เพลงกลอนคลั่งยุทธ์
ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 15 บทที่ 2
บทที่ 2
ก้นหอยภูผา
เข้าสู่ขุนเขาเป็นวันที่สี่สิบเจ็ดแล้ว เยียนเหิงยังคงเสาะหาร่องรอยของมันอยู่
เยียนเหิงนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ไม่รู้อายุกี่ปีต้นหนึ่ง ถูกรากไม้แข็งหนาที่ซอกซอนโอบล้อม บนพื้นรอบกายทั้งหมดเป็นใบไม้ร่วงที่เน่าเปื่อยหลังฝนตก ถ่ายทอดกลิ่นจำเพาะที่ชวนให้เซื่องซึมมาเป็นระยะ
เยียนเหิงหายใจรับอากาศนั้นโดยไม่สนใจกลิ่นแม้แต่น้อย ลมหายใจของมันราบเรียบและยาวนาน เฉกเช่นเสากระบี่ซุ่มซ่อนของสำนักชิงเฉิงที่ฝึกปรือยามปกติไม่ผิด
กิ่งไม้หยาบหนาสองกิ่งหนึ่งสั้นหนึ่งยาววางราบอยู่บนตัก ขยับขึ้นลงเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของท้องมัน หากมีคนเดินผ่านเขาลึกแห่งนี้ก็คงยากที่จะจำแนกเงาร่างของเยียนเหิงออก ชุดคลุมสีน้ำเงินแต่เดิมของมันมอมแมมและสีซีดนานแล้ว ดุจดั่งหลอมกลืนเป็นผืนเดียวกับป่าเขาโดยรอบ ผมยาวเปียกโชกมิได้เกล้ามวยแผ่กระจายอยู่ที่ไหล่ทั้งสองและบนแผ่นหลังอย่างยุ่งเหยิง เส้นผมที่มิได้ทำความสะอาดเนิ่นนานพันกันจนเหมือนกอหญ้ารกชัฏ ใบหน้าสกปรกเลอะเปื้อนและดูเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย แก้มซูบตอบเผยโครงลึกชัด รองเท้าผ้าที่ใส่จนขาดหลุดหายไปแล้ว เท้าเปล่าทั้งสองทั้งหมดเป็นหนังด้านที่เกิดจากการเสียดสีด้วยก้อนหินและต้นไม้ หนังแข็งนั้นถูกย้อมจนดำและเหลือง เหมือนกรงเล็บของสัตว์ป่าคู่หนึ่งก็มิปาน
ทั้งหมดนี้เยียนเหิงล้วนไม่รู้สึกรังเกียจ กลับกันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของป่าเขาคือสิ่งที่มันปรารถนา
ขณะแรกเข้าขุนเขา ทุกวันทุกคืนเยียนเหิงล้วนทรมานกับสัตว์เลื้อยคลานในป่า แต่บัดนี้แม้มดหนอนปีนเข้าปีนออกในเสื้อผ้ามันก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ร่างยังคงไม่ขยับเขยื้อนเสมือนนั่งกรรมฐาน มีเพียงดวงตาสุกสกาวทั้งสองที่ยังคงเปิดอยู่กวาดมองแต่ละจุดของป่าช้าๆ อย่างระแวดระวังยิ่ง ประสาทสัมผัสของร่างกายก็เปิดออกทั้งหมดเช่นกัน
แม้ไม่เห็นมันหลายวันแล้ว แต่เยียนเหิงรู้ว่ามันยังอยู่ อีกทั้งต้องลอบสอดส่องตนเองอยู่ในที่ไม่ห่างไกลเป็นแน่
หากข้าเป็นมันก็จะไม่หนีไป…
เยียนเหิงคิดเช่นนี้ เขาลูกนี้คือบ้านของมัน มันคือราชาของที่นี่ พบกับผู้บุกรุกที่แปลกหน้าเช่นตน มันไม่มีทางมองข้ามอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงมัน ดวงตาของเยียนเหิงก็จุดประกายการเฝ้ารออันบ้าคลั่งขึ้น เยียนเหิงยังคงจำฉากที่พบพานกับมันครั้งแรกในวันนั้นได้ชัดเจน
นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันที่หกหลังเยียนเหิงเข้าสู่ขุนเขา เช้าตรู่ที่ไอหมอกยังไม่สลาย ขณะมันจะไปตักน้ำที่ลำธารก็พลันเหลือบเห็นเงาร่างขนาดใหญ่นั้นเดินผ่านระหว่างช่องว่างของต้นไม้หนาทึบกลางทางพอดี
ชั่วพริบตานั้นการหายใจของเยียนเหิงชะงักงัน
เยียนเหิงมองเห็นสิ่งมีชีวิตเช่นนี้เป็นครั้งแรก มันก้าวเดินไม่ช้าไม่เร็วและไม่มีท่าทางพิเศษอะไร ทว่ารูปร่างกับท่วงท่าก็เพียงพอที่จะสั่นคลอนจิตวิญญาณของเยียนเหิงได้แล้ว
จากนั้นมันก็หันหน้ามา ชั่วขณะอันแสนสั้น เยียนเหิงกับมันประสานสายตา ความดุดันที่หยั่งลึกในดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจเยียนเหิงสั่นไหว
จากนั้นมันหายวับไปในป่า เยียนเหิงเพียงอ้ำอึ้งอยู่ที่เดิมทำอะไรมิได้ทั้งสิ้น
นับจากนั้นสี่สิบวัน ทุกวันเยียนเหิงล้วนกลับมายังป่าไม้ผืนนี้ เสาะหาร่องรอยของมันอย่างไม่ย่อท้อ แต่อย่างไรก็มิได้พบเจออีก
ข้าจะรอ ต้องพบมันอีกเป็นแน่ หาไม่จะไม่ออกจากเขาเด็ดขาด
ขณะหวนนึกถึงแววตาของมัน สัญชาตญาณป้องกันตัวในใจของเยียนเหิงพลันตื่นตัว มือขวาวางบนกิ่งไม้ยาวบนตักอย่างรวดเร็ว ความปรารถนาต่อสู้ในร่างถูกปล่อยออก ฝูงนกที่หยุดพักบนต้นไม้เหนือศีรษะตกใจในทันใด ต่างกระพือปีกหนีไปยังขอบฟ้านอกป่าพร้อมกัน เสียงตีปีกกับเสียงร้องดังก้องในขุนเขาไม่ขาดสาย
กว่าเยียนเหิงจะสังเกตเห็นว่าตนเองสูญเสียการควบคุมก็สายเกินไปแล้ว มันคลายนิ้วมือจากกิ่งไม้ช้าๆ รวบรวมสมาธิใหม่อีกครั้ง เมื่อครู่อีกฝ่ายเองก็คงรู้สึกได้แล้วเป็นแน่ ไอสังหารแผ่ออกเช่นนี้ หากเข้าใกล้อีกก็ยิ่งลำบาก
การฝึกปรือของข้ายังไม่พอ…
ชีวิตในป่าเขาหลายวันของเยียนเหิงทำให้มันเข้าใจว่าสำหรับสรรพชีวิตที่นี่แล้ว ตัวเยียนเหิงสะดุดตาเฉกเช่นคบเพลิงในความมืดมิด หากต้องการจะพบเจอเจ้านั่นอีกครั้ง หรือว่าทำให้มันปรากฏกายตรงหน้าโดยมิได้ตั้งใจ หนทางเพียงหนึ่งเดียวคือทำตนเองให้กลมกลืนกับป่าเขา
เมื่อเผลอสูญเสียการควบคุม เยียนเหิงก็รู้ว่าวันนี้เหนื่อยเปล่าอีกแล้ว มันกลับไปยังป่าหน้าถ้ำซึ่งมีที่ว่างหร็อมแหร็มผืนหนึ่ง เยียนเหิงไม่รู้ว่าที่นี่แต่ก่อนเคยถูกสัตว์ร้ายอะไรรุกล้ำหรือไม่ มันใช้ก้อนหินและกิ่งไม้ที่เหลาจนแหลมสร้างฉากกำบังสูงเท่าอกขึ้นตรงปากถ้ำเพื่อป้องกันสัตว์ป่าบุกเข้าไปก่อกวนขณะตนเองไม่อยู่
เยียนเหิงกระโดดข้ามฉากกำบังอย่างเบาหวิว ตั้งแต่เข้าสู่ขุนเขาจนบัดนี้มันผอมลงกว่าก่อนหน้าหลายชั่ง เยียนเหิงจุดไฟอย่างชำนาญในถ้ำ หลังจากคบเพลิงลุกโชนจึงเดินเข้าไปส่วนลึกของถ้ำ
หลังกองฟืนลุกไหม้ ทุกสิ่งในถ้ำจึงปรากฏความชัดเจน แม้ปากถ้ำจะคับแคบ แต่ในส่วนลึกกลับค่อนข้างกว้างขวาง ผนังถ้ำสูงสองสามจั้ง ด้านบนมีปากถ้ำเหมือนช่องหลังคาสองแห่ง ทำให้ในถ้ำไม่รู้สึกมืดหม่น เพียงแต่ขณะฝนตกพื้นดินในถ้ำจะเปลี่ยนเป็นทะเลสาบโคลนเล็กๆ ยามนั้นเยียนเหิงจำต้องนอนอยู่บนก้อนหิน
ของใช้ในถ้ำเรียบง่ายอย่างยิ่ง นอกจากหม้อกระเบื้องใบหนึ่งที่ห้อยอยู่เหนือกองไฟ เครื่องใช้ใบมีดจำนวนหนึ่งที่กองอยู่บนหินข้างถ้ำ ห่อผ้าหลายใบที่ใส่อาหารที่รวบรวมมา ถุงหนังใส่น้ำดื่ม นอกนั้นก็ไม่มีสิ่งของอะไรอีก แม้แต่เสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนก็ไม่มีสักตัว
แม้ก่อไฟแล้วแต่เยียนเหิงกลับไม่มีกะจิตกะใจหุงหาอาหาร มันสนใจเพียงผลไม้ป่าจำนวนหนึ่งที่เด็ดมาเมื่อวาน และเนื้อกระต่ายป่าหลายชิ้นที่ตากลมจนแห้ง เยียนเหิงนำมันล้างน้ำแล้วรีบกินไปให้อิ่มท้อง
หลังกินเสร็จมันเงยหน้ามองดูโพรงด้านบน เห็นเพียงท้องฟ้ามืดแล้ว เยียนเหิงนั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ลุกไหม้ จ้องมองเปลวไฟวูบไหวและสะเก็ดไฟที่บังเอิญแตกออกมาจากไม้ฟืนอย่างเหม่อลอย นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ
…แน่นอนว่าไม่เอ่ยคำ ตอนนี้มันยังจะกล่าวคำกับใครได้
เยียนเหิงมองดูแสงไฟพลางหวนระลึกว่าตนเองกล่าวคำกับผู้อื่นครั้งสุดท้ายเมื่อใด นั่นจำได้ง่ายยิ่งนัก เป็นตอนที่มันออกจากหมู่บ้าน ถงจิ้งใช้สายตาอาลัยอาวรณ์มองมา มันคลายมือนางที่จับตนเองแน่นออกเบาๆ และก้าวเข้าสู่เส้นทางเขา จากนั้นหันหน้ากล่าว ‘ข้าจะรีบกลับมา’
เมื่อนึกถึงถงจิ้ง นึกถึงหมู่บ้านนั้น โลกของมวลมนุษย์…เยียนเหิงก็กัดริมฝีปากล่างแน่น ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย คิดถึงเหลือเกิน มันอยากกล่าวคำกับผู้คน ผู้ใดก็ได้ ต่อให้เป็นชาวบ้านที่ไม่รู้จัก กล่าวประโยคเดียวก็ได้…
เมื่อสองเดือนก่อน เยียนเหิงบังเกิดความคิดเข้าสู่ภูเขาลึกเพื่อฝึกปรือตามลำพัง สิ่งที่ทำให้มันเกิดความคิดนี้คือประโยคที่ได้ยินชาวบ้านคุยเล่นกันโดยไม่เจตนาว่า ‘ทางเหนือของเขาไห่หยางมีเสือ’
สถานที่ที่เยียนเหิงได้ยินคำพูดประโยคนั้นคือเขตภูเขาไกลโพ้นเมืองกุ้ยหลินแห่งก่วงซี ในหมู่บ้านที่กระจายเต็มไปด้วยนาขั้นบันไดแห่งหนึ่ง
เพราะเหตุใดจึงมายังสถานที่ประเภทนี้ ต้องย้อนไปถึงศึกตัดสินเซียงถานสองปีก่อน จิงเลี่ยสังหารเหลยจิ่วตี้เทพท่องเร้นเมฆาเจ้าสำนักมี่จงบนเวทีประลองริมแม่น้ำเซียงเจียงต่อหน้าดวงตาสองพันคู่ในชั่วดาบเดียว จิงเลี่ยไต่เต้าอยู่ในระดับยอดฝีมือในปัจจุบันแล้ว สมญานามกึกก้องยุทธภพใต้หล้า ความยิ่งใหญ่ของชัยชนะที่สั่นสะเทือนเป็นรองเรื่องสำนักอู่ตังล่มสลายเพียงเล็กน้อย
ความจริงจิงเลี่ยกับหกกระบี่บ้านแตกถูกประกาศิตนักสู้หลวงของราชสำนักระดมพลนักสู้ในใต้หล้าจับกุมจนกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้ว การตายของเหลยจิ่วตี้ยิ่งทำให้พวกมันไม่มีที่ให้หลบซ่อน
สองปีนี้เรียกได้ว่าเป็นฤดูหนาวของยุทธภพ สำนักอู่ตังถูกค่ายพลเสินจีแห่งราชองครักษ์ทำลายล้าง แต่ละสำนักแม้เคราะห์ดีได้ปลดภัยคุกคามจากสำนักอู่ตังแล้ว แต่ขณะเดียวกันได้เห็นราชสำนักใช้วิธีการทรงอานุภาพทำลายสำนักในขุนเขาเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกหนาวใจอย่างยิ่ง ความมุ่งหวังต่อป้ายเหล็กชุมนุมนักสู้จงหย่งที่ราชสำนักปล่อยออกมาก่อนหน้าพลันดับมอดลงทันที มองออกว่าประกาศิตนักสู้หลวงนี้ความจริงเป็นเพียงเครื่องพันธนาการชุดหนึ่งที่ใช้ควบคุมคนในยุทธภพ
แม้แต่ละสำนักในยุทธภพจะไม่กระตือรือร้นที่จะไล่ล่าหกกระบี่บ้านแตกอีกต่อไป แต่อีกด้านหนึ่งพวกจิงเลี่ยยังคงต้องหลบหลีกการจับกุมของราชสำนัก โดยเฉพาะหลังศึกอู่ตัง หน่วยองครักษ์ลับแห่งราชสำนักยังคงตามจับ ‘กบฏ’ ที่หลงเหลือของสำนักอู่ตังอย่างสุดกำลัง กวาดล้างหูตาที่กระจายอยู่ตามแต่ละมณฑลในแผ่นดิน อีกทั้งจับตัวสอบปากคำอย่างโจ่งแจ้ง ผู้ที่ท่องยุทธภพทั้งหมดขอเพียงมีร่องรอยเหมือนผู้ฝึกยุทธ์เล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นนักสู้ที่เชี่ยวชาญวรยุทธ์จากสำนักต้นตำรับจริง หรือเป็นคนแสดงวิทยายุทธ์ตามหัวถนนที่ชาญชำนาญ ถึงขั้นเป็นนักพรตพเนจรล้วนถูกหน่วยองครักษ์ลับเห็นเป็นผู้ต้องสงสัยได้ทุกเมื่อ นักสู้บริสุทธิ์นับร้อยในแต่ละพื้นที่ต้องตายตกภายใต้การทรมานอย่างโหดร้ายของคุกมืด และก่อให้เกิดการต่อสู้ขัดขืนการจับกุมหลายสิบคดี ส่งผลให้องครักษ์เสื้อแพรบาดเจ็บล้มตายเช่นเดียวกัน ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับทางราชสำนัก คนในสำนักยุทธภพแต่ละพื้นที่จึงมิกล้าออกจากที่มั่นไปไกล
หกกระบี่บ้านแตกหาได้กลัวการเป็นศัตรูกับหน่วยองครักษ์ลับแห่งราชสำนักหรือทางการท้องถิ่นไม่ สิ่งที่พะวงอย่างแท้จริงคืออาจพัวพันกับสหายที่รับอุปการะพวกมัน…อย่างไรผู้อื่นก็เทียบมิได้กับพวกมันที่ผาดโผนยุทธภพ ทุกคนต่างมีกิจการครอบครัวของตนเอง พวกมันรู้ว่าต้องไปจากเซียงถานจึงรีบกราบลาคนสำนักกระบี่เซียงหลง อิ่นอิงเฟิงเจ้าสำนักปากว้า และสหายร่วมทางสำนักอื่นเพื่อไปให้ไกลจากที่นั่น
เพียงแต่คืนที่จากมาพวกมันยังต้องกระทำเรื่องมงคลเรื่องหนึ่ง พิธีสมรสของผางเทียนซุ่นมือกระบี่เซียงหลงกับสิงอิงจอมยุทธ์หญิงสำนักคงถง
ท่ามกลางความวุ่นวายอันหฤโหดยังสำเร็จบุพเพสันนิวาสอันประเสริฐนี้ กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้พวกมันเบาใจที่สุด คนทั้งสองเร่งให้งานสมรสเสร็จสิ้นและทุกสิ่งเรียบร้อยก่อนที่หกกระบี่บ้านแตกจะจากไป เพราะหวังว่าจะให้เลี่ยนเฟยหงเป็นประธานแต่งศิษย์ออกไปด้วยตัวเอง
หลังวันมงคลสมรส สิงอิงมอบมีดบินและเชือกตะขอสำนักคงถงที่ตนเองชอบใช้ให้ถงจิ้งก่อนจากลา
‘ศิษย์น้องถง’ สิงอิงดึงถงจิ้งพลางกล่าวคำ ดวงตากลับมองเลี่ยนเฟยหงอาจารย์ผู้มีพระคุณอย่างไม่ละสายตา ‘เจ้าต้องดูแลเด็กดื้อชราผู้นี้ให้ดีๆ อย่าให้มันก่อเรื่องอีก’
หลังเลี่ยนเฟยหงถูกเหลยจิ่วตี้ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แม้ร่างกายกับปณิธานต่อสู้ล้วนฟื้นฟูได้มากแล้ว แต่อย่างไรก็มิได้กลับสู่ภาวะสมบูรณ์ สิงอิงจึงค่อนข้างเป็นห่วง หลังการแยกจากนี้ศิษย์อาจารย์ทั้งสองก็ไม่รู้จะได้รวมตัวกันอีกเมื่อใด
แม้ถงจิ้งไม่เคยเรียกเลี่ยนเฟยหงว่า ‘อาจารย์’ อย่างเป็นทางการ แต่หาได้ปฏิเสธต่อคำพูด ‘ศิษย์พี่’ ผู้นี้ไม่ นางกุมมือของสิงอิงแน่นพลางพยักหน้า
ก็เป็นเช่นนี้ หกกระบี่บ้านแตกกลับสู่ชีวิตร่อนเร่สุดหล้าอีกครั้ง ไม่มีการดูแลจากสำนักกระบี่เซียงหลง ไม่มีเตียงสูงหมอนนุ่ม ข้าวปลาอาหารมาถึงปากยามอยู่บ้านพักที่เซียงถาน ไม่มีการรักษาอย่างสุดความสามารถของเหยียนโหย่วฝอหมอเทวดา…แต่พวกมันทั้งหกหาได้อาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งเหล่านี้ไม่ และไม่เคยทุกข์ใจต่อภายภาคหน้า
ชีวิตที่สุขสบายทั้งหมดนี้เดิมทีก็มิใช่สิ่งที่พวกมันแสวงหา…หาไม่ในตอนแรกติดตามหลี่จวินหยวนพึ่งใบบุญตำหนักหนิงอ๋องแห่งหนานชางก็ได้แล้ว
อนึ่งพวกพ้องที่ร่วมเป็นร่วมตายเช่นพวกมันทั้งหกได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง นี่ก็เพียงพอแล้ว
ฟ้าดินกว้างใหญ่ ทุกแห่งกลับเป็นแหตาข่าย หกกระบี่บ้านแตกผ่านการพเนจรไปมารอบหนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจลงใต้
ดังเช่นขณะถูกทางการเจียงซีออกหมายจับก่อนหน้านี้ หกกระบี่บ้านแตกหลีกเลี่ยงทางหลวงกับเมืองใหญ่ตลอดทาง ระหว่างทางค้างแรมกลางแจ้งหรืออาศัยหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ เมืองใหญ่แต่ละแห่งคนมากวุ่นวาย หูตาเส้นสายของหน่วยองครักษ์ลับก็ต้องมากเป็นแน่ ด้วยบุคลิกลักษณะภายนอกของพวกมัน ไม่ว่าจะแต่งกายเช่นไร อยู่ในเมืองก็สะดุดตาเป็นพิเศษ ยากที่จะหลบหนีอย่างยิ่งจึงต้องใช้วิธีนี้
คนทั้งหกใช้เวลาหลายเดือนเลือกเส้นทางลงใต้ไปยังเมืองเหิงโจว ค่อยมุ่งสู่ตะวันตกเข้าเมืองหย่งโจว บรรลุถึงเขาจิ่วอี๋
หกกระบี่บ้านแตกเข้าสู่เขตภูเขาได้ก็โล่งอกทันที เพราะชนเผ่าต่างถิ่นทางใต้ที่อยู่ร่วมกันในเขตนี้มีจำนวนมากอย่างยิ่ง บุคลิกไม่เหมือนชาวฮั่นที่จงหยวน หกกระบี่บ้านแตกแฝงอยู่ภายในก็ไม่เตะตาสักนิด
…ดูเหมือนการตัดสินใจลงใต้จะถูกต้อง
‘พวกเราถือโอกาสเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ!’ ขณะหยวนซิ่งเสนอความคิดเห็นได้คว้าผ้าโพกศีรษะสีสันแพรวพราวของเด็กเผ่าจ้วงในเขตภูเขาข้างกายขึ้นมาสวมบนศีรษะที่ผมสั้นขึ้นประปรายของตนเอง ทันใดนั้นก็ไม่เหมือนหลวงจีนอีกต่อไป เด็กผู้นั้นหน้าแดงพลางชกท้องหยวนซิ่งหนึ่งหมัด หยวนซิ่งกลับเพียงหัวเราะพลางจับศีรษะของเด็กเอาไว้ สหายต่างก็หัวเราะ
คนทั้งหกซื้อเสื้อผ้าจากชาวเผ่าจ้วงมาผลัดเปลี่ยน ซ้ำยังจับจ่ายสินค้าจำพวกสิ่งทอ แต่งกายเป็นพ่อค้าเร่ชาวจ้วงกลุ่มหนึ่ง มองไม่ออกว่าเป็นนักสู้จงหยวนแม้แต่น้อยดังคาด กระทั่งหู่หลิงหลันผู้ไม่ชำนาญภาษาฮั่นแต่เดิมก็ยังต้องเสแสร้งแกล้งทำอีกชั้นหนึ่ง
คนทั้งหกผ่านด่านหลงหู่ ออกจากเขตแดนหูก่วง เข้าสู่ก่วงซี
นับจากนั้นหนึ่งปี หกกระบี่บ้านแตกล้วนใช้ชีวิตอยู่ที่ก่วงซี เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือเช่นกุ้ยหลิน หลิ่วโจว
ก่วงซีใกล้กับดินแดนชนเผ่าป่าเถื่อนทางใต้ เรียกได้ว่าเป็นถิ่นทุรกันดารอันไกลโพ้นที่ใช้เนรเทศนักโทษตั้งแต่โบราณ ชาวฮั่นในพื้นที่อยู่ปนกับชนต่างเผ่าชาวจ้วง บ่มเพาะวิถีดำเนินชีวิตจนคุ้นเคย แต่เจ้าหน้าที่ชาวฮั่นที่ถูกย้ายมาประจำการที่นี่ล้วนเห็นเป็นดินแดนอันน่ากลัว
สำหรับหกกระบี่บ้านแตกแล้วการลงใต้เข้าสู่ก่วงซีกลับเป็นเหมือนปลากระโดดลงน้ำ พวกมันปรับตัวได้จนมีความสุขอย่างยิ่งและรู้สึกได้รับอิสรภาพอีกครั้ง ก่วงซีห่างไกลจากราชสำนักจงหยวน ภายในเขตแดนไม่มีสำนักใหญ่เลื่องชื่ออะไร ประกาศิตนักสู้หลวงที่เมืองหลวงบัญชามาไม่เคยถ่ายทอดถึงที่นี่ ขุนนางปกครองในพื้นที่เพียงได้ยินความเคลื่อนไหวนี้ของราชสำนักพอสังเขป เนื่องจากเส้นทางอันลำเค็ญ กำลังของหน่วยองครักษ์ลับจึงไม่ยินยอมตามจับมาถึงที่นี่ อนึ่งสถานที่ประเภทนี้เดิมทีทุกแห่งเต็มไปด้วยผู้เหี้ยมเกรียม จะจับกุมก็จับกุมมิได้ หกกระบี่บ้านแตกอยู่ที่เขตภูเขาก่วงซี ไม่มีทางการหรือสำนักปรปักษ์ควบคุมและคุกคามอีก ปลดเปลื้องเครื่องผูกมัดอันหนักอึ้งในอดีตรวดเดียว
ในขณะเดียวกันหกกระบี่บ้านแตกก็ชื่นชอบชีวิตความเป็นอยู่และบุคคลที่นี่เข้าแล้ว คนท้องถิ่นโดยเฉพาะชาวเผ่าจ้วงที่มีอุปนิสัยห้าวหาญตรงไปตรงมา ค่อนข้างใกล้เคียงกับนักสู้ พวกจิงเลี่ยคบหาสหายไม่น้อยบริเวณที่ไปถึง คนท้องถิ่นเห็นผู้มาเยือนที่รูปโฉมประหลาดพกอาวุธหลากประเภทหกคนนี้ก็มิได้ตื่นตระหนก ต่างคบค้าสมาคมกันอย่างจริงใจ
หมู่บ้านและชนเผ่าชาวจ้วงในพื้นที่มีบ้างที่ไม่รู้จักการโต้เถียง จึงพัฒนาเป็นการต่อสู้ได้ง่ายดาย บางครั้งเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยก็สามารถบ่มเพาะเป็นศึกเลือดร้อยคน กอปรกับภูมิทัศน์ก่วงซีที่มืดลึกลดเลี้ยว ง่ายต่อการหลบซ่อนของโจรผู้ร้าย การปล้นชิงจึงเกิดขึ้นถี่อย่างยิ่ง หกกระบี่บ้านแตกเคยลงมือหลายครั้งระหว่างทางฝึกปรือ ปราบปรามและไกล่เกลี่ยการต่อสู้ อีกทั้งช่วยชาวบ้านกำจัดโจรสิบกว่าครั้ง
หกกระบี่บ้านแตกวิทยายุทธ์ไม่ธรรมดา ประสบการณ์การต่อสู้เป็นตายก็โชกโชน แม้กระทั่งคนท้องถิ่นที่กล้าหาญก็เคารพเลื่อมใสอย่างมาก ชาวจ้วงในเขตภูเขายังใช้ภาษาท้องถิ่นเรียกขานพวกมันเป็น ‘พยัคฆ์ทั้งหก’
ภูมิทัศน์อันตรายของก่วงซีในสายตาหกกระบี่บ้านแตกกลายเป็นการฝึกฝนอีกประเภทหนึ่งนอกจากต่อสู้กับผู้อื่น สำหรับหกกระบี่บ้านแตกแล้ว สถานที่แห่งนี้คือลานฝึกปรือใหญ่ที่ฟ้าประทานโดยแท้จริง
ทว่าหลังออกจากจงหยวน เยียนเหิงกลับค่อยๆ รู้สึกงุนงง
นับจากก้าวบนเส้นทางฝึกปรือแก้แค้น เยียนเหิงเฝ้ารอประลองกับอู่ตังทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกครั้งที่ฝึกกระบี่มันล้วนประเมินในใจว่ากำลังของตนเองห่างกับยอดฝีมือสายพลอีกาแห่งอู่ตังที่ขึ้นเขาชิงเฉิงในวันนั้นมากเท่าใดกันแน่
แต่มันยังไม่เคยเอาชนะยอดฝีมืออู่ตังแม้แต่คนเดียว อู่ตังก็สูญสิ้นไปแล้ว
ความว่างเปล่านี้ต่อให้ฝึกฝนและต่อสู้มากขึ้นอีกเท่าใดก็ยากที่จะเติมเต็ม
มันถึงขั้นค่อยๆ รู้สึกว่าหนึ่งปีมานี้เพลงกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียของตนเองถดถอยลง คมกระบี่หนึ่งสั้นหนึ่งยาวคู่นั้นคล้ายไม่รู้ควรแทงไปยังที่ใดอีก
มันครุ่นคิดมานานแล้วจึงตัดสินใจไปถามพี่จิง ความแค้นและความยึดมั่นของมันกับจิงเลี่ยฝังลึกที่สุดในหกกระบี่บ้านแตก พี่จิงคงเข้าใจ
แต่จิงเลี่ยกลับปล่อยหัวเราะส่ายหน้า
‘จะเป็นไปได้อย่างไร กระบี่ของเจ้ามิได้ถดถอย! อย่างน้อยขณะข้าฝึกฝนกับเจ้าก็ไม่รู้สึกเช่นนั้น’
แต่เยียนเหิงฟังออกว่าในคำพูดของจิงเลี่ยมีการเก็บงำอยู่บ้าง มันเพียงบอกว่า ‘มิได้ถดถอย’ แต่มิใช่ ‘ก้าวหน้าขึ้นมาก’ สำหรับเยียนเหิงที่อุทิศตนให้วิชากระบี่หากไม่มีความก้าวหน้านั่นเท่ากับล้าหลัง
หากคนของสำนักอู่ตังไม่ตายล่ะก็ พวกมันต้องมิได้ว่างเว้นเป็นแน่
‘ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่’ จิงเลี่ยกล่าวอีก ‘เจ้ากำลังคิดถึงอู่ตัง’
เยียนเหิงพยักหน้า
‘เหยาเหลียนโจว เยี่ยเฉินยวน ซีเสี่ยวเหยียน…’ จิงเลี่ยทอดมองขุนเขานอกหน้าต่างบ้านดินเผาขณะกล่าว ‘พวกมันจะเป็นหรือตาย ข้าเองก็มิกล้ากล่าว ตัวข้าเองอยู่ที่แคว้นหมานแห่งหนานไห่เคยเปิดหูเปิดตาอานุภาพของอาวุธปืนกับตาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่วรยุทธ์ร้ายกาจเพียงไร เผชิญหน้าปากกระบอกปืนเหล่านั้นก็ต้องพึ่งพาโชคชะตา…’
ขณะเยียนเหิงฟังก็นึกถึงแผลที่ถูกอาวุธปืนของชาวฝอหล่างจีที่พี่จิงเคยเปิดเผยต่อมัน
‘แต่ข้าไม่ยอมรับว่าพวกมันจะตายเช่นนี้ ยอดฝีมือหายากเช่นพวกมันไม่ควรสูญสลายไปในสงครามที่ไม่มีความหมายเช่นนี้ ข้าเลือกเชื่อว่าพวกมันยังคงมีชีวิตอยู่’
เยียนเหิงฟังคำพูดนี้ของพี่จิงแล้วอดมิได้ที่จะอารมณ์ฮึกเหิมขึ้น
‘อีกทั้งอย่าลืมว่ายังมีจอมเวทปัวหลงผู้นั้น…กอปรกับศิษย์พี่ซางของมัน…’ จิงเลี่ยกำสองหมัดแน่นขณะกล่าว
ตามคำบอกเล่าของหู่หลิงหลัน กอปรกับบทสนทนาของจอมเวทปัวหลงและซีเสี่ยวเหยียนที่นางจดจำมากลั่นกรองได้ว่าบุรุษประหลาดที่ปรากฏตัวบนเขาอู่ตังผู้นั้นคงจะเป็นรองเจ้าสำนักคนที่สามของสำนักอู่ตังอย่างมิต้องสงสัย คนผู้นี้ยับยั้งหู่หลิงหลันได้ จิงเลี่ยประเมินว่าการฝึกปรือวรยุทธ์ของมันเหนือกว่าเยี่ยเฉินยวนและบรรลุถึงระดับเหยาเหลียนโจว
‘ยังมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่เบื้องหน้า พวกเราจะหยุดลงได้อย่างไร’ จิงเลี่ยตบหัวไหล่ของเยียนเหิงกล่าว
เมื่อได้รับกำลังใจจากจิงเลี่ย ความเหนื่อยหน่ายในใจเยียนเหิงก็คลี่คลายลงเล็กน้อย แต่อย่างไรสิ่งนี้ก็กำจัดความรู้สึกที่วิชากระบี่ของมันเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวมิได้
มันจึงลองไปเดินเล่นในภูเขา แสงแดดทอประกายสาดส่องนาขั้นบันไดสีเหลืองทองที่กำลังเริ่มการเก็บเกี่ยว ชาวนาที่ทำงานกำลังพักผ่อนในทุ่งนาพลางพูดคุยเรื่อยเปื่อย
ขณะเยียนเหิงเดินผ่านกลับได้ยินชาวนาคนหนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมา
‘ทางเหนือของเขาไห่หยางมีเสือ ได้ยินว่ากินคนที่ผ่านเส้นทางภูเขาไปหลายคนแล้ว’
‘เสือ’ คำนี้ดังก้องไม่หยุดอยู่ในหัวสมองเยียนเหิง พลันเหมือนมีอะไรทะลุผ่านในใจมันโดยฉับพลัน
มันหวนนึกถึงศึกของเหอจื้อเซิ่งผู้เป็นอาจารย์กับเยี่ยเฉินยวนในวันนั้นอีกครั้ง ภาพการประลองกระบี่ขั้นสุดยอดนี้มันเคยหวนรำลึกและศึกษาโดยละเอียดหลายพันครั้งแล้ว
ฉากหนึ่งในนั้น กระบวนท่าขณะเหอจื้อเซิ่งยกกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียขึ้น ความรุนแรงของวิชายืมภาวะในใจกลับส่งผลต่อผู้ชมรอบข้างจนพวกมันเองก็รับรู้ได้รางๆ
ตลอดมาวิชายืมภาวะคือส่วนหนึ่งของอุปสรรคที่ค่อนข้างใหญ่ที่เยียนเหิงประสบขณะฝึกฝนกระบี่พยัคฆ์มังกร มันเคยฝึกปรือวิชายืมภาวะขั้นพื้นฐานที่สุดเช่นเพลิงผลาญกายที่สำนักชิงเฉิง แต่หลายปีนี้ลองประยุกต์ใช้กับกระบี่พยัคฆ์มังกรมักรู้สึกไม่เหมือนในอุดมคติ
มันหวนรำลึกอย่างละเอียดหลายครั้งครา รู้ว่าสิ่งที่อาจารย์ ‘ยืม’ ในตอนนั้นคือ ‘ภาวะของพยัคฆ์และมังกร’
จะยืมภาวะก็ต้องจินตนาการ จินตนาการจะชัดเจนทางที่ดีก็ต้องเรียนรู้จากการปฏิบัติเอง
ข้าไม่อาจมองเห็นมังกร แต่ไปดูพยัคฆ์ได้…
ครู่ต่อมาเยียนเหิงก็ตัดสินใจได้แล้ว
หมู่นี้เยียนเหิงค้นพบเรื่องหนึ่ง ขอเพียงจ้องมองแสงไฟในถ้ำนานพอก็จะมองเห็นสิ่งต่างๆ จากในเปลวไฟนั้น
ครั้นความทรงจำที่พรากจากกับถงจิ้งผุดขึ้นมา ก็เหมือนเช่นกรงเล็บแหลมคมจิกหัวใจของมันไว้แนบแน่น ในแสงไฟตรงหน้าค่อยๆ ปรากฏท่วงท่าของถงจิ้ง
เปลวไฟที่ส่ายสะบัดไปมาราวกับแปรเป็นท่าทางงามสง่าที่ถงจิ้งกวัดแกว่งกระบี่ผึ้งผาด ตั้งแต่อำนาจที่จงใจกระทำ กระบวนท่ากระบี่จอมปลอมที่โอ้อวดขณะแรกพบที่ซื่อชวน จนบัดนี้ลดทอนท่าทางส่วนเกินและทักษะเรียบง่ายที่เคยชินแต่ละประเภทไปแล้ว…ถงจิ้งใช้เวลาสั้นเพียงนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เยียนเหิงภูมิใจในตัวนางอย่างแท้จริง
มิเพียงเท่านี้ ในกระบี่ของถงจิ้งยังสั่งสมคุณสมบัติพิเศษที่ยากจะพรรณนา แม้ยังมิได้สำแดงออกอย่างแท้จริง แต่ทำให้ท่าทางของนางมีความงามจำเพาะเพิ่มขึ้นแล้ว…ท่วงท่างดงามนี้มีเพียงผู้คลั่งไคล้มรรคากระบี่เช่นเยียนเหิงจึงจะมองเห็น
จิ้ง…เจ้าสวยงามยิ่งนัก…
ภายใต้ความคิดที่ผุดขึ้น ถงจิ้งในเปลวไฟยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่ง เยียนเหิงรู้สึกเหมือนจะสัมผัสได้ด้วยมือ
กลิ่นผมของนาง ใบหน้าแดงซ่านของนาง มือน้อยๆ อันอบอุ่นนุ่มนวลของนาง ยังมีริมฝีปาก…
ความคิดถึงต่อถงจิ้งทำให้เยียนเหิงร้อนรุ่มไปทั้งตัว ความกลัดกลุ้มที่มิอาจบรรยายหลั่งไหลออกมาทำให้มันเหมือนใกล้จะบ้า
ลงเขา…ลงเขาไปหานางเถอะ…นางรอข้าอยู่…
เยียนเหิงปฏิเสธสุ้มเสียงในใจอย่างเฉียบขาด มันเปล่งเสียงคำรามคล้ายสัตว์คลั่งออกมาก้องกังวานในถ้ำ
มันจับเส้นผมแนบแน่น ดิ้นรนยืนขึ้น ออกแรงถอดชุดคลุมท่อนบนออกไป
เทียบกับขณะอยู่เซียงถานเมื่อสองปีก่อน รูปร่างของเยียนเหิงล่ำสันขึ้นมาก หัวไหล่แข็งหนาทั้งสองอันเป็นลักษณะเฉพาะของมือกระบี่ผึ่งผายออกสองข้างอย่างโค้งมน กล้ามเนื้อหลังอันกว้างหนาเหมือนปีกกางออก แม้ซูบผอมกว่าขณะเข้าเขาฝึกปรือ แต่นี่ยิ่งทำให้กล้ามเนื้อบนร่างมันกระชับ กอปรกับแสงไฟส่องสะท้อน เงาดำของลายกล้ามเนื้อยิ่งลึกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเยียนเหิงขณะนี้เหมือนเช่นงูเหลือมหยาบหนาหลายตัวขดรัดเป็นกอง
เค้าโครงเครื่องหน้าของเยียนเหิงก็ถูกแสงไฟสะท้อนจนลึกคล้ายผีเช่นเดียวกัน มันกัดฟันเอาไว้ ยังคงอยู่ในลักษณะเป็นทุกข์จนแทบจะบ้า มือหยิบกิ่งไม้สั้นยาวที่วางอยู่ในถ้ำขึ้นมาโดยพลัน ร่ายรำเพลงกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียขึ้นหน้าแสงไฟ
ยามนี้เพลงกระบี่ของเยียนเหิงสูญเสียความเยือกเย็นยามปกติ ลมหายใจแกร่งกร้าวระเบิดออก ทุกกระบวนล้วนฟันแทงออกด้วยพลังเต็มเปี่ยม ไอสังหารกระจายทั่วถ้ำ ปลายกิ่งไม้หยาบทั้งคู่ราวกับมีคมสังหารคนอันเฉียบคม
…นี่คือการระบายมากกว่าฝึกฝน
เยียนเหิงใช้กิ่งไม้สั้นยาวกวัดแกว่งสลับอยู่รอบกายไม่ขาดสาย ไม่รู้ว่าโจมตีออกกี่กระบี่แล้ว กระทั่งเริ่มหอบหายใจ แขนและฝ่ามือเริ่มชา กระบวนท่ากระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียจึงค่อยๆ ช้าลง ความเจ็บปวดของจิตใจสูญสลายไปแล้ว เยียนเหิงยืนลดแขนทั้งสองลง กิ่งไม้ไถลหล่นจากง่ามนิ้วลงสู่พื้น
มันก้มคุกเข่าอยู่เบื้องหน้ากองไฟ หอบหายใจเฮือกใหญ่ กระทั่งหายใจเป็นปกติขึ้นเล็กน้อยจึงเงยหน้าขึ้นมองดูแสงไฟและเงาที่สะท้อนบนผนังถ้ำ
ในสายตามัน ผนังหินนั้นค่อยๆ ปรากฏเงาคนสีขาวขึ้นเงาหนึ่ง เงาคนสูงใหญ่ยิ่งนักกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ แม้ล่องลอยบนผนังตามแสงเงา แต่กลับมีความรู้สึกหนักคล้ายร่างจริง
เยียนเหิงรู้ว่านั่นคือผู้ใด เพราะเหตุใดจึงปรากฏตัว
เริ่มตั้งแต่หลายวันก่อน ทุกคืนมันล้วนมองเห็นเงาคนนี้ จากเงาจางๆ กลุ่มหนึ่งที่เลื่อนลอยตอนแรกเริ่ม ต่อมาจึงเห็นท่วงท่ากับสีหน้าชัดเจน
จากนั้นพวกมันเริ่มสนทนา
‘เมื่อครู่นั่นนับเป็นเพลงกระบี่อะไรของเจ้า’ สุ้มเสียงนั้นน่าเกรงขาม กังวานและคุ้นเคย ทุกครั้งที่เยียนเหิงได้ยินล้วนมีอารมณ์ชั่ววูบอยากร่ำไห้ ‘ใช้มิได้ทั้งหมด’
เยียนเหิงคุกเข่าพลางก้มศีรษะสืบต่อ มิกล้ามองตรงไปยังเงาคนนั้น
‘อาจารย์…’
เหตุที่เยียนเหิงตัดสินใจเข้าสู่ขุนเขาเพื่อฝึกปรือ นอกจากเพื่อสังเกต ‘ภาวะพยัคฆ์’ แล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง ตอนที่มันอยู่สำนักชิงเฉิง เคยได้ยินหลี่ว์อีเว่ยอาจารย์อากล่าวว่าเหอจื้อเซิ่งผู้เป็นอาจารย์ขณะเยาว์วัยเคยทัศนาจรฝึกปรือภายนอกเพียงผู้เดียว และเคยบำเพ็ญตบะลำพังเช่นนี้ในถ้ำลึกปราศจากผู้คนนานเกินเจ็ดสิบวัน
การบำเพ็ญตบะประเภทนี้ที่สำนักชิงเฉิงเรียกมันว่า ‘ก้นหอยภูผา’ ก้นหอยหมายถึงลายหมุนเกลียวสู่ศูนย์กลางเหมือนหอยโข่ง แทนความหมายว่าต้องพิจารณาตนเองไปสู่ภายในท่ามกลางขุนเขาตามลำพัง แสวงหาวิธีทะลวงวิถียุทธ์
เยียนเหิงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับก้นหอยภูผาไม่น้อย รู้เพียงวิธีนี้ถูกลืมเลือนไปนานแล้ว ที่สำนักชิงเฉิงในร้อยปีที่ผ่านมามีเพียงเหอจื้อเซิ่งบำเพ็ญผู้เดียว นอกจากนี้ไม่มีผู้อื่นเคยลองอีก มันเองก็ไม่รู้ว่าก้นหอยภูผามีวิธีและการเตรียมการพิเศษอันใด เพียงมาตามความปรารถนา
ในเมื่อเป็นเรื่องที่อาจารย์เคยกระทำ ข้าเองก็จะกระทำ
เยียนเหิงคิดว่าตนเองฝึกปรือกับสหายร่วมสำนักจำนวนมากที่สำนักชิงเฉิงตั้งแต่เด็ก หลังชิงเฉิงดับสูญก็มีจิงเลี่ยเป็นสหายทันที นับจากนั้นพวกพ้องและสหายบนวิถียุทธ์ก็มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไรมามิได้มีเพียงชีวิตของตนเองผู้เดียว
ไม่แน่ว่านี่คือสาเหตุที่เพลงกระบี่ของข้ามิอาจก้าวหน้าอีกขั้น
บำเพ็ญก้นหอยภูผาผ่านไปหลายสิบวัน สิ่งที่ค้ำจุนมันให้ยืนหยัดมาตลอดนอกจากเสาะหาเสือก็คือเหอจื้อเซิ่งผู้เป็นอาจารย์
แต่มันไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าจะมองเห็นอาจารย์ได้จริงๆ
คำว่า ‘เกลียว’ ที่แท้น่ากลัวเพียงนี้…
‘นี่มิใช่กระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมีย’ เงาเหอจื้อเซิ่งบนผนังกล่าวคำอีก
เยียนเหิงยังมิได้วิปลาส มันกระจ่างยิ่งนักว่าการพูดคุยกับเงานั้นล้วนมาจากในใจตนเอง แต่มันก็เอ่ยปากตอบกลับอย่างมิอาจควบคุม
‘สิ่งที่ข้าเคยเรียนที่สำนักชิงเฉิงมีเพียงเท่านี้ เพลงกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียที่ข้าเคยเห็นอย่างแท้จริงก็มีเพียงครั้งนั้นที่ท่านตัดสินกับเยี่ยเฉินยวน’
‘ไม่ มิเพียงเท่านี้’ เหอจื้อเซิ่งชูมือขวาที่มีเพียงสี่นิ้วขึ้น กล่าวอย่างเฉียบขาด ‘สิ่งที่ข้าเคยสอนเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิดนัก เพียงแต่ตัวเจ้าเองลืมไปแล้ว’
เยียนเหิงคิดหนักถึงความหมายของคำพูดประโยคนี้ และเปลี่ยนจากท่าก้มคุกเข่าเป็นนั่งสมาธิ ผิวหนังบนร่างของมันแผ่ไอความร้อนที่เหลือหลังฝึกกระบี่เมื่อครู่
ในสี่ปีนี้ที่ออกจากเขาชิงเฉิง ในใจมันไม่เคยลืมมรรคากระบี่ฟื้นฟูชิงเฉิง ทุกวันล้วนหวนรำลึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ศึกษาวิทยายุทธ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์บนเขาชิงเฉิง โดยเฉพาะศึกสะท้านโลกหล้าของอาจารย์กับเยี่ยเฉินยวน
อาศัยการฝึกปรือลำพังอันเป็นประสบการณ์ใหม่ หลายสิบวันมานี้เยียนเหิงนำทุกสิ่งปรับเข้ากับความทรงจำของมรรคากระบี่ชิงเฉิงอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะทุกครั้งตอนที่เหอจื้อเซิ่งถ่ายทอดให้ด้วยตัวเอง
ในหกปีที่เขาชิงเฉิง วันเวลาส่วนมากของเยียนเหิงล้วนเป็นศิษย์พี่ซึ่งเป็นศิษย์สาวกสืบมรรคาขั้นสูงแต่ละท่านถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้ โอกาสที่อาจารย์เจ้าสำนักจะถ่ายทอดด้วยตัวเองน้อยอย่างยิ่ง มันรู้ว่านั่นเป็นเพราะตนเองยังไม่มีคุณสมบัติเข้าสู่โถงกุยหยวน เยียนเสี่ยวลิ่วในตอนนั้นมิได้ใจร้อนแม้แต่น้อย
มันคือนักเรียนที่รักษากฎระเบียบคนหนึ่ง มิได้ร้อนรนเช่นนั้นเหมือนโหวอิงจื้อ มันคิดเพียงว่าขอเพียงตนเองพยายามต่อไป โถงกุยหยวนกับอาจารย์ก็จะรอมันอยู่ตรงนั้น สำนักชิงเฉิงใช่ว่าจะหนีไปที่ใด…
ตอนนี้จึงรู้ว่าที่แท้สิ่งที่คิดว่าต้องดำรงอยู่ทุกอย่างหาได้รออยู่แน่นอนไม่
เยียนเหิงในบัดนี้มีเพียงยึดกุมสิ่งที่มีอยู่ในปีนั้นให้แน่น ที่ทำให้มันประหลาดใจคือสิ่งที่จำได้ในหัวสมองตนเองกลับมีมากกว่าที่คิด ก่อนหน้านี้มันไม่มีโอกาสจัดการอย่างจริงจัง แต่เมื่ออยู่คนเดียวในหุบเขาร้าง ความทรงจำขณะเรียนกระบี่ที่ไม่รู้ซ่อนไว้มุมใดบ้างมากมายล้วนปรากฏออกมาอย่างชัดเจนไร้เทียบเทียม
ราวกับขณะอยู่ลำพัง หัวใจของมันกลายเป็นกระจกใสบานหนึ่ง
ในความทรงจำมากมายล้วนมีเงาของโหวอิงจื้อสหายรัก แม้กระทั่งขั้นตอนฝึกกระบี่กึ่งเล่นกลางขุนเขาโดยพลการของคนทั้งสอง เยียนเหิงก็จำได้
ขณะนี้เสี่ยวอิงอยู่ที่ใด ในมือมันยังกุมกระบี่อยู่ไหม
เยียนเหิงรู้สึกว่าในตอนนั้นไม่มีเวลาดูแลอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเต็มที่ บัดนี้ทำได้เพียงพยายามหวนนึกถึงทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเหอจื้อเซิ่ง จากนั้นมันพบเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยสนใจมาก่อน คือทุกครั้งขณะที่มันกำลังเรียนเพลงกระบี่ชุดใหม่ ในช่วงนั้นอาจารย์มักสาธิตเพลงกระบี่ชุดนี้ต่อหน้าทุกคน อีกทั้งต้องร่ายรำสามครั้ง ตั้งแต่กระบี่เพลิงวายุจนถึงกระบี่ประชิดรวมหกชุด…ครั้งหนึ่งคือขณะเยียนเหิงเริ่มเรียน ครั้งหนึ่งคือขณะมันเพิ่งเรียนรู้ครบทุกชุด ครั้งที่สามคือก่อนที่มันจะเข้าร่วมงานประลองกระบี่ในสำนัก เหอจื้อเซิ่งก็จะหาคนผู้หนึ่งสาธิตกระบวนท่าแก้ ‘กระบี่ตามกระบวน’ ของคนสองคนชุดนั้น
ในปีนั้นเยียนเหิงมิได้สนใจสาเหตุ ยังสงสัยว่าไฉนอาจารย์ยังต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพลงกระบี่พื้นฐานเช่นนี้อีก ตอนนี้หลังร้อยเรียงความทรงจำในที่สุดมันก็พบว่าเป้าหมายในการสาธิตของอาจารย์ก็คือมัน
ครั้งแรกให้เยียนเหิงรับรู้ถึงรูปแบบกับท่วงท่าของเพลงกระบี่นั้น ครั้งที่สองให้มันเห็นชัดถนัดตาถึงท่าทางและเคล็ดลับการปล่อยพลังของเพลงกระบี่ทุกชุด ครั้งที่สามย่อมเป็นการประยุกต์ใช้ต่อสู้จริง
วิถีกับความเร็วของกระบี่เพลิงวายุ การประสานพลังของกระบี่วังวน ความอ่อนนุ่มเหนียวแน่นของกระบี่เมฆาวารี อำนาจกับการยืดหดของกระบี่ซุ่มซ่อน ความประณีตและรุนแรงของกระบี่คู่กระสวยกลม การไขว่คว้าชัยชนะท่ามกลางอันตรายใกล้ตัวของกระบี่ประชิด…ทุกครั้งขณะเหอจื้อเซิ่งสาธิตด้วยตัวเองล้วนแสดงออกมาจนถึงที่สุด และเยียนเหิงโชคดียิ่งนักที่ตนเองมีความทรงจำฝังลึกต่อภาพเหล่านั้น
การค้นพบนี้ยิ่งพิสูจน์ได้ถึงการคาดเดาก่อนหน้าของเยียนเหิง เคล็ดลับของเพลงกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียยอดวิชาสูงสุดของสำนักชิงเฉิง ความจริงซ่อนอยู่ในวิชากระบี่พื้นฐาน
น่าเสียดายที่สิ่งที่มันกับเหอจื้อเซิ่งร่ำเรียนวันยังค่ำก็มีเพียงเท่านี้ และลักษณะของกระบี่พยัคฆ์มังกรที่แท้จริงมันก็เคยเห็นเพียงผิวเผินในการต่อสู้ของอาจารย์กับเยี่ยเฉินยวน อย่างมากก็รวมกับคำบอกเล่าจากความทรงจำส่วนหนึ่งของเลี่ยนเฟยหง
ขณะนี้มันนั่งสมาธิถึงภาพมายาของอาจารย์ ครุ่นคิดพักหนึ่ง สุดท้ายยังคงก้มศีรษะลง
‘อาจารย์…มิได้ สิ่งที่ข้าเคยเรียนคิดไปคิดมาก็มีเท่านี้…ข้าใช้กระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียของท่านออกมามิได้’
‘ของข้า?’
เส้นผมและชุดคลุมขาวของภาพมายาเหอจื้อเซิ่งนั้นพลิ้วไหวเพราะความเดือดดาล รุนแรงเฉกเช่นเปลวไฟกองนั้นในถ้ำ
‘ใครบอกว่าเจ้าต้องใช้กระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียของข้าออกมา’
เยียนเหิงพอ ‘ได้ยิน’ คำพูดประโยคนี้ เหงื่อเย็นก็ผุดออกมาทั่วร่าง ในใจอันสับสนมีแสงดวงหนึ่งสว่างขึ้น
มิใช่กระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียของอาจารย์…มิใช่…
เยียนเหิงตกอยู่ในภวังค์ความคิดอันลุ่มลึก มันจำได้ถึงประสบการณ์ค้นพบสัจธรรมที่ใต้เท้าหวังเคยกล่าวขณะอยู่หลูหลิง แม้เยียนเหิงไม่ค่อยเข้าใจหลักปรัชญาที่ใต้เท้าหวังกล่าว แต่รู้ว่าขณะนี้ตนเองกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ใกล้เคียงกัน
ภายใต้ภาวะเข้าสู่สมาธิของเยียนเหิง มันหารู้สึกไม่ว่ากองไฟค่อยๆ อ่อนลงแล้ว ในถ้ำเย็นลงเรื่อยๆ ขณะนี้มันค้นหาแนวทางความคิด การเผาผลาญพลังกายที่เกิดขึ้นจากจิตใจโลดแล่นยามนี้ไม่น้อยไปกว่าการโจมตีด้วยกระบี่เมื่อครู่ ทั้งร่างยังคงเลือดร้อนพลุ่งพล่าน บนผิวหนังผุดเหงื่อบางๆ
มิใช่ของอาจารย์…มิใช่…
ของข้า…
กระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียของข้า…
เยียนเหิงรู้สึกเพียงกระจ่างแจ้งโดยพลัน สติปัญญาทั้งหมดกลับคืนสู่ความเป็นจริงในถ้ำจากความคิดอันลึกซึ้ง
มันเงยหน้าหมายถามเงาของอาจารย์บนผนังอีก กลับพบว่าแสงไฟอ่อนแรง ภาพมายาของเหอจื้อเซิ่งเลือนหายไปนานแล้ว
เยียนเหิงเติมฟืนให้กองไฟ สวมเสื้อท่อนบนกลับ เดินไปส่วนลึกของถ้ำอย่างแช่มช้า ก้อนหินใหญ่หลายก้อนที่กองอยู่บริเวณส่วนเว้าของผนังถ้ำ มันย้ายออกหลายก้อน หยิบห่อผ้ายาวอันหนึ่งและขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งออกมาจากในโพรงเว้านั้น
เยียนเหิงนั่งลงบนพื้น แก้ห่อผ้าออกมาอย่างระมัดระวัง ผ้าฝ้ายหนาห่อเอาไว้หลายชั้น สุดท้ายแก้ออกทั้งหมด เผยกระบี่คู่สั้นยาวหนามมังกรกับเจ้าพยัคฆ์ออกมา
เยียนเหิงใช้ผ้าเช็ดสองมืออย่างละเอียดจนสะอาด จึงหยิบหนามมังกรขึ้นชักออกจากฝัก คมกระบี่ส่องสะท้อนจนในถ้ำเป็นประกายสีทอง เสียงสั่นที่ออกจากฝักกำลังดังก้องอยู่ในบรรยากาศอันเงียบสงบ
เยียนเหิงใช้ผ้าขาวผืนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในห่อผ้าเช็ดถูคมของหนามมังกร หลังทำความสะอาดและพินิจซ้ำไปซ้ำมาค่อยใช้น้ำมันในขวดกระเบื้องเคลือบทาบางๆ อีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันสนิม หลังแน่ใจว่าทาทั่วแล้วจึงสอดคืนสู่ฝัก
มันยังทำความสะอาดเจ้าพยัคฆ์เช่นเดียวกันสืบต่อ สีหน้าของเยียนเหิงสงบยิ่งขึ้น มันอาศัยเวลานี้ขัดเกลาความคิดที่คิดได้เมื่อครู่ในใจ
ต้องทำอย่างไรจึงพบกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียของข้า…
อาจารย์ไม่อยู่ มิอาจชี้แนะมันได้อีก มันทำได้เพียงคิดด้วยตัวเอง
เยียนเหิงคิดว่าบนวิถียุทธ์ของทุกผู้คนล้วนมีด่านที่ต้องทะลวง ด่านของอาจารย์คืออะไร คือตอนที่สู้กับหมู่ผีชวนซีลำพัง สูญเสียนิ้วมือนิ้วหนึ่งไปหรือ หรือว่ามากกว่านั้น
มันหวนระลึกถึงตนเองในหลายปีนี้ ทุกครั้งที่วิชากระบี่ยกระดับล้วนเป็นเพราะเรื่องราวที่ต่างกัน ฝ่าออกจากพรรคหม่าไผ เผชิญหน้าเหยาเหลียนโจวกับสำนักอู่ตังที่หออิ๋งฮวา ต่อสู้ยามวิกาลกับจอมเวทปัวหลง ศึกวัดชิงเหลียน เอาชนะศิษย์สำนักมี่จงในป่า…
ก้นหอยภูผาในบัดนี้คืออีกช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหนึ่ง
การสนทนากับภาพมายาของอาจารย์ มันเองก็ย่อมกลัวว่าตนเองอยู่ลำพังนานเกินไป คิดถึงพวกพ้องและถงจิ้งเกินไปจนเริ่มบ้าเล็กน้อยแล้วหรือไม่ มันไม่รู้ รู้เพียงตนเองอยู่ในภาวะอันตรายเลือนรางระหว่างมายากับความเป็นจริง
แต่สิ่งที่มันแสวงหาคือวิชายืมภาวะ และตัววิชายืมภาวะคือจินตนาการระดับสูงประเภทหนึ่ง แตกต่างเพียงควบคุมได้หรือไม่ หากสูญเสียการควบคุมก็ธาตุไฟเข้าแทรกเช่นเหลยจิ่วตี้ หากควบคุมสำเร็จก็เริ่มก้าวเข้าสู่โลกที่ตนเองปรารถนา
จะทะลวงได้อย่างไร และจะเข้าใกล้เสือตัวนั้นได้อย่างไร…
มือที่เช็ดเจ้าพยัคฆ์ของเยียนเหิงพลันหยุดลง มันคิดได้อย่างหนึ่ง
ก้นหอยภูผา…ฝึกปรือในบริเวณที่ไม่มีคน สำหรับข้าแล้วคือสภาพแวดล้อมแปลกตาที่ไม่เคยพบมาก่อน
แต่มิเพียงเท่านี้…ยังมีสภาพแวดล้อมแห่งหนึ่งที่ข้าแปลกตายิ่งกว่า
การฝึกปรือโดยไร้กระบี่…
เยียนเหิงเช็ดเจ้าพยัคฆ์จนสะอาด หลังทาน้ำมันจึงสอดคืนสู่ฝัก ใช้ผ้าห่อหุ้มกระบี่คู่หลายชั้นอีกครั้ง ยกห่อผ้าขึ้นแนบบนหน้าผาก ในใจลอบอธิษฐานรอบหนึ่ง จากนั้นนำมันวางกลับในช่องเว้านั้นอย่างเคารพนบนอบ นำก้อนหินหน้าถ้ำปิดไว้อีกครั้ง
จากนั้นมันเดินกลับไปกึ่งกลางถ้ำ เก็บกิ่งไม้ที่ใช้ต่างกระบี่สั้นยาวเมื่อครู่ขึ้น
เยียนเหิงมองดูกิ่งไม้ครู่หนึ่ง สองมือจับปลายทั้งสองเอาไว้ ใช้ต้นขาหักมันในคราเดียว
เยียนเหิงถือกิ่งไม้ที่หักเป็นสองท่อน ในสายตามัน กิ่งไม้ยังคงเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง บริเวณว่างเปล่าตรงส่วนที่หักทั้งสอง มันคล้ายมองเห็นอะไรบางอย่างแล้ว
มันโยนกิ่งไม้หักสองท่อนเข้ากองไฟอย่างผ่อนคลาย เปลวไฟโหมแรงยิ่งขึ้น