Uncategorized
ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่มที่ 1 ตอนที่ 4
เจสซี่:วันนี้รายการเริ่มออกอากาศไม่ใช่เหรอ
โชอารา:พี่คะ ติดต่อมาบ้างสิ หรือส่งรูปมาก็ยังดี
ลูคัส: คุณจะต้องทำออกมาได้ดี ผมเชื่ออย่างนั้น
มินจุนยิ้มเมื่อได้อ่านข้อความที่ส่งมาทางมือถือ ขณะที่เขากำลังจะเขียนข้อความตอบก็มีชายผิวดำคนหนึ่งมานั่งข้างๆ…มาร์โค่ เดนเวอร์ที่มาจากนิวยอร์กด้วยกันนั่นเอง พอมินจุนหันไปมอง มาร์โค่ก็ยิ้มอย่างเคอะเขินก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“เรามาจากนิวยอร์กเหมือนกัน ก็ไม่รู้จะไปคุยกับใครน่ะ”
“อันที่จริงถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือผมไม่ได้มาจากนิวยอร์ก เป็นนักท่องเที่ยวจากนิวยอร์กต่างหาก”
“เอาน่า ว่าแต่เราเคยเจอกันมาก่อนใช่มั้ย”
มาร์โค่ถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างระวัง มินจุนจึงพยักหน้าเบาๆ
“ตอนสัมภาษณ์เขาถามนายว่าอะไรบ้าง”
“ก็ถามว่ามั่นใจว่าจะชนะมั้ย ดูแล้วใครน่าจะชนะ ประมาณนี้”
ไม่มีความจำเป็นต้องบอกเรื่องที่มาร์ตินถามว่าชอบคาย่าหรือเปล่า
“แล้วนายคิดว่าใครจะชนะ”
“คาย่า โลตัส”
มินจุนตอบอย่างไม่ลังเล มาร์โค่จึงพยักหน้ารับ
“พอได้เห็นอาหารของเธอ ไม่ว่าใครก็คงคิดแบบนั้นแหละ”
“แล้วคนอื่นๆ คิดว่าใครจะชนะ”
“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้คุยกับใครเลย ที่จริงตอนนี้ทุกคนยังแสดงฝีมือออกมาไม่หมด ถ้าจะให้ทายว่าใครจะชนะก็คงยาก”
แต่มินจุนคิดตรงกันข้าม ไม่เกี่ยวกับการที่เขารู้อนาคต แต่เป็นเพราะตาของเขามองเห็นเลเวลทำอาหารของผู้เแข่งขันทุกคน จากที่วิเคราะห์ดูตอนนี้ก็เหลือผู้เข้าแข่งขันที่มีเลเวลระดับเจ็ดอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น ซึ่งก็คือคาย่า โลตัส แอนเดอร์สัน ลุสโซ และโคลอี้ ชอง
โคลอี้เป็นลูกครึ่งตะวันตกกับเอเชีย แม่ของเธอเป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีน เธอทำอาหารได้ยอดเยี่ยมจนผู้เข้าแข่งขันคนอื่นเทียบไม่ติด แต่เท่าที่มินจุนจำได้ก็คือเธอตกรอบไปเร็วมาก อาจเป็นเพราะทำอะไรพลาดไปตั้งแต่รอบแรกๆ ถ้าไม่อย่างนั้นความจำเกี่ยวกับโคลอี้คงจะไม่เลือนรางแบบนี้
นอกจากนั้นคนส่วนใหญ่ก็มีเลเวลการทำอาหารอยู่ที่หก ส่วนเลเวลการทำของหวานแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย เลเวลห้าหรือหกไม่ก็ต่ำกว่านั้น คนที่ได้เลเวลการทำอาหารอยู่ที่เจ็ดนอกจากแอนเดอร์สันแล้วก็มีอีกคน นั่นก็คือ…
“อะไรของนาย ทำไมมองแบบนั้น”
มาร์โค่นั่นเอง มินจุนจ้องมองชายร่างใหญ่พลางครุ่นคิด แม้จะเป็นความคิดที่เอาแต่ได้ไปบ้าง แต่ถ้าได้สนิทกับมาร์โค่ก็คงไม่มีอะไรเสียหาย ในการทำภารกิจแบบทีมนั้นการสนิทสนมกับผู้เข้าแข่งขันที่มีความสามารถถือเป็นเรื่องดี
นอกจากเหตุผลนั้นแล้วมินจุนก็ชอบคนทำอาหารเก่ง แม้การทำอาหารกับการทำของหวานจะต่างกัน แต่ก็มีจุดร่วมเดียวกันตรงที่ต้องทำของให้อร่อย
“อยากลองชิมของหวานที่นายทำบ้างจัง”
“รู้ได้ยังไงว่าฉันทำของหวานได้”
“ก็แค่พูดเฉยๆ น่ะ ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะทำของหวานเก่ง”
ในขณะที่มาร์โค่ครุ่นคิดว่าหน้าตาของคนที่น่าจะทำของหวานเก่งมันเป็นยังไง มินจุนลุกขึ้นยืน
“ไปที่ห้องโถงกันเถอะ ทุกคนคงจะอยู่กันที่นั่น”
พอมาร์โค่ทำหน้างุนงง มินจุนก็อธิบายให้ฟัง
“จะถึงเวลาที่รายการออกอากาศแล้ว”
ผู้เข้าแข่งขันมารวมตัวกันอยู่หน้าทีวีที่ถูกติดตั้งเอาไว้ในห้องโถง สตาฟฟ์บางคนก็ไปลากเก้าอี้มานั่ง มินจุนนั่งลงตรงที่ว่างพร้อมกับมาร์โค่ หลังจากที่โฆษณาผ่านไปสามสี่ตัวก็มีโลโก้ของรายการแกรนด์เชฟปรากฏ ผู้เข้าแข่งขันจึงพากันอุทานเบาๆ
ต่อจากโลโก้คือการแนะนำคณะกรรมการ และมีข้อความที่ตอกย้ำถึงคุณค่าของแกรนด์เชฟ จากนั้นก็ฉายภาพใบหน้าของผู้เข้าแข่งขันทุกคนอย่างรวดเร็ว พอถึงใบหน้าของมินจุน มาร์โค่ก็หันมาตบไหล่มินจุนอย่างตื่นเต้น
“มินจุน เห็นมั้ย เมื่อกี้นายออกทีวีด้วย!”
“อือ เห็นแล้ว”
มินจุนตอบออกไปนิ่งๆ ทั้งที่หัวใจกำลังเต้นรัว เพราะนี่เป็นการออกทีวีครั้งแรกของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ตื่นเต้น
เขาจ้องทีวีตาไม่กะพริบ ผู้เข้าแข่งขันที่เข้ารอบเหลือไม่ถึงครึ่งของคนที่กำลังออกทีวีอยู่นี่ แปลว่าผู้ที่ผ่านเข้ารอบจะต้องมีความสามารถมากๆ หรือไม่ก็จะต้องมีเรื่องราวบางอย่างน่าสนใจ ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะต้องเป็นคนแปลกๆ ซึ่งคนแรกที่ถูกกล้องถ่ายคือโคลอี้ ชอง เธออยู่ในชุดกี่เพ้าสีขาวกำลังทำทังซูยุกข้าวเหนียวซึ่งเป็นซิกเนเจอร์เมนูของเธอ หลังจากตักซอสสีน้ำตาลอ่อนที่เหนียวได้ที่ราดลงไปบนเนื้อสัตว์ชุบแป้งทอด เธอตักเนื้อสัตว์เข้าปากหนึ่งชิ้น ภาพการเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยของเธอสะกดทุกสายตาที่กำลังจับจ้องหน้าจอทีวีได้อยู่หมัด
แน่นอนว่าเนื้อเรื่องต่อจากนั้นก็คือเธอได้เข้ารอบไป พอเห็นโคลอี้ถูกกอดอยู่ในอ้อมกอดของแม่ มินจุนก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา ถ้าพ่อแม่ของเขามาอยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี แต่นั่นเป็นความคิดไร้สาระ เป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่ต้องการให้ลูกมีชีวิตที่มั่นคง ดังนั้นการที่ลูกชายคนโตใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับการทำอาหารต้องเป็นเรื่องน่ากังวลอยู่แล้ว ไม่มีทางที่พ่อแม่เขาจะสนับสนุน
ในห้องโถง ผู้เข้าแข่งขันหลายคนหันไปมองโคลอี้แล้วซุบซิบกัน พวกเขาคงคิดว่าจะประมาทฝีมือของโคลอี้ไม่ได้ มินจุนมองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ด้วยเป็นการกระทำที่ไร้ความหมายสิ้นดี ไม่ว่าคนอื่นจะทำดีหรือไม่ สุดท้ายการที่จะได้เข้ารอบหรือตกรอบก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่ตัวเองทำเท่านั้น
ในทีวีกำลังฉายภาพเด็กสาวผิวขาวอายุสิบห้าปีที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เธอกำลังทำสเต็กเนื้อสันใน แน่นอนว่าผลคือตกรอบ แล้วระหว่างนั้นก็มีเสียงดังมาจากทีวี
“ในซีซั่นนี้มีผู้เข้าแข่งขันอายุน้อยเป็นจำนวนมาก อย่างผู้เข้าแข่งขันคนนี้ โชมินจุน เขาเป็นชาวเอเชียที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยความมุ่งมั่น”
บนหน้าจอเป็นภาพที่มินจุนกำลังทำปลาทรายแดงอยู่ ตอนแรกมินจุนคิดว่าต่อไปคงจะเป็นภาพการทำซอส แต่กล้องกลับถ่ายซูมใบหน้าและยังถ่ายทอดเสียงพูดของเขาอีกด้วย
“ในชีวิตของผมไม่เคยมีความแน่ใจเลยครับ เรื่องอาหารยิ่งแล้วใหญ่ ผมมาที่แกรนด์เชฟก็เพื่อหาความแน่ใจที่ว่า…”
คำพูดนี้มาจากการสัมภาษณ์ครั้งไหนสักครั้ง แล้วกล้องก็จับภาพไปที่ปลาทรายแดงราดซอสพริกหวาน จากนั้นเสียงพูดของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ความแน่ใจว่าผมจะเป็นเชฟได้หรือไม่ ผมอยากได้รับการยืนยันด้วยตัวของผมเอง”
ภาพตัดไปที่การตัดสิน กรรมการกำลังกินเมนูปลาทรายแดงของเขาโดยมีเขายืนมองอยู่ เขารู้สึกจั๊กจี้เมื่อเห็นตัวเองแกล้งทำเป็นนิ่งทั้งๆ ที่ภายในสั่นเทา ยิ่งพอได้ยินเสียงอุทานของผู้เข้าแข่งขันที่อยู่รอบข้างดังขึ้นหลังได้เห็นปลาทรายแดงที่เขาทำ เขาก็ยิ่งรู้สึกเคอะเขินมากกว่าเดิม แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกประหลาดใจ ทำไมรายการจึงนำส่วนของเขามาออกอากาศทั้งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย ผู้เข้าแข่งขันที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมามันเป็นประเด็นที่มีเสน่ห์ขนาดนั้นเชียวเหรอ
ระหว่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่กำลังจ้องมาและได้ยินเสียงซุบซิบ เขาจึงพยายามนั่งให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นที่น่าหมั่นไส้ เพราะการได้เวลาออกอากาศเยอะหมายความว่าทีมงานให้ความสำคัญ
“มินจุน!นายได้ออกเต็มๆ เลย ฉันอยากออกทีวีเยอะๆ บ้างจัง”
มาร์โค่ส่งสายตาอิจฉามาทางมินจุน
“ฉันเคยคิดอยากออกทีวีสักครั้ง ตอนนี้ฉันสมหวังแล้วล่ะ”
“หลังจากนี้ถ้าฉันได้ออกเยอะๆ แบบนายบ้างก็ดีสิ!”
มาร์โค่พูดพลางหัวเราะ ระหว่างนั้นมินจุนก็หันไปสบตากับแอนเดอร์สันที่กำลังจ้องมองมา สายตาของแอนเดอร์สันดูไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ แม้จะไม่ได้มองในแบบศัตรู แต่ก็มีอะไรบางอย่างอยู่ในสายตาคู่นั้น มินจุนจึงรู้สึกไม่ค่อยดี
หมอนี่ไม่ชอบเรา?
เขาไม่เคยมีปัญหากับแอนเดอร์สัน จึงไม่มีสาเหตุอะไรที่จะมาไม่ชอบกัน แต่เขาไม่ชอบสายตาของอีกฝ่ายเอาซะเลย แล้วแอนเดอร์สันก็หันหน้ากลับไปทางทีวี มินจุนเองก็ไม่อยากจะใส่ใจจึงหันกลับไปสนใจหน้าจออีกครั้ง แล้วภาพที่ปรากฏบนนั้นก็คือภาพของคาย่ากำลังช่วยแม่ขายผลไม้ในตลาด จากนั้นก็เป็นภาพที่เธอกำลังทำเมนูปลาไหล
ภาพที่ปลาไหลค่อยๆ สุกทีละนิดนั้นไม่ว่าจะดูกี่รอบก็ยอดเยี่ยม มินจุนสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่าปลาไหลดูมีพลังและงดงามมาก เชื่อว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นก็คงคิดเหมือนกัน ทุกคนมองปลาไหลพร้อมกับอ้าปากค้าง ดูแค่ขั้นตอนการทำก็เห็นถึงพรสวรรค์ของคาย่าแล้ว การทำเมนูย่างไฟออกมาได้สมบูรณ์แบบด้วยอายุเพียงแค่สิบแปดปีแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีพรสวรรค์
แล้วบรรยากาศแบบเดิมก็ฉายซ้ำ แน่นอนว่าผู้เข้าแข่งขันจะต้องระวังคาย่า เพราะเธอมีความสามารถและพรสวรรค์ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกหมดกำลังใจ อายุเพียงแค่สิบแปดปีแต่กลับมีความสามารถถึงขนาดนั้น โดยที่ไม่เคยเรียนหรือเคยอบรมอะไรเป็นพิเศษด้วย มินจุนเข้าใจความรู้สึกของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นเป็นอย่างดี เพราะตอนที่เขาเห็นคาย่าในทีวีครั้งแรก เขาก็เคยรู้สึกประทับใจและอิจฉาในพรสวรรค์ของเธอเช่นกัน
จู่ๆ มินจุนก็นึกอยากรู้ว่ามาร์โค่จะรู้สึกยังไง จึงหันไปมอง แต่แล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเพราะมาร์โค่ดูไม่ได้สนใจในความสามารถของคาย่านัก แต่ดูจะอยากกินปลาไหลซะมากกว่า หนุ่มร่างใหญ่กำลังกลืนน้ำลาย แม้ภายนอกจะดูเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยและอ่อนไหว แต่มาร์โค่ก็แตกต่างจากผู้เข้าแข่งขันทุกคน มินจุนจึงเปิดใจยอมรับมาร์โค่
“อยากกินเหรอ”
“หือ ว่าอะไรนะ”
“อยากกินปลาไหลเหรอ”
“แน่สิ ฉันแพ้อาหารอร่อย ไม่งั้นฉันจะตัวใหญ่แบบนี้เหรอ”
มาร์โค่พูดพลางใช้มือตบพุงของตัวเองเบาๆ
“สักวันพวกเราก็คงทำอาหารอร่อยๆ แบบนั้นได้เหมือนกัน อาหารที่ดูล้ำเลิศแบบนั้น ประสาทสัมผัสที่เฉียบคมแบบนั้น สักวันเราต้องทำได้”
“พวกเราอาจจะมีอยู่แล้วก็ได้”
คำตอบของมาร์โค่ทำให้มินจุนทำหน้างง
“เคยได้ยินคำพูดทำนองนี้มาจากในทีวีน่ะ คนเราไม่สามารถมีประสาทสัมผัสที่ไม่เคยมีได้ เพียงแต่จะได้ประสาทสัมผัสที่ถูกลืมไปกลับคืนมาก็เท่านั้น การที่เรามีเทคนิคและความชำนาญเพิ่มขึ้นก็เหมือนกัน มันเป็นเพียงแค่กระบวนการปลุกประสาทสัมผัสที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมา แต่ช่างเถอะ ฉันเองก็ฟังมาอีกที ลืมไปซะเถอะ”
“ไม่หรอก ฉันว่ามันเป็นคำพูดที่ดีนะ”
มินจุนหันกลับไปดูทีวี ตอนนี้กรรมการกำลังประโคมคำชมให้กับอาหารของคาย่าอยู่
“ช่างน่าตกใจจริงๆ นี่เป็นอาหารจานที่ดีที่สุดในซีซั่นนี้เลย”
“หายากนะ อายุแค่สิบแปด แต่กลับทำเมนูย่างไฟออกมาได้ชำนาญแบบนี้ พระเจ้ามอบพรสวรรค์ที่ดีให้คุณ”
ช่างเป็นคำชมที่ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจเลย มินจุนหันไปมองคาย่า เธอกำลังยืนดูทีวีอยู่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาว่าในใจคิดอะไร ไม่สิ แทบจะเรียกได้ว่าเธอกำลังจ้องทีวีเขม็ง ดูเหมือนว่าเธอจะติดการจ้องเขม็งแบบนั้นจนเป็นนิสัยไปแล้ว
ทันใดนั้นเธอก็หันขวับมามองมินจุน ทำเอามินจุนคิดว่าเธอมีสัมผัสพิเศษที่รับรู้ได้ว่ามีสายตากำลังจ้องตัวเองอยู่ แล้วเธอก็ขยับปากแบบไม่มีเสียงว่า ‘มองอะไร’ซึ่งมินจุนก็ตอบกลับไปแบบไม่มีเสียงเช่นกัน แต่การตอบของเขาไม่ได้มีเนื้อหาสาระอะไร ขยับปากมั่วๆ ไปแบบนั้นเอง ให้เธอปวดหัวนิดๆ หน่อยๆ กับการอ่านปากเขา ถือซะว่าเป็นการแก้แค้นที่เธอชอบทำตัวแข็งกระด้างก็แล้วกัน
พอมินจุนหันกลับไปดูทีวีก็พบกับภาพของตัวเอง ทำไมซีนของคาย่าถึงได้มีเขาออกมาล่ะ แต่ความสงสัยก็คงอยู่ไม่นานเพราะมินจุนที่อยู่ในจอพูดว่า