• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 3 ตอนที่ 1

    ใช้เวลาบินประมาณสิบสองชั่วโมง ด้วยความต่างของเวลาจึงทำให้มาถึงเมืองฟลอเรนซ์ในเวลาบ่ายสองโมง หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและออกมาด้านนอกแล้ว มาร์ตินก็กระแอมเพื่อดึงความสนใจ

    “เรามาถึงอิตาลีแล้ว และวันนี้เราได้ติดต่อไกด์พิเศษเอาไว้ช่วยดูแลพวกคุณครับ”

    “ไกด์พิเศษเหรอ”

    เอมิลี่ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย มินจุนนึกถึงคาย่าขึ้นมา คาย่าก็กำลังมาอิตาลีเหมือนกัน แม้จะบอกว่ามาอิตาลีเพื่อออกรายการแกรนด์เชฟก็ตาม มาร์ตินมองไปข้างหลังแทนคำตอบ ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาหาพวกเขา พอชายคนนั้นถอดแว่นกันแดดออก เอมิลี่ก็ทำหน้าผิดหวังและถอนหายใจออกมา

    “อลัน”

    “ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะ”

    อลันตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ก่อนจะเข้าไปกอดเรเชลกับเอมิลี่ แล้วหันมองไปที่มินจุน

    “มินจุน ดูเหมือนคุณจะสูงขึ้นนะ”

    “ไม่หรอกครับ อาจเป็นเพราะส้นรองเท้า ผมคงไม่สูงไปกว่านี้แล้วล่ะ”

    มินจุนยิ้มพลางชี้ไปที่รองเท้า หลังจากที่อลันทักทายกับแอนเดอร์สันแล้วก็มองไปที่เจเรมี่และเซร่า

    “ไม่เจอกันนานเลยนะครับเจเรมี่ ครั้งสุดท้ายที่มาร้านของผมคราวก่อน ผมยังจำคำวิจารณ์ของคุณขึ้นใจ”

    “เอ่อ ผมจำไม่ค่อยได้น่ะ ผมเคยชมไว้เหรอ”

    “เท่าที่จำได้ก็มี…โมจิแอปเปิ้ลเป็นของหวานที่น่าสะอิดสะเอียนมาก ทั้งที่ของหวานจานนี้ผมได้รับคำชมมามากมาย”

    “ฮ่าๆ ผมไม่ชอบวิจารณ์อะไรที่ซ้ำกับคนอื่นน่ะ”

    เจเรมี่หัวเราะร่วนแล้วพูดออกมาหน้าตาเฉย อลันจึงยิ้มแล้วหันไปทางเซร่า

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมอลัน เคร็ก เรียกผมว่าอลันก็ได้”

    “ฉันเซร่า เคจค่ะ ดีใจจังที่ได้มาเจอกันแบบนี้ ฉันอยากจะเจอคุณสักครั้งมานานแล้ว”

    “เดี๋ยวนะอลัน คุณรู้จักเซร่าเหรอ”

    “เธอเคยลงปกนิตยสารคุกเกอร์สครั้งก่อน เป็นนักชิมอาหารที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก”

    “ปกติคุณไม่ค่อยอ่านพวกนิตยสารนี่”

    อลันหันไปมองทางอื่นราวกับเลี่ยงที่จะตอบ เจเรมี่จึงหัวเราะออกมา

    “แม้ว่าเราจะไม่ค่อยอ่านนิตยสาร แต่บางครั้งพลังของหน้าปกก็ทำให้เราซื้อมาอ่าน”

    “ฉันพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าหมายความว่าอะไร”

    พอเห็นเอมิลี่พึมพำราวกับไม่พอใจ เซร่าก็ยิ้มเซ็กซี่เหมือนนางแบบพร้อมชายตามอง

    “ว่าแต่คุณมาได้ยังไงคะอลัน อ๋อ หรือว่าเพราะเรเชล?”

    “ก็เป็นเพราะเหตุผลนั้นนั่นแหละครับ อาจารย์ของผมมาออกรายการนี้ จะไม่ให้ผมมาได้ยังไงล่ะ”

    อลันยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมมองไปที่เรเชล

    “ขอบคุณที่กลับมาเป็นเชฟอีกครั้งนะครับอาจารย์ ผมเคยอยากเห็นภาพที่อาจารย์ยืนอยู่ในครัวอีกสักครั้ง”

    “ทั้งๆ ที่มีเวลาเรียนรู้จากฉันได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่กลับนึกถึงฉันเสมอ”

    เรเชลพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ อลันอายุแค่สามสิบกว่าเท่านั้น ตอนที่เรเชลเลิกเข้าครัวอย่างมากอลันก็อายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้า จึงมีเวลาเรียนกับเธอแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น เธอจึงรู้สึกขอบคุณความรู้สึกของอลันเป็นอย่างมาก

    “ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ก็ล้ำค่ามากนะครับ”

    หลังจากนั้นทั้งหมดก็ขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางเข้าไปยังตัวเมือง ตอนแรกคิดว่าเมื่อมาถึงสนามบินก็คงจะได้เห็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงามในสมัยโรมัน แต่ความจริงกลับมีแค่ทุ่งหญ้ากับถนนเท่านั้น แล้วไม่นานมาร์ตินก็ติดต่อมาทางวิทยุสื่อสาร

    “ฮัลโหล ฮัลโหล ได้ยินมั้ยครับ”

    “ครับ ได้ยิน”

    “ตอนนี้เป็นเวลาก้ำกึ่งระหว่างมื้อกลางวันกับมื้อเย็น งั้นพวกเราหาอะไรข้างทางกินน่าจะดีกว่า อลัน คุณรู้จักที่ดีๆ เยอะใช่มั้ยครับ”

    “ผมรู้แม้กระทั่งว่ามีตึกอยู่กี่ตึกในเมืองฟลอเรนซ์ อย่าห่วงไปเลย”

    “แล้วมีกี่ตึก”

    “สองหมื่นสามสิบสองตึก”

    เสียงของมาร์ตินเงียบไป อลันจึงวางวิทยุสื่อสารลงเหมือนกับว่าตัวเองชนะ แอนเดอร์สันที่กำลังง่วนกับการขับรถจึงถามว่า

    “รู้เรื่องแบบนั้นได้ยังไงกันครับ”

    “ก็แค่เดาเอาน่ะ”

    “เดาหรอกเหรอเนี่ย”

    เอมิลี่ถามขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ อลันจึงยักไหล่แล้วตอบว่า

    “ในครัวของผม ผมยังไม่รู้เลยว่ามีส้อมทั้งหมดกี่คัน แล้วผมจะรู้จำนวนตึกในเมืองฟลอเรนซ์ได้ยังไง ตอนนี้มาร์ตินคงกำลังยุ่งอยู่กับการเสิร์ชหาคำตอบของผมว่าถูกหรือผิด”

    “คุณก็ชอบแกล้งคนเหมือนกันนะเนี่ย อลัน”

    “ผมไม่ใช่คนร้ายกาจขนาดนั้นหรอก แต่ผมชอบแกล้งมาร์ติน”

    “ทำไมถึงต้องเป็นมาร์ตินล่ะ”

    “คราวก่อนที่เขามาร้านอาหารผม เขาอ้วกลงพื้นทั้งที่ผมเตือนแล้วนะว่าให้ดื่มแบบพอประมาณ”

    มินจุนระเบิดหัวเราะออกมา ก่อนจะถามด้วยความสงสัย

    “ที่ร้านของคุณมีลูกค้าที่ปัญหาเยอะมั้ยครับ แต่อย่างน้อยก็ไม่น่ามีใครเอาเรื่องรสชาติอาหารมาเป็นปัญหา?”

    “ทำไมจะไม่มีล่ะ อย่างตอนที่ทำร้านโรสไอส์แลนด์ในเมืองเวนิส ผมยังเคยเจอลูกค้าหาเรื่องทุกวัน”

    “หาเรื่องยังไงเหรอครับ”

    “เรื่องนั้นฉันจะตอบให้ค่ะ มีเสลดไม่ก็น้ำลายอยู่ในจานบ้าง บางคนก็อ้วกใส่ บางคนถือว่าตัวเองเป็นแขกวีไอพีก็หยิบบุหรี่ออกมาสูบแม้จะมีป้ายเตือน และยังมีพวกที่กินแล้วชักดาบด้วย ทำทีเป็นเข้ามาสั่งอาหาร จากนั้นเอาแมลงสาบที่ตายแล้วใส่ลงในจานอาหารแล้วเดินออกไปเลยก็มี”

    “อันหลังนี่ไม่ใช่พวกลูกค้าที่มาหาเรื่องแล้ว น่าจะเป็นพวกโรคจิตมากกว่า”

    “ไม่ว่าจะได้ฟังคำชมว่าอร่อยมาเยอะแค่ไหน แต่พอเจอคนแบบนั้นเข้าไปครั้งเดียว พลังงานดีๆ ที่สะสมมาทั้งวันก็หายไปในพริบตา”

    พอพูดจบเรเชลก็ทำหน้าเศร้า อลันจึงพูดเสริมว่า

    “เดี๋ยวนี้พอให้จองล่วงหน้าก็ไม่ค่อยเจอลูกค้าแบบนั้นแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่ร้านอาหารดังที่มีคนจองจนเต็มก็ยังคงต้องเจอกับลูกค้าแบบนั้นอยู่ การจองล่วงหน้าก็ลำบากเหมือนกัน มีลูกค้าหลายคนที่จองไว้แต่ไม่มาจึงทำให้สูญเสียรายได้ไป คำว่าโนโชว์น่ะ คุณเคยได้ยินใช่มั้ย”

    “อ๋อ เคยได้ยินครับ ผมไม่เข้าใจคนแบบนั้นเลยจริงๆ แค่โทรมาบอกนิดเดียวเองว่าไม่มาแล้ว”

    “ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก มีร้านอาหารมากมายต้องปิดกิจการเพราะโนโชว์ จึงทำให้บางร้านไม่รับจองโต๊ะเลย”

    อลันหยุดมองมินจุนแล้วยิ้ม

    “ทำไมเหรอครับ คิดจะทำร้านอาหารก็เลยกังวล?”

    “ผมรู้ว่ามันเป็นการคิดถึงเรื่องที่ไกลตัวมาก”

    “ไม่หรอก การคิดล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าไปคิดถึงปัญหาที่เราทำอะไรไม่ได้เลย ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเครียดกับมันล่วงหน้า”

    “ครับ ผมแค่คิดว่าจะเปิดร้านอาหารที่ไหนและแบบไหนดี แต่ก่อนจะเปิดผมคงต้องไปหาประสบการณ์ที่ไหนสักที่ก่อน”

    “ถ้าร้านของผมมีตำแหน่งว่างผมจะเรียกตัวคุณมาแน่นอน มินจุน แต่ถ้าคุณต้องถึงขนาดเรียนภาษาอิตาลีเพื่อมาทำงานที่นี่ สู้ไปทำที่อเมริกาหรือที่ไหนก็ได้ น่าจะมีที่สำหรับคุณอยู่แล้ว ไม่แน่ว่า…”

    อลันเหลือบไปมองเรเชล

    “อาจจะอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิดก็ได้”

     

    ประเทศอิตาลีเป็นประเทศที่เสียหายจากสงครามน้อยเป็นอันดับต้นๆ ในแถบยุโรป เมื่อเห็นสิ่งก่อสร้างหลายร้อยปีก่อนอย่างดูโอโม่และวังเมดิชีที่คงสภาพแทบจะเหมือนเดิม มินจุนก็ประทับใจมาก ทำให้เขารู้สึกเป็นครั้งแรกว่าสิ่งก่อสร้างก็ถือเป็นศิลปะเหมือนกัน

    อยากทำร้านอาหารในสถานที่แบบนั้นจัง

    “เรามาเลือกกันดีกว่าค่ะว่าจะไปที่ไหนก่อน”

    เอมิลี่พูดพร้อมทำหน้าหิวโหย เธอมักสูญเสียการควบคุมเวลาอยู่ต่อหน้าของกิน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะอ่อนไหวมากเวลาหิว หญิงสาวทำท่าเหมือนอยากจะวิ่งไปหยิบอาหารใส่ปากเสียตอนนี้ มินจุนจึงเสนอขึ้นว่า

    “ผมอยากลองพาสต้ามากที่สุด”

    “ส่วนฉันขอเป็นพานินี่*หรือพิซซ่าก็ดีค่ะ”

    “ยังไงเราก็มีเวลาอีกมาก คงได้กินทั้งหมดอยู่แล้ว มื้อแรกไม่ควรจะหนักเกินไป ผมขอแนะนำแซนด์วิชครับ แถวนี้มีร้านที่ดังมากอยู่ร้านนึง”

    อลันเสนอขึ้นมา ในเมื่อเขาเป็นเจ้าถิ่นจึงทำให้คำพูดของเขามีน้ำหนักมาก ทุกคนพากันพยักหน้ารับโดยพร้อมเพรียง

    “งั้นไปกันเลยครับ”

    อลันพาทุกคนมาที่ร้านริมทางที่หน้าตาเหมือนทั้งฟู้ดทรักและเหมือนทั้งตู้คอนเทนเนอร์ มีคนสามคนยืนรับออเดอร์ ด้านหน้ามีเมนูภาษาอิตาลีเขียนเอาไว้ อลันอ่านเมนูให้ฟัง

    “เดี๋ยวผมขออธิบายให้ฟังก่อนนะครับ มันเป็นแซนด์วิช แต่สามารถเลือกขนมปังได้ และสามารถเลือกซอสกับเนื้อสัตว์ได้ด้วย”

    “เหมือนร้านขายแซนด์วิชในอเมริกาเลย”

    “คล้ายๆ แต่รสชาติต่างกันมาก เชื่อเถอะครับ เนื้อสัตว์ผมขอแนะนำเป็นเครื่องในวัว มันเรียกว่าลัมเปรดอตโต**

    “อ้อ เดี๋ยวนะคะ”

    เซร่าทำตาเป็นประกาย เดินไปพูดอะไรบางอย่างกับคนขาย ท่าทางการพูดจาของเธอดูคล่องแคล่วมาก หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เดินถือพานินี่กลับมาสองชิ้นแล้วยื่นให้มินจุน

    “ฉันยังไม่เคยเห็นประสาทรับรสที่แม่นยำของคุณด้วยตาตัวเองเลยสักครั้ง ช่วยทำให้ฉันเห็นหน่อยได้มั้ยคะ”

    “บางทีคุณก็เด็กกว่าที่ผมคิดอีกนะครับ”

    “ทำไงได้ล่ะคะ ความจริงฉันก็สงสัยมาตลอด แต่ถ้าถามออกไปก็จะดูเหมือนเสียมารยาท แต่ตอนนี้เราก็น่าจะสนิทกันพอสมควรที่จะถามเรื่องพวกนี้ได้แล้ว หรือว่าเรายังไม่สนิทกันขนาดนั้น?”

    “ส่งมาสิครับ”

    “อ้อ นี่ค่ะ”

    เซร่าจ้องมองปากของมินจุนด้วยสายตาตื่นเต้น แม้จะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่มินจุนก็กัดพานินี่เข้าปาก ขนมปังไม่มีร่องรอยของการกริลล์จึงฟูมาก มินจุนชอบพานินี่แบบนี้เพราะการกริลล์จะทำให้มีรสไหม้นิดๆ แต่สัมผัสแข็งๆ แบบดั้งเดิมทำให้รู้สึกถึงเนื้อขนมปังได้มากกว่า มินจุนมองที่พานินี่ครู่หนึ่ง ระบบกำลังบอกว่าพานินี่ชิ้นนี้ได้เจ็ดคะแนน ถือว่าเป็นอาหารที่ดี เป็นมาตรฐานระดับเดียวกับอาหารที่เขาทำโดยทั่วไป แม้ว่าการที่เขาได้คลุกคลีกับเรเชลจะทำให้เขาจุกจิกเรื่องรสชาติมากขึ้น แต่ถึงยังไงมันก็อร่อยมาก ขณะที่เขานำพานินี่เข้าปากระบบก็บอกให้รู้ว่ามีวัตถุดิบอะไรอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้มองเพราะเขาอยากลองทายดูก่อน

    “ก่อนอื่นเลยก็มีเครื่องในวัวแน่นอน หัวหอมผัดกับน้ำมันมะกอกและเบซิล แล้วก็ผัดกระเทียมกับพริกแห้งใส่ลงไปด้วย มีมะกอก เคเปอร์*ดอง ผักกาดหอม ผักร็อกเก็ตด้วย…ซอสมะเขือเทศก็ทั่วไป มีมะเขือเทศ วิปครีม กระเทียม แล้วก็…”

    ตั้งแต่ตรงนี้ไปเป็นข้อมูลที่มาจากระบบ มินจุนเหลือบตามองเพื่อตรวจสอบสิ่งที่เขาไม่รู้ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดชื่น

    “ไวน์ขาว น้ำผึ้ง ดูเหมือนว่าจะนำมาผสมกับซอสต่างหากทีหลัง”

    สองอย่าง สิ่งที่เขาไม่รู้มีแค่สองอย่างเท่านั้น เป็นเพราะที่ผ่านมาเขาฝึกกินโดยพยายามใช้ความรู้สึกว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง เขาจึงยิ้มอย่างภูมิใจ ระหว่างนั้นเซร่าก็มองเขาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

    “ถูกต้องค่ะ ฉันไม่ได้รู้ถึงขนาดวัตถุดิบที่อยู่ในซอสหรอก แต่คุณกลับตอบได้ถูกหมดเลย”

    “ถ้ามีสมาธิก็สามารถทำได้ครับ ดังนั้นจึงควรฝึกที่จะรับรู้ว่าอาหารที่กินมีวัตถุดิบอะไรบ้าง”

    “คุณมีประสาทรับรสที่แม่นยำคุณก็พูดได้น่ะสิ แต่สำหรับฉันทำยังไงก็ทำไม่ได้”

    เซร่าทำหน้าจ๋อย มินจุนจึงรู้สึกสงสัยในใจ เซร่ามีเลเวลการชิมระดับแปดเท่ากับเขา และลิ้นของเขาก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ อย่างน้อยก็ในความคิดของเขา แต่เซร่ากลับพูดว่าเธอไม่สามารถทำในสิ่งที่เขาทำได้

    หรือว่าพลังของระบบจะช่วยทำให้ประสาทรับรสของเราอ่อนไหวขึ้น?

    หรือเดิมทีเขามีประสาทรับรสที่อ่อนไหวอยู่แล้ว แต่ไม่เคยได้กระตุ้นอย่างจริงจังกันนะ ขณะที่กำลังคิดเรื่องนั้นเซร่าก็เดินไปพูดอะไรบางอย่างกับคนขาย แล้วคนขายก็ทำหน้าตกใจ หันมามองมินจุนด้วยสีหน้าที่นึกสนุก แล้วไม่นานก็เริ่มหยิบวัตถุดิบต่างๆ ออกมาหั่น เขาหั่นเล็กมากจนแทบจะเรียกว่าสับ จากนั้นก็ใส่ลงไปในขนมปัง มินจุนที่มองดูภาพนั้นอยู่ห่างๆ ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

    “จะให้ผมกินอีกเหรอ”

    “ฉันอยากรู้ว่าประสาทรับรสที่แม่นยำมันจะสมบูรณ์แบบแค่ไหน”

    ดวงตาของเซร่าเป็นประกาย เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เมื่อคนที่มีประสาทรับรสที่แม่นยำมาอยู่ตรงหน้านักชิมอาหารก็คงไม่ต่างกับการที่บีโธเฟนมาอยู่ตรงหน้านักดนตรี ดูอย่างตอนที่เอมิลี่รู้เรื่องที่มินจุนมีประสาทรับรสที่แม่นยำเป็นครั้งแรกสิ เอมิลี่ยังพยายามชักจูงให้เขาไปเป็นนักชิมอาหารเลย

    แล้วพานินี่ชิ้นใหม่ก็เข้าไปอยู่ในปากของมินจุน ทุกคนพากันจ้องมองด้วยสายตาตื่นเต้น มินจุนพูดว่า

    “หอมแดง กะหล่ำดาว เนื้อเซอร์ลอยน์…”

    มินจุนพูดออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่ลังเล การหั่นวัตถุดิบจนละเอียดแล้วใส่มาแบบนี้ยากกว่าตอนทายวัตถุดิบในเต้าหู้ห่อมาก แต่เขาก็ไม่อาจแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นได้ คนทั้งโลกรู้จักเขาในฐานะคนที่มีประสาทรับรสที่แม่นยำไปแล้ว

    ในเมื่อต้องการอะไรแบบนี้ล่ะก็…

    เขาทำให้ได้อยู่แล้ว ความจริงการที่เขาตัดสินใจได้ก็เป็นเพราะอิทธิพลจากคำพูดของแอนเดอร์สันตอนอยู่ที่สนามบิน สตาร์บุ๊ก…ภาพลักษณ์ที่สั่งสมจะถูกเพิ่มเข้าไปในอาหาร ถึงจะไม่ได้ชนะด้วยรสชาติ แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเชฟก็ไม่ใช่การเอาชนะอยู่แล้ว แต่เป็นการทำให้ลูกค้ามีความสุข เขาจึงคิดว่าเขาควรเพิ่มปัจจัยที่จะทำให้ลูกค้ามีความสุขสักหน่อย

    ความจริงแล้ววัตถุดิบที่ถูกหั่นจนละเอียดยิบนั้นแทบจะแยกรสชาติไม่ออกเลย แต่น้ำเสียงของมินจุนที่พูดชื่อวัตถุดิบแต่ละอย่างออกไปนั้นไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่เขาเอ่ยชื่อวัตถุดิบ ทุกคนก็ทำสีหน้าแตกต่างกัน เอมิลี่ทำหน้าภูมิใจราวกับมองน้องชายที่ชีวิตกำลังไปได้สวย อลันพยักหน้าราวกับคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เรเชลมองด้วยสายตาประทับใจเหมือนทุกครั้ง แอนเดอร์สันทำหน้าอิจฉาเมื่อเห็นเรเชลเป็นแบบนั้น เจเรมี่มองว่ามันน่าสนุก ในขณะที่เซร่ากำลังขีดชื่อวัตถุดิบที่จดอยู่บนกระดาษออกทีละชื่อด้วยสีหน้าที่ตกใจ

    ไม่มีอะไรผิดเลยสักอย่าง ไม่อยากจะเชื่อ ต่อให้มีประสาทรับรสที่แม่นยำขนาดไหน ต่อให้มีต่อมรับรสมากกว่าคนทั่วไป แต่จะสามารถทายวัตถุดิบที่หั่นอย่างละเอียดยิบแบบนี้ได้จริงเหรอ เซร่าไม่ได้คิดว่าตอนทำรายการแกรนด์เชฟทางทีมงานและมินจุนจะเล่นตุกติก เพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น แต่เธอเคยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องประสาทรับรสที่แม่นยำ แน่นอนเขาอาจจะมีประสาทรับรสที่อ่อนไหวจริง เพราะเขาสามารถทายวัตถุดิบที่มีขนาดเท่าลูกเต๋าที่อยู่ในเต้าหู้ห่อได้ แต่เธอก็คิดว่าแค่นั้นยังไม่พอที่จะยอมรับว่ามันคือ‘ประสาทรับรสที่แม่นยำ’

    หลังจากนั้นเธอก็ได้ดูรายการตอนที่เขาเลียนแบบของหวานที่เคยกินในโรสไอส์แลนด์ แต่เธอก็คิดว่ามันไม่ใช่ความสามารถของประสาทรับรส เธอคิดว่าเขามีความสามารถในการวิเคราะห์และมีความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารที่สูงมาก การคิดว่าเขามีความสามารถในการเลียนแบบรสชาติที่โดดเด่นน่าจะดูเป็นจริงมากกว่าการที่เขามีประสาทรับรสที่แม่นยำ สามารถทายอัตราส่วนที่อยู่ในอาหารได้อย่างถูกต้องตรงเผง ยิ่งเขามักพูดต่อหน้ากล้องว่า ‘สิ่งที่เขามีนั้นแตกต่างจากประสาทรับรสที่แม่นยำ’ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับสมมติฐานของเธอ

    แต่ตอนนี้สมมติฐานนั้นพังลงอย่างไม่เป็นท่า วัตถุดิบที่เล็กเท่าเมล็ดถั่วกับวัตถุดิบที่เล็กเท่าเมล็ดข้าวเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง แล้วยิ่งนำมาผสมกันมั่วๆ ด้วยแล้วล่ะก็ มันเป็นขอบเขตที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่าประสาทรับรสที่อ่อนไหวและความสามารถในการคาดเดารสชาติที่โดดเด่น

    “ประสาทรับรส…ที่แม่นยำ”

    เซร่าพูดออกมาราวกับครวญคราง ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกแล้ว ไม่ใช่แค่เธอ ทั้งผู้เชี่ยวชาญและคนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่เคยมองประสาทรับรสที่แม่นยำของมินจุนในแง่ลบ ต่อไปคงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก เว้นเสียแต่จะเบี่ยงประเด็นไปที่การสงสัยในความโปร่งใสของรายการ แล้วคนขายที่ยืนอยู่ข้างหลังเซร่าก็ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

    “นี่เขาทายถูกหมดเลยเหรอ”

    “ใช่ ทายถูกหมดเลย”

    “บ้าไปแล้ว…”

    แม้จะไม่รู้ภาษาอิตาลี แต่ก็สามารถรู้สึกถึงความตกใจในน้ำเสียงนั้นได้ไม่ยาก เซร่าหันไปมองเรเชลโดยไม่รู้ตัว เรเชลกำลังมองมินจุนด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูมีชีวิตชีวากว่าทุกครั้ง เซร่าเข้าใจว่าเรเชลคาดหวังในตัวมินจุนมาก สำหรับเซร่านั้น เพียงแค่คิดว่าต่อไปเส้นทางที่มินจุนเดินไปจะเป็นแบบไหน หัวใจของเธอก็เต้นแรงแล้ว ถ้าเธอเป็นคนที่สามารถเสนอทางเส้นนั้นให้เขาได้ หัวใจก็คงจะระเบิดเป็นแน่

    เขาเป็นแร่ที่ยังไม่ได้รับการเจียระไน…ไม่สิ เป็นอัญมณีที่แท้จริงสินะ

    หลังจากที่รู้สึกชื่นชมปนอิจฉาอยู่ครู่หนึ่งเซร่าก็สงบใจของตัวเอง เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่แค่อยากได้แล้วก็จะได้มาครอบครอง

     

    “ไม่อยากจะเชื่อเลย”

    เซร่าพึมพำพลางมองตัวเองในกระจกของโต๊ะเครื่องแป้ง เอมิลี่ที่กำลังเป่าผมจึงพูดด้วยน้ำเสียงกระด้าง

    “ฉันบอกแล้วไงเรื่องลิ้นของเขา พวกเราไม่มีใครพูดโม้เกินจริง”

    “ไม่ใช่ไม่เชื่อนะ แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนั้น”

    “ความจริงฉันก็ตกใจเหมือนกัน เพราะนี่มันคนละระดับกับตอนที่ทายวัตถุดิบที่อยู่ในเต้าหู้ห่อเลย”

    ตอนแรกเอมิลี่กังวลใจว่ามินจุนจะสามารถทายวัตถุดิบที่ละเอียดจนแทบจะเป็นผงแบบนั้นได้เหรอ แม้ปกติแล้วเขาจะรู้กระทั่งวัตถุดิบที่ใช้ทำซอสก็ตาม แต่วันนี้ความกังวลใจของเอมิลี่ถูกลบล้างไปแล้ว มันเป็นวันที่สร้างความมั่นใจเกี่ยวกับประสาทรับรสที่แม่นยำให้กับเธออย่างถาวร แฟนคลับที่คอยช่วยประคับประคองเรื่องประสาทรับรสที่แม่นยำของมินจุนก็จะได้มั่นใจและปกป้องเขาได้อย่างเต็มที่ เอมิลี่วางไดร์เป่าผมลงแล้วหันไปมองเซร่า แม้จะคิดว่าภาพที่เซร่าห่อเหี่ยวดูน่ารัก แต่ก็ไม่สามารถปล่อยเอาไว้แบบนั้นได้

    “รู้สึกหดหู่เพราะเหมือนตัวเองเป็นตัวประกอบเหรอ”

    “ก้ำกึ่งน่ะ ตอนแรกก็รู้สึกตื่นเต้น แต่พอเห็นเขาทายวัตถุดิบทั้งหมดถูกต่อหน้าต่อตาก็เลย…ไม่รู้สิ รู้สึกเหมือนเป็นนักดนตรีเอ็กซ์ตราที่กำลังมองบีโธเฟนล่ะมั้ง เอมิลี่ เธอทนกับอาการหมดแรงแบบนี้ได้ยังไง”

    “ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรู้สึกหมดแรงนี่นา”

    “ทำไมล่ะ”

    “มีคนบอกว่าบีโธเฟนเก่ง แต่ไม่มีใครบอกว่าเขาเก่งที่สุด ไม่ใช่เพราะเขาบกพร่อง แต่เพราะมันไม่มีความหมายที่จะมานั่งคิดว่าใครเก่งที่สุดในโลกนี้ต่างหาก”

    “แต่ถึงงั้นก็เถอะ พอคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นได้แค่ตัวประกอบไปตลอดก็เศร้าอยู่นะ”

    สีหน้าที่กังวลใจของเซร่าทำให้เอมิลี่หัวเราะออกมา ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มโลชั่นแล้วแตะลงไปบนจมูกของเซร่า

    “ทำอะไรเนี่ย”

    “คำถามที่เธอถามมันก็มีคำตอบอยู่แล้วนี่ ในโลกแห่งดนตรีคนที่ถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะที่มีความโดดเด่นก็มักจะเป็นพวกช่ำชองเพลงคลาสสิกทั้งนั้น แต่เธอฟังคลาสสิกเหรอ”

    “ก็ไม่ได้ถึงกับไปหาฟังหรอก”

    “นั่นไง ลิ้นของมินจุนอ่อนไหวและดูอัจฉริยะจนคนเรียกว่าประสาทรับรสที่แม่นยำ แต่ไม่ได้หมายความว่ารสชาติที่ลิ้นนั้นรู้สึกและแสดงออกจะเป็นมาตรฐานที่ถูกต้องแน่นอนนี่นา สุดท้ายความชอบส่วนตัวของแต่ละคนก็แตกต่างกัน เธอแค่เป็นในแบบของเธอก็พอ”

    แบบของฉันก็คือนักชิมอาหารที่เซ็กซี่สินะ

    เซร่าทำหน้าเครียดพลางใช้นิ้วเกลี่ยโลชั่นที่จมูกไปทั่วใบหน้า จากนั้นก็เงยหน้ามองเอมิลี่ด้วยแววตาที่ลังเล เอมิลี่จึงยิ้มกว้าง

    “โลชั่นนั่นแพงนะ ทาให้ทั่วๆ หน่อย”

    “ชอบทำตัวให้คนเกลียดจริงๆ”

    “พูดกับคนที่ให้คำปรึกษาเวลามีเรื่องกลุ้มใจแบบนี้น่ะเหรอ”

    “ก็เลยเกลียดยิ่งกว่าเดิมไงล่ะ คนอะไรทำตัวดีแบบไร้สาระ”

    เซร่าพูดพลางตบโลชั่นทั่วหน้าเบาๆ เรเชลที่นั่งเงียบอยู่นานจึงยิ้มออกมาก่อนจะพูดว่า

    “คุณสองคนรักกันดีจังเลย”

    “เมื่อก่อนฉันก็เคยพูดแบบนี้กับแอนเดอร์สันและคาย่า พอจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาสองคนในตอนนั้นขึ้นมาเลยค่ะ”

    เอมิลี่พูดด้วยน้ำเสียงฝืนๆ เซร่าจึงถามขึ้นมาอย่างสงสัย

    “ว่าแต่คนที่ชื่อคาย่าน่ะ เห็นในรายการดูเก่งมากเลย เป็นยังไงเหรอ”

    “เธอคนนั้นมีพรสวรรค์มากมาย เรื่องทำอาหารเรียกว่าสุดยอดเลยล่ะ ประสาทรับรสก็อ่อนไหวมากเพียงแต่ถูกมินจุนกลบเท่านั้นเอง เธอกินริซ็อตโต้ของอลันแค่ครั้งเดียวก็ทำเลียนแบบขึ้นมาได้เหมือนมาก”

    “อ๋อ อันนั้นฉันก็ได้ดูเหมือนกัน ถ้างั้นคาย่าก็ถือเป็นอัจฉริยะเรื่องประสาทรับรสที่แม่นยำเหมือนกันน่ะสิ”

    “ประสาทรับรสที่แม่นยำที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์จะมาพร้อมกันถึงสองคนเลยเหรอ เตรียมนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปร้านอาหารของอลันอีก คืนนี้ต้องพักเอาแรงให้เต็มที่เพราะน่าจะเป็นการเดินทางที่ลำบากไม่น้อยเลย”

    ระหว่างที่ฟังทั้งสองคนคุยกัน เรเชลก็ทำสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก นั่นเป็นเพราะเธอนึกถึงคำพูดที่เคยได้ยินจากมินจุน เขาพูดว่าคนที่เธอตามหาไม่ใช่เขา แต่เป็นคาย่า แม้ว่าเธอจะสนใจคาย่าอยู่เหมือนกัน แต่คาย่าต้องทำหน้าที่ในฐานะผู้ชนะแกรนด์เชฟ เธอจึงไม่สามารถเข้าถึงตัวคาย่าในตอนนี้ได้

    ถ้าเป็นไปได้…

    เรเชลลุกขึ้นแล้วหยิบเสื้อคลุมสีแดงขึ้นมาใส่ เอมิลี่จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย

    “จะไปไหนเหรอคะ”

    “อ๋อ มีอะไรต้องคิดนิดหน่อยน่ะ”

    เรเชลเดินตรงมายังห้องพักของพวกผู้ชาย หลังจากกดกริ่งได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของเจเรมี่ดังขึ้น

    “มากดกริ่งห้องผู้ชายในเวลาดึกดื่นขนาดนี้ทำไม”

    “หยุดพูดพล่ามซะที มินจุนหลับรึยัง ถ้ายังไม่หลับ ช่วยไปบอกให้หน่อยว่าฉันอยากเจอ”

    “เขาออกไปข้างนอกน่ะ”

    “หรือจะลงไปนั่งที่ล็อบบี้?”

    “เปล่า”

    คำตอบห้วนๆ ทำให้เรเชลขมวดคิ้ว เจเรมี่จึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

    “ออกไปข้างนอกโรงแรม เห็นเขาขออนุญาตมาร์ตินว่าจะไปออกไปเจอใครสักคนข้างนอก ชื่ออะไรนะ เด็กผู้หญิงคนนั้นน่ะ อยู่ๆ ก็นึกชื่อไม่ออก”

    “เด็กผู้หญิงเหรอ”

    “ก็คนนั้นไง ที่เขาคุยโทรศัพท์หวานแหววเป็นชั่วโมง”

    แล้วเรเชลก็ร้องออกมา

    “คาย่า โลตัส”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook