• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 13 บทที่ 1

    บทที่ 1

    คนบ้ากับหญิงสาว

     

    ห้องมืดครึ้มขนาดใหญ่ที่ปิดสนิทจนลมมิอาจลอดผ่าน ภายในมีเพียงตะเกียงน้ำมันส่องสว่าง เปลวไฟดวงนั้นแทบจะไม่ขยับแม้แต่น้อย หน้าต่างกระดาษสองข้างล้วนห้อยแขวนผ้าดำปิดบังไว้ มิอาจจำแนกว่าด้านนอกเป็นกลางวันหรือกลางคืนกันแน่ ชวนให้เข้าใจผิดว่าเวลาถูกหยุดเอาไว้

    ถงจิ้งที่ยืนอยู่ในห้องรู้สึกเพียงทั้งร่างรับน้ำหนักไร้รูปอยู่ ทรวงอกคล้ายมีสิ่งจุกแน่นที่มิอาจกระอักออกมา ริมฝีปากสีชมพูเผยอหอบหายใจเล็กน้อย

    ที่นางเป็นเช่นนี้หาใช่เพราะห้องปิดสนิทไม่

    แต่เนื่องจากลมหายใจของคนอีกผู้หนึ่งในห้อง

    เหลยจิ่วตี้ที่ยังคงสวมชุดดำนั่งสมาธิอยู่กึ่งกลางห้อง ตัวมันราวกับหลอมกลืนกับความมืด มีเพียงใบหน้าที่หลับตาทำสมาธิที่สะท้อนแสงไฟ ภายใต้แสงและเงา ลายพยัคฆ์บนหน้าผากมันโดดเด่นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แม้ไม่แสดงสีหน้ายังแผ่ไอปีศาจน่าสยดสยอง

    ถงจิ้งจ้องมองบุรุษอายุมากกว่าตนเองสี่สิบปีผู้นี้ จับจ้องทุกความเคลื่อนไหวของมันอย่างใกล้ชิด แม้กล่าวว่าเป็นศัตรูที่ชวนให้ชิงชัง แต่ในขณะเดียวกันถงจิ้งรู้ดีว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือยอดฝีมือขั้นสุดยอดที่พบได้ยากในปัจจุบัน โอกาสได้สังเกตใกล้ๆ เช่นนี้หาได้ยากอย่างยิ่ง

    ยามนี้ใบหน้าของเหลยจิ่วตี้พลันขยับ กล้ามเนื้อแก้มซ้ายค่อยๆ หดเกร็งบิดเบี้ยว ทั้งใบหน้าโย้เอียงขึ้นทันที หนังตากระตุกเล็กน้อย ปากเผยออ้าเผยฟันเขี้ยวที่ขบแน่นออกมา สีหน้านั้นทั้งคล้ายโศกเศร้าและเหมือนบ้าคลั่ง

    เมื่อใบหน้าของเหลยจิ่วตี้ขยับไหว ไอชั่วร้ายที่แผ่ออกมาทั่วร่างก็เข้มข้นขึ้นตาม ถงจิ้งที่ความรู้สึกฉับไวแต่เดิมยิ่งอึดอัดจนอยากจะอาเจียน

    เหลยจิ่วตี้ลุกขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิและค่อยๆ ถอยไปข้างหลังราวกับมีเส้นด้ายดึงมันไป ท่วงท่ามั่นคงไม่คลอนแคลนแม้สักนิด อีกทั้งการเคลื่อนไหวไม่แตกต่างกับการเดินไปข้างหน้า สิ่งที่สำแดงคือการเดินถอยของท่าเท้าลวงหลงเยียนชิงยอดวิชาสำนักมี่จง เท้าทั้งสองไถลไปบนพื้นด้วยลักษณะพิลึกอย่างยิ่ง

    หลังถอยสามสี่ก้าวเหลยจิ่วตี้พลันปล่อยพลังรุนแรงทั่วร่าง มันหงายหลังตีลังกาอย่างฉับพลัน ขณะเหลยจิ่วตี้ตีลังกากลับหลังสำเร็จ แขนขาแตะสัมผัสพื้น ท่วงท่าต่ำเตี้ย แม้แต่ด้ามดาบตรงหว่างเอวซ้ายขวาก็แตะพื้นกระดาน มันโก่งนิ้วทั้งสิบของสองมือจับพื้นยิงฟันแผดเสียงเล็กน้อย

    ถงจิ้งมองดูพลางคิดในใจว่า มันเหมือนกลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว

    นางมิได้เดาผิด ขณะนี้เหลยจิ่วตี้เข้าสู่ภาวะเคลิบเคลิ้มของพลังเทพ กำลังจินตนาการว่าตนเองถูกเทพพยัคฆ์สถิต ร่างทั้งร่างเหมือนเต็มไปด้วยพละกำลังของสัตว์จึงกระโดดโลดเต้นไม่เป็นสุข

    เหลยจิ่วตี้ใช้มือเท้าคืบคลานคำรามพลางผลุบซ้ายโผล่ขวาอยู่ในห้อง ฟองน้ำลายไหลออกจากมุมปาก สติตกอยู่ในจินตนาการอย่างสมบูรณ์ อาการคลุ้มคลั่งนี้มิอาจชวนให้นึกโยงถึงปรมาจารย์แห่งยุคในเก้าสำนักใหญ่แห่งยุทธภพในปัจจุบันได้เลย

    อาการนี้ของเหลยจิ่วตี้ทำให้ลมหายใจชั่วร้ายชอบกลในห้องเพิ่มมากขึ้นยิ่งและสะสมอยู่ในอากาศที่ปิดสนิทไร้ที่ระบาย ถงจิ้งทรมานยิ่งขึ้น ต้องเกาะกำแพงเบาๆ จึงยืนนิ่งได้ นางฝืนทนเอาไว้และสำรวจการเปลี่ยนแปลงของเหลยจิ่วตี้อย่างละเอียด

    ข้าต้องดูให้ชัดเจนอาจมองออกว่าวรยุทธ์ของตาเฒ่าผู้นี้มีช่องโหว่อะไร…จากนั้นหาโอกาสบอกพี่จิง…

     

    หลังจากเห็นเหยาเหลียนโจวใช้ท่าตามลักษณ์สกัดชีพจรในหออิ๋งฮวาแห่งซีอาน จากนั้นก็สัประยุทธ์บนหลังคาทันที ถงจิ้งเข้าใจยิ่งนักว่าอาวุธที่ใหญ่ที่สุดของตนเองคือความสามารถในการวินิจฉัยประเภทนี้

    แปดวันก่อนเหลยจิ่วตี้จับถงจิ้งเป็นตัวประกันเพื่อบีบให้จิงเลี่ยต่อสู้กับมัน ศึกนี้ต้องยุติความแค้นของหกกระบี่บ้านแตกกับสำนักมี่จงเป็นแน่ แต่แผลเก่าที่แขนขาจิงเลี่ยจะหายเป็นปกติหรือไม่ยังคงมิอาจล่วงรู้ได้ ถงจิ้งหวังเพียงเพิ่มโอกาสชนะให้จิงเลี่ยสักนิดและตรงหน้าคือโอกาสที่หาได้ยาก

    ในขณะที่ถงจิ้งอึดอัดจนขาทั้งสองอ่อนเล็กน้อย เหลยจิ่วตี้ ‘เทพพยัคฆ์’ ตนนี้ก็กระโดดไปทางซ้าย ทั้งร่างลอยขึ้นบนกำแพงด้านหนึ่งที่น่าจะวางเตียงนอนของโรงเตี๊ยมแต่เดิม หน้าตาแปรเปลี่ยนขณะอยู่กลางอากาศ

    ทันใดนั้นถงจิ้งมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเหลยจิ่วตี้อย่างชัดเจน

    เหลยจิ่วตี้หลุดออกจากจินตนาการเทพพยัคฆ์แล้ว ท่วงท่าเปลี่ยนกลับสู่ลักษณะมนุษย์ ลมหายใจที่แผ่ออกมาเปลี่ยนเป็นไอสังหารแหลมคม มันกู่ร้องพลางถีบกำแพงด้วยสองเท้า ร่างกายกลับทิศทางลอยพุ่งออกไป ประกายคมสีเงินสองสายสาดระยิบระยับออกมาจากข้างลำตัว…

    การฟันไขว้นี้ของเหลยจิ่วตี้เร็วจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ขณะย่อตัวคุกเข่าแตะพื้น คมสีเงินในมือซ้ายขวายังคงดีดสั่น

    ห้องพลันเปลี่ยนเป็นสว่างไสว ผ้าดำที่ห้อยแขวนอยู่เบื้องหน้ามันขาดกลางผืน หน้าต่างกระดาษบานหนึ่งก็ขาดเป็นรูโหว่ แสงแดดยามบ่ายอันเจิดจ้าด้านนอกส่องเข้ามาจากหน้าต่าง ส่องสะท้อนฝุ่นผงที่ลอยฟุ้งรอบตัวเหลยจิ่วตี้

    ถงจิ้งยังไม่คุ้นเคยกับแสงสว่างนี้จึงยื่นมือบังไว้ตรงหน้าพลางหลับตา ทว่ากระบวนท่าดาบเสมือนสายฟ้าของเหลยจิ่วตี้เมื่อครู่กลับวนซ้ำในหัวสมองนางไม่หยุด ทำให้นางลืมความคับอกคับใจที่แทบชวนให้สลบไสลก่อนหน้าทั้งหมด

    เนิ่นนาน ถงจิ้งลืมตาขึ้นเล็กน้อย กระทั่งแน่ใจว่าปรับตัวกับแสงแดดได้จึงลดมือลง พบว่าเหลยจิ่วตี้ยืนขึ้นนานแล้ว ดาบเงินสำนักมี่จงในมือทั้งสองสะท้อนแสงหนาวยะเยือก เหลยจิ่วตี้คืนกลับมาจากอาการคลุ้มคลั่ง แม้ยังคงมีอาการเสียสติเช่นยามปกติ แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าสะพรึงเหมือนก่อนหน้า

    ภายใต้แสงสว่างขณะนี้จึงมองเห็นห้องที่ว่างเปล่าแห่งนี้อย่างชัดเจน ที่แท้นี่คือห้องพักห้องหนึ่งที่ใหญ่และหรูหราที่สุดทางทิศใต้ของโรงเตี๊ยมเซียงตู้ แต่เครื่องเรือนและสิ่งของทั้งหมดล้วนถูกย้ายออกจนหมดเพื่อเป็นห้องฝึกทักษะสำหรับเหลยจิ่วตี้ใช้ผู้เดียว

    หลังเหลยจิ่วตี้จับตัวถงจิ้งกลับมา สำนักมี่จงก็ยึดครองโรงเตี๊ยมเซียงตู้ที่ใหญ่ที่สุดในเซียงถานไว้ใช้ส่วนตัวอย่างเปิดเผย บีบบังคับขับไล่เจ้าของโรงเตี๊ยมกับเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหมดออกไป การกินอยู่ทั้งหมดล้วนจัดการเอง คนสำนักมี่จงสามร้อยคนยังป้องกันโรงเตี๊ยมจนเหมือนถังเหล็กก็มิปาน เหล่าผู้กล้าสำนักปากว้าและสำนักกระบี่เซียงหลงรู้ทั้งรู้ว่าถงจิ้งถูกขังอยู่ ณ ที่แห่งนี้แต่ก็หมดหนทางช่วย

    แม้ถงจิ้งถูกกุมขังแต่เหลยจิ่วตี้กลับมิได้สั่งการลูกน้องให้มัดนาง มันให้นางกินข้าว ล้างหน้าหวีผมและเปลี่ยนเสื้อผ้าตามปกติ เพียงแต่ไม่ให้นางก้าวออกจากห้องทางทิศใต้ของโรงเตี๊ยมแม้แต่ก้าวเดียวเป็นอันขาด คนสำนักมี่จงเองก็ไม่จำเป็นต้องส่งคนมาเฝ้าป้องกันเป็นพิเศษ เพราะห้องสำหรับเข้าออกรอบด้านทางทิศใต้แห่งนี้ ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของสหายร่วมสำนักจำนวนมาก เช้าเย็นมีคนอยู่พักผ่อน ถงจิ้งอยากจะแอบหลบหนีออกไปก็กล่าวได้ว่าไม่มีทางหลบพ้นสายตาอีกฝ่ายสักนิด

    ถงจิ้งเองก็มิใช่ไม่เคยคิดหาวิธีหลบหนี ด้วยการฝึกปรือวิทยายุทธ์ของนางในตอนนี้ความจริงแข็งแกร่งกว่าคนในสำนักสาขาย่อยนอกพื้นที่จำนวนไม่น้อยในกองทัพสำนักมี่จงเสียอีก ปัญหาเพียงแค่ในมือไม่มีกระบี่ แต่จะฉวยโอกาสขณะฝ่ายตรงข้ามหละหลวมลอบชิงมาสักเล่มก็มิใช่เป็นไปไม่ได้

    ความยากลำบากที่ใหญ่ที่สุดในการหลบหนียังคงเป็นบุคคลผู้เดียว ตั้งแต่เหลยจิ่วตี้มาโรงเตี๊ยมยังไม่เคยก้าวออกไปอีกเลย เช้าค่ำล้วนอยู่ในห้องทางทิศใต้ ถงจิ้งเคยจับตามองเป็นพิเศษเพื่อวางแผนหลบหนี มองเห็นเหลยจิ่วตี้ผ่านระหว่างห้องพักในชั่วยามที่ต่างกัน แต่มันนอนหลับเวลาใดกันแน่ไปจนถึงได้นอนหลับหรือไม่ล้วนเป็นข้อสงสัย

    ถงจิ้งมิได้ลืมการพบกันครั้งแรกกับเหลยจิ่วตี้ในป่าทึบวันนั้น ประสาทสัมผัสอันฉับไวของยอดฝีมือประหลาดผู้นี้ร้ายกาจเพียงไร…คงจะมีเพียงจิงเลี่ยและจอมเวทปัวหลงที่อาจเหนือกว่าเล็กน้อย นางรู้ว่าต่อให้โค่นล้มคนสำนักมี่จงสองสามคนได้อย่างรวดเร็ว แต่หากเหลยจิ่วตี้อยู่ก็ไม่อาจหนีไปได้ถึงหน้ากำแพงรอบโรงเตี๊ยม นางจำต้องวางความคิดหนีตายลงชั่วคราว

    หลายวันนั้นที่ถงจิ้งลอบวางแผนหลบหนีทำให้นางพบห้องฝึกทักษะแห่งนี้ของเหลยจิ่วตี้ สิ่งที่แปลกประหลาดคือประตูห้องกับนอกหน้าต่างกลับไม่มีคนสำนักมี่จงสักคนเฝ้าดู ดังนั้นในวันนั้นนางจึงกล้าผลักประตูเดินเข้ามามองดู

    …หึ มันเพียงบอกว่าห้ามข้าเดินออกห้องทางทิศใต้ กลับไม่เคยบอกว่าที่ใดห้ามเข้า มีอะไรห้ามดู…

    ถงจิ้งพกพาอารมณ์ขุ่นเคืองนี้ผลักประตูก้าวเข้าไปในห้องอันมืดครึ้มแห่งนี้ นางมองเห็นฉากอันน่าประหลาดใจที่เหลยจิ่วตี้ฝึกปรือตามลำพัง…อีกทั้งเข้าใจว่าเพราะเหตุใดมันมิให้ศิษย์เฝ้าอยู่นอกห้อง เหลยจิ่วตี้ไม่อยากให้ลูกศิษย์เห็นอาการคลุ้มคลั่งนี้ของตนเอง

    สิ่งที่ทำให้ถงจิ้งรู้สึกผิดคาดอย่างยิ่งคือขณะที่เหลยจิ่วตี้มองเห็นนางเข้ามา มันเพียงนิ่งเงียบเนิ่นนานและมิได้ไล่นางออกไป ซ้ำยังกล่าวกับนางประโยคหนึ่ง

    ‘ปิดประตู’

    วันนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่ถงจิ้งมองดูเหลยจิ่วตี้ฝึกทักษะ ตลอดมาเหลยจิ่วตี้มิได้กล่าวอะไร ถงจิ้งจึงมิอาจเข้าใจว่าเหตุใดมันยอมให้ตนเองดู แต่นางหาได้สนใจไม่และถือโอกาสตั้งใจสังเกตดูว่ามีจุดอ่อนอะไรสามารถช่วยเหลือจิงเลี่ยชิงชัยจากในนั้น

    ถึงตอนนี้ยังไม่พบ

    มีเพียงตัวเหลยจิ่วตี้เองที่รู้ว่าเพราะเหตุใดต้องให้ถงจิ้งดู ในวันนั้นขณะถงจิ้งผลักประตูเข้ามา เหลยจิ่วตี้กำลังตกอยู่ในจินตนาการเทพพยัคฆ์ สติสัมปชัญญะที่ตกอยู่ในความมืดมิดและความสับสนวุ่นวายพลันรู้สึกถึงความอบอุ่นอันโล่งสบาย

    เหลยจิ่วตี้ฝึกฝนพลังเทพที่อัญเชิญดวงวิญญาณสถิตร่างของลัทธิบัวขาวแห่งซานตงเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้อานุภาพและความคล่องแคล่วของวิชายืมภาวะ ในที่สุดก็สำเร็จยอดวิชาเทพสถิตที่ไม่เคยปรากฏ วรยุทธ์ได้รับการทะลวง แต่สิ่งที่ต้องเสียไปก็ไม่น้อย พลังเทพนอกจากสิ้นเปลืองสภาพจิตใจมากอย่างยิ่งแล้ว ขณะฝึกฝนวิธีการยังต้องละทิ้งสติสัมปชัญญะที่ควบคุมร่างกายชั่วคราวดั่งม้าป่าหลุดบังเหียนวิ่งไปอย่างอิสระ เพื่อทำให้ตนเองเชื่อมั่นว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมาสถิตร่างจริงๆ จึงเข้าสู่ภาวะมายาอันเพ้อฝันได้ ความหวาดกลัวและความสงสัยที่อาศัยสติระงับไว้ในยามปกติก็จะฉวยโอกาสนี้ประดังเข้ามา ทุกครั้งที่เหลยจิ่วตี้ ‘เชิญเทพ’ เฉกเช่นร่วงลงสู่เหวลึกที่มืดมิดและสกปรก ทรมานอย่างยิ่ง ทั้งหมดอาศัยความยึดมั่นที่จะแสวงหาความยิ่งใหญ่ฝืนทนไว้

    แต่ในขณะที่ถงจิ้งอยู่เบื้องหน้าตนเอง เหลยจิ่วตี้กลับรู้สึกราวกับเงยหน้ามองเห็นแสงสว่างที่เปล่งประกายอบอุ่นออกมาดวงหนึ่งในเหวลึก ภายใต้การปลอบขวัญของประกายแสงกลับไม่ทรมานเหมือนยามปกติ อาศัยแสงไฟในสติดวงนี้นำพา ทุกครั้งที่เหลยจิ่วตี้หลุดออกจากภาวะพลังเทพกลับคืนสู่ปกติกลับง่ายขึ้นเช่นกัน และทุกครั้งความเหนื่อยล้ากายใจหลังฝึกทักษะก็ฟื้นฟูได้เร็วยิ่งขึ้นจนแม้แต่ตัวเหลยจิ่วตี้เองก็รู้สึกเหลือเชื่อ

    หรือว่าดรุณีนางนี้มีพลังต่างจากคนธรรมดาโดยกำเนิด? ตัวเหลยจิ่วตี้เองหาได้เชื่อเรื่องผีสางเทวดาและพลังวิเศษ พลังเทพลัทธิบัวขาวที่ฝืนฝึกฝนก็อาศัยปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตนเองทั้งหมด เรื่องเชื่อหรือไม่ว่าถงจิ้งปล่อย ‘พลัง’ อะไรได้จริงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง มันคือผู้ที่สนเพียงสิ่งที่นำไปใช้ได้จริงทั้งหมด ในเมื่อถงจิ้งมีประโยชน์ต่อการฝึกทักษะของมันจริงๆ ก็ไม่สืบสาวว่าเป็นมาอย่างไรกันแน่

    นับตั้งแต่ไปฝึกปรือที่ซานตงเป็นต้นมา เหลยจิ่วตี้ห้ามคนรอบข้างชมดูการฝึกทักษะโดยเด็ดขาด มีเพียงหานซานหู่ศิษย์ใกล้ตัวคนเดียวที่ยกเว้น บัดนี้มันทำลายกฎเกณฑ์ซ้ำฝ่ายตรงข้ามยังเป็นศัตรู เหลยจิ่วตี้มิอาจเข้าใจได้โดยแท้จริง รู้เพียงมีความรู้สึกดีที่ยากจะเอื้อนเอ่ยต่อดรุณีนางนี้…ดังเช่นในวันนั้นที่มันเองก็อธิบายมิได้ว่าเหตุใดภายใต้เสียงวิงวอนของถงจิ้งจึงยอมปล่อยสุนัขล่าสัตว์ที่แยกเขี้ยวตะปบเล็บตัวนั้นไป

    เลี่ยนเฟยหงยืนกรานจะรับนางหนูคนนี้เป็นศิษย์ หรือว่านางมีพรสวรรค์เหนือมนุษย์จริงๆ

    เหลยจิ่วตี้ไม่อยากเผยจิตใจส่วนนี้ต่อถงจิ้ง มันเพียงมองนางแวบหนึ่งแล้วยกดาบคู่ขึ้นตั้งท่าต่อสู้เผชิญหาศัตรู นี่คือครั้งแรกที่ถงจิ้งมองเห็นท่วงท่าเตรียมพร้อมตัดสินกับผู้อื่นของเหลยจิ่วตี้ตอนกลางวันแสกๆ ท่าต่อสู้กับท่านั่งม้าไม่ต่างจากคนสำนักมี่จงที่เคยเห็นก่อนหน้ามากนักแต่กลับมีกลิ่นอายที่แตกต่างอย่างมาก ขาทั้งสองที่ยืนอย่างผ่อนคลายนั้นเหมือนจะกระโดดขึ้นกลางอากาศได้ทุกเมื่อ มุมตั้งท่าของดาบคู่ยังมีความล้ำเลิศอันละเอียดอ่อน มีอำนาจคุกคามมากกว่าท่วงท่าต่อสู้ทั่วไปหลายเท่า

    เหลยจิ่วตี้รวบรวมสมาธิ ตั้งท่าต่อสู้ของดาบคู่ให้รัดกุมยิ่งขึ้น ปลายของคมสีเงินชี้ไกลไปยังที่ว่างในห้อง ถงจิ้งรับรู้ได้ว่าเหลยจิ่วตี้กำลังเริ่มสร้างศัตรูสมมติเบื้องหน้า

    …นางย่อมรู้ว่าศัตรูผู้นั้นคือใคร

    ตรงหน้าเหลยจิ่วตี้ราวกับค่อยๆ ปรากฏโครงร่างคนผู้หนึ่ง…แน่นอนว่ามีเพียงตัวมันเองจึงมองเห็น โครงร่างนั้นโก่งแผ่นหลังขึ้นประหนึ่งแมว ขาซ้ายที่เหยียบอยู่ข้างหลังย่อต่ำลง ดาบมือขวาเหมือนลดอยู่ตรงหัวเข่าอย่างไร้การควบคุม กิริยาท่าทางหมายพุ่งกระโจน

    ศึกที่ป่าในวันนั้นแม้เกิดขึ้นในเวลาที่มืดมิดที่สุดก่อนรุ่งอรุณ แต่เหลยจิ่วตี้เคยเห็นจิงเลี่ยใช้ท่าฟองคลื่นตัดเหล็กสองครั้ง…ครั้งหนึ่งใช้กระชากโซ่เหล็กช่วยเลี่ยนเฟยหงหนีไป อีกครั้งหนึ่งออกดาบฟันหัวไหล่มัน…ท่าต่อสู้นี้จดจำขึ้นใจแล้ว

    แน่นอนว่าเหลยจิ่วตี้เองก็ไม่สามารถอาศัยเพียงท่วงท่านี้กับประสบการณ์รับกระบวนในการตะลุมบอนครั้งเดียว มันศึกษาหลักการ อานุภาพ และการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้ของท่าฟองคลื่นตัดเหล็กอย่างละเอียด แต่ต้องอาศัยสิ่งที่ตนเองร่ำเรียนหลายสิบปีกับประสบการณ์ต่อสู้จริงไปเติมเต็ม

    เพื่อตอบสนองท่วงท่าของจิงเลี่ยในจินตนาการเบื้องหน้า เหลยจิ่วตี้เองก็ทำการปรับเปลี่ยนท่าตั้งรับการต่อสู้ของตนเอง

    ถงจิ้งที่มองดูอยู่ด้านข้างย่อมมิอาจเข้าใจหลักการปรับเปลี่ยนท่าต่อสู้ของเหลยจิ่วตี้เพราะมองไม่เห็นจินตนาการในหัวมัน เพียงแต่นางยังคงสังเกตได้ถึงรายละเอียดการเคลื่อนไหวของยอดฝีมือจากท่าทางของเหลยจิ่วตี้

    ถงจิ้งหารู้ไม่ว่าสามวันมานี้ตนเองมองดูเหลยจิ่วตี้ฝึกยุทธ์อยู่ด้านข้าง ทุกครั้งยังต้องต่อต้านอำนาจชั่วร้ายชอบกลของเหลยจิ่วตี้ ระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้ก้าวหน้าเข้าหาทิศทางใหม่แล้ว…

    ในสายตาเหลยจิ่วตี้เงาร่างของจิงเลี่ยที่เบื้องหน้าเหมือนร่างจริงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับได้ยินแม้กระทั่งสุ้มเสียงปรับเปลี่ยนลมหายใจของอีกฝ่าย

    แม้ไม่รู้ชัดถึงเอกลักษณ์ของท่าฟองคลื่นตัดเหล็ก แต่จากท่วงท่านี้มันก็คาดเดาได้ว่านี่คือกระบวนท่าพลีชีพที่เดิมพันทุกสิ่งไว้ในดาบเดียว หาได้มีทางหนีทีไล่ไม่

    …เช่นนั้นขอเพียงข้ารับดาบนี้ได้ ต้องชนะอย่างมิต้องสงสัย!

    …แต่ว่าข้ารับได้หรือ

    เหลยจิ่วตี้หวนนึกถึงสัมผัสยามที่หัวไหล่ถูกดาบในคืนนั้นและคาดการณ์อานุภาพของท่าฟองคลื่นตัดเหล็ก มันชี้ขาดได้ทันทีว่าดาบคู่ของตนเองต้านรับมิได้อย่างแน่นอน…ดาบหัก คนมลาย

    เช่นนั้นก็เหลือเพียงหนทางเดียว ใช้ท่าร่างกับเพลงเท้าเทพท่องเร้นเมฆาอันเหนือล้ำในยุทธภพของมัน หลบเลี่ยงดาบนี้

    เงาร่างตรงหน้าเหลยจิ่วตี้เปลี่ยนเป็นเล็กลงกว่าเดิม พลังยิ่งเต็มเปี่ยม มันรู้สึกว่าเบื้องหน้าเหมือนจ่อไว้ด้วยลูกเกาทัณฑ์แหลมคมในระยะประชิด คันเกาทัณฑ์นั้นยิ่งน้าวยิ่งตึง พร้อมยิงออกได้ทุกชั่วขณะ…

    มิเพียงเท่านี้…แผลของจิงเลี่ยอาจจะดีขึ้นได้จริงๆ…ถึงเวลาดาบนี้จะยิ่งรุนแรงกว่าก่อนหน้า ยิ่งยากหลบพ้น…

    เสื้อตรงแผ่นหลังและหน้าอกเหลยจิ่วตี้ถูกเหงื่อซึมจนเปียกชุ่มแล้ว

    แม้แต่ถงจิ้งที่ชมดูอยู่ด้านข้างเองก็หยุดหายใจโดยไม่รู้ตัว คนผู้นี้ตรงหน้าแม้เป็นศัตรูที่ไล่ล่าหกกระบี่บ้านแตกและเป็นปีศาจคลั่งที่สังหารศิษย์ด้วยมือตนเอง แต่ขณะนี้ถงจิ้งมิอาจเดียดฉันท์มัน เนื่องเพราะเป็นนักสู้เหมือนกัน มองเห็นเหลยจิ่วตี้ทุ่มเทคิดแสวงหาชัยชนะอย่างหนัก ถงจิ้งลอบเกิดความเคารพส่วนหนึ่งต่อมัน

    ในที่สุดก็ถึงเวลาที่คันเกาทัณฑ์ตึงจนจะหักแล้ว…

    เหลยจิ่วตี้ถลึงดวงตาทั้งสอง…

    ราวกับมีลมไร้รูปหอบหนึ่งกวาดเข้าหาใบหน้ามัน

    เหลยจิ่วตี้มิได้ปล่อยท่าออกสักกระบวน ขาทั้งสองเองก็มิได้ขยับเขยื้อนสักนิดแต่มันกลับค่อยๆ ผ่อนคลายท่าต่อสู้ลง

    “กระแสคลื่น…”

    เหลยจิ่วตี้หลับตากล่าวพึมพำ

    ถงจิ้งฟังแล้วแปลกใจอย่างยิ่ง เหลยจิ่วตี้น่าจะไม่เคยได้ยินชื่อกระบวนท่าดาบของท่าฟองคลื่นตัดเหล็ก และไม่มีทางรู้ว่ากระบวนท่าดาบนี้ของจิงเลี่ยคือวิชายืมภาวะคลื่นทะเล แต่มันกลับอาศัยจินตนาการรับรู้ได้ถึงภาพในกระบวนท่าดาบจิงเลี่ย ช่างน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

    หลังเหลยจิ่วตี้รับกระบวนท่าดาบในจินตนาการได้ก็หลับตาเงยหน้าหอบหายใจเนิ่นนานคล้ายสูญเสียเรี่ยวแรงไม่น้อย กระทั่งลมหายใจกลับสู่ปกติมันจึงลืมตาและจ้องตรงไปยังถงจิ้ง

    “นางหนู” หลังประโยคที่ว่า ‘ปิดประตู’ เมื่อสามวันก่อน นี่คือครั้งที่สองที่เหลยจิ่วตี้กล่าวคำกับถงจิ้งในห้องฝึกทักษะ “ท่าไม้ตายของจิงเลี่ย เจ้าคงจะเคยเห็นมันฝึกหลายครั้งกระมัง”

    ถงจิ้งเบิกตาโพลงหลังได้ยิน เข้าใจทันทีว่าเหลยจิ่วตี้จะสอบถามหลักการของท่าฟองคลื่นตัดเหล็กของพี่จิงจากนาง ถึงตายนางก็ไม่ยอมเปิดเผย แต่พอคิดอีกทีก็ขมวดคิ้วและจงใจถอนหายใจด้วยท่าทีผิดหวัง “ปีที่ผ่านมานี้แผลของพี่จิงยังไม่หายดี มิได้ฝึกฝนกระบวนท่าดาบนี้เลย ทำได้เพียงฝึกเงียบๆ ในใจเป็นบางครั้ง ข้ามิอาจมองเห็นจะบอกท่านได้อย่างไรเล่า”

    เหลยจิ่วตี้ย่อมไม่เชื่อสักนิด สายตาดุจมีดดาบจ้องบนหน้าถงจิ้งราวกับจะแทงทะลุได้ทุกเมื่อ

    “หากท่านไม่เชื่อ ข้าเองก็จนปัญญา” ถงจิ้งยักไหล่ “หากท่านจะบีบให้ข้าบอกอะไรล่ะก็เชิญทรมานตามใจชอบเถอะ เพียงแต่ข้าขอบอกท่านก่อน หากดรุณีเจ็บขึ้นมาอะไรก็พูดได้ทั้งสิ้น สิ่งที่พูดเป็นจริงหรือเท็จนั่นก็รับรองมิได้”

    เหลยจิ่วตี้ที่ประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชนฟังออกว่าน้ำเสียงขณะกล่าวคำว่า ‘ทรมาน’ ของถงจิ้งนั้นสั่นเครือเล็กน้อย รู้ว่านางฝืนทำเป็นสงบทว่าความจริงในใจกำลังหวาดกลัวจึงอดมิได้ที่จะลอบหัวเราะ

    …นางหนูนี่น่าสนใจจริงๆ

    นับตั้งแต่เหลยจิ่วตี้ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักเป็นต้นมา ศิษย์เยาว์วัยในสำนักก็ทั้งเคารพและเกรงกลัวมันมิกล้ากล่าวคำกับมันมากกว่าหนึ่งประโยค ยิ่งมิต้องกล่าวถึงการแต่งเรื่องเช่นนี้ ถงจิ้งทำขวัญกล้าต่อหน้ามัน ซ้ำสีหน้าแววตาขณะกล่าวคำยังเปี่ยมด้วยพลังไม่เหมือนศิษย์ที่ต้องเคารพนบนอบในสำนักมี่จง เหลยจิ่วตี้อดมิได้ที่จะเกิดความรู้สึกดีต่อถงจิ้งขึ้นมา

    “ทรมาน?” นัยน์ตาเหลยจิ่วตี้หรี่เล็ก “ไม่จำเป็น”

    มันกล่าวพลางเหวี่ยงมือซ้ายไปข้างหน้ากะทันหัน ถงจิ้งตกใจเพราะคิดว่ามันจะลงมือลอบโจมตี กลับเห็นวัตถุหนึ่งถูกโยนมายังตนเอง

    ถงจิ้งเองก็ตอบสนองรวดเร็ว นางจำแนกได้ว่านั่นคืออะไร มือขวาจึงยื่นออกไปรับดาบเงินมากุมไว้

    “มาเถอะ” มือขวาเหลยจิ่วตี้ยกดาบอีกเล่มหนึ่งขึ้น ปลายดาบชี้ไกลไปยังหว่างคิ้วถงจิ้ง “ตั้งท่าต่อสู้ของจิงเลี่ยออกมา!”

    แม้หาใช่กระบี่ยาวที่คุ้นมือ แต่ถงจิ้งก็กุมดาบเงินที่ใช้เฉพาะเจ้าสำนักมี่จงไว้ในมือ ความตื่นเต้นที่คุ้นเคยพลันเกิดขึ้นในใจ เหงื่อซึมเล็กน้อยบนผ้าพันด้ามจับ น้ำหนักพอดีมือของเหล็กกล้า ความสมดุลอันยอดเยี่ยมของตัวคม…คนกับดาบราวกับเชื่อมถึงกันด้วยแรงดลใจไร้รูป ถงจิ้งย่อมตั้งท่ากระบี่พร้อมต่อสู้ออกมา

    ในใจนางย่อมไม่ยอมแสดงท่าต่อสู้ของท่าฟองคลื่นฟันเหล็กต่อเหลยจิ่วตี้ เพียงแค่ตั้งท่วงท่าเผชิญศัตรูยามปกติของตนเองออกมา กลับพลันรับรู้ได้ถึงไอสังหารหอบหนึ่งพุ่งถึงใบหน้า

    เห็นเพียงเหลยจิ่วตี้ย่อลงท่านั่งม้า ดาบมือขวากับฝ่ามือซ้ายตั้งอยู่สองฝั่งหน้าอก คล้ายหมายจะพุ่งโจมตี

    ถงจิ้งถอยหลังสองก้าวอย่างเลี่ยงมิได้ภายใต้อำนาจที่คุกคาม หมายจะหลบหนีไปยังทิศทางของประตูห้อง แต่เหลยจิ่วตี้สังเกตเห็นก่อนแล้ว เท้าทั้งสองเพียงเคลื่อนย้ายพอสังเขป ก็ขวางทางถงจิ้งกับประตูห้องเอาไว้ได้ ถงจิ้งถูกแรงกดดันนี้บีบต้อน จำต้องถอยไปยังมุมกำแพงด้านหนึ่ง

    เหลยจิ่วตี้ก้าวไปข้างหน้าเบาๆ หนึ่งก้าว ถงจิ้งรู้สึกหายใจลำบาก ที่ผ่านมานางไม่เคยเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นนี้ลำพัง รู้สึกเพียงตนเองเป็นเช่นหนูตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเบื้องหน้าเสือ คนทั้งสองห่างกันหกเจ็ดก้าวชัดๆ แต่ถงจิ้งกลับถูกขังอยู่ตรงที่ตายมุมกำแพงแล้ว หนีออกมามิได้อีก

    ดวงตาถงจิ้งอดแดงขึ้นมาไม่ได้ เบ้าตาเปียกชุ่มแต่กลับกัดฟันแน่น ยกปลายดาบสูงยิ่งกว่าเดิม ใช้โทสะแห่งความไม่ยอมจำนนในใจต่อต้านความหวาดผวาต่อเหลยจิ่วตี้

    จะให้ท่านเห็นว่าถึงแม้เป็นหนูตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งก็มีเขี้ยวแหลมกัดลำคอเสือขาดได้!

    มองเห็นดรุณีน้อยนางนี้ยังคงมีปณิธานต่อต้าน เหลยจิ่วตี้ก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา

    น่าสนใจ…นางน่าสนใจเหลือเกิน

    ปณิธานต่อสู้ของถงจิ้งกระตุ้นสัญชาตญาณชอบต่อสู้ของเหลยจิ่วตี้ มันลอบท่องคาถาในใจโดยไม่รู้ตัว หนังหน้าบิดเบี้ยวอีกครั้ง ซ้ำยังเริ่มเข้าสู่ภาวะเคลิบเคลิ้ม ‘เชิญเทพสถิตร่าง’ …แน่นอนว่าหาได้มีผีสางเทวดาอะไรจริงๆ ไม่ เป็นเพียงจินตนาการที่มันกระตุ้นตนเอง

    ไอปีศาจชั่วร้ายที่เหลยจิ่วตี้แผ่ออกมาค่อยๆ อบอวลทั่วทั้งห้อง

    ปลายดาบของถงจิ้งสั่นไหวเล็กน้อย

    ในขณะเดียวกันเหลยจิ่วตี้เอ่ยคำ เสียงพูดประหนึ่งละเมอ “เปล่าประโยชน์…กระบวนท่าเช่นนี้ของเจ้าต่อต้านข้ามิได้…มาเถอะ มีเพียงกระบวนท่านั้น…ตั้งท่าต่อสู้ของจิงเลี่ยเถอะ…”

    ถงจิ้งมองออกว่าท่าต่อสู้ของตนเองถูกเหลยจิ่วตี้ยับยั้งจากไกลๆ ดังนั้นจึงเปลี่ยนอีกท่วงท่าออกมา ลดดาบเงินไว้ตรงหน้าท้อง ปลายดาบเปลี่ยนเป็นชี้ไปยังศอกขวาของเหลยจิ่วตี้

    ทว่าขณะนางตั้งท่าต่อสู้ใหม่เสร็จสิ้น ดาบของเหลยจิ่วตี้ก็เปลี่ยนวิถีเข้าพิชิตท่วงท่านี้ของถงจิ้งได้อย่างง่ายดาย ถงจิ้งคาดเดาได้ทันทีว่าหากตนเองใช้ท่านี้ออกดาบ เหลยจิ่วตี้ก็สามารถฟันข้อมือของนางลงได้โดยไม่ต้องแม้แต่มองดู นางจึงเปลี่ยนแปลงอีกอย่างรีบร้อน

    เหลยจิ่วตี้ปรับเปลี่ยนท่วงท่าจับดาบตามท่าทางของนางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่หยุด ทุกครั้งล้วนแก้การเปลี่ยนแปลงของถงจิ้งก่อนหนึ่งก้าว ถงจิ้งรู้สึกเพียงสิ่งที่ตนเองเรียนมาทั้งหมดล้วนถูกเหลยจิ่วตี้ตรงเบื้องหน้ามองออกในแวบเดียว นางทั้งตื่นกลัวและร้อนใจ กลับรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่ายืนเปลือยเปล่าต่อหน้าตาเฒ่าผู้นี้เสียอีก

    สิ่งที่ถงจิ้งเคยเรียนแสดงออกมาจนไม่เหลือหลอแล้ว หัวสมองว่างเปล่า กลับพลิกมาเป็นฝ่ายทดลองยับยั้งท่าต่อสู้ของเหลยจิ่วตี้ได้เอง

    เห็นเพียงถงจิ้งตั้งท่ายกดาบเฉียงๆ มิใช่กระบวนท่าใดที่นางเคยเรียนในอดีต ความสูงของการยกดาบคล้ายอ่อนแอไร้พลัง ขาทั้งสองที่สั่นเทาก็เหมือนแทบจะยืนไม่มั่นคงแล้ว

    แต่ในสายตาของเหลยจิ่วตี้ยอดฝีมือขั้นสุดยอดกลับมองออกถึงความละเอียดอ่อนของท่วงท่านี้ ตัดรูปลักษณ์ภายนอกและกฎเกณฑ์ทั้งหมดทิ้งไปเพื่อปรับตามรูปแบบสถานการณ์การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

    เหมือนเช่นน้ำ

    นับตั้งแต่ออกจากเฉิงตูติดตามพวกจิงเลี่ยเรียนวิทยายุทธ์ ตลอดมาถงจิ้งก็พยายามหลุดพ้นจากวรยุทธ์ปาหี่ที่มีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกแต่ใช้การไม่ได้จริงที่เคยเรียนในอดีต หวนคืนสู่ความเที่ยงแท้แห่งวิถียุทธ์ ในยามคับขันนี้ในที่สุดนางก็ทำได้แล้ว ข้ามผ่านอุปสรรคสำคัญในวิชายุทธ์และชีวิต

    เหลยจิ่วตี้มองเห็นก็อดมิได้ที่จะตื่นตะลึง

    …พรสวรรค์ของเด็กคนนี้มิใช่เล่นๆ!

    แต่ยามนี้สติสัมปชัญญะกว่าครึ่งของเหลยจิ่วตี้ตกสู่ท่ามกลางหมอกดำของพลังเทพแล้ว มุ่งหมายเอาชนะท่าฟองคลื่นตัดเหล็กของจิงเลี่ย ในปากยังคงท่องพึมพำ “เปล่าประโยชน์…ใช้กระบวนท่าของจิงเลี่ย…มีเพียงกระบวนท่านั้น…”

    ขณะนี้ถงจิ้งเองก็ตกสู่ความงุนงง เสียงพูดบอกเป็นนัยไม่หยุดของเหลยจิ่วตี้ปลุกความทรงจำที่เคยเห็นจิงเลี่ยฝึกกระบวนท่านี้อย่างหนักของนางขึ้นดังคาด

    ความทรงจำนั้นสำหรับถงจิ้งที่ผิดหวังปราศจากความช่วยเหลือแล้วประหนึ่งเกาะท่อนไม้ช่วยชีวิตท่อนหนึ่งได้ขณะจมน้ำ ดาบของนางค่อยๆ ลดลงหน้าหัวเข่า ขาทั้งสองย่อจนต่ำกว่าเดิม ถ่วงไหล่พลางโก่งแผ่นหลังขึ้น…

    เลียนแบบท่าต่อสู้ท่าฟองคลื่นตัดเหล็กขึ้นมาจริงๆ อีกทั้งมีหลายส่วนคล้ายคลึงกับจิงเลี่ยในความทรงจำ

    เหลยจิ่วตี้แวบมองท่วงท่านี้ของถงจิ้ง เหมือนจิงเลี่ยพลันอยู่ตรงหน้า กระตุ้นจิตสังหารของมันออกมา สติกระโดดสู่เหวลึกในครู่เดียว เข้าสู่สภาวะเทพสถิต

    ทันใดหน้าตาของมันดุจดั่งผีร้าย

    ไอสังหารปกคลุมถงจิ้งที่สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

    เดิมทีเหลยจิ่วตี้หวังเพียงบีบให้ถงจิ้งเปิดเผยกระบวนท่าฟองคลื่นตัดเหล็ก หาได้จะทำร้ายนางจริงๆ แต่ขณะนี้ภายใต้การชักนำให้สูญเสียการควบคุมของถงจิ้ง ไอสังหารพลันอัดแน่นในทรวงอกพร้อมจะปะทุได้ทุกชั่วขณะ…

    ก่อนที่ความมืดมิดจะปิดบังจิตใจของเหลยจิ่วตี้นั้นเอง มันพลันรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นนั้นอีกครั้ง

    เงาร่างของถงจิ้งตรงหน้าราวกับแผ่แสงโชติช่วง

    อาศัยแสงนี้สติสัมปชัญญะของเหลยจิ่วตี้จึงฝืนกระโดดขึ้นมาจากเหวลึกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย

    มันเงยหน้าคำรามอย่างบ้าคลั่งและคุกเข่าลง ใบหน้าที่ไม่ค่อยแข็งแรงแต่เดิมซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด เม็ดเหงื่อเท่าเม็ดถั่วผุดบนหน้าผากเฉกเช่นผ่านการต่อสู้ดิ้นรน

    ถงจิ้งรู้สึกว่าไอสังหารของเหลยจิ่วตี้สลายไปแล้ว ตนเองก็ผ่อนคลายลง จึงสำรวจเหลยจิ่วตี้อย่างละเอียด มองออกว่ามันเจ็บปวดอย่างยิ่ง แม้นางไม่กระจ่างว่าเมื่อครู่เหลยจิ่วตี้ผ่านอะไรมาแต่รู้ว่าตนเองกำลังเดินอยู่ริมขอบความเป็นตายแล้วรอบหนึ่ง

    มองดูเหลยจิ่วตี้ทำตนเองจนบ้าๆ บอๆ และเจ็บปวดเช่นนี้เพื่อยืนกรานแสวงหาวรยุทธ์ ถงจิ้งก็อดมิได้ที่จะเวทนาเจ้าสำนักมี่จงท่านนี้ขึ้นมา

    “อันที่จริง…” ยามนี้ถงจิ้งเองก็นั่งย่อตัวอยู่เบื้องหน้าเหลยจิ่วตี้ วางดาบเงินลงบนพื้นเบาๆ อีกมือหนึ่งยันหัวเข่าพลางรองคางกล่าว “…ท่านไม่ต้องสู้กับพี่จิงจะได้หรือไม่”

    สายตาล่อกแล่กไม่นิ่งยามปกติของเหลยจิ่วตี้จับจ้องถงจิ้งนิ่งๆ อย่างหาได้ยาก

    “ระหว่างหกกระบี่บ้านแตกเรากับสำนักมี่จงท่านเดิมทีก็ไม่มีความแค้นฝังลึกอะไร มิผิด ศิษย์จำนวนมากของท่านตายแล้ว แต่ทั้งสองครั้งล้วนเป็นเพราะพวกท่านจะมาฆ่าพวกเรา! ใช่ว่าพวกเราขอให้สำนักมี่จงของท่านสู้

    ราชโองการอะไรนั่นของราชสำนักก็ยิ่งไร้สาระ ความผิดของหกกระบี่บ้านแตกที่เขียนไว้ภายในทั้งหมดล้วนเป็นเท็จ หากไม่เชื่อ คนเหล่านั้นของสำนักกระบี่เซียงหลงกับสำนักจวี้ฉินล้วนรับรองได้ อีกอย่างนักสู้กลางป่าดงพงหญ้าเช่นพวกเรา หลายปีมานี้เคยได้รับการเหลียวแลอันใดจากราชสำนักบ้าง มิใช่ต้องถ่ายทอดวิทยายุทธ์จากรุ่นสู่รุ่นกันเองหรอกหรือ เพียงแขวนป้ายทองป้ายเหล็กพระราชทานแผ่นหนึ่งแล้วจะทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาได้หรือ”

    เหลยจิ่วตี้ฟังหญิงสาวอายุน้อยจนพอที่จะเป็นหลานสาวมันได้สั่งสอนตนเอง มิได้ขัดจังหวะนางสักประโยค ด้วยอุปนิสัยใจแคบชั่วชีวิตของมัน ความอดทนเช่นนี้ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์

    มันรอให้ถงจิ้งกล่าวจนจบจากนั้นจึงตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “เจ้ากล่าวเหตุผลมากมายนี้มีประโยชน์อันใด คนฝึกยุทธ์ประลองตัดสินยังต้องการเหตุผลหรือ”

    ถงจิ้งพอได้ยินก็เย็นวาบในใจซ้ำยังนึกถึงเรื่องที่เหลยจิ่วตี้ปลิดชีพศิษย์ด้วยตนเอง นางพลันเข้าใจว่าที่เหลยจิ่วตี้แห่โลงศพแสดงอำนาจในเมืองเซียงถานบอกว่าจะแก้แค้นให้ศิษย์นั้นล้วนเป็นเท็จ มันมิได้รักทะนุถนอมและห่วงใยศิษย์เพียงนั้น ทำให้เอิกเกริกสักหน่อยเพียงเพื่อต้องการเอาชนะหกกระบี่บ้านแตก ลบล้างความอัปยศที่ตนเองถูกขับไล่ในป่า ความปรารถนาแรงกล้าที่ต้องการชัยชนะนั้นไม่ต่างอะไรกับสำนักอู่ตัง

    …แต่หากลองนึกดู จิงเลี่ยเองก็เป็นคนเช่นนี้

    ถงจิ้งมิอาจโต้เถียงสักประโยค นางลุกขึ้นมากำลังคิดจะจากไป ไม่คาดเหลยจิ่วตี้กลับกล่าวอีก “จะให้ข้าล้มเลิกการต่อสู้กับจิงเลี่ยก็มิใช่เป็นไปไม่ได้ ทว่าต้องนำสิ่งที่ข้าคิดว่ามีคุณค่ายิ่งกว่ามาแลกเปลี่ยน”

    ถงจิ้งรู้สึกผิดคาดอย่างยิ่ง กลับพบว่าดวงตาของเหลยจิ่วตี้จ้องตนเองอยู่ ยังสังเกตไปมาบนร่างนาง ถงจิ้งรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกหอบหนึ่ง ไม่รู้ว่าคนบ้าผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ นางอดยกแขนขึ้นกอดหน้าอกป้องกันตัวเองมิได้

    เหลยจิ่วตี้พกพาความน่าสะพรึงพลางกล่าว

    “เจ้าต้องกราบข้าเป็นอาจารย์และสาบานว่าจะฝึกฝนวิชายุทธ์ทั้งหมดที่ข้าถ่ายทอดให้อย่างสุดจิตสุดใจ”

    ถงจิ้งเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ

    ยามนี้เหลยจิ่วตี้เองก็ลุกขึ้นมาจากท่าคุกเข่า มือซ้ายมันกวักไปยังพื้น ท่อเล็กในแขนเสื้อปล่อยเส้นด้ายออกมาเกี่ยวดาบเงินที่ถงจิ้งวางไว้บนพื้นเอาไว้ จากนั้นมันดึงแขนซ้าย ประหนึ่งแสดงเวทมนตร์หยิบวัตถุผ่านอากาศดูดดาบเงินเข้ากลางฝ่ามือ

    “สามวันมานี้เจ้าเองก็เห็นแล้ว ข้าฝึกทักษะยากเย็นอันตรายเพียงใด ทั้งหมดเพื่อนำวิญญาณของตนเองเป็นเดิมพัน” เหลยจิ่วตี้แกว่งมือทั้งสองสอดดาบคู่กลับเข้าในฝักตรงข้างเอวซ้ายขวา “หลายปีที่ผ่านมาข้าเดินผ่านทะเลเพลิงในนรกมาแล้วจึงสำเร็จยอดวิชาเทพสถิตที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ ถึงแม้ต้องทดสอบทั่วหล้าเพื่อใช้มันเอาชนะสำนักอู่ตังก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกเรื่องหนึ่งค้างคาอยู่ในใจคือกังวลว่าวิชาที่ยากได้มานี้จะไร้ผู้สืบทอด หลังข้าตายก็จะจบสิ้นเพียงเท่านี้

    เดิมทีเรื่องสืบทอดตลอดมาข้าหาได้เร่งรัดไม่ เพียงปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่หมู่นี้มีสี่เรื่องที่ทำให้ข้าเปลี่ยนความคิด เรื่องแรกคือต่งซานเฉียวศิษย์มีชื่อชั้นสูงของข้ากลับถูกคนในสำนักอายุสิบกว่าปีที่เหลือรอดของสำนักชิงเฉิงฆ่า ต่อให้ตัวข้าแข็งแกร่งเพียงไร ความอัปยศนี้ก็ยากจะขจัด เรื่องที่สองคือมองเห็นเลี่ยนเฟยหงฝึกสอนเจ้าเป็นผู้สืบทอดอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ข้าก็ยิ่งไม่อยากถูกตาเฒ่าน่าชังนั่นอยู่เหนือกว่า เรื่องที่สามคือได้ยินว่าสำนักอู่ตังกำลังถูกกองทัพราชสำนักบุกโจมตี ดูเหมือนจะร้ายมากกว่าดี หากเหยาเหลียนโจวตายแล้ว ข้ามีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดแต่ไม่มีเป้าหมายให้พิสูจน์ ไยมิใช่ได้ของดีแต่ไม่มีที่ให้ใช้ หากถ่ายทอดมันต่อไปได้ ยุคหลังย่อมมีโอกาสพิสูจน์มากกว่า เทพสถิตมี่จงที่ข้าเหลยจิ่วตี้คิดค้นคือผลงานชิ้นเอกในใต้หล้า!”

    ถงจิ้งได้ฟังก็ตระหนักว่าเหลยจิ่วตี้แม้ฟั่นเฟือนแต่ความคิดแจ่มชัดหาใช่เพียงคนบ้า ด้วยเหตุนี้มันจึงลอบโจมตีหกกระบี่บ้านแตกสำเร็จทั้งสองครั้ง

    นี่คือปรมาจารย์ยุทธภพคนที่สองแล้วที่เอ่ยปากบอกชัดว่าจะเป็นอาจารย์ของถงจิ้งถัดจากเลี่ยนเฟยหง ซ้ำยังแปลกประหลาดกว่าเสียอีก ถงจิ้งไม่เคยคิดว่าเหลยจิ่วตี้จะมีความต้องการเช่นนี้จึงรู้สึกว่าน่ากลัว

    “เมื่อครู่ท่านบอกว่า…มีสี่เรื่อง…” ถงจิ้งซักถามอย่างขลาดกลัว “เช่นนั้นเรื่องที่สี่คือ…”

    “เรื่องที่สี่เกิดขึ้นเมื่อครู่” สายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของเหลยจิ่วตี้มองตรงไปยังดวงตาของถงจิ้ง ซ้ำยังรับรู้ได้ถึงพลังอันมีชีวิตชีวาในดวงตาของนาง “ในที่สุดเมื่อครู่ข้าก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดตาเฒ่าเลี่ยนจึงยืนกรานจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ยอมละทิ้งกระทั่งตำแหน่งเจ้าสำนัก การจับเจ้ากลับมาคือการตัดสินใจที่ถูกต้องของข้า”

    สองมือของมันจับด้ามดาบบนเอวพลางถอนหายใจเบาๆ “ศิษย์นับพันในสำนักมี่จงของข้าทั้งหมดล้วนเป็นพวกไม่เอาไหน คงจะไม่มีสักคนที่ฝึกวิชาเทพสถิตของข้าได้ถึงขีดสุด…ไม่ ยังมีหานซานหู่ที่นับเป็นวัตถุดิบชั้นดี ภายหน้าคงมีโอกาสฝึกสำเร็จ แต่ข้าเองก็มิได้แน่ใจเต็มที่ แต่ว่าเจ้า…ข้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่หากเจ้ายินยอมมุ่งมั่นฝึกฝนกับข้า ภายในห้าถึงเจ็ดปีต้องสำเร็จเป็นแน่ ด้วยอายุของเจ้าภายหน้ามีความหวังอย่างมากที่จะข้ามผ่านข้าไปจนถึงขั้นสามารถปรับปรุงวิชาเทพสถิตนี้ไปสู่ขอบเขตที่สูงยิ่งกว่า! หากแลกกับศิษย์ก้นกุฏิเช่นเจ้ามาได้ ข้าก็จะไม่สนใจจิงเลี่ยผู้นั้นอีก ศิษย์ที่ตายไปของข้าก็ไม่นับว่าเป็นอะไรได้”

    การยกย่องสรรเสริญโดยไม่เก็บงำแม้แต่น้อยนี้หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นกล่าวถงจิ้งต้องดีใจสุดขีดเป็นแน่ แต่ขณะนี้นางฟังแล้วก็นิ่งเงียบไม่กล่าวคำ

    เหลยจิ่วตี้เห็นนางไร้การตอบสนองก็ขุ่นเคืองเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด แต่ในใจมันคาดหวังให้ถงจิ้งรับปากจึงอดทนไว้อย่างหาได้ยาก

    หลังถงจิ้งฟังก็สับสนในใจ หากเป็นยามปกตินางย่อมปฏิเสธอย่างเฉียบขาดไม่ต้องครุ่นคิดแม้แต่น้อย นางกับพวกจิงเลี่ย เยียนเหิง และเลี่ยนเฟยหงร่วมเป็นร่วมตาย มิตรภาพหยั่งรากฝังลึก มุ่งหมายจะเรียนยุทธ์กับพวกมัน เหลยจิ่วตี้ผู้นี้พฤติการณ์ฟั่นเฟือนซ้ำยังโหดร้ายต่อศิษย์ในสำนักอย่างยิ่งพร้อมขว้างทิ้งได้ทุกเมื่อ คุ้มดีคุ้มร้าย วิชายุทธ์เทพสถิตยังผิดแผกเช่นนี้ ทั้งยังทำลายอุปนิสัยผู้ฝึก นางจะยอมติดตามมันฝึกฝนได้อย่างไร

    แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้บาดแผลของจิงเลี่ยจะฟื้นฟูได้ทันเวลาหรือไม่ ไม่มีผู้ใดแน่ใจได้ ต่อสู้กับเหลยจิ่วตี้ช่างอันตรายอย่างยิ่งโดยแท้จริง หากนางกราบมันเป็นอาจารย์ก็จะสลายความแค้นของทั้งสองฝ่ายไปได้ เช่นนั้นก็คุ้มค่ายิ่งนัก

    หึ ถึงเวลาข้าไม่ตั้งใจเรียนก็สิ้นเรื่อง…มันเห็นข้าเรียนได้ไม่ดี ไม่แน่ว่าหลังหนึ่งปีครึ่งปีก็จะปล่อยข้าไป…

    ทว่าในขณะเดียวกันถงจิ้งก็รู้สึกเลื่อมใสต่อวรยุทธ์ของเหลยจิ่วตี้อย่างเลี่ยงมิได้ หลังออกจากเฉิงตู เหลยจิ่วตี้คือยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดที่นางพบเห็น…ไม่นับเหยาเหลียนโจวที่ถูกพิษขณะอยู่ซีอาน จอมเวทปัวหลงห่างกับมันไม่มากนัก แต่ถงจิ้งรู้สึกว่าเหลยจิ่วตี้ค่อนข้างน่ากลัวเล็กน้อย ซีเสี่ยวเหยียนขณะอยู่บนหลังคาหออิ๋งฮวาหรือจิงเลี่ยที่ยังมิได้บาดเจ็บเมื่อหนึ่งปีก่อนอาจสู้กับเหลยจิ่วตี้ได้ เพียงแต่โอกาสชนะไม่มาก

    …ยอดฝีมือเช่นนี้ ข้ากลับมีโอกาสกราบเป็นอาจารย์

    วิถีวรยุทธ์เหลยจิ่วตี้เบี่ยงเบนไปทางมาร แต่ถงจิ้งก็จำได้ว่าพี่จิงเคยวิจารณ์เรื่องสำนักอู่ตังตระเวนร่ำเรียนวิชาลับลัทธิอู้อี๋หลายครั้ง มันเคยบอกว่าวิทยายุทธ์ไม่แบ่งแยกธรรมะอธรรม อยู่ที่ยินยอมทุ่มเทเพื่อมันเท่าใด…

    ถงจิ้งคิดว่าต่อให้ไม่เรียนทักษะปีศาจประเภทนั้นกับเหลยจิ่วตี้ การติดตามมันก็ยังคงต้องเรียนรู้สิ่งที่ร้ายกาจมากมาย หากกล่าวว่ามิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อยก็คงหลอกลวง

    เช่นนี้ก็ทำให้พี่จิงรอดพ้นจากการต่อสู้ได้ พี่จิงยังต้องเฝ้ารอพี่หลันกลับมา…

    แต่ติดตามเหลยจิ่วตี้ นั่นไม่เท่ากับข้าต้องแยกกับเยียนเหิงหรือ…

    เมื่อคิดถึงเยียนเหิง ถงจิ้งยิ่งสับสนในใจ

    ในวันนั้นถงจิ้งยอมเป็นตัวประกันเอง เหลยจิ่วตี้ก็มองออกถึงมิตรภาพของนางกับหกกระบี่บ้านแตกแล้ว ในใจรู้สึกต้องให้นางกราบตนเองเป็นอาจารย์ โอกาสห่างจากพวกพ้องเหล่านั้นหาได้มากไม่ ขณะนี้เห็นนางกลับมีความลังเลคือเรื่องน่ายินดีเกินคาดหวังแล้ว และไม่อยากรีบบีบบังคับนางเพื่อไม่ให้นางรู้สึกไม่พอใจ

    “เจ้าพิจารณาดูสักหน่อย อย่างไรก็ยังห่างจากวันตัดสินอีกหลายวัน” มันจงใจกล่าวอย่างเฉยเมย “ในหลายวันนี้เจ้ามาดูข้าฝึกยุทธ์ได้ตามปกติ ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่าศึกนี้ข้าต้องชนะโดยมิต้องสงสัย ชีวิตของจิงเลี่ยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า”

    เหลยจิ่วตี้กล่าวจบก็นั่งทำสมาธิบนพื้นเข้าสู่ห้วงภวังค์อีกครั้งหนึ่ง

    ถงจิ้งมองดูเหลยจิ่วตี้ด้วยความไม่สบายใจเต็มอกพักหนึ่งแล้วจึงผลักประตูออกจากห้องฝึกทักษะนี้ หัวใจราวกับพันผูกด้วยเส้นด้ายมากมาย มิอาจสะสางได้

    นางก้มศีรษะก้าวเดินบนเฉลียงทางเดินระยะหนึ่ง กำลังจะกลับห้องตนเอง กลับสังเกตเห็นหลังเสาต้นหนึ่งด้านข้างมีเงาคน เมื่อมองดูก็อดมิได้ที่จะหน้าแดงหูร้อน

    ตรงนั้นมีคนสองคนยืนอยู่ เป็นหานซานหู่ศิษย์รักรูปโฉมไม่ธรรมดาผู้นั้นของเหลยจิ่วตี้กำลังโอบกอดสหายร่วมสำนักหญิงสาขาย่อยซานซีคนหนึ่งจากด้านหลังอย่างสนิทสนม หานซานหู่มือหนึ่งยังยื่นเข้าไปในอกเสื้อของศิษย์น้อง ศิษย์น้องผู้นั้นเดิมเผยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม พลันเห็นว่าถูกถงจิ้งจับได้ รีบจับมือของหานซานหู่ที่กั้นไว้ด้วยเสื้อผ้าเอาไว้

    “ขออภัย…” ถงจิ้งเห็นหานซานหู่กลับปราศจากสีหน้าละอายทั้งยังยิ้มน้อยๆ มองกลับมาก็อดมิได้ที่จะหน้าแดงหูแดงรีบจ้ำอ้าวหนีไป

    หานซานหู่มองนางเดินจากไป รอยยิ้มบนหน้าเลือนหาย

    “ศิษย์พี่หาน…เพราะเหตุใด…” ศิษย์น้องผู้นั้นถาม “ศิษย์พี่จะไปพบเจ้าสำนักมิใช่หรือ เหตุใดยังตามข้า…”

    หานซานหู่ราวกับมิได้ยินคำพูดของนาง มันเพียงมองดูเงาหลังของถงจิ้ง

    บทสนทนาของเหลยจิ่วตี้กับถงจิ้งก่อนหน้ามันล้วนลอบฟังอยู่นอกห้องฝึกทักษะ

    หานซานหู่เดิมทีเพียงอยากไปทักทายอาจารย์ แต่ตอนอยู่บนเฉลียงทางเดินนอกห้องกลับได้ยินถงจิ้งกำลังพูดคุยอยู่ด้านใน มันแปลกใจว่าคนทั้งสองมีหัวข้อสนทนาอะไร แม้รู้ว่าความตื่นตัวของอาจารย์ฉับไวอย่างยิ่งแต่ยังคงเสี่ยงเข้าใกล้ประตูห้องเพื่อลอบฟัง

    ผลสุดท้ายกลับได้ยินคำพูดเช่นนี้ของอาจารย์ หัวใจของมันพลันเย็นเยียบ

    หนึ่งปีก่อนขณะออกจากซานตง เหลยจิ่วตี้เคยกล่าวกับมันเช่นนี้ด้วยตนเอง

    ‘…ซานหู่ เจ้าสำนักมี่จงในภายหน้าคือเจ้า’

    แต่ในวันนี้ ตนเองในสายตาอาจารย์กลับมิสู้นางหนูที่เดิมเป็นศัตรูผู้นี้

    มันถึงขั้นมิได้สังเกตเห็นว่าข้าอยู่ด้านนอก…เห็นได้ว่ามันให้ความสำคัญกับนางหนูผู้นี้เพียงไร

    แม้กระทั่งความแค้นของศิษย์พี่ต่งก็ละเลยได้ พวกเราในสายตามันนับเป็นอะไรกันแน่…

    ยามนี้ศิษย์น้องที่อยู่ในอ้อมกอดมันดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ขณะกำลังมองเงาหลังถงจิ้ง หานซานหู่บีบคอหอยของศิษย์น้องโดยไม่รู้ตัว พลังนั้นมากจนนางร้องออกมามิได้แม้แต่คำเดียว

    ติดตามอาจารย์ฝึกปรือพลังเทพก็ทำให้สติสัมปชัญญะของมันสูญเสียการควบคุมได้ง่ายเช่นกัน

    หานซานหู่ปล่อยมือออก ศิษย์น้องผู้นั้นดิ้นหลุดออกจากอ้อมกอดมันอย่างตื่นกลัว ลูบลำคอที่เจ็บปวดพลางมองมันแวบหนึ่งแล้ววิ่งหนีไปทันที

    หานซานหู่มิได้สนใจนาง มันยังคงมองดูทิศทางที่ถงจิ้งหายลับไป

    …ต้องทำลายเจ้า

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook