Uncategorized
ทดลองอ่าน นิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 26 ตอนที่ 2
บทที่ 2 บทใหม่ของเรื่องราว
ขณะที่ทุกคนบนโลกต่างคิดว่าฝนตกครั้งนี้คงไม่มีวันสิ้นสุด ทว่าโดยไม่รู้ตัวฝนตกหนักที่ตกต่อเนื่องมานานหลายวันก็หยุดลงอย่างกะทันหันในช่วงฤดูสารทที่แสนธรรมดา
แรกสุดไม่มีใครทันตระหนัก ผู้คนเดินออกจากตำหนัก เดินออกจากโรงนา เดินไปใต้ชายคา เดินไปในลานบ้าน เงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้างุนงง จนกระทั่งพบว่าไม่มีหยดน้ำโปรยลงมาจากเมฆแล้วจริงๆ จึงค่อยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นจากทุกซอกทุกมุมของเมืองใหญ่เล็ก ดังขึ้นจากทุกชนบทใกล้ไกล ดังตลอดทั่วทุกแคว้นแดนดิน
เพียงแต่โลกทั้งใบเปียกชุ่มเพราะฝนระลอกนี้มานานเกินไป อารมณ์ของผู้คนคล้ายได้รับความเสียหาย หลังจากแปลกใจและดีใจเสร็จ ความเหนื่อยล้าก็เข้าแทนที่อย่างรวดเร็ว คนที่ทำงานอยู่ก็ทำงานของตนต่อไป คนที่ยืนงงก็ยืนงงต่อไป คนที่ง่วงนอนก็หันกายกลับไปนอน ทุกสิ่งทุกอย่างดูไร้ชีวิตชีวา
หลังฝนหยุดแน่นอนว่าเมฆต้องกระจายตัว เมื่อถึงเวลากลางคืน ผู้คนล้อมวงคุยเรื่องฝนตกกันที่โต๊ะกินข้าว หลังจากเก็บกวาดจานชามเสร็จต่างแยกย้ายกันไปนอน เข้าสู่ฝันแรกหลังฝนหยุดตก
เมฆยามราตรีที่ปกคลุมท้องฟ้ามาหลายวันค่อยๆ กระจายตัวไป
ในซอยมีเสียงสุนัขเห่า เสียงของสุนัขสีดำตัวนั้นบ่งบอกว่ามันแตกตื่นและกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ในไร่นามีเสียงสุนัขเห่า เสียงของสุนัขสีเหลืองผอมแห้งตัวนั้นบ่งบอกว่ามันหวาดกลัวและงุนงงอย่างที่สุด จากนั้นเสียงสุนัขเห่าก็ดังตามกันมามากขึ้นเรื่อยๆ สุนัขทั้งโลกคล้ายได้รับคำสั่งบางอย่างจึงเห่าขึ้นมาพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง เสียงเห่าก้องดังทั้งในเมืองและตามชนบท ปลุกคนจำนวนมากให้ตื่นจากฝัน
ผู้คนขยี้ตาที่ปิดปรือจากการนอนเดินออกจากห้อง บางคนถือไม้กระบองสำหรับตีโจร บางคนด่าว่าบุตรภรรยาที่วันนี้ลืมให้อาหารสุนัข ถือชามอาหารไปตามหาสุนัขของตน จากนั้นพวกมันจึงพบว่าไม่ใช่สุนัขของตนบ้านเดียวที่เห่า แต่สุนัขทุกตัวกำลังเห่าขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรีอย่างบ้าคลั่ง
ผู้คนมองตามสายตาของสุนัขไปด้วยความสงสัย ทันใดนั้นไม้กระบองในมือก็ลื่นหลุด ชามอาหารในมือหล่นร่วง ล้วนตกใส่เท้าของพวกมัน แต่พวกมันกลับเหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
ทุกคนต่างตกตะลึง ความสนใจของพวกมันถูกดึงดูดด้วยเจ้าสิ่งนั้นที่อยู่บนท้องฟ้า อย่าว่าแต่เท้าถูกของตกใส่ ต่อให้บ้านทั้งหลังถูกไฟไหม้พวกมันก็ยากจะได้สติกลับมา
หลังฝนตกหนักหยุดลง เวลาล่วงผ่านไปหลายวันจนเมฆฝนกระจายไปจนหมด เผยให้เห็นท้องฟ้ายามราตรีที่ปลอดโปร่ง ทว่าท้องฟ้าคืนนี้มองไม่เห็นดวงดาวที่เคยเห็น กลับเห็นแต่สิ่งที่กลมสว่างดวงหนึ่ง
สิ่งนั้นคืออะไร
ฟ้าเกิดปรากฏการณ์ประหลาด จันทราอุบัติยามราตรี
ภาพที่แปลกประหลาดน่าอัศจรรย์นี้ทำให้มนุษย์แตกตื่นจนหวาดกลัว ไม่รู้มีคนมากน้อยเท่าใดที่ตกใจหมดสติ คนจำนวนมากกว่านั้นคุกเข่ากราบไหว้ไม่หยุดอยู่ที่หน้าบ้านหรือตรงหน้าต่าง
ราชสำนักของทุกแคว้นต่างจุดธูปบูชาต่อรัตติกาล วอนขอให้เฮ่าเทียนอภัยต่อความไม่เคารพของมวลมนุษย์ ธูปเทียนของอารามเต๋า ศาลเจ้า และวัดต่างๆ ถูกจุดขึ้นเป็นการใหญ่ โลกมนุษย์เริ่มถ่ายทอดข่าวลือว่านี่คือสัญญาณล่วงหน้าของการที่โลกแห่งความมืดจะมาเยือน ทำให้เกิดเภทภัยที่ร้ายแรงยิ่งกว่าอุทกภัยจากพายุฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดมีพวกโง่เขลาเบาปัญญาจำนวนมากตัดสินใจฆ่าตัวตาย
อาศรมเทพประกาศต่อชาวโลกโดยเร็วที่สุดว่าสิ่งที่ปรากฏบนฟ้าเรียกว่าดวงจันทร์ คือแสงเทพประทานที่เฮ่าเทียนส่งมาให้ด้วยเมตตาสงสารผู้คนบนโลกที่ต้องทนอยู่กับราตรีที่มืดมนมาอย่างยาวนาน
ด้วยประกาศของอาศรมเทพและการรักษาความสงบของราชสำนักแต่ละแคว้น ความโกลาหลที่เกิดจากสิ่งที่เรียกว่าดวงจันทร์จึงสงบลงพอสมควร เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนบนโลกก็คุ้นเคยกับการดำรงอยู่ของมัน
มนุษย์พบว่าดวงจันทร์แตกต่างจากดวงดาวบนท้องฟ้า มันไม่ได้หยุดนิ่ง แต่เคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงไปตามกฎบางอย่าง มีมืดมีสว่าง มีการเปลี่ยนรูปร่างไปแล้วเปลี่ยนกลับมากลมเหมือนเดิม การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นค่อนข้างสม่ำเสมอแน่นอน เหมาะสำหรับใช้คำนวณวันเวลาเพื่อทำการเพาะปลูก
มีคนเริ่มใช้การเปลี่ยนแปลงมืดสว่างกลมเว้าของดวงจันทร์มากำหนดช่วงเวลา โดยตั้งชื่อง่ายๆ ว่า ‘เดือน’
แน่นอนว่านี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลัง
ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองฉางอันมีภูเขาจื่อจิน ลักษณะพื้นที่ค่อนข้างสูง มีเมฆเบาบางซึ่งเหมาะสำหรับดูดาว ดังนั้นสำนักโหราจารย์จึงตั้งอยู่ที่นี่
ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาแม้ต้าถังใช้ชื่อรัชสมัยว่าเทียนฉี่ (เบิกฟ้า) แต่ชาวถังขึ้นชื่อเรื่องไม่เชื่อฟ้าไม่เชื่อโชคชะตา ดังนั้นสำนักโหราจารย์จึงเป็นหน่วยงานที่ไม่สำคัญที่สุดของราชสำนัก และก็เป็นหน่วยงานที่ใสสะอาดที่สุดด้วย วันปกติจะเงียบสงบอ้างว้าง นอกจากคู่รักหนุ่มสาวที่มาชมทัศนียภาพบนเขาจื่อจินแล้วยากจะเห็นแขกอื่นมาเยือน
แต่วันนี้นอกสำนักโหราจารย์คึกคักเป็นอย่างยิ่ง ทหารจากกองกำลังอวี่หลินหลายสิบนายคุ้มกันขุนนางหลายคนยืนอยู่หน้าบันไดหิน ปิดทางเข้าออกไว้ ผู้คนที่บังเอิญผ่านมาเมื่อเห็นภาพนี้กลับไม่ตกใจและไม่คิดจะไปที่อื่น…ราตรีมีดวงจันทร์ แน่นอนว่าราชสำนักต้องถามความคิดเห็นของสำนักโหราจารย์
ขุนนางจากกรมพิธีการเหล่านั้นและกองกำลังอวี่หลินไม่ได้เข้าไปในสำนักโหราจารย์ ผู้ที่เข้าไปคือหัวหน้าขันทีผู้หนึ่งกับขันทีที่ร่างกายกำยำแข็งแรงอีกจำนวนหนึ่ง ที่น่าแปลกคือไม่มีใครมาต้อนรับพวกมัน
หัวหน้าขันทีใบหน้าถมึงทึงจ้องมองประตูทางเข้าห้องโถงที่ปิดสนิท กล่าวเสียงเย็นชาว่า
“ฝ่าบาททรงกำลังรอคำตอบของพวกเจ้า ราชสำนักกำลังรอคำพยากรณ์ของพวกเจ้า วันนี้พวกเจ้าต้องให้คำตอบ”
บรรยากาศในสำนักโหราจารย์เคร่งเครียดกว่าปกติ
ห้องโถงใหญ่ของสำนักโหราจารย์วางเครื่องมือสำหรับดูดาวไว้มากมาย เดินไปด้านหลังจากประตูข้าง ขึ้นไปยังดาดฟ้า จะเห็นกระจกชมดาวขนาดใหญ่ที่สถานศึกษาเพิ่งส่งมาให้เมื่อปีที่แล้ว
ตอนนี้บนโต๊ะเล็กในห้องโถงวางกับข้าวพื้นๆ ไว้เพียงไม่กี่จาน สุราหลายกา มีคนอารมณ์หม่นหมองนั่งอยู่สองคน กำลังดื่มสุรากันอย่างไร้รสชาติ คนหนึ่งคือหัวหน้าสำนักโหราจารย์ชื่อเหมียวเข่อฉือ อีกคนคือรองหัวหน้าชื่อสวีเหลียงโส่ว ทั้งสองเป็นบุคคลสำคัญที่สุดของสำนักโหราจารย์
เสียงที่เย็นชาของขันทีดังลอดเข้ามาจากนอกประตู
“ตลอดมาพวกเจ้าสำนักโหราจารย์คิดว่าตนสามารถเข้าใจเจตนาของฟ้า เคยไม่สนใจว่าจักรพรรดิองค์ก่อนจะกริ้วขนาดไหนก็ยังยืนยันคำทำนาย วันนี้มีปรากฏการณ์ประหลาด พวกเจ้ากลับพูดอะไรไม่ออกหรือ”
เหมียวเข่อฉือมองประตูทางเข้าห้องโถงที่ปิดสนิทครั้งหนึ่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มหดหู่ ยกสุราในถ้วยขึ้นดื่มรวดเดียวหมด มองสวีเหลียงโส่วพลางกล่าวว่า
“ได้ยินไหม สุดท้ายก็เพราะเรื่องราวในครานั้น”
สวีเหลียงโส่วไม่ได้พูดอะไร ถือกาสุรารินสุราลงในถ้วยของเหมียวเข่อฉือจนเต็ม
“ครานั้นเกิดปรากฏการณ์บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ข้าจึงเขียนคำทำนายว่า ‘ม่านราตรีบดบังดารา แผ่นดินจะหาความสงบสุขมิได้’ลงในบันทึกประวัติศาสตร์ ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้ข้าลบข้อความนี้ทิ้งเพื่อความมั่นคงของราชสำนัก ข้ากลับยืนกรานไม่ยอมลบ”
เหมียวเข่อฉือถอนหายใจ แล้วกล่าวต่อ
“ใครจะคิดว่าข้อความนั้นทำให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ ทั้งขุนนางและคนในวังไม่รู้ตายไปมากน้อยแค่ไหน องค์หญิงถูกบังคับให้แต่งไปยังทุ่งร้าง พระอัครมเหสีไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องการปกครองตั้งแต่ตอนนั้น คนจำนวนมากต้องการให้ข้าตาย แต่ฝ่าบาททรงเมตตา ข้าจึงอยู่มาได้จนถึงวันนี้”