• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 17 บทที่ 2

    บทที่ 2

    เข้าร่วมพันธมิตร

     

    ครั้นผลักหน้าต่างกระดาษของห้องในโรงเตี๊ยมออก แสงแดดอันอบอุ่นกับกลิ่นอายของท้องถนนด้านล่างก็ส่งเข้ามาในทันใด หานซานหู่หลับตายืนอยู่ริมหน้าต่างให้แสงแดดสาดบนใบหน้า รู้สึกได้สติแล้วไม่น้อย

    หานซานหู่เปลือยครึ่งบนปล่อยให้ร่างอันแข็งแรงงดงามและขาวผ่องของชาวเหนือดื่มด่ำแสงแดด หัวไหล่ด้านซ้ายและบนหน้าแขนขวากลับมีรอยแผลสองรอยที่สะดุดตาเป็นพิเศษ แม้ผ่านไประยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ยังคงปรากฏสีน้ำตาลอมแดงไม่เลือนราวกับถูกคาถาอะไรสักอย่าง

    แผลดาบสองแผลนี้ถูกเหลยจิ่วตี้ผู้เป็นอาจารย์ฟันใส่ในคืนที่น่ากลัวนั้นที่เซียงถาน

    ยามนี้เหรินอวิ๋นเฟยศิษย์น้องร่วมห้องกลับมาถึงแล้ว ในมือมันถือชาร้อนที่เพิ่งชงเสร็จกาหนึ่ง เทลงหนึ่งจอกให้หานซานหู่ หานซานหู่จิบอึกหนึ่งเบาๆ ถือจอกชาพิงข้างหน้าต่าง ก้มมองดูทิวทัศน์เบื้องล่าง

    เวลายังคงเช้า ผู้สัญจรบนถนนของเมืองหนานชางยังไม่มาก แต่ทุกวันขอเพียงถึงประมาณยามบ่าย บนท้องถนนก็จะเบียดเสียดจนแนบชิดติดกัน ด้ามดาบกระทบถูกด้ามทวน

    หนานชางทั้งเป็นเมืองเอกของมณฑลเจียงซี และเป็นศูนย์กลางการเดินทางทางน้ำและทางบก ความคึกคักเป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก เพียงแต่หลายปีมานี้ผู้ที่มาเมืองหนานชางช่างต่างกันยิ่งนัก ส่วนใหญ่มิใช่พ่อค้าชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นผู้อพยพที่รูปโฉมชั่วร้ายหลายกลุ่ม หลังมาถึงในเมืองก็เอ้อระเหย เถลไถลอยู่ตามตรอกถนน หรือฆ่าเวลาที่โรงน้ำชาเหลาสุราทั้งวัน คนจรจัดเหล่านี้ไม่เหลียวแลทางการท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิง มักพกอาวุธเดินโต้งๆ กลางวันแสกๆ ซ้ำยังรวมกลุ่มต่อยตีก่อเรื่องเป็นอาจิณ หรือเล่นพนันทั้งวันในตรอกลับ และมีบางคนยึดถือการลักวิ่งชิงปล้นประทังชีวิต ทุกวันในเมืองล้วนมีคนถูกฆ่า ตกกลางคืนท้องถนนยิ่งเปรียบเสมือนพงพนาที่สัตว์ป่าเพ่นพ่าน เมื่อจำนวนคนชั่วมีมาก ทางการจึงมิอาจใช้กฎหมายควบคุมได้

    ที่ทางการควบคุมมิได้ย่อมยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง คนชั่วเหล่านี้ส่วนใหญ่รวมตัวอยู่แถบตำหนักหนิงอ๋อง ขอบเขตนี้ดูแลโดยองครักษ์ตำหนักอ๋อง ผู้คุ้มกันเขตกับมือปราบของเมืองหนานชางล้วนมิกล้าเหยียบย่างก้าวก่าย

    พวกบ้าบิ่นเหล่านี้ทั้งหมดล้วนถูกข่าวในยุทธภพข่าวหนึ่งดึงดูดมาเมืองหนานชาง ตำหนักหนิงอ๋องชมชอบผู้มีความสามารถห้าวหาญในใต้หล้า หากโชคดีได้รับความสำคัญ ย่อมมีโอกาสได้รับยศตำแหน่งองครักษ์ตำหนักอ๋อง เงินทอง รวมถึงสาวงาม

    หานซานหู่กับสหายร่วมสำนักสาขาหลักมี่จงเจ็ดคนของมันก็ถูกข่าวนี้ดึงดูดมาไกลจากชางโจวเช่นกัน ต่างกันที่เป้าหมายของพวกมันเหนือกว่าทรัพย์สินเงินทองกับความงามของนารี

    หานซานหู่ดื่มชาในจอกจนหมดแล้วบิดขี้เกียจเดินออกจากริมหน้าต่าง มันวางจอกเปล่ากลับไปไว้บนโต๊ะกึ่งกลางห้อง แล้วหยิบถุงผ้าบนโต๊ะขึ้นมาล้วงป้ายประกาศิตออกมาจากกองขยะในถุง

    ป้ายประกาศิตที่แกะสลักจากหินสีดำพิเศษแผ่นนั้นมีความกว้างเพียงสองชุ่น ด้านบนสลักตัวอักษรคำว่า ‘องครักษ์ตำหนักหนิงอ๋อง’ แถวหนึ่ง ด้านหลังมีลายสลักยุบๆ นูนๆ จำนวนหนึ่ง ดูคล้ายสลักตามอำเภอใจ แต่หานซานหู่คาดเดาว่าเป็นรหัสลับประเภทหนึ่ง

    มันลูบป้ายประกาศิตพลางครุ่นคิด ปากที่ล้อมไว้ด้วยหนวดเครากำลังยิ้มน้อยๆ

    เหรินอวิ๋นเฟยที่กำลังเช็ดถูดาบเดี่ยวที่ชอบใช้อยู่ด้านข้างมองเห็นรอยยิ้มของศิษย์พี่ก็อดมิได้ที่จะดีใจ “วันนี้แล้ว ศิษย์พี่หาน ไม่เสียเที่ยวที่มา”

    หานซานหู่มองดูศิษย์น้องพลางพยักหน้า

    “พวกเราจะทำให้ชื่อของสำนักมี่จงเกริกก้องยุทธภพอีกครั้ง!” เหรินอวิ๋นเฟยกล่าวอีก ดวงตาทั้งสองที่ถูกประกายดาบสะท้อนจนสว่างทอแววตื่นเต้น

    “แน่นอน” หานซานหู่ตอบ น้ำเสียงมันเยือกเย็นกว่าศิษย์น้องอย่างมากและยังคงลูบไล้ป้ายประกาศิตตำหนักหนิงอ๋องนั้น พลางนึกถึงคนผู้นั้นที่มอบป้ายประกาศิตให้แก่มันเมื่อวาน

    เรื่องราวน่าขันเสียนี่กระไร หานซานหู่คิด คนนำทางผู้นี้กลับเป็นคนของสำนักอู่ตัง

    หรือกล่าวได้ว่าสำนักอู่ตังในอดีต

    หานซานหู่นำสหายร่วมสำนักจากโถงอวี้ฉีแห่งชางโจวเจ็ดคนมาไกลจากทางใต้อีกครั้ง ในใจแฝงไว้เพียงความคิดเดียว ฟื้นฟูสำนักมี่จง

    ศึกการต่อสู้ภายในที่โรงเตี๊ยมเซียงตู้เมื่อสามปีก่อนทำให้สำนักมี่จงเสียหายอย่างมาก ผู้อาวุโสในสำนักกลับเข่นฆ่ากันกับศิษย์ บาดเจ็บล้มตายสุมซ้อน เป็นข่าวฉาวโฉ่ที่หาได้ยากในยุทธภพโดยแท้จริง และต่อมาเหลยจิ่วตี้เจ้าสำนักยังถูกสังหารอย่างโจ่งแจ้งในการประลอง ชื่อเสียงบารมีของสำนักมี่จงยิ่งตกลงสู่หุบเหว สาขาย่อยแต่ละแห่งต่างแยกจากฐานหลักชางโจวตั้งตัวเป็นอิสระ ถึงขั้นแม้กระทั่งในโถงอวี้ฉีก็มีคนในสำนักออกไป สำนักมี่จงที่เคยเป็นหนึ่งในเก้าสำนักใหญ่แห่งแผ่นดิน วางอำนาจด้วยศิษย์จำนวนมากและการแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง ตกสู่จุดจบอันเหลวแหลก ทุกครั้งที่ถูกคนในยุทธภพกล่าวถึงล้วนนำมาซึ่งเสียงหัวเราะขบขัน

    หานซานหู่ที่เดิมคือผู้ถูกเลือกเป็นเจ้าสำนักมี่จงคนต่อไป หลังกลับถึงโถงอวี้ฉีพักฟื้นระยะหนึ่ง ภายหลังแลเห็นสำนักแตกแยกเสื่อมสลาย เกียรติยศกับอำนาจทั้งหมดที่เดิมควรเป็นของตนเองสลายหายไปหมดสิ้น อำนาจของโถงอวี้ฉีจึงให้หานเทียนเป้าผู้เป็นทั้งอาจารย์อาและศิษย์พี่กับอาวุโสหลายคนร่วมกันควบคุมชั่วคราว พวกมันไม่เชื่อถือหานซานหู่อย่างยิ่ง หนึ่งคือหานเทียนเป้ารู้ดีว่าศิษย์น้องผู้นี้จรรยาไม่ดีเป็นปกติวิสัย สองคือหานซานหู่เป็นบุคคลสำคัญที่ก่อให้เกิดเรื่องการต่อสู้ภายในที่เซียงถาน เหตุใดจึงเกิดความขัดแย้งกับเหลยจิ่วตี้เป็นเพียงคำพูดของหานซานหู่ฝ่ายเดียว ไม่พอให้เชื่อสนิท เนื่องจากในสำนักมี่จงขาดผู้ถูกเลือกเป็นตัวสำรองอีกคนหนึ่งในการสืบชื่อเสียงบารมีและกองกำลัง ตำแหน่งเจ้าสำนักคนใหม่จึงว่างเป็นเวลานานนับจากนั้น การเป็นฝูงมังกรไร้หัวส่งผลอย่างมากต่อสำนักมี่จง

    หานซานหู่เดิมเป็นหัวหน้ายอดฝีมือในสาขาหลักสำนักมี่จง แต่จู่ๆ หนทางข้างหน้ากลับมืดสลัว ด้วยเหตุนี้หลังพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บจิตใจก็ยังคงตกต่ำ ทิ้งร้างวิชายุทธ์อย่างสิ้นเชิง เอาแต่หลงใหลในสุรานารีไปวันๆ

    สิ่งที่ทำให้มันได้สติจากความสิ้นหวังคือเช้าวันหนึ่งในฤดูหนาว วันนั้นฟ้ายังไม่สาง มันถ่อร่างที่ยังเมาค้างไม่สร่างออกจากแหล่งโลกีย์กลับสู่โถงอวี้ฉี หลังเข้าประตูก็รู้สึกคลื่นเหียนนั่งย่อตัวอาเจียนอยู่ใต้ต้นไม้ที่ลานบ้านด้านหน้าพักหนึ่ง

    ในขณะที่มันยืนขึ้นเช็ดคราบสกปรกที่มุมปาก กลับมองเห็นเงาร่างผลุบโผล่หลายหนอยู่บนลานฝึกยุทธ์ด้านหน้าอย่างเลือนราง

    มันเข้าไปดูใกล้ๆ ที่แท้นั่นคือศิษย์ภายในของสาขาหลักมี่จงหลายคน ทั้งหมดล้วนเยาว์วัยกว่าหานซานหู่ จึงหาได้ตามเหลยจิ่วตี้ลงใต้ตามจับหกกระบี่บ้านแตกไม่เพราะประสบการณ์ไม่พอ แต่วิทยายุทธ์กลับไม่ธรรมดา เดิมเป็นอนุชนที่มีความหวังที่สุดในรุ่นใหม่ของโถงอวี้ฉี ในนั้นเหรินอวิ๋นเฟยและโอวหยางจิ้งค่อนข้างสนิทกับหานซานหู่

    พวกมันกำลังฝึกฝนร่วมกัน แต่ละคนถูกเม็ดเหงื่อเปียกซึมเสื้อผ้า ร่างกายมีไอขาวพวยพุ่ง

    ฟ้ายังไม่สว่าง…พวกมันตื่นนอนฝึกยุทธ์ตั้งแต่เมื่อใด…

    หานซานหู่มองดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ศิษย์น้องหลายคนหาได้ฝึกยุทธ์ธรรมดาทั่วไปไม่ แต่ใช้อาวุธตีกัน ระดับความรุนแรงเกือบใกล้เคียงการต่อสู้จริง มีบางคนบนหน้าและหน้าผากบวมขึ้นแล้ว จ้าวเอ๋าศิษย์น้องคนหนึ่งในนั้นยังบาดเจ็บที่แขนซ้าย ต้องใช้ผ้าห้อยอยู่บนลำคอ ถึงแม้มิอาจเข้าร่วมก็ยังมองดูอยู่ด้านข้างจนเข้าถึงอย่างยิ่ง

    หลังสำนักมี่จงเกิดการเปลี่ยนแปลงขวัญกำลังใจก็ตกต่ำไร้เทียบเทียม กอปรกับไม่มีการคุกคามจากสำนักอู่ตังอีก ช่วงเวลานี้บรรยากาศการฝึกฝนในโถงอวี้ฉีย่ำแย่อย่างยิ่ง ผู้ที่ถอนตัวกลับบ้านเกิดนับวันยิ่งมากขึ้น หานซานหู่กลับคิดไม่ถึงว่าเช้าตรู่วันนี้กลับมองเห็นภาพเช่นนี้

    นี่พลันทำให้มันหวนนึกถึงตนเองในอดีต…

    ‘พวกเจ้ากำลังทำอะไร’ หานซานหู่พ่นกลิ่นเปรี้ยวที่ยังไม่สลายพลางถาม

    ฉินเถี่ยอีที่เยาว์วัยที่สุดในศิษย์น้องหลายคนนั้น หยุดดาบไม้ในมือลง เดินเข้ามาแสดงมารยาทต่อศิษย์พี่หาน

    ‘กำลังฝึกทักษะอย่างไรล่ะ’ มันเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางกล่าว ‘หากไม่ขยันสักหน่อย ต้องรอวันใดจึงฆ่าจิงเลี่ยได้’

    ‘เจ้า…ว่าอะไร’ หานซานหู่ฟังจนตกตะลึง

    ‘ฆ่าจิงเลี่ยผู้นั้นอย่างไรล่ะ’ ฉินเถี่ยอีเผยสีหน้ามาดมั่นออกมาพลางมองหลายคนด้านหลัง ‘นี่คือนัดหมายของพวกเรา แก้แค้นให้อาจารย์ ชำระความอัปยศให้สำนักมี่จง นอกจากนี้แล้วยังมีอื่นใดหรือ’

    …นอกจากนี้แล้วยังมีอื่นใดหรือ

    หานซานหู่รู้สึกว่าวิญญาณของตนเองถูกเขย่าให้ตื่นขึ้น

    ‘ศิษย์พี่หาน ข้ารู้ว่าท่านคิดจะกล่าวอันใด’ เหรินอวิ๋นเฟยกล่าวสืบต่อ ‘ใช่แล้ว หากพวกเราเผชิญจิงเลี่ยคงจะต้องตายทั้งหมด แต่มีบางเรื่องถึงตายก็ต้องไปกระทำ’

    ความละอายใหญ่หลวงทำให้หานซานหู่แทบพังทลายจนเกือบคุกเข่าลงต่อหน้าศิษย์น้อง

    พวกมันล้วนมิได้ยอมแพ้

    ‘ท่านเองก็มาฝึกด้วยกันเถอะ’ โอวหยางจิ้งกล่าวอยู่อีกด้านหนึ่งพลางเกาผม ‘ความจริง…ที่ผ่านมาพวกเราล้วนกำลังรอให้ท่านกลับมาลานฝึกยุทธ์’

    เมื่อครั้งหานซานหู่ตามเหลยจิ่วตี้กลับมาจากซานตง พวกมันต่างก็เคยเปิดหูเปิดตาแล้วว่าอานุภาพของภาวะเทพสถิตนั้นน่าอัศจรรย์เพียงไร หากสำนักมี่จงยังคงมีความหวังก็คงต้องอยู่ที่ศิษย์พี่หาน

    หานซานหู่นิ่งเงียบครู่หนึ่ง คนทั้งหมดหยุดลงรอคอยคำตอบของมัน

    ‘ถ้าหากพวกเจ้าเตรียมตัวตายแล้วล่ะก็ เช่นนั้นมิสู้มอบชีวิตให้ข้า’ หานซานหู่กล่าวเช่นนี้

    ตั้งแต่วันนั้นหานซานหู่เปลี่ยนเป็นคนละคน อีกทั้งได้พวกพ้องเจ็ดคน แม้ไม่มาก แต่ทุกคนล้วนแน่วแน่เพียงพอ

    ‘เพื่อฟื้นฟูสำนักมี่จง พวกเราต้องไม่คำนึงถึงสิ่งใด’ หานซานหู่กล่าวต่อพวกมันก่อนออกเดินทางจากชางโจว ‘เหมือนเช่นอาจารย์ที่ไม่คำนึงว่าจะกลายเป็นคนบ้า เพื่อความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แม้แต่อุปนิสัยก็ต้องละทิ้ง หากไม่มีหัวใจเช่นนี้ โปรดอย่าติดตามข้าไป’

    พวกมันลงใต้รุกหน้าไปเจียงซีตามข่าวที่สหายร่วมสำนักมี่จงที่เป็นผู้คุ้มภัยนำมา นี่คือการตัดสินใจของหานซานหู่…มันคือผู้เฉลียวฉลาด ย่อมเข้าใจความหมายในการรับชายฉกรรจ์เช่นนี้ของตำหนักหนิงอ๋องแห่งหนานชาง

    แผ่นดินกำลังจะวุ่นวาย ในสถานการณ์วุ่นวายนี้ก็จะบังเกิดระเบียบแบบแผนใหม่ อาศัยกระแสคลื่นลูกนี้ก็มีโอกาสได้รับพลังใหม่ จากนั้นกู้คืนสาขาย่อยมี่จงแต่ละแห่ง ฟื้นฟูเกียรติยศในวันวานของสำนักมี่จง…ไม่ ถึงขั้นอาจสร้างสำนักมี่จงใหม่ที่เหนือกว่าเส้าหลินหรืออู่ตัง

    และข้ากับศิษย์น้องเจ็ดคนนี้จะถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์

    หลังมาถึงเมืองหนานชาง หานซานหู่พบว่าที่แห่งนี้สถานการณ์แฝงคลื่นใต้น้ำดังคาด ทุกแห่งหมุนเวียนไปด้วยบรรยากาศไม่ปลอดภัย

    ทุกวันในโรงเตี๊ยมและร้านอาหารล้วนได้ยินเรื่องราวใหม่ กล่าวว่าบางคนอาศัยวิชาโจรเหาะเหินเดินอากาศเข้าตำหนักหนิงอ๋องจนได้รับตำแหน่งหัวหน้า บางคนเดิมทียากจนแม้กระทั่งเงินจ่ายค่าโรงเตี๊ยมก็ไม่มี ได้แต่นอนอยู่ตามมุมถนนในเมือง ภายในวันเดียวก็ผันตัวกลายเป็นกององครักษ์ตำหนักอ๋อง เที่ยวหอนางโลมและบ่อนพนันกับสหายทุกคืน เงินในมือใช้อย่างไรก็ไม่หมด…

    ในขณะเดียวกันก็มีการเผยแพร่วิธีแนะนำตนเองต่อตำหนักอ๋องหลากหลายประเภท บ้างก็อ้างว่าตนเองมีหนทางแนะนำคนในตำหนักอ๋องที่สนิทกัน แน่นอนว่านี่ต้องใช้เงินสักเล็กน้อย…ส่วนใหญ่เป็นเรื่องฉ้อฉล

    หานซานหู่กับเหล่าศิษย์น้องไม่เคยฟังเรื่องเหล่านี้ และหมางเมินต่อการต่อยตีโต้เถียงทั้งหมดรอบกาย ไม่เคยคบค้าสมาคมกับผู้ใด

    พวกเรากับเศษเดนเหล่านี้ต่างกัน สิ่งที่เราต้องการก็มิใช่เรื่องเหล่านั้น

    ในที่สุดวันที่สิบในเมืองหนานชาง พวกมันก็พบกับคนที่มาจากตำหนักอ๋องในโรงน้ำชา อีกทั้งเกิดการกระทบกระทั่ง…แต่กล่าวว่า ‘กระทบกระทั่ง’ ก็ไม่ถูกต้องนัก ความจริงหานซานหู่กรีดเบาๆ บนหน้าองครักษ์ตำหนักอ๋องห้าคนในนั้นหนึ่งดาบในอึดใจเดียว กรีดอย่างเบายิ่งนัก เพียงแต่กรีดจนดวงตาข้างหนึ่งของทุกคนบอดได้

    การวิวาทครานี้ย่อมเป็นหานซานหู่จงใจก่อขึ้น มันมองออกว่าคนพวกนี้คือมือดีในองครักษ์ตำหนักอ๋อง นี่คือวิธีการที่ตรงไปตรงมาที่สุดที่จะทำให้ตำหนักอ๋องสนใจตนเอง…แม้มิอาจรับรองว่าผลลัพธ์จะดีหรือร้าย

    ผู้ที่มาหาพวกมันในวันถัดมาทำให้หานซานหู่เห็นแล้วยากที่จะลืม ความจริงใครก็ไม่อาจลืมได้ รูปร่างที่สูงจนเหมือนราวไม้ไผ่ ศีรษะล้านเลี่ยนกับโฉมหน้าพิลึก รอยสักและรอยย่นอันแปลกประหลาดบนปรางแก้ม กระบี่ยาวที่แค่มองก็รู้ว่าฆ่าคนมามากมายและแผ่ไอมืดตรงข้างเอว

    คนผู้นี้นำลูกน้องมาด้วยเพียงสามคน…คนหนึ่งในนั้นคือองครักษ์ตำหนักอ๋องที่เคยเห็นหานซานหู่ลงมือกับตาเมื่อวาน เดิมทีมันก็ไม่จำเป็นต้องพกคนมามาก เพราะบริเวณที่ผ่านบนถนน ชายฉกรรจ์ที่ยามปกติแสดงออกอย่างโหดเหี้ยมทั้งหมดล้วนหลีกหนีไปไกล เฉกเช่นพบเจอสิ่งมีพิษก็มิปาน

    แวบเดียวคนผู้นั้นก็หาหานซานหู่พบ คนประเภทเดียวกันมักมองกันออกง่ายที่สุด ไม่ว่าจากท่วงท่า การเคลื่อนไหว หรือว่าบุคลิก

    ‘อู่ตัง อูจี้หง’

    ‘สำนักมี่จง หานซานหู่’

    เมื่อได้ยินชื่อสำนักของฝ่ายตรงข้าม ปากกว้างของอูจี้หงก็ยิ้มเหมือนฉีกออก

    เป็นศัตรูกับจิงเลี่ย

    ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไร…พวกหานซานหู่ทั้งแปดมาถึงหนานชางก็เท่ากับแสดงออกถึงเป้าหมายตนเองแล้ว

    อูจี้หงมอบป้ายประกาศิตผ่านทางของตำหนักอ๋องให้หานซานหู่ นัดหมายมันมาพบปะกับขุนนางคนสำคัญในตำหนักในวันถัดมา

    ขณะอูจี้หงกำลังจะหมุนตัวจากไป หานซานหู่กลับกล่าวว่า ‘ขอประกาศไว้ก่อนตรงนี้ ข้ายอมอยู่ใต้อำนาจหนิงอ๋องเพียงผู้เดียว’

    ความหมายคืออย่าคิดว่าเจ้าชักชวนข้าแล้วข้าจะกลายเป็นคนของเจ้า

    อูจี้หงยิ้มน้อยๆ

    ‘นั่นให้ท่านอ๋องกับเหล่าแม่ทัพกุนซือตัดสินใจ’ มันกล่าว ‘ต้องดูว่าเจ้ามีฝีมือเพียงใด’

    หานซานหู่ที่อยู่ในห้องขณะนี้โยนป้ายประกาศิตแผ่นนั้นเล่น ในใจมันเคร่งเครียดเล็กน้อย หลังจากเผชิญหน้าอิ่นอิงเฟิงเจ้าสำนักปากว้าครั้งนั้น มันก็มิได้ปะทะกับยอดฝีมือนานมากแล้ว รูปร่างของหานซานหู่แม้คืนสู่ภาวะก่อนหลงระเริงสุรานารี แต่กล้ามเนื้อยังคงหย่อนยานกว่าเมื่อก่อนพอสมควร การหายใจและความอึดทนก็มิได้ย้อนคืนจุดสูงสุดเช่นเมื่อก่อน…จุดนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการประคองภาวะเทพสถิตของมันเอาไว้อย่างมาก มันเสียใจที่ตนเองเสียเวลาเปล่าไปช่วงหนึ่ง

    แต่จนปัญญา โอกาสจะไม่รอคอยคน หากคิดเข้าร่วมพันธมิตรตำหนักหนิงอ๋องก็ต้องฉวยโอกาสให้เร็ว จึงจะยิ่งมีประโยชน์ต่อการสร้างเส้นสายและได้รับความสำคัญ อนึ่งหนิงอ๋องไม่รู้จะก่อกบฏเมื่อใด หากรอถึงยามนั้นค่อยเข้าร่วมก็สายเกินไปแล้ว

    “วันนี้ต้องผ่านด่านแรกให้ได้” หานซานหู่คล้ายกำลังกล่าวกับเหรินอวิ๋นเฟย และเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ต้องให้ผู้คนรู้ถึงความร้ายกาจของวิถียุทธ์สำนักมี่จงอีกครั้ง”

     

    ยังไม่ทันเข้าสู่กำแพงล้อมรอบของตำหนักหนิงอ๋อง เพียงมาถึงนอกถนนสองสายของตำหนักหนิงอ๋อง หานซานหู่และศิษย์น้องทั้งเจ็ดก็ถูกตรวจสอบแล้ว มันต้องแสดงป้ายประกาศิตหินดำนั้นจึงมุ่งหน้าสืบต่อได้

    ถนนสายนั้นมีผู้คนขวักไขว่เช่นปกติ คลาคล่ำไปด้วยคนเร่ร่อนจรจัดที่มาแสวงหาโอกาส พวกมันมองเห็นหานซานหู่ล้วงป้ายประกาศิตแผ่นนั้นออกมา ในดวงตาก็ล้วนเปล่งประกายเลื่อมใส

    หน้าประตูสีแดงทางตะวันตกของตำหนักหนิงอ๋อง มีองครักษ์สิบกว่าคนเฝ้าดู พวกมันรับป้ายประกาศิตของหานซานหู่มา ซ้ำยังหยิบไม้กระดานขนาดไม่ต่างกันแผ่นหนึ่งมาทาบประกบเข้าด้วยกัน เพื่อยืนยันรอยสลักยุบนูนด้านบนอย่างละเอียด ตำหนักหนิงอ๋องทุกวันล้วนสับเปลี่ยนป้ายประกาศิตกับไม้กระดานเพื่อป้องกันมีคนยักยอกล่วงหน้า

    อาวุธของพวกหานซานหู่ทั้งแปดล้วนถูกยึดชั่วคราวทั้งหมด จุดนี้พวกมันคาดการณ์ก่อนแล้ว แต่องครักษ์ตำหนักอ๋องยังคงยืนกรานจะตรวจค้นเสื้อผ้าคนทั้งแปด “หากพวกเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นก็อย่าเข้าไป” หัวหน้าผู้เฝ้าประตูกล่าวเช่นนี้ ความจริงพวกหานซานหู่มอบอาวุธลับใบมีดบินบนร่างให้หมดแล้ว แต่ยังคงทนรับคำสบประมาทนี้ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามค้นตัว

    ในที่สุดในประตูก็มีองครักษ์ยี่สิบกว่าคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา พวกมันหยิบสมุดรายชื่อเล่มหนึ่งออกมา เมื่อแน่ใจว่าชื่อของหานซานหู่ถูกจดบันทึกอยู่ในรายชื่อผู้เยี่ยมเยือนในวันนี้จึงนำพวกมันเข้าไป…โดยแบ่งพวกมันเป็นสองกลุ่มทีละสี่คนทยอยกันเข้าไป อีกทั้งเส้นทางที่เดินไม่เหมือนกัน ขณะกลุ่มหนึ่งเข้าตำหนักอ๋อง ย่อมไม่รู้ว่าพวกพ้องอีกกลุ่มหนึ่งกำลังเดินไปที่ใด เช่นนี้จึงควบคุมพวกมันมิให้ก่อความวุ่นวายได้

    แม้ขั้นตอนซับซ้อนซ้ำยังถูกคนตรวจค้นร่างกาย แต่หานซานหู่กลับรู้สึกว่าตำหนักหนิงอ๋องรอบคอบเช่นนี้เป็นเรื่องดี หากกระทำการประมาทเลินเล่อ หานซานหู่คงต้องพิจารณาว่าควรค่าต่อการสู้ตายถวายชีวิตให้มันหรือไม่

    มันไม่รู้ว่ากระบวนการเพิ่มการป้องกันของตำหนักอ๋องนี้ มาจากบทเรียนที่ถูกหกกระบี่บ้านแตกบุกรุกเมื่อหนึ่งปีก่อน

    หานซานหู่ถูกนำไปยังเรือนหมู่ด้านหนึ่งในตำหนักอ๋อง มันได้ยินองครักษ์ที่เดินนำทาง (และคอยจับตามอง) เหล่านั้นกล่าวว่านี่คือ ‘จวนยอดขุนพลเคลื่อนมังกร’

    อูจี้หงผู้นั้นคือยอดขุนพลเคลื่อนมังกร? หรือมันยังมีพี่ใหญ่อีกคนหนึ่ง หานซานหู่เชื่อว่าไม่นานก็จะรู้

    มันกับศิษย์น้องสามคนถูกจัดให้รอคอยอยู่ในโถงรองหลังหนึ่ง ไม่นานให้หลังสหายร่วมสำนักมี่จงอีกสี่คนก็ถูกนำมารวมตัว ทุกแห่งนอกโถงนั้นมีองครักษ์ตำหนักอ๋องหลายสิบคนเฝ้ารักษาอยู่

    “ยอดขุนพลซางกับท่านขุนพลอูจะมาต้อนรับพวกท่าน โปรดรอคอย” องครักษ์ที่เป็นหัวหน้ากล่าวต่อหานซานหู่ด้วยน้ำเสียงมีมารยาทยิ่งนัก และใช้คนส่งน้ำชามา มันทั้งรู้ว่าหานซานหู่คือบุคคลที่อูจี้หงถูกใจและชักชวนด้วยตัวเอง ฝีมือต้องไม่ต่ำต้อยเป็นแน่ หากเข้าร่วมพันธมิตรตำหนักอ๋องจริง ภายหน้าอาจตำแหน่งสูงกว่าตนเอง ย่อมมิกล้าเฉยชา

    องครักษ์ต่างออกจากห้องโถง ทิ้งคนทั้งแปดไว้ด้านใน สองมือว่างเปล่าซ้ำยังอยู่ในที่แปลกตา ด้านนอกยังถูกคนเฝ้าดูอย่างแน่นหนา ในใจพวกมันย่อมกังวล

    หานซานหู่กำลังขบคิดคำพูดของหัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นเมื่อครู่ ‘ยอดขุนพลซาง’ เหนือกว่าอูจี้หง ก็หมายความว่ามีตำแหน่งสูงกว่าในตำหนักอ๋อง เป็นไปได้มากว่าคือยอดขุนพลเคลื่อนมังกรผู้นั้น และผู้ที่ทำให้อูจี้หงตัวประหลาดแห่งอู่ตังยอมอยู่ใต้อำนาจได้ คือบุคคลเช่นไรกันแน่

    เป็นไปได้มากว่าเป็นผู้เหลือรอดของสำนักอู่ตังเช่นกัน

    แต่หานซานหู่พยายามหวนนึกถึงบุคคลร้ายกาจของสำนักอู่ตังที่เคยได้ยินในอดีต อย่างไรก็นึกถึงไม่ออกว่ามีคนแซ่ซาง…

    คนทั้งแปดของสำนักมี่จงอยู่ในโถงรองแห่งนี้ บางคนนั่งปรับเปลี่ยนลมหายใจ บางคนเดินไปเดินมายืดเหยียดแขนขา ต่างก็กำลังเตรียมพร้อม พวกมันรู้ว่าประเดี๋ยวอาจต้องแสดงฝีมือต่อหน้าหนิงอ๋องหรือขุนนางคนสำคัญทุกเมื่อ นี่คือโอกาสที่หาได้ยากในการเข้าร่วมตำหนักอ๋อง ในใจอดมิได้ที่จะเคร่งเครียดอยู่บ้าง ฉินเถี่ยอีผู้เยาว์วัยมองดูเครื่องตกแต่งทุกชิ้นของห้องโถงอย่างละเอียด…

    ลักษณะหรูหราเช่นนี้ ไหนเลยจะเคยเห็นที่ชางโจว

    ความหรูหราฟุ่มเฟือยนี้คือรูปธรรมของอำนาจ คนสำนักมี่จงที่ประสบการณ์ในยุทธภพค่อนข้างน้อยทั้งหลายรู้สึกเหมือนตนเองเข้าสู่โลกใหม่

    หานซานหู่ภายนอกดูเหมือนดื่มชาอย่างสงบนิ่ง แต่ในใจปะปนด้วยความกังวลกับความตื่นเต้นเช่นกัน

    ทว่าพวกมันรอแล้วรอเล่าก็ยังคงไม่มีคนมา

    หัวใจของหานซานหู่เหมือนเช่นจอกชาในมือ ค่อยๆ เย็นลงแล้ว

    ผ่านไปครึ่งค่อนชั่วยาม โทสะในใจคนทั้งแปดสั่งสมไม่ขาด หากเป็นหานซานหู่ในอดีต ถูกลบหลู่เช่นนี้ คงนำพวกพ้องถกแขนเสื้อบุกไปนานแล้ว แต่นึกถึงการใหญ่ในภายหน้า มันจึงยังคงบีบจอกชาอดทนไว้

    เหรินอวิ๋นเฟยกลับทนไม่ไหวแล้ว มันออกแรงผลักประตูห้องโถงก้าวออกไปตวาดใส่ด้านนอก “นี่นับเป็นอะไร เห็นพวกเราเป็นใคร ยังต้องรอนานแค่ไหน”

    องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูเดิมทีกำลังล้อมวงกระซิบกระซาบ ครั้นมองเห็นเหรินอวิ๋นเฟยพุ่งออกมาก็รีบเข้าไปสกัดขัดขวาง…หลังเจอเรื่องถูกบุกรุกคราวก่อน ตำหนักอ๋องจำกัดมิให้ผู้เยี่ยมเยือนเดินเหินโดยพลการ องครักษ์ยังต้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้ หาไม่จะถูกลงโทษ

    เหรินอวิ๋นเฟยพอเห็นองครักษ์สามคนรุกเข้าก็สำแดงท่าเท้าลวงหลงเยียนชิงของสำนักมี่จงหลบสองคนอย่างว่องไว เคลื่อนกายไปด้านหลังคนที่สาม ใช้เพลงหัตถ์ยึดจับพลิกแขนของมันไพล่หลัง อีกมือหนึ่งอ้อมมากระชากคอเสื้อด้านหน้า ใช้คอเสื้อรั้งลำคอองครักษ์เอาไว้ สองมือเพิ่มพลังเล็กน้อย ทำให้ข้อต่อข้อศอกของมันเจ็บปวดพร้อมกับมิอาจหายใจในขณะเดียวกัน ทุกข์ทรมานดั่งตกนรก

    เหรินอวิ๋นเฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แผดเสียงเกรี้ยวกราดติดใบหน้าบิดเบี้ยวแดงฉานขององครักษ์ผู้นั้น “ดูแคลนเช่นนี้ มองข้ามพวกเราสำนักมี่จงแห่งชางโจวหรือ”

    ระยะนี้สำนักมี่จงถูกเยาะเย้ยถากถาง เหรินอวิ๋นเฟยเป็นศิษย์ภายในของสาขาหลักจึงให้ความสำคัญต่อเกียรติยศสำนักอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเคยต่อยตีคนไม่น้อยที่ชางโจว ขณะนี้อารมณ์ยังปะทุอีกครั้ง

    องครักษ์ตำหนักอ๋องเหล่านั้นแม้มีหน้าที่ระวังภัย แต่รู้ตัวว่าอาศัยไม่กี่สิบคนที่นี่ ไม่เพียงพอที่จะพิชิตศิษย์เด่นล้ำสำนักมี่จงที่ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าได้ หากร้องเรียกกองหนุนทันทีก็กลัวว่าจะก่อเรื่องใหญ่จนถูกซักถามความรับผิดชอบ คนหนึ่งในนั้นจึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย

    “โปรดปล่อยพวกพ้องผู้นี้ของเราก่อน! แม่ทัพทั้งสองท่านถูกท่านอ๋องเรียกไปหารือพอดี…จึงมิอาจรีบมาได้”

    “ท่านอ๋องเรียกพบแล้วอย่างไร” โทสะของเหรินอวิ๋นเฟยยังไม่สิ้น “จะปล่อยพวกเราไว้ทางนี้โดยไม่สนใจหรือ”

    มันลงมือเพิ่มแรงโดยไม่รู้ตัวขณะด่า ข้อต่อแขนขวาขององครักษ์ที่ถูกจับผู้นั้นบังเกิดเสียงดังของการแตกร้าวออกมา ทั่งร่างหมดสติล้มลงไป

    เหรินอวิ๋นเฟยปล่อยมันออก มองดูองครักษ์คนอื่นที่เข้าไปดูแลอย่างเย็นชา

    องครักษ์ตำหนักอ๋องเหล่านี้เดิมทีก็มิใช่คนดี คำด่าทอด้วยความโกรธจึงมาอย่างไม่ขาดสาย คนหนึ่งในนั้นนิสัยแย่ที่สุดตะโกน

    “ผู้มาเข้าร่วมตำหนักหนิงอ๋องล้วนมีทุกวัน แม้วันนี้ก็มิเพียงพวกเจ้า! คิดว่าตัวเองร้ายกาจที่สุดหรือ”

    “ว่าอะไรนะ” เหรินอวิ๋นเฟยกำหมัดทั้งสองตะเบ็งเสียงหมายลงมืออีก

    “เมื่อครู่พวกเราได้ยินว่าแม่ทัพทั้งสองท่านถูกเรียกไปเป็นเพราะมีคนมาสวามิภักดิ์ท่านอ๋อง…อีกทั้งเป็นบุคคลที่เก่งกาจอย่างยิ่ง!”

    ในโถงรองนั้นถ่ายทอดสุ้มเสียงจอกชาแตก

     

    ขณะที่ซางเฉิงอวี่กับอูจี้หงเข้าสู่โถงหลงหู่อันเป็นสถานที่สำคัญที่สุดทางการทหารของตำหนักหนิงอ๋อง ก็พบว่าขุนนางที่ปรึกษาและแม่ทัพที่สำคัญที่สุดในตำหนักอ๋องทั้งหมดล้วนนั่งประจำที่ พวกพ่อลูกหลี่ซื่อสือกับหลี่จวินหยวน หลิวหย่างเจิ้งผู้เป็นกุนซือ หมิ่นเนี่ยนซื่อกับหลิงสืออีผู้บัญชาการกองทัพบกและเรือล้วนรอคอยอยู่แล้ว

    ซางเฉิงอวี่ที่ยังคงสวมเสื้อขนสัตว์ขาวโพลนใช้สายตาเสมือนคมกระบี่กวาดมองคนเหล่านี้

    “แม่ทัพซางมาแล้ว เชิญนั่ง!” หลิวหย่างเจิ้งพอเห็นคนทั้งสองมาถึงก็ยืนขึ้นต้อนรับพร้อมกับขุนนางบุ๋นหลายคนใต้อาณัติ และเชิญให้คนแซ่ซางและอูทั้งสองนั่งในตำแหน่งที่สูงกว่าตนเอง

    ซางเฉิงอวี่มองดูใบหน้าอ้วนกลมที่กำลังประดับด้วยรอยยิ้มกระตือรือร้นของหลิวหย่างเจิ้ง และประสานมือแสดงมารยาทก่อนนั่งลงกับอูจี้หงข้างที่นั่งหัวโต๊ะของท่านอ๋องที่ยังคงว่างอยู่นั้นโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

    มันเผชิญหน้าหลี่ซื่อสือกับหลี่จวินหยวนที่มองท่าทางประสบสอพลอนั้นของหลิวหย่างเจิ้งอย่างเย็นชา หลี่ซื่อสือกับหลิวหย่างเจิ้งกุนซือใหญ่ทั้งสองของตำหนักอ๋องนี้ แต่ก่อนแย่งชิงความโปรดปรานกันค่อนข้างรุนแรงมาตลอดอยู่แล้ว ต่างไม่ลดราวาศอก เพียงแต่หลังซางเฉิงอวี่เข้าร่วมพันธมิตรตำหนักอ๋อง ทั้งสองฝ่ายจึงผูกมิตรกันชั่วคราวเพราะมีศัตรูร่วมกัน ทว่าเรื่องที่หกกระบี่บ้านแตกปั่นป่วนตำหนักหนิงอ๋องปีก่อน พ่อลูกตระกูลหลี่รับความผิดที่ใหญ่ที่สุด หลี่จวินหยวนถูกจี้ตัวคือความอัปยศใหญ่หลวง ‘ราคา’ ต่อหน้าท่านอ๋องของสองพ่อลูกลดลงพรวดพราด หลิวหย่างเจิ้งที่เจ้าเล่ห์หันไปประจบซางเฉิงอวี่ทันที พรรคพวกของหลี่ซื่อสือลดลงอย่างเห็นได้ชัด

    ขณะรอคอยท่านอ๋องมาถึง แต่ละคนต่างมิได้พูดคุยกัน เพียงมองหน้ากันเป็นบางครั้ง หลี่ซื่อสือคนชราผู้นี้เหมือนเช่นวันวาน สีหน้ายังคงยากคาดเดาอย่างเห็นได้ชัด มันนั่งค้ำไม้เท้าเหมือนเช่นต้นไม้เตี้ยที่ใกล้แห้งตายต้นหนึ่ง มิได้แสดงสีหน้าออกมาแม้แต่น้อย

    ซางเฉิงอวี่จ้องหลี่จวินหยวน กลับเห็นฝ่ายตรงข้ามเพ่งมองมาอย่างผิดคาด หลังจากหลี่จวินหยวนถูกหกกระบี่บ้านแตกจี้ตัวไปแต่ไม่ตาย จิตใจก็ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างมาก เคยมีช่วงหนึ่งตื่นกลัวจนมิกล้าออกข้างนอกพบผู้คน ถึงแม้หลังหายเป็นปกติ ทุกครั้งที่เข้าร่วมประชุมทางการทหารของตำหนักอ๋อง ยังคงราวกับวิหคตื่นเกาทัณฑ์ มักหลีกห่างจากสายตาของซางเฉิงอวี่และอูจี้หง

    ทว่าบนหน้าหลี่จวินหยวนในขณะนี้กลับเปี่ยมด้วยความมั่นใจในตนเองที่มิได้พบเนิ่นนาน นอกจากกล้าสบตากับซางเฉิงอวี่แล้ว ยังเหมือนกำลังควบคุมรอยยิ้มบนมุมปาก

    อูจี้หงเองก็สังเกตเห็นจุดนี้จึงหันหน้าใช้สายตาสอบถามไปยังหลิวหย่างเจิ้ง หลิวหย่างเจิ้งไม่จำเป็นต้องพูดคุยก็รู้ถึงข้อสงสัยของมัน หลังมองดูลักษณะภาคภูมิใจของหลี่จวินหยวน มันก็ส่ายหน้าแสดงออกว่าตนเองก็ไม่รู้สาเหตุ

    ในที่สุดหนิงอ๋องจูเฉินเหาก็เข้าสู่โถงหลงหู่ ทุกคนต่างยืนขึ้นต้อนรับ หนิงอ๋องที่รูปร่างสูงใหญ่ท่าเดินมีสง่าราศีกว่าแต่ก่อน ทั้งหมดเพราะหลายปีมานี้ตำหนักอ๋องกระตือรือร้นในการรับทหารมากขึ้นเรื่อยๆ กองกำลังและยุทธภัณฑ์ล้วนเฟื่องฟูอย่างยิ่งแล้ว และราชสำนักทางเหนือยังมิได้ระแวดระวัง สถานการณ์ดีอย่างยิ่ง

    แน่นอนว่าสองสิ่งนี้สิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทองในคลังตำหนักอ๋องไม่น้อย เพื่อการนี้หนิงอ๋องจึงสั่งการให้ทหารใต้อาณัติปล้นสะดมเส้นทางสำคัญทั้งทางบกและทางน้ำแถบใกล้เคียงบ่อยขึ้น เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายกองทัพและสินบนที่จำเป็น กอปรกับมีพวกบ้าบิ่นผุดขึ้นมาไม่ขาดสายที่เมืองหนานชาง แผ่นดินเจียงซีเหนือทั้งผืนกลายเป็นพื้นที่อันไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ ซุนซุ่ยผู้ตรวจการเจียงซีถึงแม้มีปณิธานต่อต้าน แต่หวังหงขุนนางประจำการที่กุมอำนาจทหารในพื้นที่ก็ถูกหนิงอ๋องซื้อตัวไปแล้ว ซุนซุ่ยมีแต่หัวใจไร้ซึ่งอำนาจ ทำได้เพียงมองดูตำหนักหนิงอ๋องตั้งตัวเป็นใหญ่

    ด้านหลังหนิงอ๋องติดตามด้วยชายฉกรรจ์สิบคนที่คัดเลือกจากหนึ่งในร้อย นอกนั้นยังมีหลี่จื้อหรานจอมเวทที่มันเชื่อถืออย่างยิ่ง จูเฉินเหาจ้ำอ้าวไปนั่งลงหน้าเก้าอี้ที่นั่งอ๋องของตนเองอย่างทะมัดทะแมง คนที่เหลืออารักขาสองข้าง หลี่จื้อหรานที่บุคลิกงามสง่าราวกับเซียนผู้นั้นยืนประกบติดท่านอ๋อง

    หลังคนทั้งหมดนั่งลงอีกครั้ง ซางเฉิงอวี่จึงสำรวจดูสีหน้าของหนิงอ๋อง พบว่ามันกลับตื่นเต้นกว่ายามปกติเสียอีก สีหน้าเหมือนรู้ว่าบางเรื่องกำลังจะถูกกล่าวออกมาจนอดทนรอฟังไม่ไหวนั้นกลับคล้ายคลึงกับหลี่จวินหยวนอยู่บ้าง หลายปีมานี้ท่านอ๋องไว้เนื้อเชื่อใจซางเฉิงอวี่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ซางเฉิงอวี่สบายใจอย่างยิ่ง แต่ขณะนี้กลับรู้สึกได้รางๆ ว่าผิดปกติ มันมองดูหลี่จวินหยวนอีกและเห็นมันสบตาท่านอ๋องและพยักหน้าให้พอสังเขป และหนิงอ๋องเองก็ผงกศีรษะตอบรับ คนทั้งสองคล้ายมีเรื่องสำคัญอะไรปิดบังอยู่

    เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…

    ในยามนี้เอง สายตาของหนิงอ๋องทอดบนหน้าซางเฉิงอวี่

    ลางสังหรณ์อัปมงคลในใจของซางเฉิงอวี่รุนแรงยิ่งขึ้น แต่มันมิอาจคิดได้ว่าเป็นสาเหตุใด

    อูจี้หงรับรู้ได้ทันทีถึงอาการสั่นระรัวในใจของศิษย์พี่ซาง มันไม่เคยเห็นซางเฉิงอวี่อยู่ในภาวะเช่นนี้นานมากแล้ว จึงอดมิได้ที่จะลอบประหลาดใจ

    ท่าทางตื่นเต้นของหนิงอ๋อง ตรงข้ามกันพอดีกับศิษย์พี่ซาง

    “แม่ทัพซาง ข้ายังจำได้กระจ่างชัดอย่างยิ่งว่าในวันนั้นเมื่อสามปีก่อนตอนท่านก้าวเข้าตำหนักอ๋อง ใจข้าคิดว่าท่านเป็นดังเช่นสมบัติชิ้นใหญ่ตกลงมาจากฟ้าสู่ใจกลางฝ่ามือข้า”

    ซางเฉิงอวี่ก้มศีรษะ “ได้รับใช้ท่านอ๋องคือโชคดีของกระหม่อม บุญคุณที่เห็นความสำคัญ ไม่ลืมแม้ชั่วขณะ”

    ในการประชุมปิดประตูของตำหนักอ๋อง ทุกคนเรียกขานตนเองต่อท่านอ๋องว่า ‘กระหม่อม’ จนเคยชินแล้ว แม้เป็นเช่นนี้แต่ทุกครั้งที่หนิงอ๋องได้ยินก็ยังคงอดมิได้ที่จะดีใจไม่หยุด…โดยเฉพาะเวลาผู้ที่เรียกขานตนเองเช่นนี้คือผู้มีฝีมือ

    “ประเสริฐนัก เช่นนั้นข้าเชื่อถือแม่ทัพซางได้ทั้งหมดหรือไม่”

    ความหมายแฝงของประโยคนี้มีได้มากมาย…รวมทั้งความหมายอันล่อแหลมยิ่งนัก บนหน้าผากอูจี้หงผุดเม็ดเหงื่อออกมา

    ซางเฉิงอวี่กลับไม่สะทกสะท้าน

    “กระหม่อมไม่เข้าใจความหมายของท่านอ๋อง”

    พอกล่าวออกไป หนิงอ๋องและคนอื่นๆ ล้วนยักไหล่

    แต่ซางเฉิงอวี่กล่าวสืบต่ออีก “กระหม่อมคิดไม่ถึงว่ายังมีเรื่องใดที่กระหม่อมมิได้กระทำ ท่านอ๋องจึงหวาดระแวงต่อกระหม่อม”

    จูเฉินเหาพอได้ยินคำอธิบายนี้ก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน ในโถงหลงหู่ที่ไม่มีผู้ใดกล้าหายใจสักเฮือก ดังก้องไม่หยุดด้วยเสียงหัวเราะอันห้าวหาญนั้น

    “แม่ทัพซางน่าจะกระจ่างยิ่งนักถึงปณิธานชั่วชีวิตของข้า” หนิงอ๋องกล่าวอีกหลังหัวเราะจบ “เพื่อบรรลุปณิธานนี้ แม่ทัพซางยินยอมอุทิศทุกสิ่งหรือไม่”

    ซางเฉิงอวี่ยืนขึ้นแสดงมารยาทต่อหนิงอ๋อง “ความจริงใจของกระหม่อม ให้ท่านอ๋องใช้สอยได้ตามใจ”

    “ถึงแม้จะให้แม่ทัพปล่อยวางบุญคุณความแค้นส่วนตัว?”

    คำพูดประโยคนี้ดังเข็มทิ่มแทงหัวใจของซางเฉิงอวี่ มันรับรู้ถึงความหนาวเหน็บเสียดกระดูก

    เฉกเช่นเจ็ดปีนั้นที่ถูกขังอยู่ที่คุกศิลาเขาด้านหลังอู่ตังก็มิปาน

    ร่างอูจี้หงที่อยู่ด้านข้างก็สั่นเทาขึ้นเช่นกัน

    แม้ในใจซางเฉิงอวี่จะถูกสั่นคลอน แต่ภายนอกมิได้เผยท่าทีแม้แต่น้อย…แรงปณิธานของคนที่ไม่ธรรมดานี้คือสาเหตุหลักข้อหนึ่งที่ทำให้มันรอดชีวิตกลับมาจากศึกลัทธิอู้อี๋ในปีนั้นเช่นกัน

    “หัวใจดวงนี้ไม่แปรเป็นอื่น” ซางเฉิงอวี่ตอบรับทันที มิได้ถูกหนิงอ๋องสงสัยสักนิด

    “ประเสริฐเหลือเกิน” หนิงอ๋องยิ้มพลางหันหน้ากล่าวกับหลี่จวินหยวน “เชิญพวกมันเข้ามา”

    หลี่จวินหยวนรอคอยเวลานี้มานานมากแล้วอย่างเห็นได้ชัด แต่มันยังคงมองดูซางเฉิงอวี่ก่อนแวบหนึ่ง แล้วสั่งการไปยังลูกน้องให้นำคนเข้ามาอย่างพึงพอใจ

    ไม่ว่าซางเฉิงอวี่จะปกปิดได้ดีเพียงใด หลิวหย่างเจิ้งก็สังเกตเห็นอาการผิดปกติของมัน

    เป็นผู้ใดทำให้ตัวประหลาดตัวนี้หวั่นไหวเช่นนี้ได้

    คงต้องเป็นตัวประหลาดอีกตัวหนึ่งอย่างแน่นอน

    หลิวหย่างเจิ้งชูคอสำรวจดูอย่างประหลาดใจ

    ทางเข้าสายหนึ่งทางตะวันออกของโถงหลงหู่ เห็นเพียงองครักษ์ตำหนักอ๋องนำคนมาสามคน

    คนทั้งสามล้วนเป็นผู้ที่เห็นแวบเดียวก็ยากที่จะลืมเลือน

    ผู้หนึ่งแขนขาดข้างหนึ่ง อีกผู้หนึ่งแขนข้างหนึ่งยาวกว่าคนทั่วไปหนึ่งท่อน

    แต่พวกมันล้วนสะดุดตามิเท่าคนที่สามตรงกลาง คนผู้นี้ร่างกายไม่มีลักษณะพิเศษอะไร และไม่สูงใหญ่ล่ำสันพิเศษไปกว่าคนทั่วไป ไม่นับว่าชราและไม่เยาว์วัยเกินไป เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแต่หาได้หรูหราสวยงามไม่

    ทว่ามองแวบเดียวก็จะรู้สึกว่าคนผู้นี้เหมือนมิได้อยู่ในโลกนี้

    ในโถงหลงหู่มีเสียงดังรุนแรงเสียงหนึ่งถ่ายทอดมา ผู้คนหันหน้าไปมองดูที่มาของสุ้มเสียง ที่แท้เกิดจากเก้าอี้ของอูจี้หง…ฝ่ามือขนาดใหญ่ประหลาดนั้นของมันบีบที่รองแขนเก้าอี้อันแข็งแรงจนแหลกละเอียด

    ซางเฉิงอวี่กลับเยือกเย็นเช่นเคย มันมองดูคนทั้งสามที่เข้ามาอย่างเฉยเมย คล้ายสิ่งที่เห็นในดวงตาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันสามคน

    แม้คนตรงกลางผู้นั้น มันจะเคยฉีกเป็นชิ้นๆ ไม่ต่ำกว่าพันครั้งด้วยมือตัวเองในความฝัน

    ซางเฉิงอวี่จับแขนของอูจี้หงเบาๆ ให้มันควบคุมอารมณ์

    สามคนนั้นมาถึงกึ่งกลางห้องโถง บนร่างและในมือพวกมันล้วนไม่มีอาวุธ แต่นอกจากหนิงอ๋อง ซางเฉิงอวี่ อูจี้หงกับพ่อลูกแซ่หลี่แล้ว คนทั้งหมดล้วนรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง…เหมือนเช่นพลันอยู่ร่วมห้องกับสัตว์ร้ายป่าเถื่อนหลายตัวโดยไม่มีคอกรั้วปิดกั้น คราก่อนที่มีความรู้สึกเช่นนี้คือตอนที่ซางเฉิงอวี่มาตำหนักหนิงอ๋อง

    หนิงอ๋องกลับไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย จูเฉินเหาที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ตั้งแต่เกิดมาก็คิดว่าคนทั่วหล้าล้วนควรถูกมันสั่งการ และไม่มีผู้ใดคุกคามมันได้ มันมองดูคนทั้งสามด้วยสายตาตื่นเต้นเร่าร้อนดุจดั่งเด็กมองดูของเล่นใหม่ที่ได้มา

    ผู้ที่ยืนตรงกลางประสานหมัดแสดงมารยาทต่อหนิงอ๋องและเอ่ยปาก

    “เหยาเหลียนโจวเจ้าสำนักอู่ตัง นำเยี่ยเฉินยวนรองเจ้าสำนักและซีเสี่ยวเหยียนผู้เป็นศิษย์มาเข้าพบท่านอ๋องพร้อมกัน”

    หลิวหย่างเจิ้งกับกุนซือและขุนพลจำนวนมากของตำหนักอ๋อง แม้มองออกก่อนแล้วว่าคนตรงหน้าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แต่ขณะได้ยินว่าเป็นเจ้าสำนักอู่ตังก็ยังคงตกตะลึง

    เป็นบุรุษที่นำเพียงคนไม่กี่ร้อยทำลายราชองครักษ์ค่ายพลเสินจีไปครึ่งขบวน คนบ้าที่กล้าปะทะกับจักรพรรดิซึ่งหน้า นักโทษอันดับหนึ่งในหมายจับราชสำนักอยู่ตรงหน้านี้เอง

    เหยาเหลียนโจวหาได้มองดูซางเฉิงอวี่สักแวบไม่ มันเพียงก้มศีรษะกล่าวต่อหนิงอ๋องสืบต่อ “ก่อนหน้านี้สำนักเราถูกราชสำนักยกทัพปราบปรามโดยไม่ทราบสาเหตุ เหล่าสหายร่วมสำนักสู้จนตัวตายด้วยความอาจหาญ สำนักอู่ตังพินาศย่อยยับ พวกข้าผู้เหลือรอดมีความแค้นกับจูโฮ่วจ้าว ไม่ขออยู่ร่วมฟ้า วันนี้สวามิภักดิ์ตำหนักหนิงอ๋องด้วยใจจริง ประกอบคุณูปการแด่ท่านอ๋อง เพียงเพื่อชำระหนี้แค้น ลบล้างความอัปยศ ฟื้นฟูอู่ตัง”

    คำพูดนี้ของเหยาเหลียนโจวหาได้กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ ถึงขั้นน้ำเสียงเฉยชาเล็กน้อย แต่กลับแฝงลักษณะน่าเกรงขามสุดบรรยาย เรียกขานพระนามของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันโดยตรงและยกเป็นศัตรูคู่แค้น ยิ่งผิดทำนองคลองธรรม มันกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย แต่กลับชวนให้รู้สึกถึงความอหังการที่มิอาจปิดบังอำพราง หมางเมินใต้หล้า

    ขณะฟังซางเฉิงอวี่รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เหยาเหลียนโจวที่มันรู้จักแต่ไรมาไม่ถนัดคำพูดพิธีการ ถ้อยคำเช่นนี้ถึงแม้มีผู้อื่นร่างให้ เหยาเหลียนโจวในอดีตไม่มีทางท่องจำแล้วกล่าวออกมาเป็นอันขาด แต่ตอนนี้กลับเหมือนสารภาพด้วยความจริงใจเองทั้งหมด น้ำเสียงเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

    สิ่งที่ทำให้ซางเฉิงอวี่ประหลาดใจยิ่งกว่า กลับเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อมา

    เหยาเหลียนโจวนำเยี่ยเฉินยวนและซีเสี่ยวเหยียนคุกเข่าจำนนเบื้องหน้าหนิงอ๋องทั้งสามคน

    นี่ขัดแย้งกับความรู้ความเข้าใจทั้งหมดต่อเหยาเหลียนโจวของซางเฉิงอวี่อย่างสิ้นเชิง

    เหยาเหลียนโจวคุกเข่าพลางประสานมือทั้งสองให้หนิงอ๋องขึ้นสูงๆ ใบหน้าก้มหาพื้นกระดาน สีหน้าจริงใจอย่างยิ่ง

    หลี่จวินหยวนที่อยู่อีกด้านหนึ่งมองดูฉากที่เฝ้ารอมานานแล้วด้วยหัวใจลิงโลด หลายปีที่ผ่านมามันแทรกแซงยุทธภพ ใช้แผนการกับเส้นสายหลากหลายชักใยอยู่เบื้องหลัง เป้าหมายเพียงเพื่อรับนักสู้ที่ร้ายกาจทั้งหลายให้ตำหนักหนิงอ๋อง

    และในที่สุดมันก็บรรลุผลลัพธ์ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว เหยาเหลียนโจวที่เคยสยบเหล่าผู้กล้าที่ซีอาน เจ้าสำนักอู่ตังที่ ‘พันขุนเขาฤๅเทียบเท่ายอดบรรพต’ ผู้นั้น วันนี้เข้าเป็นลูกน้องหนิงอ๋องแล้ว

    หนิงอ๋องกลับมิได้ตอบเหยาเหลียนโจว แต่มองไปยังซางเฉิงอวี่ด้วยสายตาสอบถาม

    ซางเฉิงอวี่ใช้ความพยายามอย่างมากที่สุดควบคุมอารมณ์บ้าคลั่งในใจ มันยืนขึ้นโดยไม่แสดงสีหน้า ประสานมือกล่าวอย่างเฉยชาต่อหนิงอ๋อง “ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋อง ที่ใต้อาณัติมีขุนพลห้าวหาญเพิ่มขึ้นอีกหลายคน”

    เมื่อได้ฟังคำพูดประโยคนี้ หลี่จวินหยวนยิ่งภาคภูมิใจ สำหรับมันซางเฉิงอวี่กล่าวคำพูดนี้ก็เท่ากับยอมแพ้

    ข้านำศัตรูคู่แค้นที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าเข้ามาตำหนักอ๋องแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรได้

    หลี่จวินหยวนจินตนาการว่าตนเองคล้ายได้ตบหน้าซางเฉิงอวี่แรงๆ หนึ่งฉาด

    หนิงอ๋องปรากฏสีหน้าปีติยินดี รีบเชิญพวกเหยาเหลียนโจวทั้งสามลุกขึ้น

    “เจ้าเด็กนั่นดื้อดึงเอาแต่ใจ ทำสงครามมากเกินควร ทั้งไม่ชมชอบวีรบุรุษในโลกหล้า และกำจัดผู้เด่นล้ำในราชสำนักอย่างไร้สาเหตุ ช่างเป็นกษัตริย์ที่ไร้ความชอบธรรมยิ่งนัก” จูเฉินเหาถือโอกาสกล่าวถึงความผิดของจักรพรรดิ หลังหยุดชะงักก็กล่าวอีก “วันนี้ได้ทั้งสามท่านเข้าร่วมพันธมิตรตำหนักข้า ช่างเป็นวาสนาของปวงประชาโดยแท้ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งเหยาเซียนเซิงเป็น ‘ยอดขุนพลหงส์เหิน’ เยี่ยเซียนเซิงเป็น ‘ขุนพลพิเศษเหยี่ยวทะยาน’ ผู้กล้าซีเป็น ‘ขุนพลตระเวนรบ’ หวังว่าทั้งสามท่านจะร่วมแรงร่วมใจกับขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งตำหนักอ๋อง คืนความสุขสันติให้แผ่นดิน วันหน้าหากข้าสำเร็จการใหญ่ ต้องสร้างอารามอวี้เจินเขาอู่ตังขึ้นใหม่ให้ท่าน และแต่งตั้งสำนักอู่ตังเป็นผู้นำยุทธภพในใต้หล้า ช่วยท่านเชิดชูสำนักอู่ตังอย่างแน่นอน!”

     

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ เพลงกลอนคลั่งยุทธ์เล่ม 17 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook