• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี 23_3

    หนิงเชวียตอบอย่างเบิกบานใจว่า

    “ใช่ยันต์ที่ไหน แค่เขียนตัวอักษรหลายตัว เป็นข้อความแห่งความอ้างว้าง อย่างน้อยสามารถจัดอยู่ในสิบอันดับผลงานชิ้นเอกของข้า เจ้าว่าจะได้ราคาเท่าไหร่”

    ในประทุนรถมีแต่สีเงิน ทว่าเป็นเพียงภาพมายา เช่นเดียวกับข้อความที่ใช้นิ้วมือเขียนกลางอากาศ แม้บรรยายความอ้างว้างของโลกได้มากมายเท่าไรก็เป็นเพียงภาพมายาเช่นกัน ไม่อาจคงอยู่ จึงขายไม่ได้

    ซังซังค่อนข้างเสียดาย ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า

    “ไม่รู้บนเส้นทางกลับสถานศึกษาต้องเจอกับอันตรายมากน้อยเท่าไร ตัวอักษรพวกนี้ไม่สามารถขายได้ มิสู้รีบคิดยันต์ใหม่ออกมาสักหลายชุด”

    “แม้ข้าได้เข้าสู่ด่านรู้ชะตาแล้ว แต่ซือฟูท่านผู้เฒ่ากับอาจารย์ไร้สาระของเจ้ากลับสวรรค์ไปด้วยกันแล้ว ไม่มีใครชี้แนะข้า อย่างมากนับเป็นแค่ครึ่งจอมยันต์เทวะ สามารถเขียนยันต์รูปแบบไม่แน่นอนชุดหนึ่งออกมาได้ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะในมรรคาแห่งยันต์แล้ว ไหนเลยจะคิดค้นยันต์ชุดใหม่ออกมาได้ง่ายดายขนาดนั้น”

    หนิงเชวียนึกขึ้นได้ถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของซังซัง นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง จึงมองนางแล้วบอกว่า

    “หนทางข้างหน้าไม่ว่าจะเจอกับอันตรายอะไร ห้ามเจ้าใช้วิชาเทพอีก และห้ามกางร่มดำเด็ดขาด”

    ซังซังเข้าใจความหมายของมัน จึงพยักหน้าเบาๆ

    ถ้านางใช้วิชาเทพแห่งซีหลิงก็เป็นไปได้มากว่าจะป่วยอีก หรืออาจถึงตาย หรืออาจดึงดูดสายตาของหมิงหวัง ถ้านางกางร่มดำก็อาจทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดอย่างอื่น อาจดึงดูดสายตาของหมิงหวังเช่นกัน หรือดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือนิกายเต๋าและพุทธ ไม่ว่าสภาพการณ์แบบไหนล้วนอันตรายทั้งสิ้น

     

    เช้าตรู่ ซังซังยังคงหลับฝันอยู่ ส่วนหนิงเชวียตื่นแล้ว มันมองดูท้องฟ้าและทิศทางลม เมื่อแน่ใจว่าวันนี้เป็นวันดีในการเดินทาง จึงใช้กำปั้นทุบเจ้าดำให้ตื่น ให้มันรีบออกเดินทาง

    ทว่ารถม้าสีดำวิ่งไปได้ไม่ไกลเท่าไรก็พบศัตรู ที่นี่คือส่วนลึกของทุ่งร้าง สถานที่ที่น้อยคนจะมาถึงได้ กระทั่งคนเลี้ยงสัตว์สักคนก็ยากที่จะพบเห็นแล้ว นับประสาอะไรกับพบศัตรู

    สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายสภาพการณ์นี้ได้น่าจะเป็นเพราะเฮ่าเทียนพบเห็นการดำรงอยู่ของบุตรีของหมิงหวังแล้ว วิถีแห่งฟ้าที่ไร้รูปลักษณ์แต่ไม่เคยหยุดหมุนเวียนจึงเริ่มต้นพยายามทำลายนาง

    ที่นี่คือทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง หญ้าเหลืองแห้งบนทุ่งหญ้าแห่งนี้ถูกลมหนาวพัดล้มไปนานแล้ว หญ้าอาจจะตายแล้ว หรืออาจจะกำลังจำศีลรอตื่นใหม่ในวสันตฤดูปีหน้า

    ทหารม้าสวมเกราะหลายสิบนายยืนเฝ้าอย่างเงียบงันอยู่บนเนินหญ้า ใช้มือลูบปลอบขวัญม้าศึกที่เหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา ดูท่าพวกมันก็คงเดินทางมาไกลกว่าจะมาถึงที่นี่เหมือนกัน

    หนิงเชวียมองทหารม้าแห่งดินแดนทุ่งหญ้าพวกนั้นแวบหนึ่ง ไม่ต้องสำรวจชุดเกราะของพวกมันอย่างละเอียดก็เดาได้ถึงความเป็นมาของทหารเหล่านี้…ที่ซีฮวง มีเพียงราชสำนักเผ่าโย่วจั้งเท่านั้นที่มีทหารม้าชั้นดีเช่นนี้

    ตอนนี้รถม้าสีดำอยู่ห่างจากทหารม้าพวกนั้นประมาณสองร้อยจั้ง ยังอยู่นอกระยะธนู มันสามารถให้เจ้าดำใช้ข้อได้เปรียบด้านความเร็ว วิ่งผ่านด้านข้างไปได้เลย เชื่อว่าต่อให้ทหารม้าพวกนั้นมีฝีมือขี่ม้ายอดเยี่ยมกว่านี้ก็ไม่อาจตามทัน

    ทว่าทหารม้าพวกนั้นกระจายตัวอยู่ในทุ่งหญ้า แม้ดูเหมือนหละหลวม แต่ความจริงแล้วนี่คือการป้องกันการหนีของรถม้าสีดำ ถ้าหนิงเชวียคิดจะหนีโดยไม่สู้ก็ต้องวิ่งอ้อมไกลมาก จึงจะผ่านทุ่งหญ้านี้ไปได้ ซึ่งแบบนั้นจะเสียเวลามากเกินไป

    ปัญหาสำคัญที่สุดคือ กับโจรขี่ม้าในทุ่งร้างรวมถึงทหารม้าแห่งดินแดนทุ่งหญ้า ไม่รู้ว่าหนิงเชวียต่อสู้ด้วยมากี่ปีแล้ว มันแน่ใจว่าทหารม้าที่มาขัดขวางตนต้องทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสายแน่นอน ด้วยทักษะการขี่ม้าและล่าสัตว์ของฝ่ายตรงข้าม หากตนเจอทหารขวางหน้าก็อ้อมหนี ทำเช่นนี้แค่ไม่กี่ครั้งอีกฝ่ายก็สามารถใช้ทหารม้าจำนวนมากล้อมรถม้าสีดำไว้ในทุ่งร้างได้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง

    หนิงเชวียจึงไม่หนี รถม้าสีดำยังคงแล่นไปเช่นเดิม แต่ความเร็วยิ่งนานยิ่งมากขึ้น ล้อเหล็กกล้าบดกอหญ้าที่มีน้ำค้างแข็งเกาะ ดินจำนวนมากกระเด็นขึ้นมา

    หัวหน้าทหารม้านายหนึ่งที่อยู่บนเนินเห็นรถม้าพุ่งมาในทิศทางที่ตนอยู่ ใบหน้าไม่เผยความยินดีหรือดูแคลนดังเห็นคนปัญญาอ่อนแต่อย่างใด เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างผิดปกติ จากนั้นมันจึงชักดาบคาดเอวออกมาช้าๆ

    ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักของเผ่าจั่วจั้ง โย่วจั้ง หรือจินจั้ง ดาบคาดเอวของทหารม้าทุ่งหญ้าและโจรขี่ม้าล้วนเป็นดาบโค้ง หลายปีก่อนตอนที่หนิงเชวีย ‘ตัดฟืน’ อยู่ที่เมืองเว่ย ก็เคยชินกับการใช้ดาบโค้งประเภทนี้

    เพราะดาบประเภทนี้ตัดศีรษะคนได้ง่าย

    ทหารม้าหลายสิบนายชักดาบโค้งออกมาพร้อมกัน เสียงดาบออกจากฝักดังขึ้น

    ตอนที่รถม้าวิ่งด้วยความรวดเร็วมาถึงหน้าเนิน จนน่าจะไม่มีทางเปลี่ยนทิศทางได้ ก็มีทหารม้าสิบกว่านายโผล่มาข้างหลังหัวหน้าทหารนายนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ยกธนูขึ้นเล็งมาที่รถม้า

    สำหรับหนิงเชวีย ในทุ่งร้างไม่มีเรื่องใหม่

    มันคุ้นเคยกับกลยุทธ์ของทหารม้าแห่งดินแดนทุ่งหญ้าและโจรขี่ม้าเป็นอย่างดี ถึงขนาดคุ้นเคยกว่ากลยุทธ์ของทหารต้าถัง ดังนั้นเมื่อมันเห็นพลธนูที่ก่อนหน้านี้ซ่อนตัวอยู่หลังเนินจึงไม่รู้สึกแปลกใจ และเพราะคุ้นเคยจึงรู้สึกว่าน่าเบื่อ

    สายธนูดีดผึง เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังขึ้น ลูกธนูสิบกว่าดอกลอยโค้งจากเนินทุ่งหญ้าที่ห่างออกไปหลายสิบจั้งพุ่งเข้าหารถม้าสีดำ

    “ธนูไม้หวงหยางสิบกว่าคันก็ยังเอามาเล่น? รถม้าแม้เป็นเป้าใหญ่ แต่ยิงแบบนี้ไม่ได้ผลหรอก”

    หนิงเชวียหันไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง ซังซังยังคงหลับลึกอยู่ สองมือเล็กๆ กำปลายผ้าห่มไว้แน่น หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่รู้ฝันเห็นอะไร

    หนิงเชวียกระโดดออกจากประทุนรถ ขึ้นขี่หลังเจ้าดำ สองขาหนีบสะโพกม้าเบาๆ

    เจ้าดำร้องฮี้อย่างดีใจ วิ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างดุดัน

    ขณะนั้น จุดเชื่อมตรงเพลารถกับตัวรถก็ถูกหนิงเชวียแก้ออก เจ้าดำพุ่งไปข้างหน้า ออกห่างจากประทุนรถมาในชั่วพริบตา ประทุนรถที่เสียแรงขับเคลื่อนยังคงวิ่งต่อมาด้วยแรงเฉื่อย เพียงแต่วิ่งช้าลง

    ในระหว่างที่ค่อยๆ ช้าลงนั้นเอง ในประทุนรถก็เกิดเสียงดังแป้กๆ หน้าต่างเพดาน หน้าต่างทั้งสองข้าง รวมถึงประตูหน้ารถล้วนถูกลงกลอนปิดตาย

    ในที่สุดลูกธนูที่ทหารม้ายิงมาก็ตกลง

    มีห้าหกดอกที่ยิงถูกตัวรถ แต่ตัวรถทำจากเหล็กกล้าชั้นดี แม้ถูกลูกธนูที่ดูเหมือนจะน่ากลัวพวกนี้ยิงใส่ก็ไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย

    ลูกธนูยิงถูกตัวรถ จากนั้นก็หักกลางแล้วร่วงลงพื้น ดูไปคล้ายหญ้าแห้งหลายต้นที่พยายามจะแทงทะลุศิลา ช่างน่าหัวร่อ และน่าสมเพช

    ตัวรถหนามาก เมื่อปิดอย่างมิดชิดก็ยากจะได้ยินเสียงภายนอก ธนูพวกนั้นที่ยิงถูกประทุนรถเกิดเสียงกุกๆ กักๆ แผ่วเบา คล้ายเสียงลูกนกกำลังกินอาหาร

    ในตัวรถ ซังซังยังคงหลับลึก คงเพราะได้ยินเสียงลูกธนูตกพื้นจึงโบกแขนไปมาอย่างไม่พอใจ คล้ายอยากไล่เสียงออกไปจากหู จากนั้นจึงพลิกตัวแล้วนอนต่อ

    ลูกธนูที่ยิงมา บางดอกตกลงบนตัวรถ กลายเป็นหญ้าฟางหักครึ่ง บางดอกตกไปทางเจ้าดำ แต่พอเจ้าดำเร่งฝีเท้า ความลาดเอียงของทุ่งหญ้าไม่ส่งผลกระทบใดๆ ชั่วพริบตามันก็กลายเป็นลมหมุนสีดำสายหนึ่งที่พัดหอบเอาฝุ่นควันมาด้วย ทิ้งห่างลูกธนูพวกนั้นไกลลิบ

    พวกทหารม้าที่เตรียมจะเข้าโจมตีเมื่อเห็นภาพนั้นก็ตะลึงจนพูดไม่ออก ตัวหัวหน้าร้องตวาดคำหนึ่ง พวกทหารม้าจึงค่อยได้สติ ตะโกนโห่ร้อง ควงดาบโค้งอันแหลมคมพุ่งลงเนินไป ทว่าเพิ่งพุ่งไปได้สิบกว่าจั้งก็พลันกระจายตัวออก กลุ่มหนึ่งแยกมารับฝุ่นควันที่เจ้าดำพามา แต่ทหารม้าส่วนใหญ่บุกไปทางตัวรถที่จอดอยู่

    จำเป็นต้องบอกว่าในช่วงเวลาอันสั้นหัวหน้าทหารม้าบัญชาการได้ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง ตัวรถจอดอยู่หน้าเนินไปไหนไม่ได้ เป็นเป้านิ่งรอให้เชือดโดยสมบูรณ์ ถ้าหนิงเชวียไม่แยแสสนใจ เหล่าทหารม้าก็จะสังหารคนที่อยู่ในรถได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหนิงเชวียเป็นห่วงคนที่อยู่ในรถแล้วหันกลับ ก็จะเสียข้อได้เปรียบด้านความเร็ว ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกรุมตะลุมบอนอย่างแน่นอน

    การตะลุมบอนในทุ่งร้าง ควบม้าวิ่งไปยิงธนูไป เป็นวิธีการต่อสู้ที่ทหารม้าแห่งดินแดนทุ่งหญ้าถนัดที่สุดอยู่แล้ว

    แต่เหนือความคาดหมายของหัวหน้าทหารม้านายนั้น หนิงเชวียไม่ได้หันกลับไปช่วยซังซังที่อยู่ในรถ ทั้งยังพุ่งขึ้นเนินมาอย่างไม่ลังเล เจ้าดำวิ่งอยู่บนทุ่งหญ้าสีน้ำค้างแข็ง ลากเงาสีดำสายหนึ่งมาด้วย ความเร็วนั้นน่ากลัวอย่างสุดขีด

    หัวหน้าทหารม้าพลันเกิดอาการใจสั่น ตะโกนสั่งลูกน้องสิบกว่าคนให้เข้าปะทะเจ้าดำโดยไม่เสียดายค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเพื่อหยุดยั้งศัตรู

    ในความคิดของมัน ต่อให้ไม่สามารถสังหารคนผู้นั้นที่อยู่บนม้าดำได้ แต่ขอเพียงถ่วงเวลาได้สักหน่อย ลูกน้องที่บุกไปที่ตัวรถก็จะสามารถทำภารกิจที่ยากลำบากและยิ่งใหญ่ของวันนี้ได้สำเร็จ

    หนิงเชวียมองดูทหารม้าสิบกว่านายที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สัมผัสได้ถึงความเย็นของลมหนาวที่พัดปะทะใบหน้า สภาวะจิตยิ่งนานยิ่งสงบ มันยื่นมือขวาไปจับด้ามดาบที่โผล่พ้นขึ้นมาตรงหัวไหล่

    ทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว ทหารม้าที่อยู่หน้าสุดนายหนึ่งควงดาบโค้ง ใบหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัว ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด ฟันมาที่หนิงเชวีย

    เสียงขวับอันฟังชัดที่สุดดังขึ้น ทหารม้านายนั้นหัวหลุดจากบ่า!

    ม้าศึกยังคงพาร่างไร้ศีรษะนั้นวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โลหิตที่ฉีดพุ่งออกมาจากคอของทหารนายนั้นราวกับจะย้อมท้องนภาให้เป็นสีแดง

    ข้างลำตัวของม้าที่ทหารม้าไร้ศีรษะขี่อยู่เสียดสีกับเจ้าดำ แล้ววิ่งต่อไปหลายจั้ง ศพจึงค่อยหล่นลงพื้น ตอนนี้เอง ศีรษะที่กระเด็นออกมาก็ตกถึงพื้นแล้วเช่นกัน ตกลงที่ข้างมือของทหารม้าที่ตายพอดี

    เสียงขวับชัดเมื่อครู่ความจริงเป็นสองเสียงที่รวมเข้าด้วยกัน เสียงแรกคือเสียงเสียดสีตอนที่ดาบออกจากฝัก เสียงที่สองคือเสียงเสียดสีตอนที่ดาบตัดเนื้อส่วนคอของทหารม้า แต่ว่าสุดท้ายแล้วสองเสียงรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นเสียงเดียว เห็นได้ถึงความเร็วของหนิงเชวียในการชักดาบแล้วตัดศีรษะ ไม่มีจังหวะเว้นระหว่างการกระทำทั้งสองแม้เพียงกะพริบตา

    เจ้าดำเหมือนสายฟ้าสีดำพุ่งเข้าหาแนวคมดาบของทหารม้าสิบกว่านาย ดาบในมือของหนิงเชวียก็เหมือนสายฟ้าสีดำหลายสายส่องสว่างไม่หยุดท่ามกลางทหารม้าพวกนั้น ก่อนดับวูบลง

    เพียงไม่กี่อึดใจ เจ้าดำพุ่งไปมาผ่านทหารม้าสิบกว่านาย เสียงทึบๆ ดังขึ้นติดต่อกัน ทหารม้าเหล่านั้นบ้างกุมลำคอที่เลือดฉีดพุ่ง บ้างกุมหน้าอกที่เลือดไหลทะลักไม่หยุด ร่วงลงจากม้าไปทีละคนๆ ลงสู่พื้น เกิดเสียงกระแทกอย่างหนักหน่วง

    หนิงเชวียไม่แม้แต่จะมองทหารม้าพวกนั้น แต่พุ่งต่อขึ้นไปบนเนินหญ้า

    ความเร็วของเจ้าดำนั้นมากเกินไป ความเร็วในการเหวี่ยงดาบของหนิงเชวียก็รวดเร็วเกินไป ชั่วอึดใจก็ฟันทหารม้าไปสิบกว่านายติดต่อกัน เลือดสดๆ ไหลนองเต็มทุ่งหญ้า แต่กลับไม่เห็นเลือดสักหยดบนร่างของมันและเจ้าดำ

    หัวหน้าทหารม้าหน้าซีดเผือดในทันที

    เมื่อคืนมันได้รู้ว่าศัตรูในครั้งนี้เป็นผู้ฝึกฌาน ไม่ใช่ว่ามันไม่เคยสู้กับผู้ฝึกฌานของแคว้นเยวี่ยหลุน ซ้ำยังเคยสังหารยอดฝีมือด่านสู่พิสดารคนหนึ่งด้วย มันคิดว่าตนเองเตรียมการมาเพียงพอแล้ว ไหนเลยจะคาดคิดว่าศัตรูในวันนี้ไม่ใช่พวกผู้ฝึกฌานมีชื่อที่ใช้เป็นแต่กระบี่บิน แต่กลับน่ากลัวถึงเพียงนี้

    เสียงตวาดดังขึ้นคราหนึ่ง ทหารม้าสิบกว่านายง้างธนูแล้วยิง แต่ความเร็วของเจ้าดำนั้นเร็วเกินไปจริงๆ ลูกธนูส่วนใหญ่ยิงโดนแต่อากาศ ส่วนลูกธนูที่บังเอิญยิงมาถึงเบื้องหน้าได้สำเร็จ ก็ถูกหนิงเชวียตวัดดาบปัดทิ้งอย่างง่ายดาย

    เพียงครู่เดียว หนิงเชวียขี่เจ้าดำพุ่งขึ้นเนิน เกิดเสียงดาบแหวกอากาศ ตามมาด้วยเสียงถี่ยิบของบุปผาโลหิตที่ฉีดพ่น เดิมพลธนูพวกนั้นย่อมมิได้เตรียมการรับมืออยู่แล้ว จึงต้องสังเวยชีวิตไปใต้คมดาบ

    หัวหน้าทหารม้าเพิ่งเงื้อดาบโค้งในมือขึ้น ก็พบว่าหน้าอกของตนถูกดาบสีดำเทาแทงทะลุแล้ว ในชั่วพริบตานั้นมันถึงกับรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นบนดาบของแคว้นต้าถัง

    มันตกจากม้าลงสู่พื้น มองศัตรูผู้นั้นที่ไม่เห็นมันอยู่ในสายตา ในดวงตามืดมัวฉายแววหวาดกลัวสุดขีด แต่ความกลัวพวกนั้นเปลี่ยนเป็นความยินดีอย่างรวดเร็ว เพราะมันคิดว่าต่อให้เจ้าเก่งแค่ไหน แต่คนในรถต้องถูกสังหารไปแล้วอย่างแน่นอน หรือว่าเจ้ายังสามารถชุบชีวิตคนตายได้?

    ขาขวาของหัวหน้าทหารม้ายังอยู่ในโกลน ม้าศึกตกใจ จึงลากมันไปบนพื้นอีกหลายเชียะ กระเทือนจนหน้าอกของมันมีเลือดทะลักท่วมออกมา ภาพทหารม้าที่ล้อมโจมตีตัวรถปรากฏสู่สายตามัน ใบหน้าของมันพลันขาวเผือด วินาทีสุดท้ายก่อนตายมันส่งเสียงคร่ำครวญอย่างไม่ยินยอม

    หนิงเชวียขี่เจ้าดำพุ่งขึ้นเนิน ภายในเวลาอันสั้นสังหารหัวหน้าทหารม้าและพลธนูสิบกว่านายจนสิ้น มันไม่ได้รีบหันกลับไปช่วยซังซัง แต่ขี่เจ้าดำผ่านซากศพทหารม้า เก็บธนูขึ้นมาสองคันกับลูกธนูอีกหลายกระบอก จากนั้นจึงหันม้ากลับ

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook