่อนพวกเศรษฐีมีเงินนิยมขุดสุสาน ก็เลยทำให้มีธุรกิจ ‘ขายสุสานโบราณ’ ปลอมๆ เกิดขึ้น สุสานโบราณขายกันแบบไหน ง่ายมาก เริ่มแรกก็ไปหาพื้นที่ที่เป็นสุสานรกร้างที่ไหนสักแห่งก่อน หลังจากนั้นก็ขุดหลุมเปล่าๆ ขึ้นมาหลุมหนึ่ง โยนพวกหยกแตกๆ เครื่องกระเบื้องเก่าๆ ป่าวประกาศให้คนภายนอกรู้ว่าพบสุสานโบราณ หลอกให้คนมา ‘เหมาหลุม’ ราคาเหมาหลุมมีตั้งแต่ห้าหมื่นไปจนถึงห้าแสน คนซื้อก็ลงไปขุดสุสานเองได้ หรือไม่ก็จ้างคนให้ลงไปขุด ส่วนตัวเองก็คอยยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะขุดเจออะไร ทุกอย่างในหลุมล้วนเป็นของคนซื้อทั้งสิ้น
ความจริงพวกเขาไม่นึกสนใจแม้แต่น้อยว่าจะขุดได้หรือขุดไม่ได้อะไร ที่พวกเขาต้องการคือความรู้สึกตื่นเต้นในการขุดสุสานเท่านั้น
หากคุณบอกว่า ‘ทำแบบนี้ไม่ได้ ขุดสุสานเป็นเรื่องผิดกฎหมาย’ เช่นนั้นคุณก็พูดถูกแล้ว เพราะมันผิดกฎหมายถึงได้น่าตื่นเต้น พวกเศรษฐีใหม่ล้วนชอบความตื่นเต้นด้วยกันทั้งนั้น หรือไม่จริง!
จะว่าไปก็แปลก สมัยก่อนเก็บเกี่ยวไม่ดี พวกชาวป่าชาวเขาแทบอดตายจึงจำต้องล่าสัตว์เลี้ยงชีพ ตอนนั้นพรานป่าถือเป็นอาชีพหนึ่งที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนทั้งบ้านได้ แต่ตอนนี้ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจดีขึ้นมากแล้ว แต่กลับมีคนมากมายยอมละทิ้งบ้านหรูๆ เตียงนุ่มๆ บุกเข้าป่าลึกหมายล่าสัตว์ให้หนำใจ ต่อให้ต้องเผชิญกับแสงแดดแผดเผา อากาศหนาวเหน็บ เหนื่อยยากลำบาก เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง หรืออันตรายถึงชีวิตก็ไม่หวั่น
ตอนผมอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็เคยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ทำไมคนเราต้องล่าสัตว์ด้วย
เข้าป่าล่าสัตว์ลำบากจะตายชัก ทั้งต้องเดินทางอยู่กลางสุสานรกร้างไร้ผู้คน อดทนต่อแสงแดดร้อนแรง พายุฝนโหมกระหน่ำ ไหนจะความหิวกระหาย ความรู้สึกกระสับกระส่าย หวาดหวั่น อ้างว้างอีก มีผู้คนมากมายที่ไม่เข้าใจว่าพวกคุณจะล่าสัตว์ไปเพื่ออะไร เหนื่อยแทบเป็นแทบตาย ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กลิ่นเหงื่อเหม็นเน่า เพียงเพื่อนกเพื่อกระต่ายแค่ไม่กี่ตัวนี่นะ
เรื่องนี้จะพูดยังไงดี
ผมเชื่อว่าผู้ชายทุกคนตอนหนุ่มๆ ต่างล้วนเคยฝันจะเป็นพรานป่าด้วยกันทั้งนั้น
ฟ้าเพิ่งสางได้ไม่ทันไรคุณก็จะแบกปืนเก่าๆ ที่อาบไปด้วยเลือดหมาป่าขึ้นไหล่ พร้อมน้ำกับเสบียงอาหาร เดินแกะรอยสัตว์ป่าอยู่ในป่าดิบ รอบกายมีก็แต่ความเงียบงัน ต้นไม้ปกคลุมแผ่นฟ้าแสงตะวัน เสียงนกร้องแปลกๆ ดังลอยมาเป็นระยะๆ พุ่มไม้หนาทึบมีเสียงดังสวบสาบ ไม่รู้ว่าเป็นเสียงกวางโร กวางธรรมดาๆ ทั่วไป หรือว่าหมูป่าตัวหนึ่งกันแน่ คุณยกปืนขึ้นเล็ง เสียงดังปัง กระสุนวิ่งแหวกผ่านกิ่งไม้ บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นดินปืน ใบไม้เน่าเปื่อย รวมถึงกลิ่นคาวเลือดของสัตว์ที่ถูกล่าได้ ผมเชื่อว่าความรู้สึกรุนแรงนี้ ใครที่เคยล่าสัตว์มาก่อนย่อมไม่มีทางลืมเลือนได้
บางทีนายห้างอาจกำลังแสวงหาความรู้สึกตื่นเต้นแบบนั้นอยู่
นายห้างของพวกเราลึกลับเป็นที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าเขาชื่อแซ่อะไร ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังพวกเราล้วนเรียกเขาว่านายห้าง ‘นายห้าง’ สองคำนี้ไม่ได้เป็นแค่การเรียกขาน หากแต่ยังเป็นการยกย่องให้เกียรติ ใครๆ ก็รู้ นายห้างมีเบื้องหลังลึกล้ำ ลู่ทางก็เช่นกัน ไม่ว่าจะวงการไหนเขาล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอยู่เสมอ
มีคนบอกว่าแท้แล้วนายห้างเป็นพวกพรานเถื่อน มีความสัมพันธ์กับกลุ่มพรานเถื่อนต่างประเทศ ออกล่าสัตว์ป่าคุ้มครองของแผ่นดินเพื่อส่งออกโดยเฉพาะ!
เรื่องนี้จริงหรือเปล่า
ไม่รู้
ผมเองก็ไม่รู้จริงๆ
ทำอาชีพนี้ไม่เพียงต้องปิดปากให้สนิท หนำซ้ำยังต้องรู้ด้วยว่าเรื่องไหนควรรู้ เรื่องไหนไม่ควรรู้ เรื่องราวมากมาย ยิ่งรู้มากก็ยิ่งไม่เป็นผลดี!
ทุ่งล่าสัตว์อยู่ลึกเข้าไปในป่าบนยอดเขาเล็กๆ ของเขาซีซาน ห่างจากร้านไปอีกไกล เขาซีซานเป็นสาขาย่อยของเขาไท่หัง มีอีกชื่อว่าเขาชิงเหลียงน้อย หากว่ากันตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว เขาซีซานเหยียดยาวสุดลูกหูลูกตา กั้นขวางแม่น้ำหย่งติ้ง เขตเหมินโถวโกว เหยียนชิ่ง ชางผิง ป้องกันพื้นที่ฝั่งตะวันตกของเมืองหลวง ราวกับแขนยักษ์ที่ค้ำยันแผ่นฟ้า ทำให้ถูกขนานนามว่า ‘แขนขวาแห่งนครหลวง’
พอวิ่งมาถึงเชิงเขาซีซาน รถก็เกิดปัญหา ผมดับไฟ โทรหาบอดใหญ่จ้าว บอกเขาให้รีบส่งคนมาซ่อมรถให้ เขาถามที่อยู่ผมและบอกว่าจะรีบส่งรถมารับ ให้รออยู่ในรถไปก่อน ห้ามลงจากรถเด็ดขาด
หลังรออยู่ในรถได้ครู่หนึ่ง ผมจึงตัดสินใจลงมาเดินเล่นเพราะรู้สึกอึดอัด ตอนนี้ผมอยู่ในเขตเขาแล้ว ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาหัวโล้น ด้านล่างมีลำธารสายหนึ่งและพงหญ้ารกเรื้อ ทันทีที่โยนหินก้อนเล็กๆ สองสามก้อนลงไป กบคางคกก็จะพากันกระโดดผลุง ฝูงตั๊กแตนบินกันให้ว่อน
ผมจุดบุหรี่ เดินไปพลางคิดนั่นคิดนี่ไปพลาง หลังจากเดินไปได้ไม่ไกลนัก ผมก็สังเกตเห็นว่าในลำธารมีเด็กนั่งกันอยู่สามคน พวกเด็กๆ พอเห็นผมเดินเข้าไปใกล้ก็แหงนหน้าตกใจ จ้องมองผมเขม็ง
มือผมสั่นระริก บุหรี่เกือบหล่นใส่กางเกง เส้นทางสายนี้ถึงจะเคยผ่านมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็นับว่าเปลี่ยวอยู่ไม่ใช่เล่น กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ต้องข้ามแม่น้ำจวี้หม่า ก่อนจะเดินต่อมาตามทางภูเขาที่เป็นดินลูกรังอีกประมาณชั่วโมงหนึ่ง ภูเขาแถบนี้ล้วนเป็นเขาหัวโล้น ต้นไม้ต่างยืนต้นแห้งเหี่ยวเฉาตาย น้ำก็เป็นน้ำนิ่ง แร้นแค้นทุรกันดารสุดๆ อย่าว่าแต่หมู่บ้านเลย แม้แต่รถที่จะสัญจรไปมาก็ยังไม่มีให้เห็น แล้วทำไมเด็กพวกนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ผมเดินตรงเข้าไปด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพบว่าเด็กในลำธารทั้งสามคน เป็นชายสองหญิงหนึ่ง ที่พวกเขาสวมใส่คือเสื้อยืดขาดๆ หลวมโคร่งจนน่าประหลาด ยาวตั้งแต่คอจรดปลายเท้า ดูไม่ต่างกับขอทานน้อย แต่เป็นไปได้ยังไงกัน ขอทานที่ไหนจะมาอยู่กลางเขารกร้างแบบนี้ หรือว่าพวกเขาจะถูกหลอกมาทิ้งไว้ที่นี่
เด็กพวกนี้ระวังตัวแจ เด็กที่อยู่หน้าสุดเหมือนจะอายุมากกว่าคนอื่นอยู่เล็กน้อย มีหมวกฟางขาดๆ สวมอยู่บนหัว ส่งเสียงคำรามฮื่อแฮ่ใส่ผม เหมือนตั้งใจจะขู่ให้ผมตกใจหนีไป ใบหน้าของเขาถูกหมวกปิดบังเอาไว้กว่าครึ่ง บอกได้แค่ว่าใบหน้าดำๆ ของเขานั้นยาวมาก ส่วนเด็กอีกสองคนที่หลบอยู่ทางด้านหลังก็ค้อมมองดูผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
น่าขันชะมัด ผมกลับขึ้นรถ หยิบเอาบิสกิตสองสามห่อกับขนมปังอีกถุงออกมาโยนส่งให้พวกเขา เด็กพวกนั้นพอเห็นอาหาร ท่าทีหวาดระแวงที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะลดน้อยลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้ ส่วนผมเองก็ไม่คิดจะเดินเข้าไปหาตั้งแต่แรก จึงเพียงนั่งลงกับพื้น สูบบุหรี่ มองดูอย่างประหลาดใจ อยากรู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรกัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งพวกเด็กๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวของพวกเขาดูชอบกล พวกเขาใช้ท่อนไม้ขุดหลุม รื้อพลิกดูก้อนดินเหนียวที่ขุดออกมาได้ ก่อนจะหยิบแมลงตัวเล็กๆ จำนวนหนึ่ง (ผมเห็นไม่ชัด แต่คิดว่าน่าจะเป็นแมลงตัวเล็กๆ) ใส่กระปุกกระเบื้องที่อยู่ข้างลำตัว กระปุกกระเบื้องของพวกเขาหน้าตาประหลาด คล้ายเหยือกใบใหญ่ ปากกระปุกมีใบไม้ปิดไว้ ราวกับกลัวว่าของที่อยู่ในนั้นจะวิ่งออกมา
ผมอยากรู้มากขึ้นทุกที ตกลงพวกเขากำลังทำอะไรอยู่
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเด็กชายที่เหมือนจะโตกว่าเพื่อนก็แหวกกอหญ้าที่อยู่ข้างใต้ออก ใต้กอหญ้าเหมือนมีหลุมลึกอยู่หลุมหนึ่ง คล้ายเป็นหลุมของตัวอะไรสักอย่าง พวกเขากระซิบคุยกันสองสามประโยค ก่อนจะแยกย้ายกันทำงาน เด็กชายสองคนถือท่อนไม้ถอยไปยืนรออยู่อีกด้าน เด็กผู้หญิงเอาปากกระปุกจ่อไปที่หลุมแล้วคว่ำมันลง ก่อนตบก้นกระปุกเต็มแรง ครั้นเทแมลงที่อยู่ในกระปุกลงไปในหลุมหมด เด็กผู้หญิงก็รีบถอยไปยืนอยู่อีกด้าน
เห็นชัดว่าเด็กพวกนี้คิดจะจับสัตว์ที่อยู่ในหลุมนั่น แต่ทำไมต้องเทแมลงลงไปด้วย ผมกระหายใคร่รู้มากขึ้นทุกที สุดท้ายจึงตัดสินใจนั่งยองๆ เฝ้ามองดูอยู่ข้างๆ ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
สักประมาณนาทีหนึ่งจู่ๆ ก็มีตัวอะไรบางอย่างสีขาวเทาวิ่งหัวซุกหัวซุนออกมา ตัวของมันใหญ่พอๆ กับแมว หลังจากวิ่งไปได้ประมาณห้าหกเมตร มันก็ทิ้งตัวลงบนพื้นหญ้า เกลือกกลิ้งไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
เด็กชายสองคนเดินตรงเข้าไปอย่างใจเย็น ใช้ท่อนไม้สองท่อนคีบมันเอาไว้ จับมันโยนลงไปในธารน้ำ เจ้าสิ่งนั้นลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำ เพียงไม่นานแมลงสีดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ พอขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ผมก็พบว่าในน้ำคือเม่นแก่ๆ ตัวหนึ่งซึ่งกำลังดิ้นรนสำลักน้ำ ส่วนแมลงที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ แท้จริงก็คือมดดำขนาดใหญ่ฝูงหนึ่ง ดูท่าเด็กพวกนี้น่าจะเห็นเม่นตัวนั้นเข้า แต่เพราะรังของมันอยู่ลึกยากจะจับตัวได้ เลยจับมดดำมาจำนวนหนึ่ง กรอกเข้าไปในหลุม ให้ช่วยกัดเม่นออกมา
ผมอดนึกชื่นชมเด็กพวกนี้ไม่ได้ อายุเหมือนจะแค่ห้าหกขวบ นึกไม่ถึงว่าจะฉลาดขนาดนี้!
แต่ภาพที่ได้เห็นหลังจากนั้น กลับทำผมตกตะลึง
หลังจากรอจนเม่นจมน้ำ ไม่ดิ้นรนอะไรอีก เด็กที่โตกว่าก็ใช้ท่อนไม้ช้อนเม่นขึ้นมา เม่นยื่นหัวออกมารวดเร็ว พ่นน้ำออกจากปาก ในตอนนั้นเองเด็กชายคนดังกล่าวก็ทุบกระปุกกระเบื้องแตก ใช้เศษกระเบื้องคมกริบ ตัดฉับลงไปบนหัวเม่นที่ยื่นออกมา เพียงพริบตาเดียวหัวเม่นชะตาขาดก็ขาดสะบั้น
ผมสะดุ้ง เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ ทำไมถึงลงมือโหดเหี้ยมนัก!
ถัดจากนั้นภาพชวนขนลุกขนพองยิ่งกว่าก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาผม ทันทีที่หัวเม่นถูกตัดขาด เลือดของมันก็พุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอ เด็กชายคนนั้นจับเม่นที่ยังคงดิ้นกระแด่วๆ ไว้ ใช้ปากรองรับเลือดสดๆ กลืนลงคอคำแล้วคำเล่า พอดื่มอิ่มเขาก็ส่งต่อให้เด็กอีกสองคนดื่ม เด็กทั้งสามผลัดกันดื่มจนใบหน้าอาบนองไปด้วยเลือด หนำซ้ำยังใช้ลิ้นเลียคราบเลือดที่อยู่บนมุมปากอีก ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว
พอดื่มเลือดหมด เด็กทั้งสามก็หันใบหน้าอาบเต็มไปด้วยคราบเลือดมองมาทางผม สีหน้าละโมบบิดเบี้ยวดุดันนั้นทำเอาใจผมสั่นสะท้าน
ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทุ่งล่าสัตว์ส่งรถลากมาคันหนึ่ง คนขับกำลังตามหาผมอยู่ ผมรีบไปจากที่นั่น ในใจยังคงนึกผวา
พอไปถึงที่พักของบอดใหญ่จ้าว ผมก็พบว่าบนเตียงเตามีโต๊ะเล็กตัวหนึ่งตั้งรออยู่ก่อนแล้ว ด้านบนมีจานเล็กๆ วางเรียงรายอยู่สองสามใบ มีทั้งเนื้อพะโล้ ถั่วต้มน้ำเกลือ ขาหมู ไข่เยี่ยวม้า พร้อมกับเหล้าขาวเอ้อร์กัวโถวยี่ห้อหนิวหลันซานที่เปิดแล้วอีกขวด ส่วนบอดใหญ่จ้าวก็กำลังนั่งขัดสมาธิดื่มกินอย่างอิ่มหนำสำราญอยู่บนนั้น! ทันทีที่เห็นผมเข้ามา เขาก็ทักทายผมเสียงดัง “เสี่ยวชี ให้ไวๆ วันนี้พวกเราต้องดื่มกันให้หนำใจ!”
ผมขึ้นไปบนเตียงเตา ชนแก้วดื่มเหล้ากับเขาสองสามแก้ว ฤทธิ์เหล้าร้อนแรงวิ่งพล่านไปทั่วทั้งตัว พอรู้สึกสบายใจขึ้นผมก็เล่าเรื่องเด็กสามคนนั่นให้ฟัง นึกไม่ถึงว่าบอดใหญ่จ้าวจะสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาถามผมว่าเด็กที่ผมพูดถึงใช่เด็กชายสองเด็กหญิงหนึ่ง อายุราวๆ ห้าหกขวบหรือเปล่า
ผมพยักหน้าหงึกๆ “ใช่ๆ เฮียรู้จักเด็กพวกนั้นด้วยงั้นหรือ”
บอดใหญ่จ้าวพูดขึงขังขึ้นมาทันที “ที่แท้ก็หนีไปไกลแบบนี้นี่เอง บัดซบ!”
เขาโบกไม้โบกมือให้ผม รีบต่อสายหาใครบางคน บอกให้อีกฝ่ายรีบเอาปืนกับหมาไปแถวๆ ซีซานเพื่อตามจับเด็กบ้าพวกนั้น! ผมตกใจแทบเต้น ทุ่งล่าสัตว์ทำไมถึงต้องไล่ล่าตามจับตัวเด็กด้วย หรือว่าที่นี่กลายเป็นสถานที่กักกัน กลายเป็นแหล่งค้ามนุษย์ไปแล้ว บอดใหญ่จ้าวอธิบายว่าเด็กสามคนที่ผมเห็นไม่ใช่คน แต่เป็นหมาป่าที่หลุดรอดจากทุ่งล่าสัตว์ไปได้เมื่อหลายวันก่อน!
ผมสะดุ้ง “เฮียดื่มเหล้ามากไปแล้วใช่หรือเปล่า ถึงได้แยกคนกับหมาป่าไม่ออก! ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเขาเป็นเด็ก!”
“เสี่ยวชี เรื่องราวในป่าพูดไปเอ็งก็ไม่เข้าใจ ข้าจะบอกให้ เด็กที่เอ็งเห็นพวกนั้นเป็นหมาป่าจริงๆ! ตอนไปตงเป่ยเมื่อครั้งที่แล้ว พวกข้าเอามันกลับมาด้วย ตั้งใจว่าจะเลี้ยงไว้ในทุ่งล่าสัตว์ แต่สุดท้ายกลับเสียแรงเปล่า! พวกมันเลี้ยงไม่เชื่อง หลายวันก่อนวิ่งหนีหายไปไหนก็ไม่รู้! ตอนนั้นข้ารับหน้าที่ดูแลพวกมัน หมาป่าสามตัว ตัวผู้สอง ตัวเมียหนึ่ง ตัวเมียตัวเล็กสุด ตัวผู้ตัวหนึ่งใหญ่ตัวหนึ่งเล็ก”
ผมย้อนคิดรวดเร็ว เด็กสามคนนั่นตรงกับที่บอดใหญ่จ้าวพูดจริงๆ ชายสองหญิงหนึ่ง หญิงเล็กสุด ชายหนึ่งโตหนึ่งเล็ก หรือว่าหมาป่าพวกนั้นจะเป็นปีศาจจำแลง แปลงกายเป็นคนได้
พอลองคิดดูอีกที การที่เด็กสามคนไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่นด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่นจะว่าไปก็ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าของเด็กทั้งสามยังยาวเรียว ดื่มเลือดเม่นสดๆ ไม่คล้ายคนเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับดูคล้ายกับหมาป่ามากกว่า!
แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ยากจะทำใจเชื่อเรื่องหมาป่าแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อยู่ดี นี่มันเรื่องเหลวไหลชัดๆ หรือว่าที่ทุ่งล่าสัตว์กำลังถ่ายหนังเรื่อง ‘ไซอิ๋ว’ อยู่
บอดใหญ่จ้าวอดทนอธิบายให้ผมฟัง เจ้าสิ่งที่เรียกว่าหมาป่านี้เจ้าเล่ห์ชั่วร้ายที่สุด ยากจะคาดคะเนการกระทำของมันได้ด้วยแนวคิดทั่วไป เขาอยู่ในป่าลึก เคยได้ยินเรื่องราวพวกนี้มามาก หมาป่าหลังกินคนเสร็จ พวกมันก็จะเอาเสื้อผ้าของคนตายห่อหุ้มร่างไว้ ทำหมวกฟางขึ้นสวมหัว นั่งยองๆ อยู่ใต้สะพาน ใช้อุ้งเท้าจับยึดไม้ไผ่ไว้ ดูคล้ายคนกำลังตกปลา พอมีคนเดินผ่านมา มันก็จะส่งเสียง ‘อือๆ’ อยู่ในลำคอ คล้ายทักทายอีกฝ่าย หากคนที่เดินทางผ่านแวะเข้าไปดู ก็จะถูกหมาป่าตัวนั้นตะปบกิน
ผมนึกย้อนกลับไป ตอนนั้นฟ้ามืดแล้ว เด็กที่โตกว่าคนอื่นสวมหมวกฟางไว้บนหัวจริงๆ ส่วนเด็กอีกสองคนก็ซ่อนตัวอยู่ทางด้านหลัง ไม่อาจเห็นสีหน้าได้ชัด รู้ก็แค่ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายยาวเรียวไม่ใช่น้อย อีกทั้งยังดูมอมแมมสกปรก ตอนนี้พอลองคิดดู ไม่แน่ที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกฟางอาจเป็นใบหน้าของหมาป่าจริงๆ ก็เป็นได้
พอคิดแบบนี้ ผมก็หนาวสะท้านไปทั่วทั้งร่าง หมาป่ากลายเป็นปีศาจจำแลง ไม่เพียงแปลงกายเป็นคนได้ แต่ยังรู้จักใช้มดไล่เม่นอีก ทำได้ขนาดนี้ยังจะเรียกหมาป่าอยู่อีกงั้นหรือ!
บอดใหญ่จ้าวพูดปลงๆ “สมัยนี้หมาป่าฉลาดกว่าคนอีก! หมาป่าเจ้าเล่ห์ๆ!”
หลังจากคุยกันไปได้ครู่หนึ่งผมก็นึกถึงเรื่องที่อยากถามเขาขึ้นมาได้ ที่เขาพูดตอนคุยสายกันอยู่นั้นตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่
เขาดื่มเหล้า เล่าย้อนกลับไปถึงเรื่องราวทั้งหมด
เมื่อหลายวันก่อนหลังจากเอาผืนหนังมาขายให้ผมที่ร้าน ก็ไม่รู้ว่าพรานป่าคนนั้นไปเอาปืนจากไหนมาพกติดตัว นั่งรถไฟเดินทางข้ามวันข้ามคืนไปจยาเก๋อต๋าฉีเมืองเอกของเขตต้าซิงอันหลิ่ง ที่นั่นเขาแสร้งทำเป็นขุดหาของป่า โดยสารขึ้นรถบรรทุกส่งไม้ที่จะไปยังพื้นที่ทำการป่าไม้ ไปได้ครึ่งทาง เขาก็มุ่งหน้าเข้าไปในป่าเพียงลำพัง หลังจากหายเข้าไปได้ประมาณสองสามวัน สุดท้ายก็ถูกพบเป็นศพอยู่ในป่า โดยพรานเฒ่าคนหนึ่ง พอแจ้งตำรวจไป เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าก็ส่งคนเข้าไปตรวจสอบ ก่อนจะพบว่าคนคนนั้นตายไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ที่อยู่ใต้โค้ตทหารคือโครงกระดูกที่มีหนังหุ้มห่อไว้ เพียงแตะถูก หนังก็ปริแตก ท้องไส้เน่าเฟะไม่มีชิ้นดี!
พวกเขารู้สึกแปลกใจอยู่เล็กๆ ในป่าดิบมีสัตว์อยู่สารพัดชนิด ไม่ว่าจะหมาใน หมาป่า เสือ หรือบอดดำ เรื่องที่จะมีคนมาตายอยู่ที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่คนคนนั้นกลับตายประหลาด ไม่ว่าใครก็รู้ ป่าดิบอุณหภูมิต่ำ ต่อให้ตายไปครึ่งเดือน ศพก็ไม่มีทางเน่าเปื่อย อีกอย่างป่าลึกนั่นอยู่ในเขตต้าซิงอันหลิ่ง เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด คนคนนั้นในสายตาของพวกเราคือคนตาย แต่ในสายตาของพวกสัตว์ป่าเขาคือเนื้อชิ้นใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วทำไมถึงไม่มีตัวอะไรแตะต้องศพของเขาเลยแม้แต่ปลายก้อย
เรื่องนี้ยังพอว่า แต่ที่น่ากลัวก็คือคนคนนั้นก่อนตายท้องไส้ฉีกขาด ไส้ทะลักออกมากองอยู่กับพื้น แต่เขากลับยังลากไส้คลานไปไกลสิบกว่าเมตร ลอกเปลือกต้นไป๋ฮว่าออกจนหมด ใช้เล็บเขียนชื่อคนไว้บนนั้นจนเล็บหลุด ต้นไม้ทั้งต้นชุ่มโชกไปด้วยเลือด
เพราะเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ารู้สึกว่าคนคนนี้อาจถูกใครสักคนทำร้ายจนตาย จึงจัดการเอาศพของเขาไปให้ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานทำการชันสูตรพลิกศพ ผลที่ได้คือคนคนนี้ถูกงูกัดตาย มิน่าร่างกายถึงเน่าเปื่อยเร็วแบบนั้น! ต่อมาพอผ่าพิสูจน์ศพดู พวกเขาก็พบว่าที่ท้องของคนตายมีเขี้ยวงูพิษขนาดใหญ่เขี้ยวหนึ่งติดคาอยู่ ที่ท้องของเขาฉีกขาดก็เพราะเขี้ยวพิษที่ว่า!
พอฟังถึงตรงนี้ผมก็รีบตัดบท! “เฮียดื่มเหล้ามากเกินไปแล้วแหงๆ เขี้ยวงูมันต้องใหญ่ขนาดไหนกันถึงฉีกท้องคนได้ อีกอย่างถ้างูนั่นตัวใหญ่ขนาดนั้นจริง มันก็คงกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขี้ยวพิษหักติดอยู่ที่ท้องนี่นะ เฮียคิดว่าท้องพรานป่านั่นทำมาจากเพชรทำมาจากสแตนเลสหรือไง”
บอดใหญ่จ้าวไม่แก้ตัว และพูดเนิบๆ “เอ็งไม่ต้องเถียง ขอบอกให้รู้ เรื่องราวในป่าข้ารู้ดีกว่าเอ็งเยอะ ตั้งใจฟังให้ดีเถอะ!”
เขาเล่าต่อ “ไอ้หมาเหลืองนั่นบอกว่าตอนเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานทำการชันสูตรศพ เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นอีกเลยขอตามเข้าไปดูด้วย เขี้ยวงูนั่นฝังอยู่บนกระดูกซี่โครง หักติดอยู่ตรงนั้น เรื่องนี้ถ้าพูดออกมา เอ็งมีหวังได้กลัวจนฉี่ราดแน่ เอ็งรู้หรือเปล่าว่าเขี้ยวที่ว่านั่นยาวขนาดไหน ยาวขนาดนิ้วมือคนเชียว!”
ผมอดเอ่ยปากถามไม่ได้ “บ้าแล้ว เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานนั่นเข้าใจอะไรผิดแหงๆ เขี้ยวยาวเท่านิ้วมือ กรีดท้องคนทะลุได้เนี่ยนะ”
บอดใหญ่จ้าวพูดเหยียด “เรื่องนี้เอ็งไม่เชื่อไม่ได้! ข้าจะบอกให้ ตอนนั้นพวกข้าอยู่แถวนั้นพอดี เลยขับรถไปเอาเขี้ยวงูที่ว่า เอ็งเอ๊ย ใหญ่โคตรๆ เลยล่ะ! เฮอะ เขี้ยวพิษนั่นตอนนี้อยู่ในมือนายห้าง เอ็งอยากเห็นหรือเปล่า”
“มีเรื่องแบบนั้นจริงอ่ะ” ผมตะลึงจนเกือบตกเตียงเตา แต่หลังจากคิดดูอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าเหมือนเรื่องราวมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ “ในเมื่อเขี้ยวพิษนั่นถือเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่ง มันก็น่าจะถูกเก็บไว้ที่โรงพักถึงจะถูก แล้วทำไมถึงไปอยู่ในมือนายห้างได้”
บอดใหญ่จ้าวแสยะยิ้ม “เฮอะ เรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่ใช่ง่าย! เขี้ยวพิษยาวใหญ่ขนาดนั้น จัดได้ว่าเป็นของหายาก หากไม่รีบชิงลงมือก่อน เขี้ยวนั่นคงไม่แคล้วถูกส่งไปทำการศึกษาวิจัยที่เป่ยจิง! แต่นายห้างของพวกเราเป็นใคร ไม่ว่าจะเรื่องอะไรแบบไหนเขาก็มีหนทางจัดการได้ทั้งนั้น นายห้างยอมควักเงินแสนออกมา โทรหาไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์แซ่หวังแห่งสามมณฑลในตงเป่ยทันที เช้าวันที่สองเขี้ยวพิษนั่นก็ถูกห่อด้วยหนังสือพิมพ์ ยัดใส่รถพวกเราเรียบร้อย!”
นายห้างของพวกเราเจ๋งโคตร ไม่ว่าจะบนดินใต้ดินหรือเรื่องอะไรก็ตามเขาล้วนมีเส้นสาย จัดการได้ทุกเรื่อง สำหรับเรื่องที่พรานป่ารายนั้นไปตายอนาถอยู่กลางป่า ถึงจะน่าเวทนาไม่ใช่น้อย แต่ทำไมก่อนตายเขาต้องเขียนชื่อผมไว้บนต้นไม้ด้วย ทำแบบนั้นไม่เท่ากับจงใจคิดสาปแช่งผมหรอกหรือ พอนึกขึ้นได้ก็ครั่นเนื้อครั่นตัว ผมไม่ได้หาเรื่องอะไรเขา หนังสัตว์หรือก็ให้ราคาดี แล้วทำไมก่อนตายถึงต้องสาปแช่งกันแบบนี้ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองซวยโคตร ดูท่าวันพรุ่งนี้ผมคงต้องรีบไปจุดธูปขอพรที่วัดยงเหอแต่เช้าแล้ว!
บอดใหญ่จ้าวดื่มเหล้าจนลิ้นเริ่มพันกัน เขาตบอกที่มีขนขึ้นรุงรังไม่หยุดพลางพูดอ้อแอ้ปลอบใจผม “เสี่ยวชี มีเฮียอยู่ทั้งคน เอ็งไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น! จะกลัวอะไร ไอ้เวรนั่นจะมีปัญญาทำอะไรได้? ฟังไว้เลย ถ้าคืนนี้มันกล้ามาหาเอ็งจริงๆ…เฮียจะจัดการมันเอง! ขอบอกให้รู้ไว้ เรื่องนี้…พวกเรา…ต้องจัดการ!”
ผมร้องว่า “จัดการอะไร! เฮียไปจัดการเองคนเดียวเลย!”
บอดใหญ่จ้าวเห็นผมโมโห เขาก็หัวเราะหึๆ “ได้ๆ! ข้าจัดการ! ข้าจัดการเองคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นยาก”
ผมไม่อยากคุยถึงเรื่องนี้อีกเลยใช้ตะเกียบคีบเนื้อวัวชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากแล้วถาม “เฮียเพิ่งเข้าป่าไปกับนายห้างเหรอ”
เขาตอบ “เพิ่งออกมา เฮ้อ! เข้าป่าคราวนี้ ไปทีก็ตั้งเกือบครึ่งเดือน!”
นายห้างชอบล่าสัตว์ ทุกปีต้องเข้าป่าสักหน ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นเป็นเดือนๆ พวกบอดใหญ่จ้าว ไม่เพียงตามนายห้างเข้าป่า แต่ยังทำตัวลึกลับ ขนาดออกจากป่ามาแล้วก็ยังไม่ยอมพูดถึงเรื่องราวตอนเข้าป่าให้ใครได้รู้ เรื่องนี้ติดค้างอยู่ในใจผมนานแล้ว เดิมผมหวังว่าจะมีโอกาสได้ตามนายห้างเข้าป่า ค้นหาความรู้สึกเก่าๆ สมัยอยู่กลางป่ากลางเขาบ้าง แต่สุดท้ายหลายปีผ่านไปผมกลับได้แต่อยู่เฝ้าร้าน แม้แต่โอกาสจะออกจากเป่ยจิงสักครั้งก็ยังไม่มี
บอดใหญ่จ้าวเริ่มเมาแล้ว คอลิ้นแข็งทื่อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็พ่นออกมาจนหมด ผมเริ่มชวนเขาคุยถึงเรื่องของนายห้าง ตั้งใจจะสืบถามดูถึงเรื่องราวของอีกฝ่าย
บอดใหญ่จ้าวกระซิบกระซาบทำทีลึกลับ บอกว่าเขาขึ้นเหนือล่องใต้มาหลายปี พบเจอผู้คนมาก็มาก แต่กลับอ่านคนอย่างนายห้างไม่ออก เรื่องราวที่นายห้างทำไม่มีขั้นตอน วิธีการหรือก็มากมายหลายหลาก ทุ่งล่าสัตว์นี้ขาดทุนทุกปี ไม่รู้ว่ายังจะฝืนทำไปเพื่ออะไร เขาขยับหัวเข้ามาใกล้พลางพูดอ้อแอ้ “เอ็งว่านายห้างเปิดทุ่งล่าสัตว์เพื่อ…เพื่ออะไร”
ผมเบี่ยงตัวหนีปากที่หึ่งไปด้วยกลิ่นเหล้าของเขา “เพื่ออะไรล่ะ”
บอดใหญ่จ้าวบอก “เอ็ง…เอ็งไม่มีทางนึกถึงแน่…หึๆ…นายห้างเขา…แค่กๆ!”
ผมร้อนรนถาม “นายห้างคิดทำอะไร!”
บอดใหญ่จ้าวหน้าแดงราวกับเลือดท่วม ตอบติดอ่าง “เสี่ยว…เสี่ยวชี ข้าไม่โกหก นายห้างไม่ให้ข้าพูด และข้าก็พูดไม่ได้ด้วย…พูด…พูดไม่ได้จริงๆ!”
ผมโมโห “พูดไม่ได้อะไรของเฮีย!”
บอดใหญ่จ้าวเรอเสียงดัง “คราวหน้า…เอ็ง…เอ็งไปเอง…ไปเองสักครั้ง ก็…ก็รู้แล้ว…”
เขาหมอบอยู่กับโต๊ะ เริ่มส่งเสียงกรนครอกๆ ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น
ผมเข่นเขี้ยวอย่างโมโห ไอ้บ้าเอ๊ย ถ้าไปกับนายห้างได้ยังจะต้องถามไปทำไม!
บอดใหญ่จ้าวไม่ได้ตาบอด แต่บนตาขวามีแผลเป็นยาวห้าหกเซนติเมตรอยู่รอยหนึ่ง เป็นรอยเล็บอินทรี เขาเป็นชาวหม่าน บ้านเดิมอยู่ที่หมู่บ้านอวี๋โหลวชุน อำเภอหย่งเจี๋ย มณฑลจี๋หลิน ที่นั่นได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านอินทรีที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ ในอดีตที่นี่เป็นแหล่งส่งอินทรีล่าสัตว์เป็นเครื่องบรรณาการให้กับทางราชสำนัก บอดใหญ่จ้าวหัดจับอินทรี ฝึกอินทรี ควบคุมนกอินทรีกับพวกชาวบ้านที่นี่นับแต่เล็ก ไม่เพียงแต่คนที่รู้ใจนก นกเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน! แต่เพราะต่อมารัฐบาลมีการประกาศห้ามล่าสัตว์ อินทรีล่าสัตว์เลยพลอยถูกห้ามเลี้ยงไปด้วย บอดใหญ่จ้าวจึงจำต้องปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ* วันที่ปล่อยอินทรีไปนั้น อินทรีล่าสัตว์คอยบินวนเวียนไปมา ส่งเสียงร้องรันทด ไม่ยอมจากไปไหน กว่าจะไล่มันไปได้ก็ต้องขว้างก้อนหินใส่ ใช้ไม้ไล่ตี พอกลับถึงบ้านหลังจากกุมหัวร้องไห้อยู่เป็นนาน เขาก็ขึ้นเขาเข้าป่าไปปลูกเห็ดหูหนูอยู่เพียงลำพัง ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนป่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครอีก
ต่อมามีคนขึ้นเขาไปหาบอดใหญ่จ้าว บอกว่าตัวเองเป็นคนของสวนสัตว์เป่ยจิงมาขอซื้ออินทรีตัวเป็นๆ ให้ราคาตัวละสามพันหยวน พอได้ยินว่าชาวเป่ยจิงอยากเห็นนกอินทรี บอดใหญ่จ้าวก็ไม่นึกสนใจเงินทอง ลงมือทำกาวดักจับอินทรี ต่อเสาฐานนกไม่หลับไม่นอน จับอินทรีชั้นยอดตัวเป็นๆ ได้หลายตัว ก่อนจะใช้ผ้าแดงปิดตาของมันไว้ แล้วใส่กรงส่งให้คนคนนั้นไป
เพราะจับอินทรีไม่ใช่เรื่องง่าย คนทั่วไปเวลาจะจับพวกมันจึงมักใช้ตาข่าย วิธีการคือใช้แหยาวหลายเมตรขึงไปตามไหล่เขา ด้านล่างมัดไก่ป่าไว้ตัวหนึ่ง ส่วนคนไปซ่อนอยู่ข้างๆ พอนกอินทรีมาก็จะดึงเชือกที่มัดไว้ด้านบน ทำให้ตาข่ายหล่นลงมาครอบนกอินทรีไว้ วิธีการเช่นนี้ไม่เหมาะ เพราะตาแหมีขนาดใหญ่ ทำให้ปีกของมันเข้าไปติดอยู่ในนั้น อินทรีผยองดำรงอยู่ได้ก็ด้วยเพราะปีกของพวกมัน เมื่อปีกถูกทำลาย พวกมันก็เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง อย่าว่าแต่ต่อสู้กลางอากาศเลย ขนาดจะจับหนูนาก็ยังลำบาก ได้แต่อยู่อย่างอัปยศไปชั่วชีวิต ไหนเลยจะยังดูเหมือนนกอินทรีได้อีก
ต่างกับบอดใหญ่จ้าวที่ใช้เคล็ดผนึกอินทรี ทักษะพิเศษที่ได้รับถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ
เรื่องนี้หากจะให้เล่าก็ต้องเล่าย้อนกลับไปไกลโข จากที่บอดใหญ่จ้าวเคยเล่าให้ฟัง ก่อนราชวงศ์หยวน เจงกีสข่านกรำศึกเหนือใต้ ไม่เพียงรวบรวมผู้กล้าชาวมองโกล เขายังจ้างบุรุษกล้าแห่งคังปาจากซีจั้ง พร้อมสุนัขพันธุ์จั้งอ้าว (ทิเบตัน มาสทิฟฟ์) สามหมื่นตัว สร้างกองกำลังจั้งอ้าวที่เพียงได้ยินชื่อเหล่าศัตรูก็พากันขวัญหนีดีฝ่อแล้ว รวมถึงกองกำลังเสินอิง (อินทรีเทพ) จากดินแดนตงเป่ย ให้พวกเขาดูแลควบคุมการจับอินทรียักษ์ในเขาลึก เพื่อนำมาใช้โจมตีแม่ทัพผู้บัญชาการหลักของฝ่ายศัตรูเป็นการเฉพาะ เนื่องจากมันจิกหัวจิกตาเล่นงานอีกฝ่ายได้โดยไม่มีทางรู้ตัวก่อน อีกทั้งยังยากจะป้องกัน
จากที่บอดใหญ่จ้าวเล่า บรรพบุรุษของเขาก็คือหัวหน้ากองกำลังเสินอิง เคล็ดผนึกอินทรีนี้บรรพบุรุษของเขาถ่ายทอดสืบต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า
การผนึกอินทรีใช้น้ำมันต้นถง น้ำผึ้ง ยางสน ผสมกับสูตรลับอื่นบางอย่าง เคี่ยวจนกลายเป็นกาวดักจับอินทรีชนิดพิเศษ หลังจากนั้นก็หาพื้นที่โล่งกลางหุบเขากว้าง วาดวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสองเมตรไว้บนพื้น นำเอาเสาฐานนกสูงประมาณหนึ่งเมตรสิบกว่าอันไปปักรอบวงกลมที่วาดไว้ ทากาวดักจับอินทรีไว้บนนั้น สุดท้ายค่อยปล่อยเหยื่อที่ยังมีชีวิตอย่างไก่ป่าที่ถูกเชือกมัดไว้ หรือไม่ก็กระต่ายที่กระโดดโลดเต้นไปมาไว้กลางวง นกอินทรีเมื่อมองเห็นเหยื่อพวกนั้น มันก็จะบินเข้ามาจิกกิน ทันทีที่พวกมันพุ่งตรงเข้ามา ปีกของพวกมันก็จะติดแน่นอยู่กับกาว จนไม่อาจบินหนีไปไหนได้อีก!
กาวดักจับอินทรีจะไม่ทำให้ปีกของมันบาดเจ็บเสียหาย หลังจับอินทรีได้ค่อยใช้น้ำยาที่ปรุงขึ้นเป็นพิเศษทำความสะอาดกาวดักจับออก เพียงเท่านั้นทุกอย่างก็เป็นอันเรียบร้อย พวกอินทรีเองก็ยังคงกางปีกบินได้อย่างงามสง่า
เรื่องนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของบอดใหญ่จ้าว
คนของสวนสัตว์เป่ยจิงพอได้นกอินทรีก็เอ่ยปากชื่นชมไม่ขาด หลังจากนั้นเขาก็มาขอให้บอดใหญ่จ้าวช่วยจับอินทรีอีกหลายต่อหลายครั้ง
บอดใหญ่จ้าวรู้สึกประหลาดใจ สวนสัตว์เป่ยจิงจะต้องการอินทรีมากมายแบบนั้นไปเพื่ออะไร เพราะเริ่มระแวงสงสัย บอดใหญ่จ้าวจึงแอบสะกดรอยตามอีกฝ่ายไปที่สถานีรถไฟ ก่อนจะพบว่ารถไฟไม่ได้ไปเป่ยจิงแต่กลับวิ่งไปไท่หยวน และเพราะรู้สึกผิดปกติ ยังไม่ทันได้ซื้อตั๋ว บอดใหญ่จ้าวก็พาตัวเองขึ้นรถไฟตามอีกฝ่ายไปเป็นที่เรียบร้อย คนคนนั้นลงรถไฟที่สถานีเล็กๆ ใกล้กับไท่หยวน เขาตามหลังอีกฝ่ายไปเงียบๆ คนคนนั้นเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ในตรอกเล็ก ก่อนจะหายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง บอดใหญ่จ้าวเข้าไปสังเกตดูอยู่ที่ใต้หน้าต่าง ในห้องมีเสาไม้ตั้งเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ที่อยู่บนนั้นล้วนแต่เป็นนกอินทรี อีกทั้งยังเป็นนกอินทรีที่ถูกทำลายดวงตาอีกต่างหาก!
บอดใหญ่จ้าวโกรธจัด บัดซบ เรื่องผิดมนุษยธรรมแบบนี้ยังกล้าทำได้ ที่แท้ชายคนดังกล่าวเป็นพวกพ่อค้าเร่สารเลวที่เอานกอินทรีเป็นๆ มาทำสัตว์สตัฟฟ์!
การเอาสัตว์เป็นๆ มาสตัฟฟ์ต้องทำลายตาของพวกมันให้บอดเสียก่อน เสร็จแล้วก็ค่อยๆ ปล่อยให้มันอดตาย ก่อนตายมันจะแสดงออกซึ่งความจงเกลียดจงชังชัดแจ้ง ถึงตายไปแล้ว แต่ดวงตาของมันก็ยังคงเบิกกว้างและเต็มไปด้วยเพลิงแค้น ดุดันน่าเกรงขาม เช่นนี้ถึงจะกลายเป็นสัตว์สตัฟฟ์ที่น่าดู!
พ่อค้าเร่บัดซบทำลายนกอินทรีเช่นนี้ ชาติชั่วจริงๆ!
เขาถีบประตูเปิด ชกพ่อค้าเร่รายนั้นจนล้มคว่ำ ระดมเตะใส่หัวอีกฝ่ายไม่หยุด เขาเตะซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากเตะจนสาแก่ใจ เขาก็เปิดกรงปล่อยนกอินทรีทั้งหมดที่อยู่ในห้องไป ขุดหลุมฝังนกอินทรีที่ตายไปทั้งหมด สุดท้ายก็จุดไฟเผาบ้านหลังนั้น อาศัยความมืดแอบโดดขึ้นรถบรรทุกถ่านหิน หลับยาวจนมาถึงเป่ยจิง กว่าจะมาถึงเป่ยจิง เนื้อตัวเขาก็ถูกย้อมจนดำมิดหมี และเพราะไม่มีเงินติดตัว ดังนั้นหลังจากเดินจนเดินไม่ไหว เขาก็สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อทั้งสองข้าง นั่งยองๆ ลงข้างกำแพงผิวปากเลียนเสียงนกอินทรี ทำเอานกพิราบที่อยู่ในจัตุรัสต่างพากันแตกตื่นตกใจ
ในตอนนั้นเองจู่ๆ มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ‘คุณผิวปากเลียนเสียงนกอินทรีได้?’
บอดใหญ่จ้าวมองดูคนคนนั้น อีกฝ่ายผิวพรรณขาวสะอาด สวมแว่นกรอบทอง ท่าทางสุภาพอ่อนน้อม ไม่เหมือนกับคนหยาบอย่างเขา และไม่ใช่คนที่เขาจะไปมาหาสู่หรือคบค้าด้วยได้ เจ้าหน้าขาวนี่คิดจะหาเรื่องเขาหรือไง
บอดใหญ่จ้าวพูดไม่สบอารมณ์ ‘เฮอะ เป็นแล้วไง ไม่เป็นแล้วไง!’
แต่คนคนนั้นกลับจ้องมองดูเขาตาไม่กะพริบ ‘คุณมาจากอวี๋โหลวชุน? รู้จักวิธีเลี้ยงอินทรีหรือเปล่า’
บอดใหญ่จ้าวดีใจ ‘อะไรนะ! เอ็งรู้จักหมู่บ้านข้าด้วยงั้นหรือ’
คนคนนั้นพยักหน้า ‘อวี๋โหลวชุนเป็นหมู่บ้านอินทรีอันดับหนึ่ง ไป ผมเลี้ยงเหล้าคุณเอง’
พอได้ยินคำว่าเหล้า บอดใหญ่จ้าวก็ลิงโลดใจ เขาลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นบนก้นออก ‘ไป!’
คนคนนั้นก็คือนายห้าง วันนั้นนายห้างไม่ได้เลี้ยงเหล้าเขา แต่กลับพามาที่ร้านของผม ให้ผมหาซื้อเสื้อหนังกางเกงหนังให้บอดใหญ่จ้าวชุดหนึ่ง พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อย นายห้างก็พาเขาไปทุ่งล่าสัตว์ ให้เขาจับอินทรี ฝึกอินทรี พร้อมดูแลเรื่องเสื้อผ้า อาหารการกิน ชีวิตความเป็นอยู่ให้บอดใหญ่จ้าวเป็นอย่างดี
บอดใหญ่จ้าวอาศัยอยู่ในป่าในเขามาตั้งแต่เล็ก นิสัยซื่อๆ คำพูดคำจา การกระทำทุกอย่างล้วนทึ่มทื่อ ไม่คุ้นเคยกับเรื่องประจบสอพลอในทุ่งล่าสัตว์ ดังนั้นจึงมักมาบ่นกับผมที่ร้านอยู่เป็นประจำ ผมแนะนำเขาว่าคนเราเดี๋ยวนี้จิตใจสกปรกโสมม จะเอาไปเทียบกับสัตว์ได้ยังไงกัน ‘ช่างเถอะๆ คงมีแต่เหล้าเท่านั้นที่จะช่วยคลายทุกข์ได้ ดื่มๆ!’
(หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)