• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 2 บทที่ 3

    บทที่สาม

    เฉิงตู

     

    เยียนเหิงเดินอยู่บนถนนกว้างยาวที่ดูคล้ายไม่สิ้นสุดนั่น รู้สึกเหมือนอยู่ในเขาวงกตหลากสีอันซับซ้อนลายตาแห่งหนึ่ง หน้ามืดตาลาย

    ทั่วถนนทั่วตรอกล้วนเป็นตลาดและร้านค้า บ้างขายผ้าแพรสีเงินและทอง บ้างขายหมวกขุนนางเสื้อผ้ารองเท้า บ้างขายพัดพับเขียนลาย บ้างก็ขายเครื่องดนตรีมีสาย บ้างขายมีดขวานโลหะ บ้างก็ขายปลาทองนกกระจอก…ยังมีร้านน้ำชาโรงสุราอีกนับไม่ถ้วน ทุกร้านในสายตาเยียนเหิงล้วนแปลกใหม่ แสงสีมากมายเช่นนี้ยัดเข้าหัวสมองในแวบเดียว มันรับไม่ไหวเล็กน้อย

    เยียนเหิงเติบโตในหมู่บ้านยากจนตั้งแต่เล็ก วัยเยาว์ยังถูกส่งขึ้นเขาชิงเฉิงเรียนกระบี่ หกปีกว่าที่ผ่านมาลงเขาเพียงครั้งเดียวคือตอนประลองกระบี่ที่ศาลาอู่หลี่ เมืองใหญ่เช่นนครเฉิงตูนี้เยียนเหิงไหนเลยจะเคยเหยียบย่างมาก่อน

    เมื่อครู่มันยืนอยู่หน้าประตูเมือง เงยหน้าเหม่อมองกำแพงเมืองสูงสามจั้งกว่านั้นเนิ่นนาน

    เยียนเหิงก้มศีรษะลง มองดูรองเท้าสานของตนเองเหยียบถนนที่ปูด้วยแผ่นศิลา บนโลกมีทางเดินที่สวยงามเพียงนี้ด้วย มันไม่เคยแม้แต่จะคิดมาก่อน

    “ไปเถอะ เหม่อลอยอะไร”

    จิงเลี่ยที่อยู่เบื้องหน้ามันหลายก้าวหันหน้ามาเร่งเร้ามัน

    เข้าสู่เมืองนี้ย่อมมิอาจพกดาบเดินลอยชายได้เหมือนอยู่ชนบท จิงเลี่ยห่มชุดฟางที่ปกติใช้กันฝน ปิดตั้งแต่ศีรษะจนถึงเข่า ดาบที่ห้อยไว้ตรงเอวล้วนถูกปกปิดเอาไว้ ดาบยาวแคว้นวอเล่มนั้นบนหลังก็ใช้ผ้าห่อหุ้มอย่างดี ไม้พายก็มิได้โดดเด่น ประยุกต์ใช้เป็นหาบคอนถุงสัมภาระ แบกอยู่บนหัวไหล่

    กระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียบนหลังและตรงบั้นเอวของเยียนเหิงสะดุดตากว่าอาวุธของจิงเลี่ยเสียอีก ย่อมต้องใช้ผ้าห่อหุ้มเอาไว้เหมือนกัน บนศีรษะของมันสวมด้วยหมวกไผ่สาน กริ่งเกรงว่าหากพบคนของสำนักอู่ตังเข้าโดยบังเอิญจะทำให้จำได้

    “ตามมาติดๆ หน่อยสิ บนถนนมีคนมาก พลัดหลงขึ้นมาข้าคงหาเจ้าไม่พบ” จิงเลี่ยกล่าวพลางหมุนตัวเดินก้าวใหญ่ต่อไปในทันที

    เยียนเหิงรีบตามไป อดกลั้นที่จะไม่จ้องมองร้านค้าริมถนนอีก

    มันมองเงาหลังของจิงเลี่ยที่อยู่เบื้องหน้า ฝีก้าวของจิงเลี่ยเปิดเผยเป็นธรรมชาติ ใต้เท้าบังเกิดลม ท่วงท่านั้นเฉกเช่นเดินอยู่ในห้องโถงบ้านตนเอง

    พี่จิงพบเจอผู้คนภายนอกอยู่ตลอด ย่อมไม่เหมือน

    เยียนเหิงพลันมีสีหน้าริษยา

    “พี่จิง…เมื่อก่อนท่านเคยมาเฉิงตูใช่ไหม ข้าเห็นท่านเหมือนคุ้นเคยมาก…”

    จิงเลี่ยยักไหล่ “ไม่เคย แต่อย่างไรก็เป็นเมืองใหญ่ ทุกที่ล้วนไม่ต่างกันนัก”

    “งั้นหรือ…”

    ขณะกำลังเดิน คนทั้งสองมองเห็นถนนตรงเบื้องหน้ามีคนยี่สิบสามสิบคนมุงล้อมอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังมองดูอะไรบนผนัง

    จิงเลี่ยเดินหน้าเบียดเข้าไปดูด้วยความแปลกใจ เยียนเหิงเองก็ตามไปติดๆ คนกลุ่มนั้นถูกหัวไหล่อันใหญ่หนาของจิงเลี่ยแหวกออกในคราเดียว

    เงยหน้ามองดูบนผนัง มีกระดาษขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือแผ่นหนึ่งแปะอยู่ คล้ายเป็นเอกสารจำพวกประกาศ ดูจากสีหมึกดำและเนื้อกระดาษล้วนไม่ใหม่ คงจะแปะมาแล้วสามสี่วัน

    เยียนเหิงตั้งใจดูว่าบนนั้นเขียนอะไร สำนักชิงเฉิงย่อมไม่มีทางให้ศิษย์เป็นผู้ไม่รู้หนังสือ ที่ผ่านมามีอาจารย์รับจ้างขึ้นเขาสอนศิษย์อ่านหนังสือเขียนอักษร แต่โดยมากเรี่ยวแรงและจิตใจล้วนใช้ไปกับการฝึกกระบี่ ตัวอักษรที่เยียนเหิงเข้าใจจึงไม่นับว่ามากนัก

    ทว่าบนประกาศมีตัวอักษรสามตัวที่เยียนเหิงจำได้เป็นแน่

    ‘สำนักชิงเฉิง’

    “เป็นพวกมัน” จิงเลี่ยจ้องประกาศที่ไม่มีหัวมีท้ายนี้ ยิ้มเหมือนสัตว์ป่าตัวหนึ่ง “สำนักอู่ตัง พวกมันอยู่ที่นี่จริงๆ”

    เยียนเหิงกำหมัดแน่น สายตาเดือดดาลถลึงมองประกาศที่มันอ่านไม่เข้าใจทั้งหมดแผ่นนี้ มันย่อมรู้ว่าบนนั้นเขียนว่าอะไร และรู้ว่าเป็นผู้ใดที่เร่งนำข่าวนี้ประกาศต่ออาณาประชาราษฎร์เช่นนี้

    ในเมื่อจะได้ชื่อว่าใต้หล้าไร้เทียมทาน พวกมันย่อมปรารถนาที่จะเปิดเผยต่อใต้หล้า

    พอนึกขึ้นว่าศัตรูก็อยู่ในเมืองเดียวกันกับตน โลหิตอันเร่าร้อนของเยียนเหิงพลันพลุ่งพล่าน

    “จะได้พบพวกมันไหม”

    สันหลังผุดเหงื่อเย็นขึ้นวูบหนึ่ง มันรู้ดีว่าอาศัยวรยุทธ์ของตนในตอนนี้ยากจะสู้กับศิษย์ชั้นยอดเหล่านี้ของสำนักอู่ตัง จิตใจรู้สึกซับซ้อนอย่างยิ่ง

    “ไป” จิงเลี่ยลากเยียนเหิงเบียดออกจากฝูงชน

    “พี่จิง…” เยียนเหิงดึงหมวกไผ่สานลงปิดบังหน้าตาโดยไม่รู้ตัว “ตอนนี้เราจะทำอย่างไร”

    “ทำอย่างไรอะไร ข้าเคยบอกไว้แล้วไง มีชีวิตอยู่คือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง”

    จิงเลี่ยมองไปตามป้ายประกาศที่เรียงติดกันแน่นเหล่านั้นตลอดสองข้างถนน

    เข้ามาในเมือง ย่อมต้องหาที่พำนักเป็นอันดับแรก นอนกลางดินกินกลางทรายมาหลายวันแล้ว กระดูกล้วนฝืดแข็ง เนื้อตัวเป็นเหน็บชาไปหมด

    คนทั้งสองเดินต่ออีกระยะหนึ่ง จิงเลี่ยหยุดฝีเท้าลงใต้แผ่นป้ายของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง มันเงยหน้าจ้องมองโรงเตี๊ยมเสียงอวิ๋น (เมฆมงคล) สูงสองชั้นแห่งนี้ ดูเหมือนรู้สึกไม่เลว จึงข้ามธรณีประตูเข้าไป

    “พี่จิง! เรา…” เยียนเหิงรีบตะโกนเรียก

    จิงเลี่ยมิได้สนใจมัน เดินเข้าสู่เหลาอาหารชั้นล่างเพียงลำพัง เมื่อถึงหน้าโต๊ะจ่ายเงิน เถ้าแก่วัยกลางคนที่อยู่หลังโต๊ะนั่นรีบแสดงใบหน้ายิ้มแย้มต้อนรับมัน

    “ขอห้องพิเศษ” จิงเลี่ยไม่รอเถ้าแก่เอ่ยปากก็กล่าวก่อน “ให้ข้ากับน้องชายคนนี้”

    “เชิญขอรับ! เชิญขอรับ!” รอยยิ้มของเถ้าแก่ยังคงอยู่ ดวงตาเรียวเล็กทั้งสองกลับสังเกตแขกหน้าโต๊ะเก็บเงินสองคนนี้อย่างเฉียบคม แลเห็นคนทั้งสองสัมภาระไม่มาก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเหมือนพวกเร่แสดงมากกว่าพ่อค้าวาณิช มันกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล “…โรงเตี๊ยมเราราคากันเอง ค่าห้องพิเศษนี้ หนึ่งวันแค่แปดสิบเฉียน*…หากนายท่านสะดวกล่ะก็ สามารถมัดจำไว้ก่อนสัก…”

    จิงเลี่ยจัดระเบียบชุดฟางบนร่าง เปิดออกผ่านๆ แล้วปิดลง เผยให้เห็นหัวด้ามของดาบปีกปักษาบนสายคาดเอว

    เถ้าแก่ดวงตาเบิกโพลง

    “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรออกมานะ” จิงเลี่ยเงี่ยหู “ข้าฟังไม่ชัดนัก”

    “นายท่าน!” รอยยิ้มของเถ้าแก่เกินจริงยิ่งกว่าก่อนหน้า “เมื่อครู่ข้าถามนายท่าน…ท่านชื่ออะไร…”

    จิงเลี่ยจงใจไม่ตอบมัน กลับทำท่าทีหมดความอดทน นิ้วมือเกาหู

    เถ้าแก่รีบแก้คำ “ห้องเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญ!” มันตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อร์มา พาจิงเลี่ยและเยียนเหิงไปยังห้องข้างเรือนทางด้านหลัง

    เยียนเหิงเดินอยู่บนเฉลียงทางเดินกระชั้นชิดกับจิงเลี่ย ถามด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่จิง เราไม่มีเงินพักที่นี่นะ…ท่านคงจะไม่…”

    “ก่อนเข้าเมืองข้าบอกไว้แล้วมิใช่หรือ” จิงเลี่ยขมวดคิ้ว “อยู่ในเมือง คำพูดทุกอย่างให้ข้าเป็นคนพูด เจ้าห้ามเอ่ยปากแม้แต่คำเดียว ข้าบอกแล้วว่ามีวิธี”

    เยียนเหิงงุนงง แต่ก็มิได้กล่าวอะไรอีก

    เข้ามาในห้อง จิงเลี่ยล้วงเงินสำริดยี่สิบกว่าอันออกมาจากร่าง ทั้งหมดยัดใส่ในมือเสี่ยวเอ้อร์ที่นำทางมา เสี่ยวเอ้อร์ได้รับการตบรางวัลมากมายเพียงนี้ก็ยิ้มจนเห็นแค่ฟันไม่เห็นดวงตา

    เยียนเหิงมองดูทรัพย์สินที่เหลือเพียงน้อยนิดของพวกมันเลือนหายไปในกระเป๋าเสื้อของเสี่ยวเอ้อร์ มองจิงเลี่ยอย่างกระสับกระส่าย

    จิงเลี่ยดึงเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังจะจากไปเอาไว้ ถามหนึ่งประโยค

    “เมืองนี้ของพวกเจ้า บ่อนพนันที่ใหญ่และเรืองอำนาจที่สุดคือที่ใด”

     

    เยี่ยเฉินยวนวางพู่กันลง อ่านจดหมายหนึ่งรอบพอประมาณแล้วจึงพับมันใส่ซอง ค่อยหยิบเทียนแดงข้างโต๊ะขึ้นมา ใช้น้ำตาเทียนผนึกสลักซอง สุดท้ายมันล้วงตราประทับทองแดงทวิลักษณ์ไท่จี๋อันเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ กดลงบนผนึกเทียนนั้น

    โหวอิงจื้อคุกเข่าอยู่ข้างเก้าอี้เยี่ยเฉินยวนมาโดยตลอด มองไปยังพื้นไม่เอ่ยวาจา มันทิ้งชุดคลุมเต๋าสำนักชิงเฉิงที่ทั้งสกปรกทั้งขาดนั้นไปนานแล้ว เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่ง

    “อิงจื้อ” เยี่ยเฉินยวนใช้สองนิ้วคีบจดหมายยื่นออกไป โหวอิงจื้อใช้มือทั้งสองรับไว้ด้วยความเคารพ

    “การเดินทางไกลของพวกเรารอบนี้ เจ้าไม่มีคุณสมบัติติดตาม บัดนี้ให้จดหมายนี้แก่เจ้า ยังมีค่าเดินทางอีกจำนวนหนึ่ง เจ้ากลับเขาอู่ตัง จดหมายนี้มอบให้เจ้าสำนักเหยาหรือซือซิงเฮ่าก็ได้ ด้านในข้าได้บรรยายไว้ชัดเจนแล้วว่ารับเจ้าเป็นศิษย์ หลังขึ้นเขาแล้วเจ้าเรียนได้เท่าไหร่ นั่นก็อยู่ที่ตัวเจ้าเอง”

    โหวอิงจื้อเก็บจดหมายเข้าในเสื้ออย่างระมัดระวัง “รองเจ้าสำนักมีบุญคุณใหญ่หลวง ศิษย์จะจดจำไว้ชั่วชีวิต”

    เยี่ยเฉินยวนกวักมืออีก ศิษย์คนหนึ่งเข้ามาในห้อง เยี่ยเฉินยวนปลดกระบี่อู่ตังตรงข้างเอวของศิษย์คนนั้นออก มอบใส่มือโหวอิงจื้อ

    “สิ่งนี้ให้เจ้าติดตัวตอนเดินทาง ด้วยวรยุทธ์ของเจ้า เดิมทีไม่มีคุณสมบัติพกกระบี่ ครั้งนี้ข้าอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ หลังขึ้นเขาจำไว้ว่าต้องมอบคืนให้อาจารย์”

    โหวอิงจื้อจับกระบี่อู่ตังในมือเป็นครั้งแรก ความรู้สึกของสัมผัสนั้นพกพาความตื่นเต้นชอบกลชนิดหนึ่งมาด้วย

    กระบี่นี้คือกุญแจที่จะนำไปสู่เส้นทางอันแข็งแกร่งที่สุด

    ฝ่ามือขนาดใหญ่ของเยี่ยเฉินยวนจับมือข้างหนึ่งของโหวอิงจื้อเอาไว้

    “แม้ว่าเจ้ายังไม่เคยเรียนวิชายุทธ์อู่ตังแม้แต่กระบวนเดียว แต่ก็นับว่าเป็นศิษย์อู่ตัง” ดวงตาเย็นชาทั้งสองที่พกพารอยสักเอาไว้ของเยี่ยเฉินยวนมองตรงไปยังโหวอิงจื้อ “ระหว่างทางไม่ว่าจะพบเจออะไร ห้ามทำให้เสียชื่อเสียงของสำนัก ศักดิ์ศรีของอู่ตัง คราวจำเป็นจงใช้เลือดมาปกป้อง

    เยี่ยเฉินยวนลึกขึ้นยืน ลูบผมของโหวอิงจื้อ กล่าวอีก “ไปได้แล้ว”

    โหวอิงจื้อคุกเข่าลง โขกศีรษะกับพื้นให้เยี่ยเฉินยวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่เอ่ยคำ

    เยี่ยเฉินยวนมิได้มองคล้อยมัน เอามือไพล่หลัง เดินไปตรงหน้าต่างห้อง

    ห้องชั้นสามแห่งนี้สามารถก้มมองหมู่มวลตึกรามบ้านช่องบนถนนตะวันออกของเมืองเฉิงตูได้ ด้านล่าง รถม้าขวักไขว่บนถนนหลวง เป็นเวลาช่วงเที่ยงที่วุ่นวายที่สุด

    ทัพเดินทางไกลซื่อชวนขบวนนี้ของอู่ตัง ห้าวันก่อนบรรลุถึงเฉิงตู แต่หาได้รีบออกเดินทางบุกเขาเอ๋อเหมยไม่ กลับเหมา ‘โรงเตี๊ยมเฟิ่งไหล’ ทั้งสามชั้นเอาไว้ หลายวันที่ผ่านมาล้วนอยู่แต่ภายในห้องมิได้เคลื่อนไหว

    พวกมันกำลังรอคอย

    “เขาเอ๋อเหมยยังมิได้ตอบกลับ?” เยี่ยเฉินยวนถามศิษย์ด้านหลัง

    “ยังขอรับ” ศิษย์ชุดดำของสายพลอีกาตอบ

    “จดหมายของข้าส่งขึ้นไปแล้วใช่ไหม”

    “สองวันก่อนเป็นศิษย์ขึ้นเขาไปกับคนส่งสารด้วยตัวเอง อีกทั้งเห็นกับตาว่ามันเข้าประตูเขาไปแล้ว”

    เยี่ยเฉินยวนพยักหน้า

    สี่วันก่อน พวกมันจ้างคนติดประกาศในเมืองสามสี่แห่งว่าสำนักชิงเฉิงถูกล้มล้าง เรื่องนี้แพร่ไปทั่วเฉิงตูแล้ว คนบนเขาเอ๋อเหมยขณะนี้ก็ต้องรู้แล้วเป็นแน่ กอปรกับสถานการณ์ท้าประลองของเยี่ยเฉินยวน สำนักเอ๋อเหมยสมควรกระจ่างอย่างยิ่ง เบื้องหน้าพวกมันยังมีตัวเลือกอะไรอีก

    สวามิภักดิ์ หรือว่าล่มสลาย

    ก็ให้เวลาพวกมันไตร่ตรองมากสักหน่อยแล้วกัน

    เว้นเสียแต่ว่า บนเขาเอ๋อเหมยจะมีเหอจื้อเซิ่งอีกคนหนึ่ง

    พอคิดได้เช่นนี้ เยี่ยเฉินยวนก็คันไม้คันมือ ใคร่กุมกระบี่เพลิงวารีอัคคีชลไว้ในมืออย่างยิ่ง…

    “รองเจ้าสำนัก” นอกประตูมีเสียงเรียกเบาๆ เสียงหนึ่ง

    ศิษย์ที่เฝ้าประตูพอได้ยินก็รู้ว่าเป็นศิษย์พี่เจียงอวิ๋นหลัน แต่มันยังคงรอการอนุญาตจากเยี่ยเฉินยวนก่อนจึงเปิดประตู เห็นได้ถึงวินัยอันเคร่งครัดของสำนักอู่ตัง

    เจียงอวิ๋นหลันที่มีแผลเป็นเต็มหน้าเพิ่งกลับมาจากข้างนอก มันมิได้พกกระบี่และกรงเล็บเหล็กนั่น ชุดที่สวมบนร่างเป็นเสื้อผ้ารองเท้าของชาวบ้านทั่วไป

    “มันมาแล้ว”

    เจียงอวิ๋นหลันกล่าวพลางนำบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาด้านใน

    บุรุษผู้นั้นรูปร่างผอมสูง รูปลักษณ์ประหลาดเล็กน้อย ดวงตากลมโตดำขลับทั้งสองข้างทั้งสุกสว่างและเปล่งประกาย ใบหูต้านลมกลมๆ คู่หนึ่ง ดูแล้วให้รู้สึกว่าเป็นคนเฉียบแหลมอย่างยิ่ง ฝีเท้ามันขณะเดินเข้ามาในห้องเบานุ่มแทบไร้สุ้มเสียง

    บุรุษผู้นั้นคุกเข่าให้เยี่ยเฉินยวน

    “ศิษย์โจวไท่แห่งสายพญางู คารวะรองเจ้าสำนักเยี่ย”

    เยี่ยเฉินยวนบอกเป็นนัยให้มันลุกขึ้น “ให้เร่งม้าเร็วมา ลำบากเจ้าแล้ว แต่หากมิใช่เพราะเรื่องนี้สำคัญ ข้าก็ไม่เรียกใช้พวกเจ้า แถบเฉิงตูนี้เจ้าคุ้นเคยไหม”

    โจวไท่พยักหน้า “เคยอยู่หนึ่งปีครึ่งขอรับ”

    “ศิษย์สายพญางูที่มาพร้อมกับเจ้ารอบนี้มีจำนวนเท่าไหร่”

    “ยังมีสหายร่วมสำนักอีกสองคน”

    เยี่ยเฉินยวนมองเจียงอวิ๋นหลัน แล้วมองไปยังโถบรรจุอัฐิของซีเจาผิงที่วางไว้อย่างดีในห้อง

    “ครั้งนี้ต้องลากตัวเจ้าหมอนั่นออกมาให้จงได้” เจียงอวิ๋นหลันกล่าวอย่างเย็นชา “ใช้หัวของมัน เซ่นดวงวิญญาณศิษย์น้องซีกับสหายร่วมสำนักอีกสี่คน”

    ดวงตากลมโตของโจวไท่วูบวาบ

    “โปรดวางใจ สหายร่วมสำนักอีกสองคนได้เริ่มหาตัวแล้วขอรับ” โจวไท่ยิ้มน้อยๆ “ศิษย์ขอเอาเกียรติของสายพญางูเป็นประกัน นอกเสียจากคนผู้นั้นมิได้ตามมาเฉิงตู หาไม่แล้ว ก่อนรองเจ้าสำนักขึ้นเขาเอ๋อเหมย ต้องหามันพบเป็นแน่”

     

    ผู้คนในพื้นที่เมืองเฉิงตูต่างทราบดีว่าบ่อนพนันที่ใหญ่และเรืองอำนาจมากที่สุดย่อมเป็น ‘ร้านหม่านทง’ ที่ตั้งอยู่ในตรอกเตาจื่อ

    ทางการห้ามการพนัน กิจการประเภทบ่อนพนันนี้ย่อมไม่สามารถเปิดอยู่บนถนนใหญ่ได้ ตรอกแม้จะเล็ก แต่ลักษณะบ่อนพนันกลับไม่เล็ก ตึกสูงใหญ่สองชั้น หน้าประตูนั่งไว้ด้วยกิเลนหินสลักคู่หนึ่งที่สูงกว่าศีรษะคนเล็กน้อย ยังมิทันเข้าประตูก็ได้ยินเสียงผู้คนดังเซ็งแซ่จากด้านใน

    เยียนเหิงไม่แม้แต่จะเคยได้ยินคำว่าบ่อนพนันมาก่อน ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าเป็นสถานที่อย่างไร มันก้าวตามจิงเลี่ยเข้าไปในร้านหม่านทง รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ปะปนกับกลิ่นเหงื่อหอบหนึ่งพุ่งเข้าหาใบหน้า ในนั้นมีกลิ่นประเภทหนึ่งที่มันคุ้นเคยอย่างมาก กลิ่นที่ร่างกายคนเราปล่อยออกมาเพราะความตื่นเต้น ปลุกความทรงจำเมื่อครั้งฝึกฝนประลองกระบี่กับสหายร่วมสำนักในยามปกติให้ตื่นขึ้นมาแวบหนึ่ง

    เพียงชั้นหนึ่งของร้านหม่านทงก็มีรูปแบบไม่ธรรมดาแล้ว โต๊ะพนันเล็กใหญ่ทั้งหมดยี่สิบกว่าตัว เบียดแน่นด้วยผู้คน ชั้นบนยังมีห้องที่เอาไว้ต้อนรับเฉพาะนักพนันรายใหญ่ ทุกคนล้วนเดิมพันตั้งแต่ร้อยตำลึงเงินขึ้นไป

    จิงเลี่ยเข้าสู่ร้านหม่านทงก็ประหนึ่งเข้าสู่ประตูบ้าน ได้ยินเสียงตะคอกของนักพนันผู้องอาจหน้าแดงเหล่านั้น รู้สึกได้ว่าเลือดในร่างของตนเองก็โลดแล่นขึ้นมาเหมือนกัน มันยังคงห่มชุดฟางเอาไว้ ถอดเพียงหมวกไผ่สานบนศีรษะลงมา

    จิงเลี่ยมองเห็นท่าทางไม่เป็นอิสระของเยียนเหิง ยิ้มน้อยๆ ถาม “เจ้ารู้สึกว่าที่นี่น่ากลัวมาก?”

    เยียนเหิงมองดูซ้ายขวา มีแต่ดวงตาละโมบชั่วร้าย เงินทองบนโต๊ะสับเปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ดั่งเสียงอึกทึกของกระแสคลื่นที่พลันระเบิดออก

    มันพยักหน้า

    “ความจริงคนฝึกยุทธ์อย่างพวกเรามิได้แตกต่างกับพวกมันมากนัก สิ่งที่พวกมันพนันคือเงิน…” จิงเลี่ยกล่าวพลางทุบกำปั้นไปยังอกเบาๆ “สิ่งที่พวกเราพนันคือร่างกายและชีวิต”

    จิงเลี่ยและเยียนเหิงแขกสองคนนี้เสื้อผ้าแปลกเป็นพิเศษ ยิ่งบนร่างเยียนเหิงห้อยวัตถุขนาดยาวเอาไว้ ยิ่งดึงดูดความสนใจของคนเฝ้าประตูบ่อนตั้งแต่ต้น นักเลงที่รับหน้าที่เฝ้าระวังหลายคนได้ก้าวเข้ามาอย่างเงียบๆ ป้องกันพวกมันทำสิ่งผิดปกติอะไร

    คนทั้งสองมีความรู้สึกว่องไวของนักสู้ ไหนเลยจะไม่สังเกตเห็นว่าถูกโอบล้อม ทว่าจิงเลี่ยกลับมิได้สนใจ

    พวกมันเบียดไปจนถึงหน้าโต๊ะเล่นสูงต่ำตัวหนึ่ง แขกที่อยู่รอบๆ กำลังลุ่มหลงบรรยากาศพนันย่อมมิได้สนใจพวกมัน เจ้ามือที่ดูแลโต๊ะนั้นตะโกนเรียกเร่งให้แขกวางเดิมพันไปพลางจับจ้องคนประหลาดสองคนนี้ไปพลาง

    จิงเลี่ยยื่นมือเข้าไปใต้ชุดฟาง แก้เชือกตรงข้างเอวออก หยิบดาบปีกปักษาพร้อมฝักออกมาวางบนโต๊ะพนัน

    “ตานี้ข้าแทงฝั่งนี้” จิงเลี่ยค่อยๆ ดันดาบไปบนรูปลูกเต๋าสามจุดบนโต๊ะ “กิน!”

    รอบโต๊ะเงียบลงทันที เยียนเหิงได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของตนเอง

    นักเลงสี่คนนั้นแหวกนักพนันออก เดินไปข้างกายจิงเลี่ย หนึ่งในนั้นยื่นมือกดดาบบนโต๊ะเอาไว้

    “น้องชาย” นักเลงอีกคนหนึ่งกล่าว “ฟังจากสำเนียง เจ้าเป็นคนต่างถิ่น คงจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปิดร้านหม่านทงแห่งนี้ พวกเจ้าเก็บของนี่แล้วไปซะ ไม่ต้องกลับมา พวกเราจะทำเป็นไม่เคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน”

    จิงเลี่ยฉีกยิ้มเหมือนชนะพนันแล้วจริงๆ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามคือบุคคลระดับไหน ขอเพียงเผชิญหน้ากับมันด้วยความรู้สึกเป็นอริ มันมักจะรู้สึกตื่นเต้นสุดบรรยาย

    “ตามคนที่สามารถตัดสินใจได้มาคุยเถอะ” มันทำทีหาว “วันนี้ข้าเหนื่อยนิดหน่อย ไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระมากนัก”

    นักเลงเหล่านั้นมองท่าทีของจิงเลี่ยอย่างละเอียด ใต้ผ้าโพกศีรษะนั้นเผยให้เห็นเปียผมแปลกประหลาดเป็นพวงๆ รูปแบบของดาบบนโต๊ะพนันก็ธรรมดา มิใช่ดาบล้ำค่าอะไร แต่นักเลงของบ่อนพนันเกลือกกลั้วอยู่ในยุทธภพมาตลอด วันๆ เห็นผู้คนนับร้อยนับพัน พวกมันรับรู้ได้โดยตรงถึงกลิ่นอายอันตรายที่แผ่ออกมาจากร่างของคนประหลาดผู้นี้

    ทั่วทั้งโถงพนันขณะนี้เงียบเสียงสนิท คนทั้งหมดล้วนกำลังจับจ้องเรื่องราวหน้าโต๊ะเล่นสูงต่ำตัวนี้

    ชายฉกรรจ์อ้วนล่ำที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้หนึ่งยามนี้พาลูกน้องมาสามคน ลงมาจากบันไดชั้นสอง พอได้ยินโถงชั้นล่างเงียบลงแล้ว มิจำเป็นต้องบอกเล่ามันก็รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

    สีผิวของชายอ้วนเข้มคล้ำ เส้นผมหยักศกเล็กน้อย แค่เห็นก็รู้ว่ามีเชื้อสายต่างแดน ในซื่อชวนพบเห็นได้ไม่น้อย

    ลูกน้องสามคนเปิดทางให้มัน ชายอ้วนยืนอยู่ตรงหน้าจิงเลี่ย จ้องมองอย่างละเอียด กับคนหนุ่มอย่างเยียนเหิงมันมองเพียงไม่กี่แวบ มิได้สนใจมากนัก

    “ข้าคือผู้ดูแลของที่นี่ ซาหนานทง” ชายอ้วนลูบเคราก้อนใหญ่ใต้คาง “น้องชาย ที่นี่คือสถานที่ทำการค้า เจ้าเห็นบรรดาแขกของพวกเราหยุดมือไหม เจ้ารู้ไหมว่าขาดไปตาสองตานี้ร้านหม่านทงของเราเสียหายไปเท่าไหร่แล้ว”

    จิงเลี่ยเหมือนมิได้ยินคำของซาหนานทงโดยสิ้นเชิง ยังคงยิ้มน้อยๆ ถาม “ข้าเดิมพันด้วยดาบเล่มนี้ หากว่าชนะ พวกท่านจะจ่ายเงินเท่าไหร่”

    “ต่อให้เจ้าเป็นคนต่างถิ่น มาถึงซื่อชวน คงจะเคยได้ยินชื่อพรรคหมินเจียงกระมัง” ขณะซาหนานทงกล่าวถึงพรรคหมินเจียง เสียงที่พูดดังก้องเป็นพิเศษ “หากเจ้าเคยได้ยินมาก่อน แล้วรู้ว่าพรรคหมินเจียงเป็นผู้เปิดร้านหม่านทงล่ะก็ เจ้าน่าจะรู้ว่าตัวเองมาผิดที่แล้ว”

    “ประเสริฐ ที่แท้สถานที่นี้ของท่านให้พนันแค่เงินตำลึง ไม่ให้พนันสิ่งของ” จิงเลี่ยชี้ดาบบนโต๊ะ “บ่อนพนันมักจะสามารถกู้ยืมเงินได้กระมัง ข้ากับน้องชายท่านนี้ขาดค่าเดินทางเล็กน้อย อยากยืมกับพวกท่าน ดาบเล่มนี้เป็นสิ่งจำนอง”

    “พรรคหมินเจียงให้กู้ยืมเงินได้แน่นอน แต่น้องชาย เจ้าใช้วิธียืมประเภทนี้ เราขอปฏิเสธ” ซาหนานทงผายมือไปยังประตู “เชิญ”

    “ดาบจำนองมิได้? ตกลง ข้าจำนองด้วยของอีกอย่างหนึ่ง” จิงเลี่ยเขยิบเข้าหาซาหนานทงพอประมาณ กล่าวเสียงต่ำ “ข้าจำนองด้วยสามคำนี้แล้วกัน…สำนักชิงเฉิง”

    มันผายมือไปยังเยียนเหิง “น้องชายท่านนี้ของข้าคือศิษย์สาวกสืบมรรคาแห่งสำนักชิงเฉิง ให้มันเป็นคนเอ่ยปากยืมค่าเดินทางกับพรรคของท่านสักหน่อย แบบนี้คงได้กระมัง”

    เยียนเหิงตกตะลึง จิงเลี่ยกล่าวเสียงไม่ดัง แต่สิบกว่าคนหน้าโต๊ะพนันตัวนี้ล้วนได้ยิน สายตาทอดไปยังเยียนเหิง จู่ๆ ก็กลายเป็นจุดเพ่งเล็งของผู้คน เยียนเหิงใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ

    คนที่เหงื่อไหลบนหน้ามากกว่าเยียนเหิงคือซาหนานทง ใบหน้าดำคล้ำของมันขาดสีเลือดไปขณะหนึ่ง มองเด็กหนุ่มที่ไม่อยู่ในสายตาคนนี้ด้วยความประหลาดใจ

    สำนักชิงเฉิง ปาสู่ไร้สอง

    ซาหนานทงมองดูจิงเลี่ยอีกครั้ง มือกระบี่สำนักชิงเฉิงจะมาอยู่ร่วมกับชายเถื่อนแปลกประหลาดประเภทนี้ได้อย่างไร มันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอนึกขึ้นว่าหากทำผิด ผลลัพธ์ของการลบหลู่มือกระบี่ชิงเฉิง ซาหนานทงสิบคนก็แบกรับไม่ไหว ฉะนั้นจึงมิกล้ากล่าวความสงสัยออกไปแม้แต่คำเดียว

    “ที่แท้เป็น…จอมยุทธ์น้อยเยียน” ซาหนานทงประสานมือคารวะ เหล่าลูกน้องเองก็ทำตาม ก่อนเรื่องจริงจะกระจ่าง ซาหนานทงมิกล้ากล่าวคำว่าสำนักชิงเฉิง เพียงแค่พึมพำ “ขออภัยที่มิทันต้อนรับ! เรื่องค่าเดินทางย่อมเป็นหน้าที่ของข้า…แล้วท่านนี้…” มันมองจิงเลี่ย

    “ข้าแซ่จิง”

    “นายท่านจิงท่านนี้…เมื่อครู่ล่วงเกินแล้ว! ที่นี่คนมาก คุยไม่สะดวก มิสู้เชิญทั้งสองท่านไปที่สาขาใหญ่ของพรรคเรา ให้พรรคเราจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับจอมยุทธ์น้อยเยียนและนายท่านจิง มิทราบเห็นว่าอย่างไร”

    นักเลงคนที่กดดาบบนโต๊ะไว้แต่เดิมได้กอบดาบเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง ตอนนี้กลับมอบให้จิงเลี่ยด้วยความเคารพ

    จิงเลี่ยรับดาบกลับมาห้อยไว้ตรงข้างเอว “ก็ดี ท้องหิวพอดี”

    “เด็กๆ! รีบเตรียมเกี้ยว!” ซาหนานทงตะโกนเรียก

    ในขณะเดียวกันนักเลงแห่งบ่อนพนันและบรรดาเจ้ามือก็ร้องเรียกแขก “ไม่มีอะไรแล้ว! แค่แขกเท่านั้นเอง! พนันต่อ!”

    มองลูกน้องห้อมล้อมจิงเลี่ยและเยียนเหิงออกประตูไป ซาหนานทงอาศัยจังหวะนี้สั่งการลูกน้อง “ใช่แล้ว…จางซานผิงเพิ่งกลับมาจากการทำธุระที่อำเภอก้วนเซี่ยนมิใช่หรือ รีบให้มันมาพบข้า ข้ามีเรื่องจะถาม…ยังมี เกี้ยวนั่นต้องเดินให้ช้าที่สุด ทางที่ดีก่อนพวกมันถึงที่สาขาใหญ่ ให้ข้ากระจ่างเรื่องนี้เสียก่อน”

    นอกประตูร้านหม่านทง เกี้ยวสองหลังได้มารออยู่แล้ว

    เยียนเหิงทั้งชีวิตไม่เคยโดยสารเกี้ยวมาก่อน มองเห็นจิงเลี่ยถอดดาบห้อยเอวกระโดดเข้าไปในเกี้ยว จึงรู้จักลอกเลียนแบบ ถอดหนามมังกรบนหลังที่ใช้ผ้าปกปิดเอาไว้ออก แล้วขึ้นเกี้ยว

    คนพรรคหมินเจียงหลายคนเปิดทางให้เกี้ยวทั้งสองหลังบนถนนใหญ่ ขบวนเดินไปตามคำสั่งของซาหนานทงอย่างช้ายิ่งนัก จิงเลี่ยย่อมเดาได้ว่าพวกมันกำลังวางแผนอะไรอยู่ แต่ก็มิได้เปิดโปง นั่งอยู่ในเกี้ยวอย่างสบายใจ ชมดูทิวทัศน์ข้างทางอันคึกคักของเฉิงตูนอกหน้าต่าง

    ซาหนานทงเดินตามอยู่หลังสุด สายตาเหลียวซ้ายแลขวาอย่างกระวนกระวายไม่หยุดหย่อน มองดูจางซานผิงผู้เป็นลูกน้องคนนั้นว่ามาหรือยัง

    ขณะที่ซาหนานทงเดินอยู่ ความคิดมากมายในใจวกวนไม่หยุด

    เรื่องที่สำนักชิงเฉิงถูกอู่ตังล้มล้าง แม้ว่าทั่วทั้งเฉิงตูรับรู้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หากว่าสำนักชิงเฉิงยังอยู่ ไปถ่วงเวลาศิษย์สาวกสู่มรรคาของพวกมัน คงจะเป็นความผิดมหันต์…

    แต่เด็กแซ่เยียนเยาว์วัยเพียงนี้ จะเป็นศิษย์สาวกสืบมรรคาสำนักชิงเฉิงจริงหรือ…ใช่เป็นนักต้มตุ๋นที่ยืมข่าวชิงเฉิงล่มสลายมาหลอกหากินหรือไม่…ต่อให้เป็นมือกระบี่ชิงเฉิงจริง มาก่อเรื่องที่เฉิงตูอย่างไร้เหตุไร้ผลเช่นนี้ก็น่าแปลกโดยแท้…

    ในใจซาหนานทงหวังเพียงจางซานผิงปรากฏตัวออกมาเร็วหน่อย มันน่าจะเคยได้ยินข่าวในยุทธภพเรื่องเขาชิงเฉิงและอำเภอก้วนเซี่ยนทางละแวกโน้น อาจจะสามารถทำให้เรื่องกระจ่างได้ ว่าแต่เพราะเหตุใดถึงได้มีมือกระบี่ชิงเฉิงดั้นด้นมาเฉิงตู แล้วยังจะตอแยกับพรรคหมินเจียงโดยตรงอีกด้วย…

    “หยุดก่อน!”

    เดินมาได้ระยะหนึ่ง จิงเลี่ยพลันตะโกนขึ้น

    คนยกเกี้ยวรีบหยุดฝีเท้า กลุ่มสมาชิกพรรคที่เปิดทางก็ต่างหันหน้ามาอย่างไม่เข้าใจ

    จิงเลี่ยดึงม่านไม้ไผ่ของหน้าต่างเกี้ยวสูงขึ้นเล็กน้อย มองทอดไปยังถนนทางด้านซ้าย

    แววตาจับจ้องเงาร่างสองร่างในกลุ่มคนที่ขวักไขว่ไปมา

    ดูไม่ผิด

    จิงเลี่ยยกดาบปีกปักษาเดินออกจากเกี้ยวไปยืนอยู่ใจกลางถนนใหญ่ ฝักดาบพาดบนหัวไหล่ มองสองคนนั้นที่อยู่ไกลๆ

    สองคนนั้นก็รู้ตัวทันที หยุดเดินเช่นกัน ทว่าฝูงชนยังคงขวางกั้นทัศนวิสัยของจิงเลี่ย

    คนทั้งสองหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ล้วนสวมชุดเดินทางไกล ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อย

    บุรุษเป็นชายฉกรรจ์อายุสามสิบกว่าปี เรือนร่างสูงใหญ่กำยำสะดุดตาอย่างมาก แต่ไหล่กลับเอียงต่ำลง แขนยาวทั้งสองข้างห้อยลงมาไขว้ทับกันอยู่ตรงหน้าท้อง มันตาบอดข้างซ้าย ผ้าบนศีรษะถูกดึงลงมาปิดโพรงนั้นเอาไว้ รูปลักษณ์อาจหาญอย่างยิ่ง

    สตรีข้างกายมันเกล้าผมมวย เสื้อผ้าเครื่องประดับล้วนธรรมดาอย่างมาก หากท่ายืนกลับแกร่งกล้ากว่าบุรุษทั้งหลายบนถนน ใบหน้ากลม ริมฝีปากหนา กอปรกับผิวหนังสีเข้ม แม้ไม่อรชรอ่อนช้อย แต่กลับมีพลังดึงดูดที่แข็งแกร่งประเภทหนึ่ง ดูจากท่าทางของนางคล้ายเป็นภรรยาของบุรุษตาเดียวผู้นั้น

    สองคนปนอยู่ในกลุ่มคนบนถนนใหญ่ที่วุ่นวาย รูปลักษณ์ภายนอกจะบอกว่าพิเศษก็ไม่นับว่าพิเศษมากนัก จุดที่สะดุดตาที่สุดคือด้านหลังของคนทั้งสองล้วนสะพายวัตถุขนาดยาวที่ห่อไว้ด้วยถุงผ้า ของบุรุษมีความยาวแปดฉื่อกว่า สูงกว่าเรือนร่างของมันเสียอีก ส่วนของสตรีนั้นสั้นและเล็กพอประมาณ แต่ก็ยังไล่เลี่ยกับความสูงของนาง

    ที่จิงเลี่ยสามารถพบสองคนนี้ในฝูงชนมิเพียงเพราะสิ่งของด้านหลังพวกมัน แต่เป็นเพราะท่าเดินของพวกมัน ท่าทางดั่งมัจฉาข้ามนทีนั่น ทุกก้าวล้วนออมแรงเบาหวิวกว่าฝีเท้าคนรอบข้างเล็กน้อย ความแตกต่างเล็กน้อยประเภทนี้สายตาของคนทั่วไปมิอาจแยกออก แต่สำหรับเหล่านักสู้สูงส่งไม่ว่าจะอยู่ในถนนที่วุ่นวายมากเพียงใด ขอเพียงได้เห็นสักแวบก็สามารถแยกแยะซึ่งกันและกันได้

    คนทั้งสองเองก็ชี้ชัดได้ จิงเลี่ยคือคนประเภทเดียวกันกับตนเอง

    “นายท่านจิง…” ซาหนานทงวิ่งมาถาม “มีเรื่องอะไรขอรับ” มันมองไปตามสายตาของจิงเลี่ย แต่ก็มองไม่ออกว่าในฝูงชนนั้นใครดึงดูดความสนใจของจิงเลี่ยเป็นพิเศษ

    จิงเลี่ยแสยะยิ้มให้สองคนนั้นจากไกลๆ มันจ้องบุรุษผู้นั้น ศีรษะเอียงไปด้านข้างพอประมาณ

    บอกเป็นนัยให้พวกมันหาที่สักที่หนึ่ง

    บุรุษตาเดียวพยักหน้าเล็กน้อย

    จิงเลี่ยตบเกี้ยวของเยียนเหิง “ข้าต้องไปจัดการเรื่องราวบางอย่าง เจ้าไปกินข้าวเอาเงินก่อน ข้าค่อยมาหาเจ้า” กล่าวจบไม่รอเยียนเหิงตอบก็เดินเข้าไปในถนนสายนั้น เยียนเหิงจะเอ่ยปากถาม แต่กลับไม่ทันเสียแล้ว ในใจเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

    “นายท่านจิง!” ซาหนานทงตะโกนเรียก “สาขาใหญ่ของเราอยู่ในตรอกเหล่าหู่ด้านโน้น เดินจากที่นี่ไป…”

    จิงเลี่ยโบกมืออย่างหมดความอดทน กล่าวโดยไม่หันหน้ามา “คนของพรรคหมินเจียงทั้งเฉิงตูของพวกเจ้าก็รู้กระมัง ข้าถามเอาก็ได้แล้วมิใช่หรือ” กล่าวพลางเดินเข้าไปในถนนสายยาวนั้นต่อ

    จิงเลี่ยและบุรุษสตรีคู่นั้นอันตรธานไปในฝูงชน ซาหนานทงจนปัญญา ทำได้เพียงสั่งให้เกี้ยวเดินหน้าไปยังสาขาใหญ่ของพรรคต่อ

    เดินไปได้อีกระยะหนึ่ง ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่หายใจฟืดฟาดก็ปรากฏตัวจากทางแยก วิ่งมาหาขบวนเกี้ยว ซาหนานทงที่มองเห็นแต่เนิ่นๆ แล้วเข้าไปจับมันเอาไว้

    “ซานผิง เจ้าอยู่ที่อำเภอก้วนเซี่ยนมานาน ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า” ซาหนานทงเอาแขนพาดบ่าจางซานผิง กล่าวเสียงแผ่วเบายิ่งยวด มันตามเกี้ยวไปพลางถามไปพลาง “เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าสำนักชิงเฉิงมีมือกระบี่คนหนึ่ง แซ่เยียน?”

    จางซานผิงเดิมทียังหอบหายใจอยู่ พอได้ยินคำนี้สีหน้าแปรเปลี่ยนเคร่งเครียด การหายใจก็หยุดชะงักครู่หนึ่ง

    “ผู้ดูแล ท่านบอกว่า…แซ่เยียน…มิได้ฟังผิด?”

    “ได้ยินเพียงครั้งเดียว แต่น่าจะไม่ผิด มิใช่แซ่เยียนก็แซ่เหยียน เป็นไปได้มากว่าแซ่เยียน…เป็นอะไรไป สีหน้าของเจ้า…”

    “ก็เพราะเรื่องเมื่อเจ็ดแปดวันก่อนที่ข้าได้ยินระหว่างทางกลับมาน่ะสิ…” จางซานผิงกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านคงรู้จักผู้เฒ่าจวงแห่งอำเภอก้วนเซี่ยนคนนั้น มันยกพวกตีกันกับผู้อื่นที่ศาลาชมทิวทัศน์อู่หลี่…เรื่องโดยละเอียดข้ามิทราบ ได้ยินเพียงผู้อื่นบอกว่าในการตีกันครั้งนั้นมีมือกระบี่ของสำนักชิงเฉิงคนหนึ่งลงเขามาไกล่เกลี่ย ใช้เพียงกระบี่เดียวก็ทำให้คนทั้งในและนอกศาลาหยุดมือได้ มือกระบี่ท่านนั้นก็คือคนแซ่เยียน…ส่วนคนที่ต่อกรกับมันกลับไม่ตาย นับเป็นโชคที่สั่งสมมาสิบแปดชั่วโคตร ผู้ดูแล ท่านรู้หรือไม่ว่าคนผู้นี้คือใคร”

    “อย่ามัวสำบัดสำนวน รีบพูดมา!”

    “ก็คือ ‘ดาบภูตผีสามสิบ’ อย่างไรเล่า!”

    “ดาบภูตผีสามสิบ?” ซาหนานทงถลึงจนลูกตาเหมือนจะหลุดออกมา “เฉินดาบปีศาจผู้นั้น? ถูกสยบด้วยเพียงแค่ดาบเดียว?”

    จางซานผิงพยักหน้าอย่างแรง “ได้ยินว่ามือกระบี่ท่านนั้นเป็นเพียงชายหนุ่มหนวดยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ…ผู้ดูแล ท่านถามเรื่องนี้ทำไม”

    ซาหนานทงกลับมิได้สนใจมันอีก สายตาถลึงมองเพียงเกี้ยวของเยียนเหิง

    เยียนเหิงนั่งอยู่ในเกี้ยว รู้สึกไม่สบายนัก ตั้งแต่เล็กจนโตมันใช้เพียงเท้าเดิน เกี้ยวนี้ทำมันโคลงเคลงจนควบคุมตัวเองมิได้ มันไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการนั่งทรมานกว่าการเดิน ทิวทัศน์ข้างทางนอกหน้าต่างเกี้ยวมันยิ่งไร้อารมณ์ชื่นชม

    ด้วยเหตุนี้มันจึงมองไม่เห็นว่าโหวอิงจื้อที่ถือกระบี่ห่อด้วยผ้าเอาไว้ในมือก็อยู่บนถนนสายเดียวกัน จูงม้าผ่านข้างเกี้ยว เดินไปทางประตูทิศใต้ของเมือง

    สองคนนี้เคยเป็นสหายในวัยเยาว์ที่ดีที่สุดของกันและกัน บัดนี้อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งก้าว แต่แล้วก็เฉียดผ่านไปประเดี๋ยวนั้น

    ในมือของพวกมันต่างคนต่างกุมแน่นไว้ด้วยกระบี่ที่เพิ่งได้รับมาไม่นาน และใช้ผ้าหุ้มห่มเอาไว้

    พวกมัน…ต่อจากนี้ยิ่งเดินยิ่งไกล

     

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ เพลงกลอนคลั่งยุทธ์เล่ม 2 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook