• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 3 ตอนที่ 1

    ช่วงอาหารค่ำอาหมีมาปรนนิบัติตวนมู่ชุ่ยกินอาหาร เรื่องตอนกลางวันนางได้ยินข่าวมาบ้างแล้ว แต่ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์แต่ละนายต่างแข่งกันนิ่งเงียบพูดน้อย โดยเฉพาะหลายนายที่วิ่งจนหอบเหมือนเพิ่งขึ้นมาจากในน้ำ ถามพวกเขาก็ยิ่งปิดปากเงียบ

    นางหมดหนทาง ได้แต่ระมัดระวังเลียบๆ เคียงๆ เอากับตวนมู่ชุ่ย

    “คุณหนู” อาหมีกัดริมฝีปาก ประคองชามน้ำแกงที่ตักเสร็จอยู่ในมือ แต่ยังไม่ยื่นส่งให้ “ข้าได้ยินว่าจั่นเจาไปแล้ว”

    “อืม”

    “คุณหนูปล่อยเขาออกไปสืบคดีผู้ช่วยแม่ทัพอวี๋ตูหรือ”

    เรื่องไหนไม่อยากให้พูดก็ดันพูดออกมา ตวนมู่ชุ่ยสีหน้าเคร่งขรึมลงทันที ข้าวก็ไม่กินแล้ว นางวางตะเกียบกระแทกลงกับโต๊ะ ขณะจะเปิดปาก…

    “ผู้ใด!”

    “มีคนร้าย!”

    ท่ามกลางเสียงเอะอะอึกทึก มีเสียงของหนักตกลงพื้นดังขึ้น ตวนมู่ชุ่ยสีหน้าแปรเปลี่ยน เร่งก้าวเร็วๆ เลิกม่านออกไปจากกระโจม อาหมีรู้ว่ามีเหตุผิดปกติ มือจึงแตะดาบพัวเตาแล้วตามไปข้างหลังติดๆ

    ตรงกลางลานด้านหน้ากระโจม ทหารรักษาการณ์สิบกว่าคนห้อมล้อมเป็นวงกลม ง้าว ทวนในมือชี้ไปข้างหน้า พุ่งคมทั้งหมดเข้าหาคนสองคนที่อยู่กลางลาน

    หากบอกว่าสองคนก็ดูจะขาดความยุติธรรมไปสักหน่อย เพราะหนึ่งในนั้นถูกมัดโดยใช้เชือกคล้องคอแล้วผูกแขนทั้งสองข้างไพล่หลัง ในปากมีผ้ายัดอยู่ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ส่งเสียงอืออา ศีรษะและใบหน้าเต็มไปด้วยคราบโลหิต คนผู้นี้ก็คือเฉิงฉี่ หัวหมู่ในสังกัดเกาป๋อเจี่ยน

    ส่วนอีกคนหนึ่ง…

    สายลมยามราตรีพัดพรู ชายเสื้อคลุมสีน้ำเงินสะบัดพลิ้ว ริมฝีปากเรียวบางเม้มแน่น ดวงตาวาวดุจคบเพลิง

    ตวนมู่ชุ่ยสีหน้าเย็นชา ทว่าส่วนลึกในใจกลับคลี่ยิ้มจางๆ

    จั่นเจา ไม่นึกว่าเจ้าจะกลับมาอีก

    “เกี่ยวกับคดีสังหารผู้ช่วยแม่ทัพอวี๋ตู ขอให้แม่ทัพตวนมู่ร่วมกับแม่ทัพเกาป๋อเจี่ยนไต่สวนคนผู้นี้ร่วมกัน”

    เสียงของจั่นเจาไม่ดังแต่ก็ทรงพลังเพียงพอ ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย ทุกถ้อยคำชัดเจน

    ท่ามกลางสีสันยามราตรี ดวงตาของเขาใสกระจ่างและลึกล้ำ ทะลุผ่านหมอกบางในราตรีกาล มองสบสายตาตวนมู่ชุ่ยวาบหนึ่งแล้วเบนออก

    ตวนมู่ชุ่ยหลุบตาลงเล็กน้อย สั่งอาหมีเสียงต่ำ “เชิญแม่ทัพเกา”

     

    อาหมีไปถึงค่ายเกาป๋อเจี่ยน เพียงบอกแม่ทัพตวนมู่เชิญพบ ไม่ได้เปิดเผยอะไรมาก เกาป๋อเจี่ยนคงเข้าใจว่าตวนมู่ชุ่ยจะเชิญเขาไปกินอาหาร ใบหน้าจึงแดงเปล่งปลั่งท่าทางดีอกดีใจยิ่ง ถามโน่นถามนี่อาหมีไปตลอดทางอย่ากระตือรือร้นเป็นที่สุด ท่านชิวซานโบกพัดขนหางไก่ฟ้าเดินตามอยู่ข้างหลัง ในฐานะมันสมอง เขาไม่เหมือนเกาป๋อเจี่ยนที่หลับหูหลับตามองโลกในแง่ดีเช่นนั้น คิดหน้าคิดหลังดูแล้วก็รู้สึกว่าการ ‘เชิญพบ’ในครั้งนี้ของตวนมู่ชุ่ยมาอย่างมีเลศนัย แต่เลศนัยอยู่ตรงไหนกันแน่ เขาก็บอกไม่ถูก

    กระทั่งเข้ามาในกระโจมหลักแล้ว เกาป๋อเจี่ยนจึงรู้สึกว่าสถานการณ์ผิดปกติ เพียงเห็นสองฟากข้างชูหอกชูง้าวกันสลอน ตวนมู่ชุ่ยนั่งอยู่หลังโต๊ะประธานในที่สูง เอามือเท้าคางก้มหน้า สีหน้าเฉยเมย แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาก็คงรู้ว่าพวกเกาป๋อเจี่ยนมาถึงแล้ว แต่กระทั่งหนังตายังไม่แม้แต่จะลืมขึ้น

    ว่ากันตามเหตุผลแม้ฐานะของตวนมู่ชุ่ยจะสูงกว่า แต่ต่างก็เป็นแม่ทัพเช่นกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุหรือผล นางก็ไม่ควรเมินเฉยต่อเกาป๋อเจี่ยนเช่นนี้ เกาป๋อเจี่ยนก็ดูเหมือนจะรู้สึกถึงความไม่ถูกต้องแล้ว ขณะจะเอ่ยปาก ท่านชิวซานพลันยื่นมือมาแตะข้อศอกของเขา ทำปากยื่นไปยังคนที่คุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะ

    คนที่คุกเข่าอยู่ผู้นั้น…

    เกาป๋อเจี่ยนเห็นแล้วคุ้นตา ยามกะทันหันจึงนึกชื่อแซ่ไม่ออก แต่ดูจากการแต่งกายก็รู้ว่าอยู่ในสังกัดของตน เกาป๋อเจี่ยนในใจพลันตื่นตะลึง อยู่ดีๆ ก็เชิญตนมา ในกระโจมยังมีทหารในสังกัดของตนคุกเข่าอยู่นายหนึ่ง…

    ขณะคิดเช่นนี้ก็หันไปมองอีกคนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างหลายครั้ง เห็นคนผู้นั้นอย่างมากก็อายุสิบสามสิบสี่ปี ผมยุ่งกระเซิง หน้าตาสกปรกมอมแมม เป็นเด็กหนุ่มเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคนหนึ่ง

    อาหมีก้าวเท้าเร็วๆ มาที่ข้างกายตวนมู่ชุ่ย เอ่ยเสียงต่ำ “คุณหนู แม่ทัพเกามาแล้วเจ้าค่ะ จะเปิดการไต่สวนเลยหรือไม่”

    ตวนมู่ชุ่ยสั่นศีรษะ “รอจั่นเจากลับมาก่อน”

    อาหมีงงงัน แล้วจึงสังเกตเห็นว่าจั่นเจาหาได้อยู่ในกระโจม นางรู้สึกแปลกใจมาก จั่นเจาไม่ใช่เอาตัวเฉิงฉี่มาแล้วหรือ ยังจะออกไปทำอะไรอีก

    เวลานี้ไม่สะดวกจะถามอะไรมาก นางเพียงรับคำแล้วถอยออกไป ก่อนเชิญเกาป๋อเจี่ยนลงนั่ง หลังจากได้รับการ ‘ชี้บอก’ จากท่านชิวซานอีกครั้ง ในที่สุดเกาป๋อเจี่ยนก็นึกออกว่าคนที่คุกเข่าอยู่นั้นเป็นหัวหมู่ในทัพของตนชื่อเฉิงฉี่ ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกราวกับนั่งอยู่บนพรมตะปู ด้วยคิดว่าวันนั้นเฉิงฉี่บอกเขาว่ารู้ถึงที่ซ่อนของศีรษะอวี๋ตู ทั้งยังพาคนไปหา ว่าตามเหตุผลก็ได้สร้างความดีความชอบไว้ แล้วเหตุใดจึงถูกจับมัดอยู่ที่นี่ได้ หรือว่าแจ้งข่าวเท็จ แย่แล้ว นี่เป็นการเสียหน้าอย่างที่สุด ล่วงเกินแม่ทัพตวนมู่แล้วต่อไปยังจะปรากฏตัวต่อหน้าอัครเสนาบดีได้อย่างไร

    เรื่องเกี่ยวพันถึงอนาคต ความกลัดกลุ้มจึงปรากฏขึ้นมาที่หางคิ้ว ลอบถอนหายใจสั้นยาวสลับกันไม่หยุด จากนั้นม่านกระโจมพลันเลิกขึ้น เมื่อมองไปจึงเห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งกำลังก้าวเท้าเดินเข้ามา เนื่องจากการแต่งกายของเขาดูแปลกตาไม่ค่อยได้พบเห็น เกาป๋อเจี่ยนจึงมองแล้วมองอีก

    จั่นเจาเดินตรงมาหยุดอยู่ห่างจากเบื้องหน้าโต๊ะประธานราวจั้งกว่าแล้วพยักหน้าน้อยๆ ให้ตวนมู่ชุ่ย ตวนมู่ชุ่ยเข้าใจแล้วจึงผงกศีรษะเบาๆ ก่อนกล่าวเสียงราบเรียบ “ตามที่เจ้าขอร้อง ข้าเชิญแม่ทัพเกาป๋อเจี่ยนมาที่กระโจมแล้ว เจ้าบอกว่าเฉิงฉี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของอวี๋ตู ลองพูดเหตุผลมาให้ฟังซิ”

    จั่นเจายิ้มน้อยๆ ยื่นมือชี้ไปที่เด็กหนุ่มเนื้อตัวสกปรกที่คุกเข่าอยู่กับพื้นผู้นั้น “เด็กหนุ่มผู้นี้มีนามว่าฉี่เจ๋อ เป็นคนรับใช้ของบ้านสกุลฉีมู่”

    พูดจบก็หมุนตัวมองไปที่ฉี่เจ๋อ กล่าวเสียงนุ่มนวล “ฉี่เจ๋อ เจ้าจงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอย่างละเอียดตั้งแต่ต้น”

    ฉี่เจ๋อทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นเทา เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นออกมาอย่างละเอียด เริ่มจากเขาเข้าไปแสร้งนอนหลับในห้องฉีมู่อีหลัวได้อย่างไร ถูกคนจับตัวยัดใส่กระสอบไปได้อย่างไร ระหว่างทางถูกคนตวาดถามอย่างไร จั่นเจามาช่วยเอาไว้ได้อย่างไร รอดมาได้อย่างไร แม้พูดได้ไม่ชัดเจนเต็มที่ แต่ก็ละเอียดยิ่ง คนที่ตวาดถามระหว่างทาง เมื่อซักถามถึงรูปร่างลักษณะอย่างละเอียดก็รู้ว่าเป็นอวี๋ตู

    เมื่อเล่าจบ เกาป๋อเจี่ยนยังคงไม่รู้ถึงมูลเหตุ เพียงเข้าใจว่าลูกน้องจี้จับตัวคนไปตามอำเภอใจ ทำผิดข้อห้ามของเจียงจื่อหยา หน้าผากพลันมีเหงื่อซึมออกมาทันที ขณะจะเอ่ยปากไกล่เกลี่ยให้จบลงด้วยดีสักสองประโยค ก็ได้ยินตวนมู่ชุ่ยเอ่ยเสียงหนัก “ถ้าพูดเช่นนี้แสดงว่าตอนพวกเจ้าจากไป อวี๋ตูเพียงบาดเจ็บ ยังไม่ตาย”

    ยามกะทันหันฉี่เจ๋อยังตั้งสติไม่ทัน‘อวี๋ตู’คือใคร ขณะงุนงงอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงจั่นเจาดังขึ้น “ถูกต้อง”

    “แล้วหลังจากนั้นเล่า” ตวนมู่ชุ่ยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “นี่ยังไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่าเจ้าไม่ได้สังหารอวี๋ตู”

    จั่นเจาคล้ายคาดเดาได้แต่แรกว่าตวนมู่ชุ่ยจะถามเช่นนี้จึงไม่รีบไม่ร้อน เพียงยิ้มบาง “เรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ให้เฉิงฉี่เป็นคนเล่าน่าจะดีกว่า”

    ขณะพูดก็ก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว ยื่นมือไปดึงผ้าที่อุดปากเขาออก

    ก่อนหน้านี้เฉิงฉี่ถูกปิดปากพูดไม่ได้ ร่างสั่นระริกดุจตะแกรงร่อนรำ เวลานี้ผ้าอุดปากหลุดออกไปแล้ว แววเคียดแค้นในดวงตาเพิ่มพูนขึ้น เขาคลานเข่าขึ้นไปหลายก้าว โขกศีรษะให้ตวนมู่ชุ่ยราวกับตำกระเทียม “ท่านแม่ทัพโปรดตรวจสอบให้แน่ชัด ผู้น้อยถูกใส่ความขอรับ”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มหยันแต่กลับไม่มองเขา เพียงจับจ้องไปที่จั่นเจา “เจ้าบอกให้เขาเป็นคนเล่า ก็คือให้เขามาร้องขอความเป็นธรรมหรือ”

    จั่นเจามองไปที่เฉิงฉี่ น้ำเสียงราบเรียบอย่างประหลาด ไม่มีท่าทีโกรธโมโห “เจ้าสังหารผู้ช่วยแม่ทัพอวี๋ตูอย่างไร เมื่อครู่ตอนข้าถาม เจ้าไม่ใช่รับสารภาพออกมาจนหมดเปลือกหรือ เหตุใดตอนนี้กลับยืนกรานปฏิเสธแล้ว”

    เฉิงฉี่สองตาแดงฉาน เอ่ยเสียงแหบแห้ง “เมื่อครู่เจ้าข่มขู่เอาชีวิตข้า ภายใต้การขู่เข็ญคุกคามอย่างหนัก เพื่อรักษาชีวิตข้าย่อมต้องแสร้งรับสารภาพ เวลานี้อยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะกล้าสังหารคนตามอำเภอใจต่อหน้าท่านแม่ทัพ ย่อมต้องขอให้ท่านแม่ทัพช่วยให้ความเป็นธรรม”

    ต่อให้เกาป๋อเจี่ยนโง่เขลาเพียงใดเวลานี้ก็ฟังออกสามส่วนถึงความผิดปกติ พึงรู้ว่าการจับตัวอิสตรีมาแม้จะเป็นสิ่งที่เจียงจื่อหยาไม่ชอบ แต่จะอย่างไรก็ไม่นับเป็นความผิดร้ายแรงอะไร แต่การสังหารอวี๋ตูแฝงไว้ด้วยความหมายของการผูกความแค้นกับทัพตวนมู่ แม้คนทำผิดคือเฉิงฉี่ แต่ทุกคนไม่ว่าผู้น้อยผู้ใหญ่ในทัพเกาป๋อเจี่ยนของเขาย่อมต้องถูกพัวพันไปด้วย โทษนี้เขาย่อมไม่ยินดีอย่างมากที่จะแบกรับ ชั่วขณะนั้นความร้อนใจเข้ากลุ้มรุมสุมใจ เกาป๋อเจี่ยนจึงเอ่ยประณามจั่นเจาด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นใครกัน ขู่เข็ญบีบบังคับเฉิงฉี่ให้ยอมรับว่าสังหารอวี๋ตู โยนบาปมาให้ทัพเกาป๋อเจี่ยนเรา มุ่งหมายจะยุแหย่ให้กองทัพทั้งสองต้องแตกคอกัน น่าโมโหยิ่งนัก!”

    อาหมีเห็นเฉิงฉี่เที่ยวอาละวาดไล่กัดไปทั่วราวกับสุนัขบ้า เกาป๋อเจี่ยนก็กล่าววาจากดดัน จั่นเจากลับมีท่าทีสุภาพงดงามจึงแอบส่ายหน้า จั่นเจาประสบการณ์น้อยเกินไปแล้ว เขาเชื่อคนง่ายไม่รู้จักระแวดระวังผู้อื่นเช่นนี้ จะสู้กับเฉิงฉี่คนเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายแบบนี้ได้อย่างไร เฮ้อ ตอนนี้ก็ไม่รู้จะช่วยเขาอย่างไรดี ไม่รู้คุณหนูเชื่อเขาหรือเชื่อเฉิงฉี่…

    หลังจากคิดเช่นนี้ก็อดจะมองไปที่ตวนมู่ชุ่ยไม่ได้ ตวนมู่ชุ่ยกำลังยกถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะไปจรดริมฝีปากช้าๆ ค่อยๆ จิบอย่างไม่รีบไม่ร้อน ชายแขนเสื้อไหลเลื่อนลงมาเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อมือขาวผ่องนวลเนียนดุจหยก แพขนตายาวดุจพัด ทอดเงานุ่มละมุนลงมาที่ด้านล่างเปลือกตา สีหน้าดูสงบนิ่งอ่อนโยนอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็น ก็ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

    จั่นเจาหัวเราะเยาะหยันออกมาคำหนึ่ง เอาผ้าในมือยัดกลับเข้าไปในปากเฉิงฉี่ เฉิงฉี่พยายามสั่นหัวดิ้นรนสุดชีวิต มีเสียงเหอๆ อยู่ในลำคอ เกาป๋อเจี่ยนเดือดดาลจนทนไม่ไหวแทบจะกระโดดออกมาจากเก้าอี้ “เจ้า…เจ้าเป็นใคร กำเริบเสิบสานเพียงนี้ เจ้า…เจ้า…เจ้ายังเห็นแม่ทัพอยู่ในสายตาหรือไม่”

    จั่นเจาสีหน้าเยียบเย็น ประกายคมกริบในดวงตาฉายชัดขึ้น “ท่านแม่ทัพนั่งก่อนเถิด ยังมีเรื่องต่อจากนี้อีก”

    เกาป๋อเจี่ยนสั่นสะท้าน ถึงกับถูกประกายเยียบเย็นเฉียบขาดในดวงตาจั่นเจากดดันจนถอยหลังไป ครั้นเห็นตวนมู่ชุ่ยยังคงจิบชาด้วยท่าทางสบายอกสบายใจก็รู้ว่าตนไม่ควรจะเอ่ยปากขึ้นมาอีก จำต้องกลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่ลืมเอ่ยเสียงต่ำด้วยความไม่พอใจ “ไม่เข้าท่า ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ!”

    จั่นเจาส่งสายตาไปทางซ้ายขวาเล็กน้อย มีทหารถือง้าวเข้ามาพาตัวเฉิงฉี่ไปไว้ยังมุมมืดในกระโจม แล้วเลื่อนผ้าม่านมาบังร่างเฉิงฉี่ไว้ คิดว่าคงสั่งกำชับกันไว้ก่อนหน้านี้ อาหมีเข้าใจว่าตวนมู่ชุ่ยคงรู้แล้ว กระทั่งเห็นแววฉงนสนเท่ห์ปรากฏอยู่ในดวงตาของนาง ถึงรู้ว่าจั่นเจาเป็นคนจัดการเองทั้งหมด

    จั่นเจาเห็นทางนี้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินไปทางประตูกระโจมหลายก้าว เอ่ยเสียงดังกังวาน “พาเข้ามา”

    ทหารถือง้าวที่อยู่นอกกระโจมขานรับคำสั่ง เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังห่างออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงฝีเท้าสับสนปนเปก็ดังใกล้เข้ามาทุกที ม่านกระโจมถูกเลิกขึ้น มีคนเข้ามาอีกหลายคน

    ครั้นเห็นการแต่งกายของคนหลายคนที่เข้ามาชัดเจน เกาป๋อเจี่ยนก็ศีรษะโตเท่าโต่วขึ้นมาทันที วันนี้ไปเจอสิ่งอัปมงคลอะไรเข้า เหตุใดจึงเป็นทหารในสังกัดของเขาอีกแล้ว

    ทหารหลายนายนั้นแววตาสับสนว้าวุ่น เจ้าผลักข้าดัน เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าโต๊ะก็ได้ยินจั่นเจาตวาดเสียงเฉียบขาด “คนชั่วช้าขวัญกล้า เวลานี้เฉิงฉี่หัวหมู่ในทัพแม่ทัพเกาได้ซัดทอดถึงพวกเจ้าทุกคนแล้ว ยังไม่รีบสารภาพมาตามความเป็นจริงเรื่องที่พวกเจ้าลักพาตัวหญิงชาวบ้านในคืนนั้น หลังจากถูกผู้ช่วยแม่ทัพทัพตวนมู่จับได้ก็สังหารคนปิดปาก!”

    เสียงตวาดดังสะเทือนเลื่อนลั่น ทหารหลายนายนั้นคล้ายถูกฟ้าผ่าลงมาท่ามกลางท้องฟ้าปลอดโปร่ง ปากอ้าตาค้างไปทันที จากนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซึมเซา ท่ามกลางความเงียบที่ผิดปกติ ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งทิ้งตัวลงคุกเข่ากับพื้นดังตึง โขกศีรษะกับพื้นแรงๆ “ท่านแม่ทัพโปรดตรวจสอบให้แน่ชัด เรื่องสังหารผู้ช่วยแม่ทัพอวี๋ตูหัวหมู่เป็นผู้กระทำการเพียงคนเดียว พวกผู้น้อยหาได้เกี่ยวข้องด้วยไม่!”

     

    มาถึงตรงนี้ผู้มีสติปัญญาต่างเห็นชัดเจน คดีนี้กระจ่างแจ้งถึงแปดเก้าส่วนแล้ว

    อาหมีมีประกายยินดีผุดขึ้นที่หางตา กระซิบบอกตวนมู่ชุ่ย “คุณหนู จั่นเจาเขาเฉียบแหลมยิ่งนัก”

    “เช่นนั้นหรือ” ตวนมู่ชุ่ยสีหน้าราบเรียบ ไม่แม้แต่จะเลิกคิ้ว “แค่เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อยเท่านั้น”

    อาหมีในใจไม่เห็นด้วย แต่ครู่เดียวความปีติยินดีที่ทะลักล้นขึ้นมาก็บดบังความไม่เห็นด้วยเล็กๆ นี้ไว้ แววตาของนางที่มองจั่นเจาสดใสแวววาวเป็นพิเศษ ระยิบระยับไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายที่บอกไม่ถูกอธิบายไม่ได้

    เกาป๋อเจี่ยนเหงื่อเย็นไหลโซมกาย เอาแต่ดึงท่านชิวซานไม่หยุด เอ่ยเสียงลงต่ำจนแทบไม่ได้ยิน “ท่านชิวซาน ท่านชิวซาน บอกวิธีรับมือมาสักวิธี…”

    ท่านชิวซานไม่โบกพัดแล้ว แต่แทบอยากจะหดศีรษะเข้าไปในท้องเสียเลย…แม้แต่ไรมาเขาจะโอ้อวดตนว่าสติปัญญาเปรื่องปราด แต่สติปัญญาเปรื่องปราดก็มีช่วงเวลาที่แสดงความสามารถมิได้ ใช่หรือไม่เล่า

    ตวนมู่ชุ่ยไล้นิ้วมือไปตามลวดลายด้านนอกถ้วยชา ถ้าจะบอกว่านางเดือดดาลน่าจะเป็นตอนรู้ข่าวการตายของอวี๋ตูที่โกรธจนไม่อาจระงับไว้ได้…หลังจากผ่านมาหลายวัน ความเดือดดาลในใจของนางก็คลี่คลายไปมากแล้ว เวลานี้นางกำลังคิดว่าจะจัดการกับเฉิงฉี่อย่างไรดี เรื่องนี้พัวพันถึงทัพเกาป๋อเจี่ยน นางต้องทำอย่างไรจึงจะได้ระบายโทสะและไม่ทำลายอัธยาศัยไมตรีต่อกัน

    เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแผนก็ปรากฏในใจแล้ว

    “แม่ทัพเกา”

    เกาป๋อเจี่ยนถูกน้ำเสียงนุ่มนวลของนางทำให้ตกใจสะดุ้งสุดตัว ในความทรงจำของเขา แต่ไรมาตวนมู่ชุ่ยไม่เคยมีท่าทีเกรงใจเช่นนี้

    “ไม่ว่าอย่างไรเฉิงฉี่ก็เป็นหัวหมู่ของทัพท่าน ทัพตวนมู่เราไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งด้วยมากเกินไป…”

    เกาป๋อเจี่ยนเต็มไปด้วยความมึนงง “เฉิงฉี่…ผู้นี้สังหารผู้ช่วยแม่ทัพอวี๋ตู ความผิดไม่อาจอภัย จะลงโทษอย่างไรสุดแท้แต่ท่านแม่ทัพตวนมู่จะสั่งการ…”

    “แม่ทัพเกาอาจจะไม่รู้” ตวนมู่ชุ่ยพินิจพิเคราะห์เลือกใช้ถ้อยคำ “ข้ามาเมืองอันอี้ครั้งนี้ด้วยท่านอัครเสนาบดีมอบหมายภารกิจมาให้ จึงไม่มีเวลาจะมาใส่ใจเรื่องอื่นใด คดีของอวี๋ตูในเมื่อมีเบาะแสแล้วก็อยากจะขอให้แม่ทัพเกาช่วยจัดการปัญหาที่ตกค้างให้เรียบร้อยด้วย”

    “ในเมื่อ…เป็นเช่นนี้ ข้าก็ยินดีจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่านแม่ทัพตวนมู่” ตวนมู่ชุ่ยพูดถึงขั้นนี้แล้ว เกาป๋อเจี่ยนแม้ในใจจะยังอยู่ในเมฆหมอกมองไม่เห็นทางแต่ก็รีบตกปากรับคำในทันที

    ท่านชิวซานค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา

    ตวนมู่ชุ่ยทำเช่นนี้ เท่ากับยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว

    ประการแรก นางเปิดทางออกให้เกาป๋อเจี่ยนเต็มที่ แสดงท่าทีชัดเจนว่าตนจะไม่ผูกความแค้นกับเกาป๋อเจี่ยนเพราะเฉิงฉี่ เกาป๋อเจี่ยนสบายใจได้ ไม่จำเป็นต้องร้อนใจเป็นสุนัขจนตรอกกระโดดกำแพง*คิดหาวิธีเปลี่ยนแปลงสถานการณ์

    ประการที่สอง เกาป๋อเจี่ยนได้รับคำมั่นเช่นนี้แล้ว เรื่องจัดการปัญหาที่ตกค้างในภายหลังย่อมต้องพยายามทำอย่างสุดจิตสุดใจ ส่วนที่ว่าจะจัดการปัญหาที่ตกค้างในภายหลังอย่างไร จุดจบของเฉิงฉี่ยิ่งน่าสังเวชใจเพียงใดตวนมู่ชุ่ยย่อมยิ่งพอใจ หากเขาเป็นเฉิงฉี่ เกรงว่าคงยินดีจะตกอยู่ในเงื้อมมือของตวนมู่ชุ่ยมากกว่า

    เพียงแต่เกาป๋อเจี่ยนโฉดเขลา ยังมองความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่ไม่ออก ท่านชิวซานถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดูท่าหลังจากกลับไปค่ายแล้วยังต้องชี้แนะอย่างละเอียด

    ในกระโจมที่กว้างใหญ่ ยังมีอีกคนที่มองเจตนาของตวนมู่ชุ่ยออก

    จั่นเจา

    แต่ไรมาจั่นเจาไม่ชอบการกระทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องมีการวางแผนไปทุกฝีก้าว ต้องขบคิดกลับไปกลับมาทั้งในที่ลับและที่แจ้ง แม้เขาจะเข้าใจดีถึงจุดยืนของตวนมู่ชุ่ยที่อยู่ในตำแหน่งนี้ว่าต้องคำนึงถึงภาระหน้าที่ที่พึงกระทำ แต่เขาก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกผิดหวังในใจที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น

    แม้ว่าก่อนหน้านี้ที่ตวนมู่ชุ่ยซักถามเรื่อง‘โลหิตหลอมเชื่อมจวี้เชวี่ย’จะทำให้เขามั่นใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือคนที่เขาต้องการตามหา แต่ก็ประจักษ์ชัดแจ้งว่าแม่ทัพตวนมู่ผู้นี้แตกต่างกับตวนมู่ชุ่ยที่เขารู้จักมาก

    ไม่ใช่นางไม่ดี กลับตรงกันข้าม พฤติกรรมมากมายของตวนมู่ชุ่ยทำให้เขาเลื่อมใสอย่างยิ่ง นางละเอียดรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่เชื่อคนง่าย คำนึงถึงส่วนรวม มีความองอาจห้าวหาญของผู้เป็นแม่ทัพและมีปฏิภาณเฉียบไวรู้จักพลิกแพลงไปตามเหตุการณ์ ถ้าเขาเป็นเจียงจื่อหยาย่อมยินดีที่จะได้เห็นตวนมู่ชุ่ยรับตำแหน่งแม่ทัพ

    ทว่าทั้งหมดนี้รังแต่จะทำให้เขารู้สึกยิ่งไม่คุ้นเคยและผิดหวัง ทำให้เขายิ่งคิดถึงแม่นางตวนมู่ที่เคยสนิทสนมพูดคุยเล่นกับตน

    ขอบตาของจั่นเจาร้อนผะผ่าว เขาหลับตาลงช้าๆ

    ตวนมู่ชุ่ยคนเก่าคล้ายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว

    นางสวมชุดสีเขียว ท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง อาศัยอำนาจที่เหนือกว่ารังแกชาม ลายครามน้อยที่อยู่ด้านข้างน้ำตาคลอหน่วย…

    นางย่นหัวคิ้ว อ้าปากบอก ‘จั่นเจา เป็นเพราะพ่อของจักรพรรดิของพวกเจ้าไม่ดี’

    นางยิ้มอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง‘จั่นเจา ถ้าเจ้ามีริ้วแดงเช่นคนเมาสุราอยู่บนใบหน้าสักสองดวง ไม่รู้จะทำให้หญิงสาวมาลุ่มหลงอีกมากมายเพียงใด’

    นางขอร้องเขาด้วยท่าทางน่าสงสาร‘จั่นเจา คราวต่อไปถ้าจะช่วยข้า อย่าโยนข้าไปมาราวกับลูกหนังจะได้หรือไม่ อวัยวะห้ากลั่นหกกรองแทบจะหลุดออกมา’

    จั่นเจา จั่นเจา จั่นเจา ทุกคำล้วนเป็นนางกำลังเรียกเขา

    “จั่นเจา!”

    เสียงเฉียบขาดดังขึ้น จั่นเจาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง หลุดออกจากภวังค์ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นตวนมู่ชุ่ยอยู่ตรงหน้า

    สีหน้าของนางดูไม่พอใจและมองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น

    เหลียวมองไปซ้ายขวา กลุ่มของเกาป๋อเจี่ยน ทหารถือง้าวที่ยืนอยู่สองแถว แม้แต่อาหมีต่างก็ล่าถอยออกไปกันหมดแล้ว

    เขาเหม่อลอยถึงเพียงนี้ กระทั่งการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวก็ไม่รู้สึกรู้สา ถ้ามีคนฉวยโอกาสนี้ลงมือคงตายไปแล้วนับร้อยนับพันหน

    จั่นเจาลอบถอนหายใจ พยายามควบคุมความรู้สึกต่างๆ แล้วมองสบสายตาตวนมู่ชุ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ท่านแม่ทัพมีอะไรจะชี้แนะ”

    “ข้ากำลังถามเจ้า” ตวนมู่ชุ่ยพูดช้ามาก “เห็นอยู่ว่าหนีไปได้แล้ว เพราะเหตุใดยังจะกลับมา”

    จั่นเจาพลันหัวเราะ

    “ท่านแม่ทัพไม่ใช่เห็นว่าข้าเป็นผู้สอดแนมหรือ ในฐานะผู้สอดแนมย่อมต้องเล่นละครปิดบังตนต่อหน้าผู้คนทุกวิถีทาง จะได้ตบตาสร้างความไว้วางใจแก่ท่านแม่ทัพ ย่อมไม่มีทางหลบหนีแน่นอน นี่คงไม่ผิดกระมัง”

    แววตาของตวนมู่ชุ่ยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชาน่าสะพรึงกลัว “จั่นเจา ไม่มีใครกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดจากับข้า”

    “นั่นเพราะพวกเขาต่างกลัวท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพมีตำแหน่งสูงอำนาจมาก ชี้เป็นชี้ตายได้”

    “แล้วเจ้าไม่กลัวหรือ” ตวนมู่ชุ่ยยิ้มหยัน “ข้ารู้เจ้ากำลังคิดอะไร เมื่อตอนกลางวันเจ้าหนีรอดจากมือข้าไปได้จึงเข้าใจว่าไปมาได้ตามใจชอบ ไม่อยู่ภายใต้การบีบบังคับ ถึงได้กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าข้าใช่หรือไม่”

    ทุกคำแข็งกระด้างเย็นชาคุกคามคน จั่นเจาย่นหัวคิ้ว พยายามกดข่มความไม่พอใจในใจ กล่าวเสียงเฉยเมย “มิกล้า”

    “เจ้าย่อมไม่กล้าแน่” ตวนมู่ชุ่ยจ้องนัยน์ตาจั่นเจาเขม็ง ดึงดอกบัวทะลุใจออกมาจากข้างเอวช้าๆ โซ่ติดหอกพาดอยู่บนข้อมือของนาง สายโซ่สั่นไหวเบาๆ หัวหอกสีเงินยวงสว่างไสวส่องสะท้อนเป็นเงาดำแปลกๆ ไปรอบด้าน ”เพราะเรื่องเช่นนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง!”

    จั่นเจาแทบจะถูกยั่วให้เกิดโทสะ นิ้วยาวแข็งแกร่งกุมด้ามกระบี่จวี้เชวี่ยแน่น เห็นเส้นโลหิตที่หลังมือปูดโปนขึ้นรางๆ

    นางยังคิดจะสู้กันอีก!

    ใช่ว่าเขาไม่รู้นิสัยของตวนมู่ชุ่ยที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ เขาก็เคยคิดถึงเรื่องที่หนีไปเมื่อตอนกลางวัน นั่นไม่เพียงเป็นการตบหน้าตวนมู่ชุ่ยฉาดใหญ่ ภายใต้สายตาทหารที่จ้องมองอยู่ แม่ทัพใหญ่แห่งทัพตวนมู่ถึงกับจับคนต่ำต้อยไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนหนึ่งไว้ไม่ได้

    เขาเพียงหวังว่าตนจะโชคดี เข้าใจไปว่าการไปแล้วย้อนกลับมา อีกทั้งความเพียรพยายามทุกอย่างในคดีอวี๋ตูจะทำให้ตวนมู่ชุ่ยเข้าใจถึงเจตนาของเขาขึ้นมาบ้าง…เขาหาได้มีเจตนาร้าย อย่างน้อยอย่าใช้สายตาเย็นชามองประเมินเขาอย่างตรวจสอบและหวาดระแวงอีก

    มีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาเกือบเข้าใจว่าตนทำสำเร็จแล้ว เพราะนางร่วมมือด้วยความสงบเยือกเย็น อนุญาตให้เขาพาคนไปจับตัวผู้ร่วมกระทำผิดกับเฉิงฉี่ที่ค่ายเกาป๋อเจี่ยน ตอนไต่สวนเฉิงฉี่นางจะไม่ก้าวก่ายเด็ดขาด ปล่อยให้เขาทำตามแผน แม้จะไม่ได้เปิดเผยแผนการดังกล่าวให้นางทราบก่อนก็ตาม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook