Uncategorized
ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 3 ตอนที่ 1
บทที่ 20
ตวนมู่ชุ่ยสนทนากับอาหมีอีกครู่หนึ่งเพื่อถามเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับจั่นเจา จากนั้นจึงเข้าไปในกระโจมหลัก
ทหารสองนายที่คุมตัวจั่นเจาเห็นท่านแม่ทัพเข้ามา นายหนึ่งจึงกดบ่าจั่นเจา อีกนายถีบไปที่ข้อพับขา ตวนมู่ชุ่ยโบกมือแสดงเจตนาว่าไม่ต้องบังคับเขาคุกเข่า เมื่อนางโบกมืออีกครั้งทั้งสองก็เข้าใจ ต่างทำความเคารพแล้วล่าถอยออกไป
ตวนมู่ชุ่ยเดินมาที่เบื้องหน้าจั่นเจาและกวาดตาขึ้นลงมองประเมินเขาอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร แต่ขณะจะเดินอ้อมผ่านเขาไปนั่งก็พลันร้องออกมา สายตาจับอยู่ที่แผ่นหลังจั่นเจา
เดิมจั่นเจาถูกฟันที่หลังไปแผลหนึ่ง ตอนเช้าเพิ่งให้ท่านหมอในกองทัพใส่ยาพันแผลให้ เมื่อครู่ถูกทหารสองคนจับมัดอย่างรุนแรงดุจเสือดุจหมาป่า เชือกจึงเสียดสีจนโลหิตสดอาบชุ่มออกมาอีกครั้ง ตวนมู่ชุ่ยเห็นแล้วทนดูไม่ได้ หลังนิ่งเงียบไปชั่วขณะนางก็หยิบมีดสั้นออกมาจากข้างเอว เดินเข้าไปจะคลายเชือกให้จั่นเจา
จั่นเจาตะลึงงัน พยายามหลบด้วยสัญชาตญาณพลางโพล่งออกมา “เมื่อครู่ท่านแม่ทัพยังตำหนิแม่นางอาหมีที่ปลดพันธนาการให้ข้า ตอนนี้จะคลายเชือกให้ข้า ไม่กลัวจะมีปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมาหรือ”
ตวนมู่ชุ่ยเลิกคิ้วงามขึ้นเล็กน้อยและยิ้มหวาน “กลัวอะไร เมื่อครู่ข้าถามดูแล้ว เจ้าเป็นคนตงอี๋ชนเผ่าจั่น จะว่าไปแล้ว ซีฉียกทัพมาราบรื่นเช่นนี้ก็เพราะโชคดีได้ชาวตงอี๋ยกทัพมาหน่วงเหนี่ยวทัพใหญ่ของซางโจ้ว*ไว้…หาไม่ทัพใหญ่ซางโจ้วกวัดแกว่งอาวุธเข้าต่อต้าน ทัพซีฉีเราคงต้องประสบหายนะจริงๆ หลายวันก่อนชนเผ่าจั่นยังส่งข่าวมาถึงท่านอัครเสนาบดี ผู้อาวุโสทั้งหลายสบายดีหรือ อู่หวังสั่งให้พวกเขารออยู่ที่ฉีซาน เจ้าเป็นคนของชนเผ่าจั่น เหตุใดจึงมาอยู่ที่เมืองอันอี้ได้”
นางพูดเช่นนั้นพลางก้มหน้าช่วยแก้มัดให้จั่นเจา ขณะมีดสั้นเฉือนปมเชือกช้าๆ หูก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะของจั่นเจา ตวนมู่ชุ่ยในใจสั่นสะท้าน มือที่กำลังเคลื่อนไหวหยุดนิ่งทันทีและเงยหน้าขึ้นมอง “เจ้าหัวเราะอะไร”
จั่นเจากล่าวยิ้มๆ “ข้าหัวเราะท่านแม่ทัพที่พูดเสียเป็นจริงเป็นจังราวกับตงอี๋มีชนเผ่าจั่นจริง ที่ว่าผู้อาวุโสส่งข่าวถึงอัครเสนาบดีอะไรนั่น คิดว่าท่านแม่ทัพคงแต่งเรื่องขึ้นมาเองทั้งสิ้น ถ้าข้ามีแผนการร้ายในใจและคล้อยตามคำพูดตอบไปว่าใช่ ท่านแม่ทัพย่อมคาดเดาได้ทันทีว่าข้ากำลังโกหก ไม่ผิดกระมัง”
ตวนมู่ชุ่ยนิ่งฟังเขาพูดจนจบ ใบหน้าก็ค่อยๆ มีรอยยิ้มผุดขึ้นก่อนเอามีดสั้นเสียบกลับเข้าไปในฝักรูปปากปลาช้าๆ “เจ้าเฉลียวฉลาดอย่างที่คิด จะหลอกถามกลับถูกมองทะลุ ดูแล้วเจ้าไม่ใช่บุคคลธรรมดา จะไม่ระวังคงไม่ได้”
จั่นเจาฝืนยิ้ม “ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อท่านแม่ทัพ เพียงแต่จนใจที่ไม่อาจพิสูจน์ตัวเองได้”
ตวนมู่ชุ่ยยิ้มหยัน “เจ้าย่อมไม่มีทางพิสูจน์ตัวเอง ความเป็นมาของเจ้าไม่แน่ชัด ทั้งยังพัวพันไม่ชัดแจ้งกับบ้านสกุลฉีมู่ แม้แต่การตายของอวี๋ตูเจ้าก็ยังสลัดข้อกล่าวหาไม่หลุด ไม่เคยคิดร้าย? ยามเจ้าเอ่ยคำพูดนี้ออกมาไม่รู้สึกว่าน่าขันหรือ”
“ทุกคำพูดของข้าจั่นเจาเป็นความจริง ถามตัวเองดูแล้วไม่มีอะไรที่ต้องละอายใจ และไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าขัน”
จั่นเจาพูดอย่างนอบน้อมจริงใจจนชั่วขณะหนึ่งตวนมู่ชุ่ยรู้สึกว่าตนเองเกือบจะเชื่ออยู่แล้ว แต่แล้วนางก็เปลี่ยนความคิด ด้วยว่าพวกสายลับไม่ว่าคำพูดแบบใดก็คงฝึกฝนมาจนเชี่ยวชาญ พูดเท็จจนดูจริงยิ่งกว่าความจริง ไม่อาจหลงเชื่อง่ายๆ
จั่นเจาเห็นนางสีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวขาวก็รู้ว่าตวนมู่ชุ่ยหาได้เชื่อเขาจึงร้อนรนในใจ แต่ก็ไม่มีแผนการอะไรที่จะนำมาใช้ได้ ความคิดอย่างหนึ่งพลันผุดขึ้นมา…ข้ากับตวนมู่สนิทสนมกันเช่นนั้น ไยต้องมาใช้วาจาซ่อนคมโต้เถียงเอาเป็นเอาตายกับนางอยู่ที่นี่ เพียงถามนางว่าที่แท้แล้วยังจำเรื่องที่ไคเฟิงได้หรือไม่ ถ้านางจำได้ย่อมเป็นตวนมู่ไม่ต้องสงสัย แต่…ถ้าจำได้จริง แล้วเหตุใดจึงเห็นข้าเป็นศัตรู แล้วถ้าจำไม่ได้ ข้าก็จะมั่นใจว่านางไม่ใช่ตวนมู่ชุ่ยเช่นนั้นหรือ
จิตใจจั่นเจาสับสนว้าวุ่นเป็นที่สุด ขณะใจลอยอยู่นั้นก็พลันได้ยินตวนมู่ชุ่ยถามขึ้น “นี่เป็นกระบี่ประจำตัวเจ้าหรือ”
จั่นเจาเงยหน้าขึ้นมอง จำได้ว่าที่ตวนมู่ชุ่ยถืออยู่ในมือคือจวี้เชวี่ยจึงพยักหน้า “ใช่”
ตวนมู่ชุ่ยชักกระบี่ออกมาดูอย่างละเอียด ปลายนิ้วลูบไล้ไปที่ตัวกระบี่อันเยียบเย็นช้าๆ และนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “เป็นกระบี่ที่ดีเล่มหนึ่ง กระบี่เล่มนี้ของเจ้ามีนามให้เรียกหาหรือไม่”
ครั้นถามคำถามนี้ออกไป ในใจของนางก็รู้สึกตื่นเต้นหลายส่วน
“มีนามว่าจวี้เชวี่ย”
มือที่ถือกระบี่ของตวนมู่ชุ่ยสั่นน้อยๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น นางกุมด้ามกระบี่ไว้แน่น มองไปที่จั่นเจา ถามอย่างบีบคั้นกดดัน “จั่นเจา กระบี่ของเจ้าเคยหักมาก่อนหรือไม่”
จั่นเจาเงยหน้าขึ้นมาทันที สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“แสดงว่าเคย” ตวนมู่ชุ่ยกัดฟัน “ใครเป็นคนเชื่อมกระบี่ให้เจ้าใหม่อีกครั้ง”
จั่นเจาจ้องมองตวนมู่ชุ่ย คำว่า ‘เจ้า’เกือบจะหลุดออกจากปากในทันที
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถอนสายตากลับ ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ เอ่ยเสียงราบเรียบ “ไม่มีลมย่อมไม่เกิดคลื่น จู่ๆ ท่านแม่ทัพก็ถามเรื่องกระบี่เล่มนี้ว่าเคยหักมาก่อนหรือไม่ ทั้งถามถึงคนเชื่อมกระบี่ ข้าคิดว่าท่านแม่ทัพหาใช่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเชื่อมกระบี่ หากแต่ไม่สมัครใจจะเชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นคนเชื่อมกระบี่ ด้วยเหตุนี้จึงมาซักไซ้ไล่เลียงกับข้า ไม่ผิดกระมัง”
ตวนมู่ชุ่ยถูกจั่นเจายอกย้อนกะทันหัน ไม่อาจหาคำพูดมาโต้แย้งได้ทัน ริมฝีปากขยับไปมาอย่างรู้สึกขัดเคืองอย่างยิ่ง “จั่นเจา ข้าไม่เคยพบเจ้า แล้วเพราะเหตุใดใครๆ ต่างบอกว่ากระบี่ของเจ้า ข้าเป็นคนซ่อมแซม”
พูดจบนางก็โยนกระบี่ลงกับพื้นอย่างแรง ขอบตาแดงเรื่อ หมุนตัวหันหลังให้…นางรู้ว่าไม่เหมาะจะเสียกิริยาต่อหน้าจั่นเจา
“ไม่ใช่เจ้า”
ตวนมู่ชุ่ยสะท้านไปทั้งร่าง ครั้นหันกลับมามองก็สบเข้ากับสายตาอบอุ่นเจือรอยยิ้มของจั่นเจาพอดี
“คนที่ช่วยเชื่อมกระบี่ให้ข้ารูปร่างหน้าตาคล้ายกับท่านแม่ทัพมากก็จริง แต่…” พูดถึงตรงนี้เขาก็ส่ายศีรษะน้อยๆ “ไม่ใช่”
ตวนมู่ชุ่ยโล่งใจ ใบหน้ามีรอยยิ้มผุดขึ้น “ไม่ใช่จริงหรือ”
เวลานี้ในใจของนางไร้ห่วงกังวล ยิ้มออกมาอย่างงามเพริศพริ้ง ไม่ต่างอะไรกับตวนมู่ชุ่ยตอนอยู่นอกห้วงลึก ในใจของจั่นเจามีความอบอุ่นบางเบาแผ่กระจายออกมา เขาสบตาตวนมู่ชุ่ยที่มองมาอย่างสอบถามก่อนตอบอย่างจริงจัง “ไม่ใช่จริงๆ”
ตวนมู่ชุ่ยระบายลมหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกวางใจลง
นางมองจั่นเจาอีกครั้ง คนผู้นี้พูดจานุ่มนวล อากัปกิริยาสุภาพมีมารยาท จึงรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นมาหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว
พอคิดอีกทีก็นึกแปลกใจขึ้นมาอีก “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าคนที่เชื่อมกระบี่ผู้นั้นรูปร่างหน้าตาคล้ายข้ามาก เป็นอิสตรีผู้หนึ่งกระมัง คล้ายมากจริงหรือ คล้ายมากเพียงใด นางชื่ออะไร”
จั่นเจาจนคำพูดไปชั่วขณะ ทว่าแววตาตวนมู่ชุ่ยเต็มไปด้วยความร้อนใจ ท่าทางคล้ายไม่ซักถามจนถึงที่สุดจะไม่ยอมเลิกรา จั่นเจาจำต้องกัดฟันแต่งเรื่องขึ้นเดี๋ยวนั้น “เค้าโครงรูปร่างหน้าตาคล้ายกับท่านแม่ทัพมาก แต่ถ้าเพ่งพิศดูอย่างละเอียดก็จะรู้ว่าไม่ใช่คนเดียวกัน นางชื่อ…”
ชื่ออะไร…เรื่องนี้ทำให้จั่นเจาต้องยอมจำนน เดิมเขาก็ไม่เชี่ยวชาญการตั้งชื่อให้ใครอยู่แล้ว ตั้งไปส่งๆ สักชื่อก็ใช่จะทำไม่ได้ แต่เขาไม่อยากใส่ชื่อบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ แสงจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง ดอกโบตั๋นอะไรพวกนี้ลงไปในชื่อของตวนมู่ชุ่ยจริงๆ
หลังลังเลอยู่ชั่วขณะ เขาจึงว่า “แม่นางผู้นั้นอุปนิสัยค่อนข้างแปลก ไม่เคยบอกชื่อแซ่ของนางให้ข้ารู้”
ในยุคแต่งตั้งเทพเซียน เรื่องประหลาดคนประหลาดมีปรากฏขึ้นมาไม่ขาดสาย ด้วยเหตุนี้ตวนมู่ชุ่ยจึงรับได้กับคำอธิบายของจั่นเจา นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามต่อ “ดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัวของเจ้า ไม่คล้ายเป็นคนท้องถิ่น เจ้ามาทำอะไรที่เมืองอันอี้”
แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่ได้สังเกตว่าน้ำเสียงตนนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก
จั่นเจากระจ่างแจ้งแก่ใจ หากเขาไม่บอกความเป็นมาของตนให้ชัดเจน จะถามสักกี่คำถามก็เป็นไปไม่ได้ที่ตวนมู่ชุ่ยจะเลิกหวาดระแวง
ปัญหาอยู่ที่…เขาอยากให้ความกระจ่าง แต่ตวนมู่ชุ่ยจะยอมเชื่อหรือ
ยากนักที่ระหว่างคนทั้งสองจะสนทนาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ก้าวแรกได้ แต่ก่อนแต่ไรเจอกันก็ทำท่าจะชักดาบเข้าห้ำหั่นกัน ทว่าครั้งนี้จั่นเจาไม่สมัครใจจะเสี่ยงภัยไปทำเช่นนั้น หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็มองประสานสายตากับตวนมู่ชุ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “จั่นเจาไม่อยากหลอกลวงท่านแม่ทัพ ข้ากับซีฉีและเจาเกอหาได้มีอันใดเกี่ยวข้องกัน กับตงอี๋หรือชนเผ่าจั่นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวพันกัน ตั้งแต่เล็กจั่นเจาก็กราบผู้เยี่ยมยุทธ์เป็นอาจารย์ ฝึกฝนวรยุทธ์ อาจารย์เป็นจอมยุทธ์ที่อยู่อย่างสันโดษ ได้แต่ท่องเที่ยวไปตามป่าเขา ไม่ปรารถนาจะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นต่างๆ กระบี่จวี้เชวี่ยท่านอาจารย์เป็นผู้มอบให้ ก่อนหน้านี้ไม่นานด้วยสาเหตุบางประการจึงเสียหาย ต่อมาด้วยบุญวาสนาให้บังเอิญไปเจอเทพเซียนสตรีที่หน้าตาคล้ายท่านแม่ทัพและช่วยข้าเชื่อมกระบี่ ก่อนเทพเซียนผู้นั้นจะจากไปได้บอกว่า ‘ศีลธรรมทองเสื่อมทรุด ศีลธรรมไฟเจริญรุ่ง’*หวังว่าข้าจะสร้างผลงานขึ้นมาในยุคที่สับสนวุ่นวายนี้ คำพูดของนางทำให้ใจของข้าหวั่นไหว หลังจากกราบเรียนอาจารย์แล้วข้าจึงออกมาท่องเที่ยวยังโลกภายนอก เพิ่งมาถึงเมืองอันอี้ไม่กี่วันก่อน และรู้จักกับบ้านสกุลฉีมู่ได้สองสามวัน ระหว่างนั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ข้าเองก็คาดคิดไม่ถึง”
ข้ออ้างเหล่านี้ดูสมเหตุสมผล สอดคล้องกับสถานการณ์ส่วนใหญ่ช่วงปลายราชวงศ์ซาง ตอนนั้นต่างเล่าลือกันว่าซางเป็นศีลธรรมทอง โจวเป็นศีลธรรมไฟ ไฟเข้าแทนที่ทองเป็นสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้สูงส่งเหนือคนทั่วไปที่ซ่อนเร้นกายออกมาสู่โลกภายนอก เกลี้ยกล่อมผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้มีความสามารถให้ออกมาสร้างผลงานในช่วงสับเปลี่ยนราชวงศ์ เหตุการณ์เช่นที่จั่นเจากล่าวมานี้นับว่าปกติธรรมดายิ่งแล้ว
พอเขาพูดเช่นนี้ในใจของตวนมู่ชุ่ยก็เชื่อไปแปดเก้าส่วนแล้ว นางนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าเพิ่งมาถึงเมืองอันอี้แค่สองสามวัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จงเล่าเรื่องที่ทำให้รู้จักกับบ้านสกุลฉีมู่ รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันนี้มาให้ข้าฟังอย่างละเอียด”
จั่นเจาจิตใจค่อนข้างสงบแล้วจึงเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างละเอียด ใจของเขาสงบนิ่งเปิดกว้าง ไม่หลบเลี่ยงความรับผิดชอบ ไม่กลัวที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เคยช่วยบ้านสกุลฉีมู่เล่นงานคนที่สวมชุดสั้นตัดเย็บด้วยผ้าเก๋อ และไม่กลัวที่จะบอกว่าตนเคยประมือกับทหารของกองทัพซีฉีตอนกลางดึก
ตวนมู่ชุ่ยสีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวขาว ตอนได้ยินเรื่องคนสวมเสื้อผ้าเก๋อก็อดที่จะเดือดดาลไม่ได้ ทหารของทัพตวนมู่หลายนายนี้แม้จั่นเจาจะไม่ได้เป็นคนสังหาร แต่ถ้าเขาไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวก็คงไม่ถึงกับต้องจบชีวิตไปเปล่าๆ เช่นนี้
ครั้นฟังถึงเรื่องประมือกลางดึก ได้ยินจั่นเจาบอก ‘ไม่ได้ทำร้ายเขาถึงชีวิต เพียงดึงแขนเขาหลุดจากเบ้ากระดูกออกมาข้างหนึ่ง’ตวนมู่ชุ่ยก็แน่ใจทันทีว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นอวี๋ตู นางเคยตรวจดูศพของอวี๋ตูอย่างละเอียด นอกจากศีรษะหายไปแล้ว แขนข้างหนึ่งก็หลุดจากเบ้าเป็นแผลใหญ่อีกที่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าก็เป็นฝีมือของจั่นเจา
ชั่วขณะนั้นนางเดือดดาลยากจะทนไหว ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมต่อจั่นเจาที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเล็กน้อยพลันสลายหายไปจนหมดสิ้น ทว่าเรื่องใดสำคัญกว่านางยังพอรู้อยู่แปดส่วน หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง “จั่นเจา ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดมาไม่ใช่เรื่องเท็จ คนที่สังหารอวี๋ตูไม่ใช่เจ้า เช่นนั้นหากเจ้าหาฆาตกรตัวจริงมาได้ บางทีข้าอาจพิจารณาเรื่องที่แล้วมาก็ให้แล้วกันไป เปิดทางรอดให้เจ้าสักทาง”
จั่นเจายิ้มบาง “เรื่องนี้มีอันใดยาก ตอนข้าประมือกับผู้ช่วยแม่ทัพอวี๋ตู ในที่เกิดเหตุมีคนเพียงไม่กี่คน ถ้าท่านแม่ทัพช่วยเปิดทางสะดวก อนุญาตให้จั่นเจาไปสืบถามที่ค่ายเกาป๋อเจี่ยน จั่นเจาจะไม่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องผิดหวังแน่นอน”
ตวนมู่ชุ่ยยิ้มหวาน “ข้ามีความคิดเช่นนั้นอยู่พอดี เพียงแต่…”
“เพียงแต่ท่านแม่ทัพยังไม่อาจเชื่อถือจั่นเจา กลัวจั่นเจาจะฉวยโอกาสหลบหนี”
“ไม่ผิด วรยุทธ์เจ้าดีเพียงนี้ ในเมืองอันอี้คงมีไม่กี่คนที่สามารถต่อกรและจับเจ้ากลับมาได้”
“ท่านแม่ทัพพูดเช่นนี้ แต่สีหน้ากลับดูสบายอกสบายใจ คิดว่าคงมีแผนรับมือแล้ว”
ตวนมู่ชุ่ยยิ้มน้อยๆ เปิดฝากาทองแดงบนโต๊ะออก หยิบยาเม็ดสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงห้อยเอวใส่ลงไปในกา พริบตานั้นน้ำในกาส่งเสียงดังฉี่ ไอสีขาวแสบจมูกขุมหนึ่งพุ่งออกมาจากพวยกา
จั่นเจาสีหน้าสงบนิ่งไม่พูดอะไร ตวนมู่ชุ่ยเดินมาใกล้ แขนเสื้อสั่นไหวเล็กน้อย มีดสั้นไหลลงมาที่กลางฝ่ามืออีกครั้ง นิ้วมือรวบกุมด้ามมีดแน่นแล้วตัดปมเชือกให้
จั่นเจาผ่อนคลายไปทั่วร่าง ทว่ายังไม่ทันสะบัดเชือกที่ขาดออกหมด มีดสั้นของตวนมู่ชุ่ยก็จ่อมาที่หัวใจของเขาแล้ว
จั่นเจาหัวเราะ “ท่านแม่ทัพกลัวข้าจะไม่ดื่มหรือ”
ตวนมู่ชุ่ยหัวเราะ “รู้แล้วก็ดี”
จั่นเจายื่นมือไปยกกาสุราช้าๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ก่อนหน้านี้ท่านแม่ทัพบอกว่าจะให้ข้าไปหาฆาตกรตัวจริงที่สังหารอวี๋ตู คิดว่าคงไม่เอาชีวิตข้าเร็วเช่นนี้ ข้าเพียงอยากรู้ หากข้าดื่มสุรากานี้แล้วจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน”
“พรุ่งนี้ก่อนตะวันตกดิน เจ้าจะยังไม่ตาย”
“หลังจากตะวันตกดินเล่า”
ตวนมู่ชุ่ยยิ้มหยัน “นั่นก็ต้องดูว่าข้ายอมให้ยาถอนพิษแก่เจ้าหรือไม่”
จั่นเจายิ้มบาง “ก็ดี”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง แววตาจั่นเจาพลันเยียบเย็น นิ้วมือพุ่งออกไปดุจสายฟ้า ตวนมู่ชุ่ยตั้งตัวไม่ทัน ช่วงเอวชาวูบ ร่างล้มหงายไปข้างหลัง จั่นเจาเหยียดแขนยาวออกไปโอบเอวตวนมู่ชุ่ยไว้ในพริบตา ตวนมู่ชุ่ยเองก็ปฏิกิริยาไม่ชักช้าข้อมือหมุนเร็วรี่กดมีดสั้นไปที่ลำคอจั่นเจา แทบจะในเวลาเดียวกันพวยกาในมือจั่นเจาก็กดมาที่มุมปากตวนมู่ชุ่ย
“จั่นเจา” ตวนมู่ชุ่ยเดือดดาลสุดขีดแต่กลับหัวเราะ เพิ่มแรงมือขึ้นหลายส่วน “ถ้าเจ้าบุ่มบ่ามทำอะไร ข้าจะเชือดคอเจ้าเสีย”
“เช่นนั้นหรือ” มุมปากจั่นเจาหยักยกเป็นรอยยิ้มจางๆ พูดอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “ไม่ต่างกัน”
“นั่นไม่แน่” ตวนมู่ชุ่ยมีท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องแฝงอยู่ “ถึงข้าดื่มสุราลงไปยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้ แต่ถ้ามือของข้าเพียงขยับไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย…”
จั่นเจารู้สึกถึงปลายแหลมอันเยียบเย็นของมีดสั้นที่กดแรงขึ้น ทว่าใบหน้าเขายังคงสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไร “เช่นนั้นหรือ”
ขณะพูดเขาพลันปล่อยมือ
ตวนมู่ชุ่ยไม่ทันระวัง มือที่ประคองเอวอยู่หายไปจึงพยุงตัวไม่อยู่ ล้มหงายไปข้างหลัง
จั่นเจา…ถึงกับปล่อยตวนมู่ชุ่ยทิ้ง!
นับแต่โบราณมา มีแต่วีรบุรุษถนอมพฤกษาอาลัยหยกคอยประคับประคองหญิงงาม ไม่เคยเห็นใครเหมือนองครักษ์จั่นที่ไม่พูดไม่จาก็ปล่อยคนทิ้ง ทั้งยังปล่อยได้อย่างคล่องแคล่วไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตวนมู่ชุ่ยนึกไม่ถึง ความตื่นตะลึงปรากฏออกมาหมดสิ้น ทว่าก็ไม่เสียทีที่เป็นแม่ทัพ ถึงสถานการณ์เปลี่ยนก็ไม่ตื่นตระหนก นางตอบสนองไปตามเหตุการณ์ ปฏิกิริยาโต้ตอบฉับพลันทันทีเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม
พริบตาสุดท้ายก่อนที่ร่างจะกระแทกลงกับพื้น แสงสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากข้างเอว ปลายแหลมของดอกบัวทะลุใจพุ่งแหวกอากาศไปดุจผ่าทะลวงปล้องไม้ไผ่ขึ้นไปพันเกี่ยวเสาในกระโจมอย่างรวดเร็ว ตวนมู่ชุ่ยดึงรั้งดีดร่างขึ้นหมุนตัวกลางอากาศรอบหนึ่ง เรือนผมดุจม่านน้ำตก โซ่หมุนเป็นเส้นโค้ง เพียงชั่วประกายไฟแลบปลายหอกก็พลิกเปลี่ยนทิศทางแคล่วคล่องประหนึ่งงูปล้องเงิน*พุ่งตรงเข้าหาจั่นเจา
จั่นเจารู้ดีถึงอานุภาพของดอกบัวทะลุใจจึงไม่ประมาทแม้แต่น้อย ตามองปลายหอกที่พุ่งเข้ามา เข่าทั้งสองย่อลงหงายตัวไปทางด้านหลัง หอกติดโซ่พุ่งเข้ามาพร้อมแรงลม เฉียดผ่านใบหน้าเขาไปในระยะไม่เกินหนึ่งชุ่น แรงปะทะถึงกับทำให้เขารู้สึกเจ็บที่ผิวหน้า เพิ่งจะหลบพ้นกระบวนท่านี้ไปได้ ห่วงโซ่ก็ดังกังวานขึ้น ความว่องไวของตัวโซ่ไม่ต่างอะไรกับลำตัวงู ปลายหอกหมุนเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง จั่นเจาพลิกร่างดุจเหยี่ยวยื่นมือไปคว้าจวี้เชวี่ยที่พื้นพลางขว้างกาทองแดงในมือออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
เสียงเคร้งสั้นๆ ของโลหะกระทบกันดังเสียดหูยังไม่ทันจาง ดอกบัวทะลุใจที่พลังรุนแรงถึงกับแทงทะลุกาน้ำทองแดง จนปลายหอกคล้ายมีลูกโลหะติดอยู่
ตวนมู่ชุ่ยโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางออกแรงที่ข้อมือส่งพลังไปบนตัวโซ่ สะบัดกาทองแดงกระเด็น เห็นอีกฝ่ายเสียเวลาไปชั่วขณะจั่นเจาก็ยกมุมปากเล็กน้อย ร่างทะยานขึ้นดุจนกกระสาผ่านก้อนเมฆ พุ่งออกนอกกระโจมไป
ตวนมู่ชุ่ยช้าไปก้าวหนึ่ง กว่านางจะออกมาด้านนอก จั่นเจาก็กระโดดขึ้นไปบนยอดกระโจมแล้ว เขาใช้ปลายเท้าแตะหลังคาหยิบยืมพลังทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์อุบัติขึ้นอย่างฉับพลัน ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ด้านนอกต่างตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก ตวนมู่ชุ่ยแทบจะขบฟันขาวดุจเงินยวงจนแตก แม้จั่นเจาจะพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังเห็นร่างอยู่ในขอบเขตสายตา นางที่มีโทสะในใจรีบตวาดสั่ง “เอาธนูมา!”
ถ้าหากข้างมือมีธนูอยู่ ตวนมู่ชุ่ยมั่นใจเจ็ดถึงแปดส่วนว่าจะขวางจั่นเจาไว้ได้
แต่ทหารรักษาการณ์ที่อยู่นอกกระโจมต่างเป็นทหารเดินเท้าถือง้าว หากต้องการง้าวต้องการดาบเพียงยื่นมือไปก็ได้มาเป็นกอบเป็นกำ แต่จะเอาธนูจะเอากระบี่กลับไม่อาจหามาให้ได้ทันที กว่าทหารที่รับคำสั่งจะถือคันธนูอุ้มถุงหนังใส่ลูกธนูวิ่งตึกๆ มาให้จั่นเจาก็หายลับไปนานแล้ว
“ท่าน…ท่านแม่ทัพ ธนู”
ถ้าทหารผู้นี้เข้าใจตวนมู่ชุ่ยมากสักหน่อยและล่าถอยออกไปเงียบๆ บางทีก็คงไม่มีเรื่องอะไร พึงรู้ว่าตวนมู่ชุ่ยในเวลานี้กำลังอารมณ์เสีย ใครเจอเข้าคนนั้นก็โชคร้าย แต่เขากลับไม่เข้าใจสถานการณ์ เอ่ยคำว่า ‘ธนู’ออกมา
ตวนมู่ชุ่ยหันหน้ามาช้าๆ ช้าจนเขาอกสั่นขวัญแขวน
“เจ้าไม่รู้จักวิ่งให้เร็วหน่อยหรือ”
เร็วหน่อย…
น่าสงสารทหารผู้นี้มีโอกาสได้พูดจาโดยตรงกับผู้บังคับบัญชาชั้นสูงน้อยยิ่ง สมองจึงออกจะทึ่มทึบ ภายใต้ความเลอะเลือนจึงแก้ตัวออกไป “ผู้น้อยพยายาม…สุดกำลังแล้ว…”
“สุดกำลังยังวิ่งช้าเพียงนี้ ถ้าออกสนามรบสังหารศัตรูจริงยังจะพึ่งเจ้าได้หรือ” ตวนมู่ชุ่ยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
“ไม่…ไม่ได้” ในที่สุดพลทหารรักษาการณ์ก็สำนึกได้ว่าไม่อาจต่อปากต่อคำกับผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาว่าอย่างไรก็ให้คล้อยตามไป
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังจะยืนทื่ออยู่ไย” ตวนมู่ชุ่ยช่วยชี้ทางให้เขา “วนรอบค่ายแห่งนี้ วิ่งไป”
“ผู้น้อยขอบคุณท่านแม่ทัพ…ที่ช่วยชี้แนะ” ทหารรักษาการณ์อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา มือหนึ่งเอาคันธนูขึ้นสะพายไหล่ อีกมือหนึ่งโอบถุงหนังใส่ลูกธนูไว้แน่น ก้าวย่ำก้าวย่ำ เริ่มวิ่งตึกๆ สร้างเสริมร่างกายให้แข็งแรง
ครั้งนี้เขาฉลาดขึ้นแล้ว ไม่ได้ถามตวนมู่ชุ่ยว่าต้องวิ่งกี่รอบ เขากลัวมากว่าตวนมู่ชุ่ยจะตอบช้าๆ ตามสบาย ‘หนึ่งพันหรือแปดร้อยรอบ เจ้าไตร่ตรองดูเองเถิด’
ทหารรักษาการณ์ที่ยืนอยู่ใกล้หน่อยแอบหัวเราะเยาะเขา มีหลายนายที่กลั้นไม่อยู่จนหัวเราะออกมาเสียงดัง
แต่ครู่เดียวพวกเขาก็เลิกหัวเราะแล้ว เพราะตวนมู่ชุ่ยกำลังมองมาและยิ้มอย่างมีเลศนัย
“น่าขำมากกระมัง” ตวนมู่ชุ่ยน้ำเสียงนุ่มนวล “พวกเจ้าวิ่งได้เร็วกว่าเขา?”
“ไม่…ไม่เร็วกว่าขอรับ”
“แล้วยังจะยืนอยู่ไย”
พริบตาถัดมา เสียงเสื้อเกราะโลหะกระทบกันก็ดังขึ้น ทหารอีกหลายนายได้เข้าร่วมขบวนวิ่งเพื่อสร้างเสริมร่างกายให้แข็งแรง
สายตาของตวนมู่ชุ่ยกวาดมองไปซ้ายขวารอบหนึ่ง
ดีมาก ทหารรักษาการณ์ทั้งหมดต่างยืนตรง ตามองจมูก จมูกมองใจ ในใจไม่กล้ามีความคิดว่อกแว่ก
โลกสงบเงียบแล้ว