Uncategorized
ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 3 ตอนที่ 1
1
เช้ามืดที่ฟลอเรนซ์
สิ่งที่ทำด้วยความตั้งใจที่ดีใช่ว่าผลที่ตามมาจะดีเสมอไป ดังนั้นอาหารของเรเชลที่ทำเพื่อคนในราชสกุลของประเทศไทยอย่างสุดความสามารถจึงนำมาซึ่งเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ดี…ไม่ใช่สิ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับรายการ เจเรมี่รู้สึกว่าเนื้อซี่โครงของเรเชลจานนั้นทำให้มาตรฐานเรื่องรสชาติของเขาสูงขึ้นมาก เขาจึงมักวิจารณ์อาหารในด้านลบแทบทุกร้านที่ไป
“กลิ่นใช้ได้ แต่ไม่รู้สึกถึงรสชาติอะไรเลย ให้ทำอาหารแต่ดันทำอะไรออกมาเนี่ย”
เขาเป็นนักชิมอาหารจึงสามารถวิจารณ์แบบนี้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์ยิ่งอิหลักอิเหลื่อก็คือเขาไม่ได้พูดกับตัวเอง แต่พูดต่อหน้าเชฟ และถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษเชฟก็คงจะฟังไม่ค่อยออก เขาจึงมุ่งมั่นที่จะวิจารณ์อาหารในแง่ลบจนถึงขนาดเปิดพจนานุกรมภาษาไทยหาคำศัพท์ไปด้วย
อาจเป็นเพราะความโกรธแค้นของคนที่ถูกวิจารณ์พุ่งสูงเสียดฟ้า ท้องฟ้าจึงมืดครึ้ม ส่งเสียงร้องคำราม จนในที่สุดสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เป็นผลทำให้เที่ยวบินถูกเลื่อนออกไป ทีมงานและผู้ร่วมรายการจึงมานั่งรวมกันตรงม้านั่งยาวของห้องรับรอง
ในระหว่างที่กำลังนั่งรออยู่บนม้านั่งที่นั่งไม่ค่อยสบายนัก มินจุนก็จดสูตรอาหารต่างๆ ที่ได้กินในประเทศไทยลงบนกระดาษโน้ตที่มีขนาดพอๆ กับฝ่ามือ นอกจากนั้นยังจดสูตรอาหารและเคล็ดลับต่างๆ ที่ได้รับจากประสบการณ์ในรายการแกรนด์เชฟ ขณะท่องเที่ยวในอเมริกาและตอนไปบราซิล รวมทั้งยังจดเทคนิคพิเศษในการทำอาหารของแต่ละประเทศเท่าที่เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองลงไปด้วย
อย่างเช่นในอินเดียเวลาทำอาหารที่ใช้วัตถุดิบหลักที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จากนม หรือแม้แต่เวลาทำอาหารโดยใช้ผลไม้ ก็มักจะใส่พริกซึ่งเป็นเครื่องเทศยอดนิยมลงไป ตอนแรกที่ได้รู้เขางุนงงมาก ผลไม้กับพริกเป็นองค์ประกอบที่เขาไม่สามารถจินตนาการได้
เซร่าเหลือบเห็นกระดาษโน้ตแล้วร้องอุทานออกมา
“เป็นคนละเอียดจังเลยนะคะ”
“ก็ตัดสินใจแล้วนี่ครับว่าจะเป็นเชฟ มันเป็นเส้นทางเดียวที่ผมเลือกเดิน ผมก็ต้องทำให้ดีที่สุด”
“ผู้ชายที่มุ่งมั่นพากเพียรนี่เท่ดีนะคะ มินจุน ขอให้คุณทำแบบนี้ต่อไป เพราะดูเซ็กซี่มากเลย”
“นี่กำลังคุกคามทางเพศผมอยู่รึเปล่าเนี่ย”
“ผู้หญิงที่มีเสน่ห์แบบฉันเป็นคนพูด มันไม่เรียกว่าคุกคาม แต่เรียกว่ายั่วยวนต่างหาก”
พอพูดจบเซร่าก็ทำท่าส่งจูบ และขณะที่กำลังคิดว่ามินจุนที่กำลังก้มหน้าอย่างเขินอายนั้นดูน่ารักมาก เอมิลี่ก็มาดึงตัวเธอ ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“อย่าแกล้งคนใสซื่อบริสุทธิ์อย่างมินจุนสิ”
“สอนอีกแล้ว ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”
มินจุนมองเธอทั้งสองที่กำลังทำสงครามประสาทกันอยู่ มีสิ่งหนึ่งที่เขาได้รู้จากการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเธอ นั่นคือเซร่าจะคอยสังเกตเอมิลี่อยู่ตลอดเวลา ตอนแรกเขารู้สึกว่าความมั่นใจและความผ่าเผยของเซร่าทำให้เอมิลี่ดูดร็อปลง แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเอมิลี่คอยดูแลเซร่าเหมือนเป็นญาติสนิท ส่วนเซร่าดูเหมือนเป็นน้องสาวที่ความจริงแล้วชื่นชอบพี่สาว แต่แกล้งทำเป็นไม่ชอบ อายุของพวกเธอก็ห่างกันประมาณนั้น เซร่าอายุยี่สิบสี่ ส่วนเอมิลี่อายุสามสิบเอ็ด
“นี่ ดูนี่สิ”
แอนเดอร์สันเรียกพลางชี้นิ้วไปที่หน้าจอมือถือ มินจุนจึงยื่นหน้าไปมองแล้วยิ้ม
“ดูเหมือนจะสบายดีนะ”
ในจอมือถือเป็นรูปของโคลอี้ที่ใส่ชุดตุ๊กตาไก่และกำลังทำอาหารให้เด็กๆ เธอมีรายการอาหารที่กำลังถ่ายทำอยู่จึงถูกเรียกไปออกงานอีเวนต์ต่างๆ มากมาย ในรูปคงเป็นเพราะมีเด็กๆ รายล้อม ใบหน้าของเธอจึงปรากฏรอยยิ้มที่สดใส ชวนให้รู้สึกอารมณ์ดีตามไปด้วย ไม่ใช่แค่รูปของโคลอี้เท่านั้น แอนเดอร์สันยังให้ดูรูปของมาร์โค่และฮิวโก้ด้วย
“นายไม่คิดจะเริ่มเล่นสตาร์บุ๊กบ้างเหรอ”
“ไม่เคยคิดจะเล่นเลย”
“เล่นก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ การขายภาพลักษณ์ที่ดีก็เป็นเรื่องที่สำคัญของเชฟนะ”
“ฉันเคยคิดว่านายจะหัวโบราณกับเรื่องพวกนี้ซะอีก แต่กลับเปิดกว้าง”
“ฉันเป็นคนที่ยอมรับความเป็นจริง ถ้ามันมีประโยชน์ฉันก็ทำ การที่ลูกค้ามากินอาหารของฉันโดยคาดหวังในตัวฉันน่าจะดีกว่าการที่มากินโดยไม่รู้จักฉัน ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เล่น”
“ทำไมจะไม่มีเหตุผล ก็เหมือนพวกไบลด์เทสต์ที่ไม่ได้ดูปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ แต่ตัดสินจากตัวอาหารเท่านั้นยังไงล่ะ”
“พวกนั้นเอาไว้ใช้สำหรับในการแข่งขันเท่านั้นแหละ สุดท้ายแล้วภาพลักษณ์ของเชฟก็ถูกรวมอยู่ในจานเหมือนกัน ก่อนที่ลิ้นของลูกค้าจะสัมผัสอาหาร เชฟต้องไม่เพียงแค่ชูเรื่องกลิ่นกับรูปลักษณ์ภายนอกของอาหารเท่านั้น แต่ต้องชูความคาดหวังให้สูงด้วย”
“ฉันเข้าใจแล้วว่านายอยากจะบอกอะไร สรุปก็คือจะให้ฉันลองเล่นสตาร์บุ๊กใช่มั้ย”
พอแอนเดอร์สันเลื่อนหน้าจอก็ปรากฏใบหน้าของคนที่คุ้นเคย
“ดูสิ คาย่าก็เล่นนะ ถึงจะไม่ค่อยได้โพสต์อะไรก็เถอะ แต่จำนวนแฟนมีตั้งหมื่นคนแล้ว”
“แล้วนายล่ะมีกี่คน”
“อืม ฉันเพิ่งเริ่มเล่นไม่นานเอง”
“ก็นั่นแหละ แล้วมีกี่คนล่ะ”
การถามซ้ำของมินจุนทำให้แอนเดอร์สันเลียริมฝีปากราวกับว้าวุ่นใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็ทำหน้าตาบูดบึ้ง
“สองพันเจ็ดร้อยคน”
“โห เยอะนี่ งั้นทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“ไม่เยอะหรอก ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้วถือว่าไม่เยอะเลย อย่างโคลอี้ก็มีเกินหกพันคนแล้ว”
“ก็นายเพิ่งเริ่มเล่นไม่ใช่เหรอ”
“ที่จริงหลังจากจบการแข่งขันฉันก็เริ่มเล่นก่อนคนอื่น…”
ท่าทางที่เหมือนกับการสารภาพความลับที่ยิ่งใหญ่ทำให้มินจุนกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ แอนเดอร์สันจึงขมวดคิ้ว
“นายขำอะไร”
“ฮะๆ ก็มันตลกนี่ แอนเดอร์สันผู้ยิ่งใหญ่มานั่งกังวลเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย”
“ไม่ได้กังวลสักหน่อย”
แอนเดอร์สันทำท่าเบะปาก มินจุนจึงหยุดหัวเราะแล้วพูดว่า
“สักวันยอดก็จะเพิ่มขึ้นเองนั่นแหละ ถ้าคุณเรเชลสมัครสตาร์บุ๊กขึ้นมาจะเป็นยังไงนะ อาจจะได้ยอดแฟนหลายหมื่นคน ไม่สิ อาจจะหลายแสนก็ได้”
“เธอดังก็จริง แต่อายุเยอะแล้ว แฟนคลับของเธอก็ไม่ได้อยู่ในช่วงอายุที่จะเข้ามาตามดูคนดังในสตาร์บุ๊กซะด้วย”
“นายเองก็เป็นแฟนคลับของเธอนี่ แถมยังหนุ่มด้วย”
“มีคนแบบฉันไม่เยอะหรอก”
“ว่าแต่ทำไมนายถึงได้นับถือคุณเรเชลขนาดนั้นล่ะ จริงอยู่ที่เธอเป็นคนน่านับถือมาก ตอนเด็กนายเคยไปโรสไอส์แลนด์สาขาใหญ่เหรอ”
“ใช่”
แม้คำตอบของแอนเดอร์สันจะสั้นมาก แต่แววตาของมินจุนก็เปล่งประกายทันที
“มันเป็นยังไง”
“ยากมากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด ลิ้นของเด็กอ่อนไหว จำได้แค่ว่าตอนนั้นฉันถึงกับช็อกไปเลย อธิบายอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ”
แค่จินตนาการถึงที่นั่นก็ทำให้หัวใจพองโตแล้ว ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจจะมีเมนูที่ได้สิบคะแนนเต็มไปหมด มันเป็นสวรรค์แบบไหนกันแน่นะ มินจุนนึกเสียดายที่ไม่เกิดมาเร็วกว่านี้สักหน่อย เพราะถ้าเกิดเร็วกว่านี้เขาก็คงไปที่นั่นแน่นอน และคงได้พบเรเชลกับสามีในสมัยที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มินจุนอยากถาม อยากเรียนรู้ และอยากสัมผัสจากพวกเขา ที่จริงตอนนี้ก็ยังมีโอกาส แม้จะไม่ใช่ช่วงที่เฟื่องฟู แต่เรเชลคนนั้นก็อยู่ข้างๆ เขาแล้ว เขานึกถึงคำพูดของเอมิลี่ที่ว่าการได้รับความสนใจจากเรเชลเป็นเรื่องที่เชฟส่วนใหญ่ใฝ่ฝัน เขาจึงไม่คิดที่จะปล่อยให้โอกาสที่มาถึงตัวหลุดลอยไป เขาเหลือบมองไปยังเรเชลที่กำลังหลับคอพับคออ่อนอย่างอ่อนเพลีย ระหว่างนั้นมาร์ตินก็เดินเข้ามา
“เพิ่งได้รับแจ้งว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะทำการบินได้แล้ว”
“ดีเลย จะได้เดินทางสักที”
“ระหว่างนี้ก็เตรียมตัว ถ้าอยากไปร้านดิวตี้ฟรีก็ไปตอนนี้ได้เลย”
“แล้วเราจะไปที่ไหนต่อจากอิตาลีเหรอ”
“แน่นอนว่ายังเป็นความลับ พวกคุณจะได้ตื่นเต้นจากความคาดหวังยังไงล่ะ ลองเดาดูไปก่อนนะ”
“อิตาลีก็ทำให้ตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้ว ส่วนตัวแล้วผมชอบอาหารอิตาเลียนที่สุดในแถบยุโรปเลย”
มินจุนพูดพลางกลืนน้ำลาย มีหลายอย่างที่เขาอยากรู้ ตอนไปร้านอาหารอิตาเลียนในเกาหลี เชฟแต่ละคนมีระดับความสุกในใจที่ค่อนข้างแตกต่างกัน เขาอยากรู้ว่าสัมผัสตอนเคี้ยวเส้นแบบอัลเดนเต้ที่ดีที่สุดจะต้องเป็นแบบไหน อยากรู้รสชาติของพูเรที่ทำจากผลไม้ของอิตาลี และอยากรู้ว่าการย่างเนื้อของอิตาลีเป็นยังไง เขาอยากรู้เรื่องพวกนั้น พอคิดว่ากำลังจะได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง หัวใจก็เต้นตึกตักเหมือนเด็กที่กำลังจะไปปิกนิก
หลังจากที่มาร์ตินเดินจากไป บรรยากาศก็กลับมาเงียบอีกครั้ง บางคนก็งีบหลับต่อ บางคนก็เล่นมือถือ ซึ่งมินจุนเป็นแบบหลัง
ฉัน : ยุ่งมั้ย
คาย่า: ไม่ยุ่ง กำลังไปสนามบินน่ะ
โชคดีที่เวลาไม่คลาดเคลื่อนกัน อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ส่งข้อความหากันมานาน มินจุนจึงกดมือถือด้วยหน้าตาตื่นเต้น
ฉัน: โทรคุยได้มั้ย
คาย่า:อือ
ฉัน: เดี๋ยวฉันโทรไปนะ รอแป๊บ
มินจุนกดปุ่มโทรออกแล้วเอามือถือมาแนบหู พอเห็นว่าแอนเดอร์สันกำลังมองด้วยสีหน้าสงสัย มินจุนก็ยิ้มพร้อมขยับปากพูดว่า ‘คาย่า’แอนเดอร์สันจึงพยักหน้าเบาๆ หลังจากที่เสียงต่อสายดังได้สักพัก เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น ถ้าสิ่งที่ออกมาจากปากของเธอคืออาหาร อาหารจานนี้ก็คงจะถูกหมักด้วยความง่วงแล้วปรุงให้สุกอย่างลวกๆ
“เหนื่อยจัง…”
“ทำไมพอรับสายก็พูดคำนี้เลยนะ ได้นอนบ้างรึเปล่าเนี่ย”
พอมินจุนเริ่มพูด มาร์ตินก็ส่งสายตาถามว่าใคร แอนเดอร์สันที่อยู่ข้างๆ จึงตอบแทน คำตอบนั้นทำให้มาร์ตินตาเป็นประกายพร้อมบอกให้ตากล้องซูมไปที่มินจุนที่คุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าผ่อนคลายโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“ที่นั่นกี่โมงแล้ว”
“เช้ามืดน่ะ แต่อย่าไล่ให้ไปนอนนะ เพราะถ้าไม่ได้คุยตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้คุยกันอีก”
“ร่างกายต้องสำคัญกว่าการคุยโทรศัพท์สิ”
“นั่นล่ะคือปัญหาของฉัน ไม่รู้ว่าได้พูดคุยแบบนี้ล่าสุดเมื่อไหร่ ฉันน่ะทุกวันได้เจอก็แต่คนพื้นที่ ลูกค้า หรือไม่ก็เชฟด้วยกันแค่นั้นเอง การได้คุยกับนายหรือกับคนอื่นจึงถือว่าเป็นการได้พักผ่อนบ้าง”
“นอกจากฉันแล้วมีใครให้โทรหาอีกเหรอ”
“ก็น่าจะรู้นี่ แม่กับน้อง แล้วก็…มาร์โค่ ส่วนโคลอี้เวลาไม่ค่อยตรงกันก็เลยแค่ส่งข้อความหากันวันละครั้งน่ะ”
“โคลอี้เองก็คงยุ่งแหละ แล้วสุขภาพเป็นไงบ้าง”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้ไปตรวจสุขภาพโรงพยาบาล ก็เลยไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะมารู้ตัวทีหลังก็ได้ว่าเป็นโรคร้ายอะไรสักอย่าง”
มินจุนทำหน้าบูดบึ้งทันที เพียงแค่จินตนาการถึงเรื่องอะไรแบบนั้นก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีแล้ว
“อย่าพูดแบบนั้นสิ แล้วนี่อยู่ที่ไหน”
“เยอรมนี แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะไปอิตาลีแล้ว”
“อิตาลีเหรอ ฉันก็กำลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน คงไม่ได้มาออกรายการฉันหรอกนะ”
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ ที่อิตาลีกำลังฉายแกรนด์เชฟก็เลยขอให้ฉันไปออกรายการในฐานะผู้ชนะน่ะ แต่ฉันพูดอิตาลีไม่ได้เลยสักคำ”
“จะได้เจอกันรึเปล่านะ”
“ถ้าอยู่ใกล้ๆ กันก็คงได้เจอ”
“ถ้าอยู่ใกล้ๆ กันก็ดีสิ”
การสนทนาดำเนินต่อไปพักใหญ่ สิบนาที สามสิบนาที ห้าสิบนาที จนถึงตอนที่เครื่องบินกำลังจะขึ้น มินจุนจึงต้องวางสาย
“เดี๋ยวฉันต้องไปขึ้นเครื่องแล้วนะ ยังไงระหว่างบินก็พักผ่อนให้เต็มที่ล่ะ”
“อือ แค่นี้นะ”
หลังจากวางสายมินจุนถึงเพิ่งรู้ว่าคนอื่นกำลังมองอยู่
“มีอะไรกันเหรอครับ”