• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 2 บทที่ 2

    บทที่ 2

    วิถีจิต

     

    กิ่งไม้หยาบๆ ถูกเหลาเป็นกระบี่ไม้ พกพาเสียงแหวกฝ่าอากาศเมื่อแทงออกด้วยความเร็วสูง

    จิงเลี่ยราวมีความสามารถในการล่วงรู้ มันเอียงศีรษะอย่างผ่อนคลายก็หลบท่าดาวไล่เดือนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเยียนเหิงพ้น ดาบไม้ในมือจิงเลี่ยเสือกออกเฉียงๆ ตามท่าเอียงหลบ แล้วหยุดลงหน้าไหล่ขวาของเยียนเหิงอย่างไร้สุ้มเสียง

    เยียนเหิงแข็งทื่อ ค่อยๆ เก็บกระบี่อย่างช้าๆ

    “มาอีก” จิงเลี่ยเก็บดาบค่อยกล่าว มันเพียงลดดาบไม้ลง มิได้ตั้งท่าต่อสู้ป้องกันใดๆ

    เยียนเหิงกัดฟัน มันรวบรวมสมาธิจดจ่ออยู่กับจิงเลี่ย ร่างกายพลันโยกกายทำท่าทางลวงหลอก จากนั้นออกฝีเท้าในพริบตา ก้าวเฉียงเป็นมุมสามเหลี่ยม กระบี่ไม้พลิกเสือกจากล่างขึ้นบน ฟันเสยใส่น่องขวาของจิงเลี่ย ท่าเดินเฉียงเบี่ยงตัวพลิกฟันนี้คือกระบวนท่า ‘ทลายบึง’ ของกระบี่ชิงเฉิง ใช้มุมที่แปลกประหลาดชิงชัยจากระยะไกล ตั้งรับได้ยากอย่างยิ่ง

    หาคาดไม่ว่าจิงเลี่ยจะยังคงรู้ล่วงหน้า ขาขวายกขึ้นมางอเข่าได้อย่างประจวบเหมาะ กระบี่ไม้ของเยียนเหิงเพียงเฉียดผ่านใต้รองเท้าสานของมันไป ในขณะเดียวกันจิงเลี่ยที่ยืนด้วยเท้าข้างเดียวก็โน้มกายไปด้านหน้า ฟันดาบในมือออกไปตามท่า กระบวนท่าทลายบึงของเยียนเหิงถูกทำลายสิ้น มิอาจหมุนตัวหลบเลี่ยงได้อีก ดาบไม้ของจิงเลี่ยหยุดลงตรงเหนือศีรษะมันสองชุ่น

    เยียนเหิงโมโหสุดขีด โยนกระบี่ไม้ออกไป

    “สิ่งนี้ไม่ถนัดมือ!” มันกล่าวด้วยความอับอายและเดือดดาล “หากว่าใช้กระบี่จริง ข้าต้องเร็วกว่านี้เป็นแน่!”

    “เช่นนั้นเจ้าชักหนามมังกรออกมา บุกใส่ข้าอีก” จิงเลี่ยกล่าวอย่างเฉื่อยชา “ข้ารับรองว่าหลบได้อีกเช่นเคย”

    เยียนเหิงมองจิงเลี่ย ดูเหมือนคิดจะกล่าวอะไรอีก สุดท้ายถอนหายใจหนึ่งเฮือก ก้มตัวเก็บกระบี่ไม้ขึ้นมา

    “ท่านพูดถูกต้อง” เยียนเหิงยอมรับอย่างหมดอาลัยตายอยาก “การเป็นนักสู้ที่ดี อันดับแรกต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง” มันใช้กระบี่ไม้ค้ำยัน แล้วนั่งลงไปบนพื้นที่ว่าง มือซ้ายอดมิได้ที่จะลูบคลำซี่โครงขวา

    เพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วัน กระดูกซี่โครงที่ถูกซีเจาผิงนักสู้อู่ตังผู้นั้นทำร้ายย่อมเป็นไปมิได้ที่จะฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ แต่สภาพร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์แข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ กอปรกับยารักษาบาดแผลที่จิงเลี่ยพกติดตัว แผลที่บวมจึงได้ยุบลงกว่าครึ่ง ความเจ็บปวดก็น้อยลงมาก ปกติเยียนเหิงใช้กระบี่ไม้ประลองกับสหายร่วมสำนักชิงเฉิงอย่างชุลมุน รบพุ่งจนบาดเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา กอปรกับการฝึกฝนอันเข้มงวดแต่ละชนิด วันเวลาส่วนมากในหนึ่งปีล้วนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและหนักหนาปะปนกัน ย่อมเป็นไปมิได้ที่มันจะหยุดพักไม่ฝึกฝนเพราะเหตุผลนี้ ฝึกฝนทั้งบาดแผลคือเรื่องที่คุ้นเคยเป็นประจำ ดังนั้นพอเยียนเหิงรู้สึกดีขึ้นก็เริ่มฝึกฝนกับจิงเลี่ยต่อ

    เป็นเพราะการฝึกฝนใช้เวลาและพลังงาน การเดินทางในหลายวันนี้จึงช้าลง แต่โดยประมาณการพรุ่งนี้ก็จะถึงนครเฉิงตู

    จิงเลี่ยยกดาบไม้เอาไว้ ก้มมองเยียนเหิงที่นั่งอยู่บนพื้น มันเปลือยร่างกายท่อนบนอันหนาใหญ่ ปรากฏรอยสักพญาวานรบนแผ่นหลังนั่น ผิวหนังผุดไอสีขาวเป็นเส้นๆ ภายใต้อากาศยามเหมันต์

    “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมไม่มีสักกระบวนที่ถูกข้า”

    เยียนเหิงถอนหายใจตอบ “ข้าย่อมรู้ เพราะท่านแข็งแกร่งกว่าข้ามาก”

    จิงเลี่ยส่ายหน้า “ระยะห่างที่แท้จริงระหว่างข้ากับเจ้ามิได้มากเช่นที่เจ้าคิด” มันแกว่งดาบไม้เป็นวงกลมหลายวงเหนือศีรษะ “เรื่องสรีระร่างกาย ถูกต้อง ข้าคล่องแคล่วและแข็งแรงกว่าเจ้า แต่หากพูดเรื่องความเร็วในการลงมือ ข้ามิได้เร็วไปมากกว่าเจ้า”

    จิงเลี่ยใช้ดาบไม้ตบไปยังอกของตนเองเบาๆ “สิ่งที่เจ้าขาดไปคือวิถีจิต”

    เยียนเหิงลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ

    “วิถีจิต?”

    “ข้าสามารถหลบกระบี่เจ้าพ้นได้สบายๆ เป็นเพราะการโจมตีของเจ้าเรียบง่ายเกินไป”

    เยียนเหิงคัดค้าน “แต่ว่าเมื่อครู่ข้าใช้ท่าร่างโยกหลอกเพื่ออำพรางแล้วชัดๆ…”

    “นั่นยังคงเป็นกระบวนท่า ที่ข้าพูดถึงคือจิต”

    จิงเลี่ยยกดาบไปหลังศีรษะ ตั้งท่าจะฟันขวาง

    “ความคิดของเจ้าจดจ่ออยู่บนเป้าหมายที่เจ้าจะโจมตีแต่แรกแล้ว แม้ว่าตาของเจ้ามิได้กำลังมองไปที่เป้าหมาย แต่หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ก็สามารถรู้สึกตัวได้โดยง่าย ตอนนี้ข้าจะโจมตีตำแหน่งใด เจ้าลองเดาดู”

    เยียนเหิงจ้องมองท่ายกดาบนี้ของจิงเลี่ย ดาบไม้ย่อมอยู่ในมือข้างที่ถนัด จู่โจมมาจากด้านซ้ายของมัน ใช่จะฟันคอหรือไม่? แต่เยียนเหิงก็รู้สึกอีกว่าเป้าหมายที่แท้จริงของจิงเลี่ยดูเหมือนจะเป็นเอวมัน เวลาต่อมามันสังเกตเห็นเข่าของจิงเลี่ยคล้ายจะทำท่าย่อลง หรือจะลดตัวฟันหัวเข่ากะทันหัน?

    ดาบไม้ของจิงเลี่ยใช้ความเร็วเพียงครึ่งค่อยๆ ฟันออกมา พอถึงครึ่งทางเยียนเหิงจึงแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะฟันหัวไหล่ มันรีบยกกระบี่ไม้ขึ้นต้าน

    แม้ว่าดาบจะแช่มช้า แต่เยียนเหิงกลับรู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อยที่ต้านทานไม่ทัน หากดาบนี้เร็วขึ้นอีกหน่อย…

    “เจ้าเห็นหรือไม่ รู้สึกได้หรือไม่” จิงเลี่ยเก็บท่าดาบ นำดาบไม้สะกิดเบาๆ ไปยังศีรษะ เอว เข่าด้านซ้ายของเยียนเหิง “ท่าต่อสู้ของข้าทำให้เจ้ามิอาจแน่ใจว่าตกลงแล้วข้าจะฟันหัว เอว หรือเข่าของเจ้า หากไม่ถึงเวลาสุดท้ายที่จะโจมตี ความคิดของข้าล้วนไม่จดจ่อที่ใด ยิ่งเจ้าไม่รู้ตัวว่าข้าจะฟันตรงไหนยิ่งดี…หัว เอว ไหล่ ขา…ตำแหน่งที่เจ้าจะคาดเดานั้นยิ่งมากยิ่งดี”

    เยียนเหิงฟังจนเคลิบเคลิ้ม จับจุดการสั่งสอนของจิงเลี่ยอย่างเงียบๆ

    มันเองนับเป็นผู้เชี่ยวชาญในการศึกษากระบี่ได้หกถึงเจ็ดปีแล้ว จับจุดได้แม้เพียงนิดเดียวย่อมเข้าใจที่เหลือได้เอง

    การเปลี่ยนแปลงในกระบวนท่ายิ่งมาก คู่ต่อสู้ก็ยิ่งต้องใช้เวลาไปกับการคาดเดา การตอบสนองที่เหลือก็พลอยน้อยลง ก็เหมือนดาบช้าของจิงเลี่ยเมื่อครู่นั่น เป็นเพราะตนเองถูกแบ่งแยกความคิด ขณะต้านรับจึงรู้สึกรีบร้อนเล็กน้อย

    การตอบสนองของคู่ต่อสู้ช้าลง ในทางตรงกันข้ามก็เท่ากับการโจมตีของตนเองเร็วขึ้น

    เยียนเหิงคิดมาตลอดว่าสิ่งที่เรียกว่าความเร็วก็แค่ความเร็วในการเคลื่อนไหวร่างกายตนเอง แต่พอได้รับคำชี้แนะนี้จากจิงเลี่ย มันถึงเริ่มเข้าใจว่าในการต่อสู้ สองฝ่ายต่างส่งผลกระทบต่อกัน ช้ากับเร็ว แพ้กับชนะ คือสิ่งที่ตรงกันข้ามเสมอ ยังมีความรู้สึกนึกคิดที่นับเป็นอีกปัจจัย

    เยียนเหิงเหลือบเห็นเขตแดนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนบนวิถียุทธ์

    “ยอดฝีมือก่อนเผชิญหน้ากับศัตรู ใจของมันก็เหมือนเรือที่ลอยอยู่ในคลื่นทะเล ทำให้คู่ต่อสู้ยากที่จะคาดคะเน”

    จิงเลี่ยลดดาบไม้ลง มันมองทอดไปยังป่าไม้ตรงข้ามพื้นที่ว่างบริเวณนี้ ใบไม้แห้งร่วงโรยหมดสิ้น มีเพียงกิ่งไม้โกร๋นเกร๋น ยืนตายอย่างนิ่งเงียบภายใต้แสงอาทิตย์

    “แต่จะลงมือในห้วงความเป็นความตายและคงสภาพจิตใจแบบนั้นเอาไว้ได้ต้องผ่านการฝึกสมาธิ”

    “ข้าต้องทำอย่างไรถึงจะฝึกได้สำเร็จ” เยียนเหิงเดินเข้าไปถามมัน

    จิงเลี่ยดึงผ้าโพกศีรษะสีขาวออก สยายเปียผม

    “ไม่มีเคล็ดลับ เพียงแค่ลองทำไปไม่หยุด กระทั่งกลายเป็นความเคยชิน” มันกล่าว “เดิมทีนี่ก็มิใช่เคล็ดวิชาลับเฉพาะสำนักอะไร สำนักชิงเฉิงเองก็มีอย่างแน่นอน หลังเจ้าเข้าโถงกุยหยวน เดิมก็น่าจะเริ่มเรียนจากวิชาฝีมือระดับนี้…”

    เยียนเหิงโศกสลดใจวูบหนึ่ง

    จิงเลี่ยยิ้มน้อยๆ ตบไหล่มัน “ไม่ต้องเครียด จากวันนี้ไปข้าจะค่อยๆ ช่วยเจ้าฝึกฝนวิถีจิตนี้ ยังมีวิถีอื่นอีก หากฝึกขั้นพื้นฐานต่างๆ ในวิถีเหล่านั้นจนคล่องแล้ว วรยุทธ์ของเจ้าต้องก้าวหน้าเป็นแน่”

    “พี่จิง…” เยียนเหิงเกาศีรษะ “ท่านเป็นดาบคู่หรือกระบี่คู่ไหม สอนให้ข้าด้วยได้หรือไม่”

    ใบหน้าเข้มคล้ำของจิงเลี่ยเคร่งขรึมลง มันย่อมรู้ว่าเยียนเหิงกำลังคิดอะไรอยู่

    “เจ้าอยากเรียนกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียคู่นั้นแล้วใช้เป็นให้เร็วที่สุดใช่ไหม” จิงเลี่ยส่ายหน้า “อย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้น”

    “แต่ว่า…”

    “เจ้าเลิกฟุ้งซ่านได้แล้ว” ใบหน้าของจิงเลี่ยเข้มงวดขึ้น “ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำเป็นอันดับแรกคือยกระดับพลังต่อสู้ให้มากที่สุดภายในระยะเวลาอันสั้นที่สุด สำแดงฝีมือที่ชำนาญที่สุดที่เจ้าเคยเรียน เพื่ออย่างน้อยตอนเผชิญหน้ากับศิษย์ขั้นกลางของสำนักอู่ตังสักคนจะได้ป้องกันตัวได้ ข้าเคยบอกแล้ว ต้องมีชีวิตอยู่ไปก่อน สิ่งอื่นใดไม่ต้องพูดถึง”

    มันชี้ดาบไม้ไปทางทิศใต้ “พรุ่งนี้พวกเราก็จะเข้าเฉิงตูแล้ว เป็นไปได้มากว่าคนของอู่ตังก็จะปรากฏตัวที่นั่น มิใช่ทุกครั้งที่ข้าจะช่วยเจ้าได้ทันเวลา”

    เยียนเหิงรู้สึกละอาย ก้มศีรษะไม่เอ่ยคำ

    จิงเลี่ยเดินไปใต้ต้นไม้ที่วางถุงสัมภาระและอาวุธเอาไว้ หยิบเสื้อมาสวมใส่

    “พวกมัน…จะอยู่ในเฉิงตูไหม”

    “ข้าแค่กลัวว่าพวกมันจะขึ้นเขาเอ๋อเหมยไปท้าประลองแล้ว ข้าไม่อยากพลาดชมการละเล่น” จิงเลี่ยถอนหายใจ “พวกเราออกเดินทางช้ากว่าพวกมัน ต้องขอบคุณที่เจ้าเอาเงินข้าไปหมดแล้ว จะหาม้าสักตัวมาขี่ก็ไม่มีปัญญา”

    มันล้วงห่อกระดาษห่อหนึ่งขึ้นมาจากถุงสัมภาระ หยิบข้าวพองแห้งแข็งอันหนึ่งขึ้นมา กัดคำใหญ่ “ถ้าหากมีเงินก็มิต้องกินของแย่ๆ เช่นนี้”

    “ขออภัย” เยียนเหิงเดินมาพร้อมกับสะพายกระบี่พยัคฆ์มังกรและห่อผ้า “ข้าไม่ทันได้คิด…”

    หวนคิดขึ้นมา หลายปีมานี้เยียนเหิงอยู่บนเขาชิงเฉิงล้วนแต่งอมืองอเท้า มิเคยไตร่ตรองมาก่อนว่าขณะท่องยุทธภพ เงินมีความสำคัญมาก

    “พี่จิง…เงินสำริดของพวกเราก็จับจ่ายไปพอสมควรแล้ว…ยามนี้ยังต้องเข้าไปในเมือง ของกินของใช้ยิ่งแพงเข้าไปใหญ่…จะทำอย่างไร”

    จิงเลี่ยครุ่นคิด จากนั้นยิ้มให้มันอย่างมีเลศนัย

    “ขอเพียงอยู่ในเมือง ก็จะมีวิธีเอง”

    มันสะพายดาบแคว้นวอที่เคยสังหารซีเจาผิงมาก่อนเล่มนั้น ยกถุงสัมภาระและไม้พายขึ้น มองไปยังทิศทางเมืองเฉิงตูที่อยู่ไกล “เมื่อครู่พูดถึงอู่ตังขึ้นมา…ข้าลืมไปเรื่องหนึ่ง ต้องอธิบายไว้ก่อน”

    “เรื่องอะไร”

    “หากว่าวันใดข้าเผชิญอันตราย เจ้าไม่ต้องมาช่วยข้า” จิงเลี่ยกล่าวอย่างจริงจังยิ่ง “ในเมื่อข้ารับมือไม่ไหว เจ้าเข้ามาสอดด้วยรังแต่จะเอาชีวิตไปทิ้ง”

    “จะได้อย่างไร…”

    “พวกเราจะแก้แค้นมิใช่หรือ” ตาทั้งสองของจิงเลี่ยมองตรงไปยังเยียนเหิง “เสียชีวิตไปแล้วยังจะแก้แค้นกับอะไรได้ กับผี? ลืมคำพูดที่ข้าเพิ่งพูดเมื่อครู่แล้วหรือ อันดับแรกต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเสียใครไป ข้าเองก็เช่นกัน หากว่าเจ้าเผชิญอันตราย และข้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้เลยสักนิด ข้าจะไม่สละชีวิตช่วยเจ้าเป็นอันขาด เจ้าเข้าใจไหม”

    มันยื่นฝ่ามือออกไป

    “ถ้าเจ้าไม่รับปาก เราก็แยกทางกันตรงนี้”

    เยียนเหิงกัดริมฝีปาก ขมวดคิ้วขบคิดครู่หนึ่ง

    สุดท้ายก็ยื่นมือออกไป แปะมือกับจิงเลี่ย

     

    ฟ้าร้องเปรี้ยงปร้าง

    เสียงดังสนั่นกลบเสียงดาบไม้สองเล่มปะทะกัน

    ครั้นปะทะกัน ดาบทั้งสองก็แยกจากกันอีกอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างตั้งท่าต่อสู้ ภายใต้ท้องฟ้ามืดครึ้มไม่แจ่มแจ้ง คนสองคนยืนห่างกันสี่ก้าว หันอาวุธมุ่งเข้าหากัน

    การประลองอันดุเดือดตรงหน้าทำให้หู่หลิงหลันหลงใหลโดยสิ้นเชิง นางลืมไปว่าเสื้อผ้าถูกฝนจนเปียกชุ่ม เพียงแต่จดจ่ออยู่กับแนวโค้งของดาบไม้หนาหนักสองเล่ม

    นางเห็นกับตา น้องชายของตนโย่วอู่หลางล้วนได้แต่ตั้งรับทั้งห้าครั้ง

    น้องชายของนาง เต่าจินโย่วอู่หลางผู้ได้รับสมญานามว่าเป็น ‘บุรุษอันดับหนึ่งแห่งเกาะลู่เอ๋อร์*’ สืบทอดเรือนร่างสูงใหญ่จากบรรพชน ใช้เพียงกระบวนท่ายกดาบตั้งรับอยู่เบื้องหน้าบุรุษจากต่างแดนผู้นั้น

    เล็บมือของหู่หลิงหลันจิกเข้าฝ่ามือ

    นางมองเห็น น้องชายหมายจะยกดาบไม้ที่ยาวเท่าดาบเหยี่ยไท่* เล่มนั้นขึ้นเพื่อตั้งท่า ‘ยกดาบสูงเหนือศีรษะ’ ที่ชำนาญที่สุด แต่ฝ่ายตรงข้ามคล้ายรู้ล่วงหน้า เงื้อดาบขึ้นไวกว่าหนึ่งก้าว ใช้ดาบที่อยู่สูงกว่ากดยั้งท่าต่อสู้ของโย่วอู่หลางเอาไว้

    มาอีกแล้ว!

    ดังคาด ดาบไม้ของฝ่ายตรงข้ามฟันตรงลงมาอีกครั้งในชั่วพริบตา

    ภายใต้การปะทะ หยดน้ำที่ติดอยู่บนดาบไม้ดั่งลูกเกาทัณฑ์ยิงกระเซ็นออกโดยรอบ

    การฟันของฝ่ายตรงข้ามช่างหนักหน่วงเหลือเกิน โย่วอู่หลางมิอาจเปลี่ยนเป็นตีโต้จากท่าตั้งรับ ดาบที่สองฟันบรรลุถึงอีก ตามด้วยดาบที่สาม

    หู่หลิงหลันหันหน้ามาอย่างกระสับกระส่าย มองไปยังบิดาที่อยู่ในกระโจม

    บิดายืนอยู่ภายใต้เงามืดของกระโจม ดวงตาแวววาวจ้องมองสองคนที่กำลังประดาบ ไร้เจตนาที่จะระงับการประลองโดยสิ้นเชิง

    หู่หลิงหลันอธิษฐานในใจ

    ทว่าสิ่งที่ต้องเกิดอย่างไรก็ต้องเกิด

    ถึงดาบที่เจ็ด ดาบในมือของโย่วอู่หลางก็ต้านรับการกระหน่ำโจมตีอย่างหนักในตำแหน่งเดียวไม่ไหว จึงแตกหักลงในที่สุด

    ดาบไม้ตกลง

    หู่หลิงหลันทนดูมิได้ หลับตาลง

    ด้วยเหตุนี้นางจึงมิอาจมองเห็น ดาบไม้มิได้ฟันใส่ศีรษะของโย่วอู่หลางผู้เป็นน้อง แต่เฉียงลงสู่ไหล่ซ้าย

    ความเจ็บปวดของกระดูกที่แตกหักทำให้ร่างของโย่วอู่หลางล้มทรุด

    เมื่อหู่หลิงหลันลืมตาขึ้น จึงเข้าใจผิดคิดว่าน้องชายถูกดาบฟาดที่ศีรษะจนหมดสติไป

    น้ำตาที่ไหลรินปะปนกับชาดบนใบหน้าที่ถูกน้ำฝนละลายตั้งแต่แรก

    ดวงตาพร่าเลือน มองเงาร่างที่ยังคงยืนอยู่ผู้นั้น

    ชั่วขณะยามฟ้าแลบ นางมองเห็นเงาหลังกำยำของชายที่เปลือยร่างท่อนบนผู้นั้นอย่างชัดเจน ภายใต้แสงฟ้าแลบที่แวบส่อง ลายเส้นกล้ามเนื้อบนร่างกายนั่นประหนึ่งลายพยัคฆ์

    บนไหล่ขวาที่เปียกลื่น รอยสักรูปดวงอาทิตย์กระเพื่อมขึ้นลงตามการหายใจเข้าออก

    ภาพ ณ ขณะนั้นติดตรึงอยู่ในความทรงจำของนางชั่วกาล

    งดงามเหลือเกิน…

    หู่หลิงหลันตื่นขึ้น

    ไม่มีน้ำฝน ไม่มีฟ้าร้องฟ้าแลบ อาทิตย์เหมันต์หลังเที่ยงสาดแสงตกต้องดาดฟ้าเรือ เรือข้ามฟากที่แล่นทวนแม่น้ำเคลื่อนไปอย่างเฉื่อยชายิ่งนัก โคลงเคลงโอนเอนน้อยมาก

    นางขยี้ตา วางดาบเหยี่ยไท่ที่โอบเอาไว้ตลอดในความฝันลง ใช้ฝักดาบค้ำยันร่างลุกขึ้น

    ลมแม่น้ำพัดมาช้าๆ เป่ามวยผมของนางจนยุ่งเหยิง นางถือโอกาสดึงปิ่นทองออก สยายผมดกดำ ผู้โดยสารคนอื่นบนเรือมองเห็นกิริยาท่าทางอันอาจหาญของสตรีต่างแดนเช่นนี้ล้วนพากันตะลึงงัน

    หู่หลิงหลันห้อยดาบเหยี่ยไท่ เดินไปยังกราบเรือ ทอดมองทิวทัศน์ป่าเขาริมฝั่งแม่น้ำหมินเจียง มองขึ้นไปสุดสายตา เฉิงตูยังมิอยู่ในการมองเห็น

    นางก้มศีรษะ มองสีของคลื่นน้ำยามเรือแล่นฝ่า ละอองคลื่นทำให้นางหวนนึกถึงหลายเดือนก่อน การเดินทางข้ามทะเลอันยาวนานนั้น

    ทั้งหมดเพียงเพื่อได้พบมันอีกครั้ง

    ในเงาสะท้อนของผิวน้ำ นางราวกับมองเห็นเงาหลังนั่นอีกครั้ง

    หู่หลิงหลันว้าวุ่นในใจวูบหนึ่ง พลิกจับปิ่นทองปักบนไม้ของกราบเรืออย่างรุนแรง

    ปิ่นทองดีดไปมา พวงมุกหลากสีบนปิ่นสั่นรัว

    ในดวงตาของหู่หลิงหลันมีความรู้สึกซับซ้อนและรุนแรงประเภทหนึ่ง

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook