• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี 23_3

    “พรุ่งนี้ต้องมีเนื้อให้เจ้ากินแน่นอน วันนี้ก็กินเท่านี้ก่อนเถอะ”

    เจ้าดำสะบัดศีรษะไปมาเบาๆ ค่อนข้างโมโห แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

    โจ๊กในหม้อสุกแล้ว ส่งกลิ่นหอมจางๆ หนิงเชวียพยุงซังซังขึ้นนั่ง ป้อนโจ๊กนางพลางบอกว่า

    “ในโจ๊กใส่ตัวยาลงไปบ้าง ขโมยของเจ้าสมองกลวงมา อย่าให้มันรู้ล่ะ”

    ซังซังค่อนข้างเกรงใจ มองออกไปนอกรถแวบหนึ่ง จากนั้นก็กลั้นหัวเราะก้มหน้าลงกินโจ๊ก กินไปครึ่งชาม จิตใจก็เริ่มดีขึ้น นึกถึงว่าหนิงเชวียได้รับบาดเจ็บ จึงบอกว่า

    “ท่านก็กินบ้างสิ”

    “ข้ากินแล้ว”

    “น้ำเย็นกับเสบียงกรัง จะไปมีรสชาติได้อย่างไร”

    “หลังจากไปอยู่เมืองเว่ยแล้วชีวิตความเป็นอยู่จึงค่อยดีขึ้น คิดถึงเมื่อก่อนที่พวกเราอยู่บนเขาหมินซาน ได้กินเสบียงกรังก็นับว่าดีมากแล้ว ไม่ต้องห่วงว่าข้าจะไม่ชินหรอก”

    ซังซังคิดในใจ จากประหยัดไปสู่ฟุ่มเฟือยนั้นง่าย แต่จากฟุ่มเฟือยไปสู่ประหยัดนั้นยาก ตอนนี้ท่านกินเสบียงกรังย่อมไม่เหมือนที่กินตอนเป็นเด็กหรอก แต่นางรู้นิสัยของหนิงเชวียดีจึงไม่เซ้าซี้อีก ได้แต่บอกตนเองว่าให้หายไวๆ

    โจ๊กในหม้อยังเดือดอยู่ เกิดเสียงปุดๆ ไอร้อนลอยขึ้นมา ทำให้ในประทุนรถอุ่นมาก มีเพียงร่มดำและกระดานหมากที่อยู่ตรงมุมเท่านั้นที่คล้ายกำลังแผ่ความเย็นออกมา

    กระดานหมากที่ดูเหมือนธรรมดาสามัญแผ่นนั้นย่อมเป็นกระดานหมากของปฐมพุทธะ หนิงเชวียไม่เข้าใจ เห็นอยู่ชัดๆ ว่ารถม้าอยู่ในกระดานหมาก แล้วทำไมสุดท้ายจึงกลายเป็นกระดานหมากมาอยู่ในรถม้า

    “ตอนนี้พวกเรารู้ว่าตนเองอยู่ในทุ่งร้างตะวันตก ตำแหน่งนั้นชัดเจนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเวลาในตอนนี้ห่างจากเหตุการณ์ที่วัดลั่นเคอกี่วัน

    หลวงจีนชราบอกว่าคนทั้งโลกตามหาพวกเราอยู่นานมากแล้ว ดูท่ากระดานหมากคงสำแดงฤทธิ์ พวกเราวิ่งอยู่บนถนนในนั้นเพียงชั่วอึดใจ ไม่แน่ว่าโลกแห่งความจริงภายนอกเวลาอาจผ่านไปนานมากก็ได้ แม้ว่ายังเป็นกลางฤดูสารท แต่ข้าคิดว่าอย่างน้อยคงผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว”

    ซังซังรู้สึกว่าการคำนวณของมันสมเหตุสมผลยิ่ง พอนึกถึงแสงพุทธะในวัดลั่นเคอ ใจก็สั่นระรัว และพอนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้วัดแทบราพณาสูรก่อนเข้าสู่กระดานหมากนั่น จึงพูดว่า

    “เดาว่าคนที่ทลายวัดในวันนั้นก็คือเซียนเซิงใหญ่และเซียนเซิงรอง หลังจากนั้นแล้วไม่รู้ทั้งสองคนเป็นอย่างไรบ้าง จะเดือดร้อนหรือไม่”

    “ไม่ต้องกังวล คนที่จัดการศิษย์พี่ทั้งสองของข้าได้ในเวลาเดียวกัน โลกนี้อย่างมากมีเพียงสองคน แต่สองคนนั้นกลัวว่าจะทำให้อาจารย์มีโทสะ จึงไม่กล้าลงมือ”

    สองคนนั้นที่หนิงเชวียเอ่ยถึงย่อมเป็นเจ้าอารามของอารามจือโส่ว และเจ้าคณะฝ่ายเทศนาของวัดเสวียนคง

    “ข้ากลับเป็นห่วงฉีซานต้าซือมากกว่า”

    หนิงเชวียนึกถึงพระเถระนิกายพุทธผู้มีเมตตาและคุณธรรมรูปนั้น นึกถึงภาพที่ต้าซือเปิดกระดานหมากแล้วส่งพวกตนหนีมา ก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า

    “เดิมทีร่างกายของต้าซือก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ใช้สัจจาพระสูตรช่วยข้าสู้กับชีเนี่ยน จากนั้นยังฝืนหมุนกระดานหมากอีก ไม่รู้จริงๆ ว่าต้าซือจะทนไหวไหม”

    ซังซังได้ฟังก็กังวลใจ หยิบเม็ดหมากสีดำเม็ดหนึ่งที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา มองอย่างเหม่อลอย

    หนิงเชวียรู้ว่านี่คือเม็ดหมากสีดำที่ซังซังวางบนกระดานหมากในการเล่นกระดานสุดท้ายของสามกระดานที่เขาหว่าซาน จึงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า

    “ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจ เก็บหมากเม็ดนี้ไว้เป็นที่ระลึกเถอะ”

    ซังซังพยักหน้าแล้วกำมือ กำเม็ดหมากไว้แน่น จากนั้นมองกระดานหมากแล้วพูดว่า

    “บนกระดานหมากนี้ไม่มีพุทธจิตของปฐมพุทธะแล้ว ถือว่าใช้การไม่ได้แล้วใช่ไหม”

    “อย่างไรก็เป็นของตกทอดจากปฐมพุทธะ แม้ไม่สามารถเปิดโลกในกระดานหมากได้อีก เก็บไว้ขายก็ไม่เลว ไม่ควรเอาไปฝังส่งเดช”

    ดึกมากแล้ว เจ้าดำนอนหลับแล้ว

    ผิวหยาบหนังหนาอย่างมันย่อมไม่สนใจลมหนาวที่พัดหวีดหวิวในยามราตรีของทุ่งร้าง วิธีนอนของมันต่างจากวิธีนอนของม้าทั่วไป ไม่ได้ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนเท้าทั้งสี่ และไม่เหมือนม้าชราอ่อนแอที่ลงนอนบนพื้น แต่เอียงศีรษะเข้าพิงประทุนรถ เอียงพิงกระเท่เร่เหมือนคนเมา จมูกสูดดมกลิ่นหอมของโจ๊กที่โชยออกมาจากขอบหน้าต่าง นอนหลับอย่างฝันดี

    ในประทุนรถเต็มไปด้วยไอร้อนของโจ๊ก บวกกับกระดาษยันต์ในอ่างที่ยังปล่อยความร้อนออกมาช้าๆ จึงร้อนอบอยู่บ้าง หนิงเชวียยื่นมือไปแง้มหน้าต่างด้านบนของประทุนรถ

    แสงดาวสีเงินส่องลอดเข้ามา ส่องลงบนตัวมันกับซังซัง และบนพื้นผิวของสิ่งของต่างๆ จนกลายเป็นโลกสีเงินที่พวกมันสองคนชอบที่สุด

    ซังซังซุกตัวในอ้อมอกของหนิงเชวีย มือขวาจับสาบเสื้อของมันไว้ มองท้องฟ้ายามราตรีผ่านช่องหน้าต่าง เห็นดวงดาวในทุ่งร้างยังคงสว่างเหมือนเมื่อก่อน เพียงแต่นางรู้สึกว่าในหมู่ดาวพวกนั้นมีใครกำลังมองตนอยู่ จึงหวาดกลัวขึ้นมา จับเสื้อของหนิงเชวียแน่นขึ้นอีก

    หนิงเชวียไม่รู้ว่าตอนนี้นางกำลังคิดอะไรอยู่ พอก้มลงจูบหน้าผากนางครั้งหนึ่งจึงรู้ว่าหน้าผากของนางค่อนข้างเย็น แต่ยังดีกว่าตอนที่ป่วยมาก

    มันแหงนหน้ามองมวลหมู่ดาว แล้วในทันใดใจพลันเต้นระทึก ชี้ไปที่หมู่ดาวนอกหน้าต่าง เคลื่อนปลายนิ้วช้าๆ ด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างที่สุด

    ซังซังมองร่องรอยการเคลื่อนไหวของปลายนิ้วของมัน แน่ใจว่าไม่ใช่ยันต์รูปเอ้อร์ จึงถามอย่างตื่นเต้นว่า

    “ยันต์ใหม่?”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook