• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 14 บทที่ 1

    บทที่ 1

    สิ้นชีพ

     

    กระบี่ไม้อันว่องไวดุจสายลมหยุดชะงักในชั่วขณะสุดท้าย ปลายกระบี่ชี้นิ่งอยู่เบื้องหน้ามือซ้ายข้างหนึ่ง ห่างจากกลางฝ่ามือเพียงสองเฟิน

    บนฝ่ามือซ้ายที่นิ้วทั้งห้าแผ่กว้างเท่าพัดใบลานข้างนั้นเห็นได้ถึงรอยแผลเก่าเป็นร่องลึกอย่างยิ่งรอยหนึ่งที่ผ่าตรงลงมาตามกึ่งกลางฝ่ามืออย่างชัดเจน ตัดลายมือสำคัญหลายเส้นขาดกลาง ในทางนรลักษณ์นี่คือเคราะห์ร้าย

    ทว่าหากในวันนั้นฝ่ามือข้างนี้มิได้รับดาบเอาไว้ เจ้าของมันก็มิอาจมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ ฉะนั้นจะพึงกล่าวถึงเรื่องดวงชะตาไปไย

    เมื่อการประลองชะงักงัน มือซ้ายข้างนั้นจึงเคลื่อนออกช้าๆ เผยใบหน้าเยาว์วัยที่หลบอยู่หลังฝ่ามือออกมา ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยแผลเป็นตัดสลับกัน แม้แต่จมูกก็ถูกเฉือนออกไปชิ้นหนึ่ง ดูดุร้ายและน่าสลดจนไม่อยากเพ่งมอง

    เจียงอวิ๋นหลันในวัยยี่สิบปีหาได้ละอายเพราะใบหน้าอัปลักษณ์นี้ไม่ ดวงตาทั้งสองเปล่งแววตาเจ้าเล่ห์และมั่นใจในตนเองเฉกเช่นสุนัขจิ้งจอกออกมา

    ในมืออีกข้างหนึ่งของเจียงอวิ๋นหลันถือกระบี่ไม้ที่ใช้สำหรับประลองของสำนักอู่ตังแบบเดียวกันกับฝ่ายตรงข้าม ตัวกระบี่นั้นหยุดนิ่งอยู่เช่นกัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือปลายกระบี่ของมันจ่ออยู่หน้าคอหอยของฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังสัมผัสบนผิวหนังลำคอเบาๆ

    เฉินไต้ซิ่วที่ถูกกระบี่ไม้จี้คอหอยเพ่งมองเจียงอวิ๋นหลันอย่างเดือดดาล ในแววตาเต็มไปด้วยความไม่ยอมรับ มันกลืนน้ำลาย กระเดือกถูกกระบี่ไม้ของเจียงอวิ๋นหลันกดไว้ เฉินไต้ซิ่วขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ขณะถอยหลังหนึ่งก้าว

    เจียงอวิ๋นหลันมองฝ่ายตรงข้ามถอยหลัง ถือว่านั่นเครื่องยืนยันว่าตนเองชนะ จึงยิ้มน้อยๆ พลางค่อยๆ ลดกระบี่ไม้ลง

    ‘เจ้ามิได้ชนะข้า’ เฉินไต้ซิ่วกล่าวเสียงเย็นชา ใบหน้าสำอางเสมือนปัญญาชนกลับเปี่ยมด้วยความทะนงตนของนักสู้สำนักอู่ตัง เฉินไต้ซิ่วโตกว่าเจียงอวิ๋นหลันสองปี แต่เนื่องเพราะรูปลักษณ์สุภาพอ่อนน้อม เมื่อเทียบกันกลับดูเหมือนอายุน้อยกว่าอยู่บ้าง

    เจียงอวิ๋นหลันไม่ตอบคำ แต่ถลึงดวงตา ก่อนขมวดคิ้วพลางถอนหายใจส่ายหน้า เผยสีหน้าเชิงถามว่า ‘เจ้าพูดส่งเดชอะไร’ ออกมา

    ‘กระบี่ของข้าเองก็เร็วเหมือนกัน’ เฉินไต้ซิ่วไม่สะทกสะท้าน ยืนกรานกล่าว ‘หากตัดสินด้วยกระบี่จริงล่ะก็ ต่อให้ข้าถูกเจ้าแทง กระบี่ของข้าก็จะทะลุผ่านมือซ้ายของเจ้าพร้อมกันและแทงเข้าในลำคอ เจ้าหลบมิได้…มิใช่ เมื่อครู่เจ้าก็มิได้หลบเลี่ยง’

    ‘เช่นนั้นแล้วอย่างไร’ เจียงอวิ๋นหลันยักไหล่ ‘ข้าสังหารเจ้า นั่นคือข้อสรุป’

    เฉินไต้ซิ่วส่ายหน้า ‘นั่นก็เท่ากับตายตกตามกัน นี่ไม่นับเป็นเพลงกระบี่’

    ‘สิ่งที่ฆ่าคนได้ก็คือเพลงกระบี่’ เจียงอวิ๋นหลันเผยแววตาเหยียดหยามไม่เห็นพ้องออกมา

    ขณะที่เฉินไต้ซิ่วกำลังจะโต้แย้งอีก สุ้มเสียงแหบแห้งแต่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะมัน

    ‘พอแล้ว ลานฝึกยุทธ์คือสถานที่ฝึกฝนกระบี่ มิใช่สถานที่ฝึกฝนลิ้น’

    มือกระบี่เยาว์วัยทั้งสองนิ่งเงียบ เก็บกระบี่ไม้หันหน้าไปยังผู้กล่าวคำ

    นั่นคือชายฉกรรจ์อายุราวห้าสิบปีผู้หนึ่ง หนวดเคราเผ้าผมอันดกหนาของมันขาวแทบทั้งหมดแล้ว แต่รูปร่างกลับดูแข็งแรงจนน่าทึ่ง อกผายไหล่ผึ่งขึงจนชุดถือพรตย้อมครามตึงแน่น ไม่คล้ายร่างกายที่อายุปูนนี้พึงมีอย่างสิ้นเชิง

    สีผิวของชายฉกรรจ์ตากแดดจนเหมือนสีทองแดง หนังหน้าหยาบกร้านเหมือนถูกก้อนหินขัดถู ดวงตากลมโตทั้งสองถลนเสมือนปลา แก้วตาทั้งสองต่างมองเฉียงไปคนละข้าง เส้นเลือดบนลำคออันหยาบหนาปูดขึ้นมา สีหน้าเหมือนสั่งสมไปด้วยพลังแข็งกล้าไร้ที่ให้ระบายออก บนแก้มซ้ายของมันมีแผลเป็นไม่น่ามองผืนใหญ่เหมือนเคยถูกน้ำกรดหรือน้ำเดือดลวกจนเนื้อหนังส่วนลึกที่สุดหายไป เผยกระดูกแก้มที่ถูกกัดกร่อนเป็นสีดำชิ้นเล็กออกมา ตั้งแต่ยอดหน้าผากจนถึงหว่างคิ้วสักอักขระลัทธิอู้อี๋แถวหนึ่งคล้ายกระบี่เล่มเล็กแขวนคว่ำอยู่บนดวงตาทั้งสอง

    เจียงอวิ๋นหลันและเฉินไต้ซิ่วล้วนมิกล้ากล่าวสักประโยค เนื่องเพราะคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้นี้คือโม่หลิงอวิ๋นศิษย์พี่ใหญ่หัวหน้าซุ้มประตูเขาสำนักอู่ตังคนปัจจุบัน และในศึกนองเลือดที่ถ้ำต้าฮวนสี่ของลัทธิอู้อี๋เมื่อสิบห้าปีก่อน มันคือหนึ่งในห้าคนของสามสิบแปดกระบี่อู่ตังที่รอดชีวิตกลับมา

    ในศิษย์สำนักอู่ตังจำนวนมาก โม่หลิงอวิ๋นคือคนเดียวที่พิเศษอย่างยิ่ง มันที่ปีนี้อายุสี่สิบแปดปีแล้ว อายุมากกว่ากงซุนชิงผู้เป็นอาจารย์หนึ่งปี อีกทั้งเริ่มฝึกยุทธ์ล่าช้า กว่าจะเริ่มก็อายุยี่สิบปี แต่กลับอาศัยปณิธานอันแน่วแน่อย่างยิ่งยวดจนกลายเป็นศิษย์เด่นล้ำที่หาได้ยากแห่งสำนักอู่ตัง ซ้ำยังมีชีวิตสืบมาจากการต่อสู้อันดุเดือดน่าสยดสยองและอบอวลไปด้วยคาวโลหิตที่ถ้ำฮวนต้าสี่ แผลเป็นผืนนั้นบนแก้มมันเกิดจากการถูกสาวกลัทธิอู้อี๋สาดน้ำกรดซึ่งมีฤทธิ์เพียงพอจะใช้กัดกร่อนเหล็กกล้าใส่ ดังนั้นถึงแม้เป็นนักสู้อู่ตังที่เย่อหยิ่ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดไม่นับถือโม่หลิงอวิ๋น

    ดวงตาประหลาดที่เฉียงออกนอกเบ้าทั้งสองของโม่หลิงอวิ๋นกลอกไปมาถลึงมองคนทั้งสองด้านหน้า จากนั้นก็ใช้สุ้มเสียงแหบแห้งตำหนิ ‘พวกเจ้าคิดว่าการประลองกระบี่บนลานยุทธ์ของสำนักอู่ตังคือการละเล่นหรือ ยังจะโต้เถียงแพ้ชนะ? พวกเจ้าไม่เชื่อดวงตาทุกคู่ที่นี่หรือ’

    เจียงอวิ๋นหลันและเฉินไต้ซิ่วฟังแล้วพลันมองดูรอบกายโม่หลิงอวิ๋น ในลานยุทธ์เสวียนสือที่อยู่กลางรูปปั้นหินขนาดใหญ่ของขุนพลสวรรค์จำนวนมากมีสหายร่วมสำนักอู่ตังหลายสิบคนยืนอยู่ แม้มองไม่เห็นเงาร่างชุดขาวของเจ้าสำนักกงซุนชิง แต่ผู้ชมดูการต่อสู้ในขณะนี้ยังคงมีอิทธิพลอย่างยิ่งไม่แพ้กัน

    เยี่ยเฉินยวนที่ใช้กระบี่คู่ เทพแห่งการต่อสู้ผู้มีสีหน้าเย็นชาและเป็นหนึ่งในสามสิบแปดกระบี่ที่รอดมาเช่นกัน อูจี้หงมือกระบี่ร่างสูงผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น กุ้ยตันเหลยบุรุษร่างยักษ์ที่พรสวรรค์สูงส่งในศิษย์รุ่นเยาว์และกำลังตั้งใจฝึกปรือมวยไท่จี๋…กลุ่มคนที่เหลือคือศิษย์เด่นล้ำที่เคยประลองบนลานยุทธ์แล้วก่อนหน้า เมื่อครู่คนทั้งสองคือสนามสุดท้าย

    ภายใต้การตำหนิของโม่หลิงอวิ๋น เฉินไต้ซิ่วเผยสีหน้าละอายใจออกมา ทว่าเจียงอวิ๋นหลันมิได้แสดงอันใด แต่ในแววตานั้นยังคงไม่ยอมแพ้อย่างเห็นได้ชัด

    อุปนิสัยโอหังไม่เชื่อฟังและปากคอไม่เคยยอมคนของเจียงอวิ๋นหลัน ทุกผู้คนบนเขาอู่ตังต่างคุ้นเคยดี โม่หลิงอวิ๋นไหนเลยจะไม่กระจ่าง มันรู้ว่าด่าต่อไปก็ไม่อาจทำให้เด็กคนนี้จำนนได้ในวันเดียวจึงระงับโทสะ

    ‘เอาล่ะ วันนี้การประลองวิชาจบลงเพียงเท่านี้ พวกเจ้ากลับไปทั้งหมด’

    เหล่าศิษย์ฟังแล้วพลันประสานหมัดแสดงมารยาทไปยังโม่หลิงอวิ๋นและเยี่ยเฉินยวนซึ่งเป็นศิษย์พี่ที่ทรงคุณวุฒิที่สุดทั้งสองท่าน แล้วจึงแยกย้ายลงเขาไป

    เจียงอวิ๋นหลันวางกระบี่ไม้กลับคืนคลังอาวุธข้างลานยุทธ์เสวียนสือ มันมิได้สบตาผู้ใดสักแวบ

    ขณะเดินออกจากคลังอาวุธ ปิดประตูเข้าหากัน ด้านหลังเจียงอวิ๋นหลันพลันถ่ายทอดสุ้มเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง

    ‘เจ้ามานี่’

    เจียงอวิ๋นหลันไม่ต้องหันกลับไปก็รู้ว่าเป็นศิษย์พี่เยี่ยเฉินยวนที่มันเลื่อมใสที่สุด

    ยามเผชิญหน้าเยี่ยเฉินยวน เจียงอวิ๋นหลันจะอ่อนข้อลงเล็กน้อย มันมองดวงตาที่สักคาถาเป็นแถวด้านล่างคู่นั้น

    ‘เพราะเหตุใดเมื่อครู่ต้องสู้เช่นนี้’

    ได้ยินคำถามของเยี่ยเฉินยวน เจียงอวิ๋นหลันพลันถอนหายใจ ฝีปากของมันไม่เคยยอมแพ้ แต่ยังไม่ถึงขั้นโกหกตัวเอง

    ‘เพลงกระบี่ของข้าสู้เฉินไต้ซิ่วมิได้’ เจียงอวิ๋นหลันยอมรับตามตรง ‘มีเพียงทำเช่นนี้ข้าจึงมีโอกาสแทงถูก ผลสุดท้ายข้าก็ทำสำเร็จ’

    ‘แต่เจ้าเลือกวิธีนี้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็อาจตายได้’ เยี่ยเฉินยวนกล่าว ‘เฉินไต้ซิ่วกล่าวมิผิด นี่มิใช่เพลงกระบี่ หรืออย่างน้อยก็มิใช่เพลงกระบี่ของอู่ตัง ผู้ที่สำนักอู่ตังฝึกสอนคือมือกระบี่ มิใช่ผู้วายชนม์ มิอาจกลายเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่คนสุดท้ายก็ไม่นับว่าชนะ เพลงกระบี่อู่ตังคือเพลงกระบี่แสวงชัย’

    เจียงอวิ๋นหลันยักไหล่ ‘ข้าสนใจเพียงกระบี่ของตนเองแทงทะลุคอหอยของคู่ต่อสู้ได้หรือไม่ สิ่งอื่นข้าไม่สน’

    เยี่ยเฉินยวนมองสีหน้าดื้อรั้นของเจียงอวิ๋นหลันพลางนิ่งเงียบ

    เจียงอวิ๋นหลันประสานหมัดและจากไปโดยพลการ ก่อนไปไกลมันยังยืนอยู่พลางทอดมองรูปปั้นเทพที่ถูกแสงยามสนธยาสาดส่องเหล่านั้น ก่อนกล่าวคำไปยังเยี่ยเฉินยวนที่ด้านหลัง

    ‘ข้ารู้ว่าคำพูดของศิษย์พี่เฉินถูก เพียงแต่ข้าคิดว่าอาจมีสักวันที่สำนักอู่ตังเองก็ต้องการเพลงกระบี่เช่นนี้เหมือนอย่างข้า’

    หลังได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเจียงอวิ๋นหลัน เยี่ยเฉินยวนก็ใจสั่นสะท้าน

    ขณะเจียงอวิ๋นหลันยกเท้าอีกครั้ง เยี่ยเฉินยวนก็ตอบมัน

    ‘หากเจ้าต้องใช้เพลงกระบี่ประเภทนั้นจริงล่ะก็ คิดหาวิธีทำให้ผู้อื่นแทงมือซ้ายของเจ้าไม่ทะลุเถอะ’

    หลังเจียงอวิ๋นหลันจากไป โม่หลิงอวิ๋นก็เดินผ่านข้างกายเยี่ยเฉินยวน

    ‘ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าเห็นว่าอย่างไร’ โม่หลิงอวิ๋นถาม

    ‘เฉินไต้ซิ่วเพลงกระบี่ถี่ถ้วน อุปนิสัยก็สุขุม ข้าคิดว่าให้เข้าสายเต่าพิทักษ์รับหน้าที่ศึกษาค้นคว้าและฝึกวิทยายุทธ์ค่อนข้างเหมาะสม มันมีความสามารถเช่นนี้อยู่แล้ว’

    แผนการก่อตั้งสามกองกำลังใหญ่ อีกา เต่า และงูของสำนักอู่ตังใหม่คืบหน้าไปอย่างราบรื่น ในเวลาไม่กี่ปีนี้แต่ละกองกำลังค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง วันนี้ดำเนินการประลองวิชาก็เป็นการทดสอบศิษย์เยาว์วัยเพื่อคัดเลือกผู้เด่นล้ำเข้าสังกัดแต่ละกองกำลัง

    ‘เจียงอวิ๋นหลันเล่า’ ขณะโม่หลิงอวิ๋นสอบถามก็มองดูเงาหลังเล็กๆ ที่กำลังลงเขาของมือกระบี่เยาว์วัยผู้นั้นอยู่ตลอด

    เยี่ยเฉินยวนรำพึงในใจ

    พรสวรรค์ของเจียงอวิ๋นหลันไร้ข้อกังขา เข้าสำนักเพียงห้าปีกระบี่ก็เร็วเพียงพอที่จะต่อกรกับเฉินไต้ซิ่วที่ฝึกปรือบนเขาอู่ตังตั้งแต่เด็กแล้ว เพียงแต่เพลงกระบี่ของมันซ้ำซากสุดขีด รุกรับไม่สมดุลอย่างยิ่ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ยากจะเป็นใหญ่

    ‘กระบี่ของมันเร็วเพราะใจร้อน’

    โม่หลิงอวิ๋นพยักหน้า พวกมันทั้งสองล้วนรู้ถึงภูมิหลังของเจียงอวิ๋นหลัน เจียงคุนบิดาของเจียงอวิ๋นหลันคือผู้มีอิทธิพลแห่งเมืองเจิ้งหยางแถบชายแดนมณฑลส่านซี ถือครองธุรกิจคุ้มกันการขนส่งทางน้ำไม่น้อย ในปีนั้นเพื่อที่จะเตรียมเครือข่ายให้สายพญางูจึงก่อตั้งหูตาในแต่ละเมือง เฉินชุนหยางอาของเฉินไต้ซิ่ว (เป็นหนึ่งในสามสิบแปดกระบี่ที่รอดชีวิตกลับมาเช่นกัน) เที่ยวสร้างเส้นสายในยุทธภพแต่ละพื้นที่ เจียงคุนคือเป้าหมายหนึ่งในนั้น คนทั้งสองจึงมีมิตรภาพที่ดีต่อกันด้วยเหตุนี้

    ทว่าเมื่อห้าปีก่อนในพรรคเกิดความวุ่นวาย เจียงคุนถูกเฉินอี้ปัวน้องชายบุญธรรมทรยศสังหาร แผลเป็นบนหน้าของเจียงอวิ๋นหลันก็เกิดจากการถูกเฉินอี้ปัวลงมือทรมานในตอนนั้น สุดท้ายมือดาบคิดตัดรากถอนโคน แต่ท่ามกลางวิกฤตเจียงอวิ๋นหลันใช้ฝ่ามือซ้ายสกัดดาบที่ถึงแก่ชีวิตเอาไว้ก่อนหนีลงแม่น้ำหายสาบสูญ สามเดือนให้หลังมันบรรลุถึงเขาอู่ตังเพื่อมาหาเฉินชุนหยางเพียงลำพัง อีกทั้งกราบเข้าสำนักตามคำสั่งของบิดาขณะมีชีวิต

    ในตอนนั้นกงซุนชิงหาได้เคยเห็นพรสวรรค์ของเจียงอวิ๋นหลันว่าเป็นเช่นไรไม่ รู้เพียงว่ามันเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีที่ไม่เคยเรียนยุทธ์อย่างเป็นทางการ ภายใต้บาดแผลเต็มหน้ายังคงหนีรอดด้วยการใช้มือเปล่าสกัดดาบ จากนั้นผ่านแคว้นข้ามมณฑลมาเขาอู่ตัง จึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะรับศิษย์ผู้นี้เอาไว้

    ปณิธานอันแกร่งกล้า…ก็เป็นพรสวรรค์ประเภทหนึ่ง

    อยู่ที่เขาอู่ตังห้าปี เจียงอวิ๋นหลันจดจ่อฝึกเพียงกระบี่เร็วที่มีแต่รุกไร้รับอย่างเดียว อาจเป็นเพราะมุ่งมั่นตั้งใจเช่นนี้มันจึงก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างยิ่ง กำลังและความเร็วเหนือกว่าศิษย์พี่ที่เข้าสำนักก่อนมันจำนวนไม่น้อย ในขณะเดียวกันแผลเป็นบนหน้าก็เพิ่มขึ้นมากมาย

    คนทั้งหมดล้วนรู้ว่าอะไรบีบให้เจียงอวิ๋นหลันสู้ตายฝึกหนักเช่นนี้ เพียงแต่ทุกควรล้วนไม่กล่าวถึง

    หากสำนักอู่ตังออกหน้าล้างแค้นให้เจียงอวิ๋นหลันย่อมง่ายดายยิ่งกว่าบี้เห็บตัวหนึ่งเสียอีก แต่สำนักอู่ตังมิได้ก่อตั้งมาเพื่อกระทำเช่นนี้ เจียงอวิ๋นหลันเองก็ไม่เคยเรียกร้องให้สำนักล้างแค้นเพื่อมันเช่นกัน

    นอกการจากฝึกปรือแล้ว เจียงอวิ๋นหลันก็พูดคุยกับสหายร่วมสำนักน้อยมาก มันไม่มีสหายสักคนบนเขาอู่ตัง

    มันไม่เคยเห็นสำนักอู่ตังเป็นบ้านของตนเอง

    โม่หลิงอวิ๋นทอดมองล่างเขาสืบต่อ เงาร่างของเจียงอวิ๋นหลันเลือนหายไปในป่าแล้ว

    ‘หากยังเป็นเช่นนี้ ไม่นานมันก็จะจากไป’ โม่หลิงอวิ๋นถอนหายใจพลางกล่าว

    ‘เรื่องนี้ก็จนปัญญา’ เยี่ยเฉินยวนกล่าว ‘อู่ตังมิใช่สถานที่ที่บังคับให้คนอยู่ต่อ มันไม่มีใจอยู่ไปก็เปล่าประโยชน์’

    โม่หลิงอวิ๋นส่ายหน้า ‘น่าเสียดาย เดิมมันควรเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก…’

    ขณะกล่าว โม่หลิงอวิ๋นพลันไอขึ้นมาอย่างรุนแรง มันรีบดึงผ้าเช็ดเหงื่อผืนหนึ่งตรงข้างเอวมาปิดปาก

    กระแอมไอพักหนึ่ง การหายใจของโม่หลิงอวิ๋นจึงคืนสู่ปกติ มันเคลื่อนผ้าเช็ดเหงื่อออกช้าๆ บนผ้านั้นย้ปรากฏหยดเลือดหลายจุด เยี่ยเฉินยวนเหลือบเห็นอยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วอย่างเศร้าใจ

    โม่หลิงอวิ๋นถูกศัตรูวางยาพิษกัดกร่อนในศึกลัทธิอู้อี๋ พิษไหลตามเส้นเลือดและทำลายอวัยวะภายใน แม้มีชีวิตรอดมาได้ แต่สิบกว่าปีที่ผ่านมาล้วนมิอาจหายเป็นปกติ มันต้านอาการบาดเจ็บภายในมาเป็นเวลานาน แต่กลับยังคงรักษาสังขารให้แข็งแรงเช่นนี้ได้ ยิ่งเห็นชัดว่าความมุ่งมั่นของโม่หลิงอวิ๋นน่าอัศจรรย์เพียงไร

    เพียงแต่อาการบาดเจ็บภายในนี้ไม่เคยทุเลา สองปีให้หลังร่างกายของมันเริ่มทรุดโทรมลง นับจากนั้นก็มิได้มีบทบาทใดๆ ในสำนักอู่ตังอีก และหนึ่งปีก่อนงานครองอำนาจที่สายพลอีกาอู่ตังจะเดินทางไกลซื่อชวนดำเนินการบุกโจมตีเก้าสำนักใหญ่ โม่หลิงอวิ๋นก็ลาโลกไปเพราะความชราและเจ็บป่วย

    โม่หลิงอวิ๋นมองผ้าเช็ดเหงื่อเปื้อนเลือดในมือ ดวงตาเปล่งประกายความเศร้าโศกเล็กน้อย

    ‘อู่ตังต้องแข็งแกร่งขึ้นเร็วสักหน่อย…ข้าหวังมองเห็นวันที่ปณิธานใต้หล้าไร้เทียมทานของอาจารย์บรรลุผลด้วยตาตัวเองเสียเหลือเกิน…’

     

    คืนที่สองหลังการประลองนั้นเอง เจียงอวิ๋นหลันก็ลอบออกจากเขาอู่ตัง

    มันรอคอยมาพอแล้ว หลังผ่านการประลองกับเฉินไต้ซิ่ว มันก็แน่ใจว่าตนเองมีความสามารถในการล้างแค้น นี่เดิมทีคือเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวที่มันเรียนกระบี่ ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่อู่ตังต่ออีกสักขณะเดียว

    เพียงผู้เดียวที่สังเกตเห็นเรื่องนี้ อีกทั้งยังมาถือโคมไฟรอคอยเจียงอวิ๋นหลันหน้าซุ้มประตูเขาคือเฉินไต้ซิ่ว

    เจียงอวิ๋นหลันมองเห็นเฉินไต้ซิ่วก็รู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง แต่มันเพียงยิ้มน้อยๆ ให้

    ‘หากเจ้าอยากห้ามปรามข้าล่ะก็ เลิกคิดเถอะ’

    เฉินไต้ซิ่วส่ายหน้า ‘ข้ามาหาเจ้าเพียงเพราะอยากรู้เรื่องหนึ่งให้กระจ่าง เหตุใดเจ้าจึงเกลียดข้าเพียงนี้ ข้ายั่วโมโหอะไรเจ้าหรือ’

    เจียงอวิ๋นหลันตกตะลึง ‘เจ้าถามเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้เพื่ออันใด พวกเราใช่ว่าจะมีเหตุผลต้องคบกันเป็นสหาย’

    ‘ไม่’ เฉินไต้ซิ่วกล่าวขัดจังหวะ ‘ข้าเพียงอยากรู้ว่าตนเองทำผิดอะไร มีความข้องใจอะไรที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้หรือไม่ บนเส้นทางแสวงหามรรคา ถึงแม้เป็นความข้องใจเล็กๆ นี้ ภายหน้าก็อาจกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ ข้าต้องกำจัดมันให้เร็วที่สุด’

    เจียงอวิ๋นหลันฟังคำพูดเหล่านี้แล้วบังเกิดความเร่าร้อนในใจ พลันเก็บรอยยิ้มเหยียดหยาม

    ‘ไม่เกี่ยวกับเจ้า’ เจียงอวิ๋นหลันกล่าวช้าๆ ‘เป็นความตั้งใจของข้า ข้าเพียงคิดว่าถ้าหากยั่วให้เจ้าโมโหเดือดดาลได้ล่ะก็ อาจเพิ่มโอกาสชนะขึ้นเล็กน้อยในการประลอง’

    เจียงอวิ๋นหลันเดิมทียังอยากเพิ่มประโยคว่า ‘ข้าไม่ได้เกลียดเจ้า’ แต่คำพูดเช่นนี้มันไม่เคยกล่าวออกมา

    เฉินไต้ซิ่วฟังแล้วเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่คิดว่าขณะนี้เจียงอวิ๋นหลันกำลังจะไป กลัวว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก มันหาได้เผยรอยยิ้มออกมาไม่ เพียงมองดูกระบี่ยาวที่เจียงอยู่หลันถืออยู่ในมือเงียบๆ

    นั่นคือกระบี่โบราณฝักหนังปลาเล่มหนึ่ง หาใช่อาวุธของอู่ตังไม่ ด้วยประสบการณ์และตำแหน่งของเจียงอวิ๋นหลันจึงยังมิได้รับมอบอาวุธจากสำนัก กระบี่โบราณเล่มนี้คือหนึ่งในสิ่งของมีค่าไม่กี่ชิ้นที่มันเสี่ยงลอบเข้าไปในห้องพักของบิดา รีบเสาะหาจนพบขณะหนีออกจากเมืองเจิ้งหยางในปีนั้น สิ่งของอื่นล้วนจำนำระหว่างทางไปแล้ว มีเพียงกระบี่โบราณที่มาไม่แน่ชัดเล่มนี้ที่พกอยู่ตลอดจนถึงเขาอู่ตัง

    เจียงอวิ๋นหลันมิได้มองดูเฉินไต้ซิ่วสักแวบ มันก้าวเท้าอีกครั้ง

    ขณะผ่านข้างกาย เฉินไต้ซิ่วยื่นโคมไฟในมือให้ เจียงอวิ๋นหลันรับไว้โดยไม่กล่าวคำ

    ‘ขอให้เจ้าพบสิ่งที่ตนเองต้องการ’ เฉินไต้ซิ่วกล่าวอยู่ด้านหลัง

    เจียงอวิ๋นหลันโบกมือโดยไม่หันมอง

     

    ทว่ามันหาได้พบไม่

    นั่นคือชะตากรรมที่พิเศษอย่างยิ่ง ในวันที่เจียงอวิ๋นหลันบรรลุถึงเมืองเจิ้งหยางบ้านเกิดจึงรู้ว่าเฉินอี้ปัวกับอำนาจของมันเพิ่งถูกอีกพรรคหนึ่งกลืนกินเมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้า เฉินอี้ปัวกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวเจียงคุนทั้งหมดล้วนถูกฆ่าในการสัประยุทธ์นั้น

    เจียงอวิ๋นหลันยืนอยู่ริมแม่น้ำที่อาศัยหนีรอดจากความตายในวันนั้น มองดูแผลเป็นบนฝ่ามือซ้ายตนเองเงียบๆ ความว่างเปล่าขนาดมหึมาจู่โจมหัวใจ

    มันค่อยๆ ปลดกระบี่โบราณที่ข้างเอวลง หมายโยนมันลงในแม่น้ำ แต่หลายครั้งก็มิอาจปล่อยมือออก

    มันมองกระบี่ที่กุมแน่นอยู่ในมือ

    ‘ขอให้เจ้าพบสิ่งที่ตนเองต้องการ’

    ขณะนี้เจียงอวิ๋นหลันร่ำไห้ มันมองดูบิดาถูกสังหาร จมูกถูกคนเฉือนออกชิ้นหนึ่ง ใช้ฝ่ามือต้านทานดาบอันเหี้ยมโหด…เวลาเหล่านั้นมันล้วนไม่เคยร่ำไห้

    แต่ตอนนี้มันร่ำไห้แล้ว

    หนึ่งเดือนให้หลัง เจียงอวิ๋นหลันนำกระบี่โบราณกลับเขาอู่ตัง คุกเข่าลงอย่างจริงใจหน้าซุ้มประตูเขา ขอร้องกลับสู่เขตแดนอู่ตังใหม่อีกครั้ง

     

    แสงอรุณเหลืองทองถูกหมอกหนาที่ฟุ้งขึ้นของห่ากระสุนปืนใหญ่บดบัง มิอาจส่องเข้าในหลุมอันมืดสลัวนั้น

    เจียงอวิ๋นหลันนั่งย่อคุดคู้อยู่ใต้หลุมประหนึ่งสัตว์ป่าตัวหนึ่ง พยายามม้วนงอร่างกายให้หดเล็กสุดความสามารถและยกถุงมือกรงเล็บเหล็กมือซ้ายขึ้นป้องกันศีรษะแนบติดกับผนังคูเพื่อลดโอกาสที่ตนเองจะถูกอานุภาพของปืนใหญ่

    ไม่มีวิธีอื่น วิถียุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าก็มิอาจต้านทานการโจมตีประเภทนี้

    ทำได้เพียงหลบหลีกการบุกโจมตีของศัตรูอย่างขลาดเขลาเช่นนี้ สำหรับนักสู้สำนักอู่ตัง โดยเฉพาะสายพลอีกาที่รับหน้าที่ปราบปรามทั่วสารทิศแล้วคือความอัปยศอันใหญ่ยิ่งที่ยากจะรับได้

    ทว่าเพื่อชัยชนะ อัปยศเช่นไรก็ต้องทนต่อไป…บนสมรภูมิ ผู้ที่มีชีวิตอยู่ถึงตอนสุดท้ายคือผู้ชนะ เจียงอวิ๋นหลันนั่งย่ออยู่บนพื้น ดวงตาจ้องมองดินโคลน ลูกปืนใหญ่แผดเสียงต่อเนื่อง ฝุ่นดินที่ระเบิดขึ้นปลิวเกาะบนร่าง ชุดดำและเส้นผมของมันล้วนย้อมเปื้อนเป็นสีเหลืองเทา

    กองกำลังแปดสิบกว่าคนด้านตะวันออกของอารามอวี้เจินที่ติดตามมันทำศึกมาตลอด ทั้งหมดล้วนก้มหมอบอยู่ในคูเหมือนมัน ทำได้เพียงเฝ้ารอความคุ้มครองจากโชคชะตา

    เมื่อครู่พวกเจียงอวิ๋นหลันตะลุมบอนกับทหารราบราชองครักษ์และกองเกาทัณฑ์ที่บุกเข้ามาทางตะวันออกของอารามอวี้เจิน ขณะกำลังสังหารอย่างสะใจกลับได้ยินขบวนปืนใหญ่พลเสินจีนอกอารามเปิดฉากยิงถล่มทั้งสามด้านแล้ว เจียงอวิ๋นหลันรีบนำสหายร่วมสำนักนับร้อยวิ่งกลับไปหลบภัยที่หลุมกึ่งกลางลานกว้าง ทว่าเพียงระยะทางสามสี่จั้งอันแสนสั้นนั้นมีศิษย์อู่ตังสิบเอ็ดคนถูกระดมยิง ในนั้นรวมถึงลั่วเซินเฉวียนมือดาบเด่นล้ำสายพลอีกา ทั้งร่างมันถูกระเบิดเป็นผุยผง ดาบเดี่ยวอู่ตังที่หักงอเล่มนั้นถูกระเบิดลอยขึ้นอย่างแรง ตัดแขนของศิษย์อู่ตังอีกคนหนึ่งขาด

    ฟ้าดินราวกับสั่นสะเทือน แต่เจียงอวิ๋นหลันมิได้เคลื่อนไหวสักนิด กรงเล็บยังคงกอดศีรษะและท้ายทอยเอาไว้ มือขวาพลิกจับกระบี่ยาวแนบแน่น มองดูพื้นดินอย่างใจเย็น

    ข้าจะไม่ตายเช่นนี้ นี่มิใช่ชะตากรรมของข้า

    ในสำนักอู่ตัง วิทยายุทธ์ของเจียงอวิ๋นหลันแม้มิได้สุดยอดที่สุด แต่ความสามารถในการเป็นผู้นำและชี้ขาดของมันกลับเป็นที่เชื่อใจของเหล่าสหายร่วมสำนัก มันที่อายุน้อยกว่าเจ้าสำนักเหยาเหลียนโจวเพียงห้าปี แม้ภายหน้าไม่อาจอาศัยวรยุทธ์เลื่อนขั้นไปถึงระดับรองเจ้าสำนัก แต่ก็ได้รับความหวังที่ผู้อาวุโสมอบให้คือเป็นบุคคลสำคัญในการค้ำจุนเจ้าสำนักเหยาเชิดชูสำนักอู่ตังสืบต่อ

    และในวันนั้นที่มันกลับคืนเขตแดนสำนักอีกครั้งก็ได้ตัดสินใจอุทิศชีวิตให้อู่ตังแล้ว

    จะตายอยู่ในหลุมนี้ได้อย่างไร

    อดทน โอกาสแห่งชัยชนะต้องมาถึงเป็นแน่

    ในที่สุดลูกปืนใหญ่ลูกหนึ่งก็ตกลงหลุม ห่างจากเจียงอวิ๋นหลันไม่ถึงสิบสองก้าว

    ศิษย์อู่ตังห้าคนถูกระเบิดตาย ไม่ทันแม้แต่จะร้องร่ำ เสียงแผดร้องมาจากผู้ที่ถูกระเบิดแผ่วงกว้างไปถึงด้านข้าง

    เจียงอวิ๋นหลันมิได้หน้าถอดสีแม้แต่น้อย ดวงตาถึงขั้นไม่กะพริบ ฝ่ามือขาดข้างหนึ่งถูกระเบิดลอยไปยังเจียงอวิ๋นหลัน ตกอยู่หน้าลำตัวมันพอดี โลหิตสดสาดบนหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็นของมัน

    มองดูบนพื้น

    มันเพียงกัดริมฝีปากล่างให้เลือดไหลออกมา

    พวกเราสำนักอู่ตัง มิใช่จะฆ่าได้หมดสิ้นง่ายดายเช่นนี้ ยังมีอีกเท่าใดก็มาเถอะ!

     

    บนตาขวาของโหลวหยวนเซิ่งยังคงเสียบไว้ด้วยด้ามกระบี่ของกระบี่บินอู่ตัง โลหิตสดทะลักออกมาจากเบ้าตาไม่ขาดสาย อาบท่วมใบหน้าครึ่งซีกของผู้บัญชาการทหารค่ายพลเสินจีผู้นี้ ดวงตาที่สูญเสียพลังชีวิตไปแล้วอีกข้างหนึ่งของมันมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองอย่างเหม่อลอย

    หม่าจวินหมิงรองแม่ทัพตื่นตระหนกจนคุกเข่าลงกับที่ ก้มศีรษะมองดูแม่ทัพใหญ่ที่ตกลงจากม้าศึก มิอาจเชื่อเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง

    นี่ชวนให้ยากจะเชื่อได้โดยแท้จริงว่ากองทัพค่ายพลเสินจีที่เป็นถึงสุดยอดทหารกล้าราชองครักษ์แห่งจักรวรรดิต้าหมิง กลับถูกคนเพียงเจ็ดคนโจมตีศูนย์กลางขบวนอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ แทงแม่ทัพตกลงจากม้า

    สัตว์ประหลาด

    ตัวสุดท้ายของ ‘สัตว์ประหลาด’ เจ็ดตัวนั้น ขณะนี้ยังคงถูกหอกทวนสิบกว่าเล่มแทงค้างอยู่กลางอากาศ ราวกับเครื่องเซ่นในพิธีกรรมประหลาดสักอย่าง

    องครักษ์ค่ายแม่ทัพที่ถือด้ามทวนเหล่านั้นกลับลืมวางซากศพของฝานจงบนหัวทวนลงเพราะตื่นตระหนกเกินไปเช่นเดียวกัน

    กระทั่งไม่รู้ผู้ใดเปล่งเสียงตะโกนด้วยโทสะออกมา องครักษ์สิบกว่าคนนั้นจึงแกว่งหอกทวนพร้อมกัน เหวี่ยงฝานจงลงบนพื้นอย่างแรง จากนั้นล้อมวงเข้าไปกระหน่ำแทงร่างที่สิ้นลมไปนานแล้วอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดยั้ง

    ทุกครั้งขณะแทง องครักษ์ล้วนร้องคำรามคล้ายจะระบายความปวดร้าวกับความหวาดกลัวทั้งหมดบนซากศพ

    พวกมันกลัว เพราะการปกป้องผู้บัญชาการทหารไม่ได้ สำหรับองครักษ์คือโทษพ้นจากตำแหน่ง และถึงขั้นถูกตัดศีรษะได้

    เหล่าองครักษ์เหมือนเช่นสัตว์ป่ารุมทึ้งฝูงหนึ่ง หอกทวนมากมายกระทุ้งแทงลงไม่ขาดสาย ไม่ถึงครู่หนึ่งก็ฉีกร่างที่เหลือของฝานจงจนขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ

    ความหวาดผวารุนแรงนี้ลุกลามไปยังทหารใกล้เคียงอย่างฉับไว ทั้งขบวนแม่ทัพค่ายพลเสินจีตกสู่ภาวะนิ่งงัน

    อารามอวี้เจินในที่ไกลยังคงมีระเบิดฝุ่นควันหอบแล้วหอบเล่า ขบวนปืนใหญ่สามด้านยิงถล่มไปยังอารามไม่หยุดตามคำสั่งแต่เดิมของโหลวหยวนเซิ่ง

    “แม่ทัพหม่า! แม่ทัพหม่า!” นายทหารควบคุมสัญญาณที่ค่อนข้างใจเย็นนายหนึ่งออกแรงผลักหม่าจวินหมิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นและพยุงมันขึ้นมา “ต่อไปจะทำอย่างไร”

    คำสั่งก่อนตายของโหลวหยวนเซิ่ง แม้ถูกกระบี่บินของฝานจงแทงสังหารขัดจังหวะ แต่คนรอบกายล้วนฟังออกว่าโหลวหยวนเซิ่งมอบอำนาจให้หม่าจวินหมิงแล้ว ขุนนางบู๊จำนวนมากใต้อาณัติแม่ทัพล้วนกำลังรอคอยคำสั่งจากมัน

    ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออันวุ่นวายเช่นนี้ใช้ทดสอบได้ว่าแม่ทัพของกองทัพเป็นราชสีห์หรือลูกแกะกันแน่

    หม่าจวินหมิงเป็นทหารราชองครักษ์ที่ถูกคัดเลือกจากหนึ่งในร้อย ย่อมมิใช่พวกธรรมดาสามัญ แต่อุบายกล้าตายแทงสังหารนี้ของอสรพิษน้ำตาลทั้งเจ็ดคนแห่งสำนักอู่ตังคือสิ่งที่กองทัพแห่งแผ่นดินไม่มี หม่าจวินหมิงที่ประสบการณ์ต่อสู้จริงไม่โชกโชน ขณะนี้หัวสมองว่างเปล่า มิอาจครุ่นคิดกลยุทธ์ใดๆ ได้

    มันมองดูซ้ายขวารอบด้านขบวนแม่ทัพด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความตื่นกลัวราวกับอาจมีมือสังหารสำนักอู่ตังอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอีกได้ทุกเมื่อในหมู่ทหาร…

    ขบวนแม่ทัพบัญชาการยุ่งเหยิง บรรดาแม่ทัพที่อยู่วงนอกไม่รู้สาเหตุ ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่งเดิมสืบต่อ

    ขบวนปืนใหญ่สงครามทางทิศตะวันออก ใต้ และตะวันตกสามด้านยังคงส่งลูกปืนใหญ่เข้าภายในอารามอวี้เจินไม่ขาดสาย ขุนนางบู๊ที่บัญชาการให้กำลังใจทหารเร่งบรรจุและยิงให้ห่ากระสุนตกลงถี่ยิ่งกว่าเดิม

    ระเบิดคนบ้าเหล่านั้นด้านในให้ตายทั้งหมดในอึดใจเดียวเถอะ! อย่าให้พวกมันออกมาได้แม้แต่คนเดียว!

    ทหารค่ายพลเสินจีล้วนหวังอาศัยปืนใหญ่อานุภาพเกรียงไกรพิชิตชัยจากระยะไกล ไม่อยากเผชิญหน้าอาวุธสำนักอู่ตังด้วยตัวเอง

    ตำหนักของอารามอวี้เจินถูกระเบิดสะเทือนจนโงนเงนแทบล้มลง วัสดุก่อสร้างแหลกละเอียดนับไม่ถ้วนแปรเป็นหมอกหนาฟุ้งตลบ กลืนกินอารามเต๋าทั้งหลัง

    ทว่าสถานการณ์ต่อสู้เช่นนี้สำหรับค่ายพลเสินจีกลับเป็นสิ่งที่มิควรกระทำ…หากโหลวหยวนเซิ่งยังอยู่ สภาพการณ์ย่อมไม่มีทางลุกลามจนกลายเป็นเช่นนี้อย่างเด็ดขาด

    พวกฝานจงทั้งเจ็ดเสียสละอย่างกล้าหาญ ภายนอกสังหารเพียงคนผู้เดียว แต่ผลลัพธ์ในความเป็นจริงกลับกำลังเปลี่ยนแปลงทิศทางของสถานการณ์ต่อสู้อยู่เงียบๆ…

     

    ฮั่วเหยาฮวาดึงผ้าตรงข้างเอวออกมาเช็ดเหงื่อหอมบนหน้าอันแดงเรื่อพลางก้าวย่างไม่หยุด จ้ำอ้าวเหยียบข้ามเนินเขาของป่าที่ขรุขระไม่ราบเรียบ

    ซีเสี่ยวเหยียนเดินนำอยู่เบื้องหน้าเงียบๆ ไม่เอ่ยคำและมิได้หันหน้ามาสักครั้ง ทุกย่างก้าวของมันล้วนหนักแน่นอย่างยิ่ง เหมือนจะกระทืบกิ่งไม้และดินโคลนบนพื้นอย่างแรงให้แหลกลาญ แต่พลังอันแข็งขันนั้นทำให้มันเดินอย่างเร็วยิ่ง ทุกฝีก้าวล้วนกว้างยาว ฮั่วเหยาฮวาที่ติดตามอยู่เบื้องหลังจึงค่อนข้างเปลืองแรง

    ฮั่วเหยาฮวาหันหน้ามองดูเต่าจินหู่หลิงหลันที่เดินเคียงไหล่กันมา ทั้งหู่หลิงหลันทั้งนางต่างเส้นผมเปียกเหงื่อเหมือนกัน แถบผ้าที่ห้อยเฉียงดาบใหญ่เอาไว้รั้งหน้าอกหนแล้วหนเล่าตามย่างก้าวที่ขึ้นเขา หู่หลิงหลันขมวดคิ้วพลางปรับเปลี่ยนลมหายใจเข้าออกเพื่อรักษาระยะมิให้รั้งท้าย นางเองก็มองเงาหลังของซีเสี่ยวเหยียนเช่นกัน จากนั้นก็หันหน้ามาสบตากับฮั่วเหยาฮวา นักดาบหญิงทั้งคู่ล้วนเป็นห่วงซีเสี่ยวเหยียนอยู่บ้าง

    ที่นี่คือสันเขารกร้างทางตะวันออกของอารามอวี้เจินสำนักอู่ตัง เดิมไร้ซึ่งเส้นทางเขา คนทั้งสามเลือกเร่งไปยังอารามอวี้เจินจากทิศตะวันออกเพื่ออ้อมกองทัพค่ายพลเสินจีที่กำลังบุกโจมตีเส้นทางเขาทิศใต้

    หลังจากได้ยินข่าวจากปากของพ่อค้าที่เมืองเซียงหยางว่าราชองครักษ์บุกโจมตีอู่ตัง ซีเสี่ยวเหยียนก็ร้อนใจดั่งไฟสุม หลายวันนี้คนทั้งสามใกล้จะถึงแล้วจึงเร่งม้าไม่หยุดฝีเท้า ในที่สุดเมื่อวานก็เร่งมาถึงหมู่บ้านทางตะวันออกของเขาอู่ตัง แต่ม้าอ่อนเพลียเกินไป อีกทั้งควบขี่ในความมืดมนอนธการก็อันตราย แต่ซีเสี่ยวเหยียนไม่ยอมรอคอยและฉวยโอกาสยามค่ำคืนเดินเท้าเร่งมาจึงบรรลุถึงเชิงเขาก่อนรุ่งอรุณพอดี แต่ยังคงไม่หยุดพักซ้ำยังเริ่มขึ้นเขา

    หู่หลิงหลันและฮั่วเหยาฮวาแม้มิใช่สตรีทั่วไป แต่การไล่ตามมายาวไกลเช่นนี้ก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายิ่งนัก แต่มองดูซีเสี่ยวเหยียนที่คล้ายถูกภูตผีสั่งการ คนทั้งสองจึงหาได้บ่นสักประโยคไม่

    ด้านหน้าปรากฏเนินลาดชันโผล่ออกมาผืนหนึ่ง ดูเหมือนปีนขึ้นไปไม่ง่าย ฮั่วเหยาฮวากำลังมองดูซ้ายขวาว่าจะอ้อมทางอย่างไร กลับเห็นซีเสี่ยวเหยียนกางแขนยาวประหลาดของมันออก จับกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาเอาไว้ อาศัยท่าเดินแต่เดิม คำรามหนึ่งเสียงแล้วออกแรงปีนขึ้นไป เท้าซ้ายงอเข่าเหยียบก้อนหินก้อนหนึ่งเอาไว้ ซ้ำยังก้าวเท้าเดินไปข้างบนสืบต่อ

    หู่หลิงหลันและฮั่วเหยาฮวาจนใจ จำต้องใช้มือเท้าปีนขึ้นเนินลาดชันเช่นกัน หลังมือของฮั่วเหยาฮวาถูกก้อนหินบาดขณะปีนป่าย แต่นางมิได้ร้องสักแอะ เพียงตบฝุ่นดินบนมือและจ้ำอ้าวไปกับหู่หลิงหลันตามซีเสี่ยวเหยียนที่เดินไปไกลแล้วไม่น้อย

    หู่หลิงหลันมองดูเงาหลังของซีเสี่ยวเหยียน หวนนึกถึงสภาพกินไม่ได้นอนไม่หลับของมันในหลายวันนี้ รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของมันกับสำนักอู่ตังว่าลึกล้ำเพียงไร

    หากเพื่อแคว้นซ่าหมัว เพื่อหกกระบี่บ้านแตก เพื่อจิงเลี่ย ข้าเองก็คงเป็นเช่นนี้

    ตลอดมาหู่หลิงหลันเห็น ‘อู้ตัน’ เป็นเพียงศัตรูที่ไม่ขอร่วมฟ้ากับจิงเลี่ยคนรักของนาง ทว่าหลังรู้จักกับซีเสี่ยวเหยียน นางจึงรู้แจ้งโดยพลันว่าศัตรูเองก็เป็นมนุษย์ มีความรู้สึกของมนุษย์เช่นเดียวกัน จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่พวกมันรักเช่นเดียวกัน

    เช่นนั้น…พวกเราเข่นฆ่าตัดสินกัน ความหมายอยู่ที่ใดกันแน่…

    ฮั่วเหยาฮวามองดูซีเสี่ยวเหยียน ในใจกลับบังเกิดความอิจฉาไร้เทียบเทียม นางที่ถูกขับไล่ออกสำนัก แต่ไรมาไม่เคยพบที่พักกายอันเรียกได้ว่าเป็น ‘บ้าน’ ยิ่งไม่เคยจะไปดูแลและปกป้องใครจากก้นบึ้งของหัวใจ

    ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว อาจเป็นตอนที่อยู่กับซีเสี่ยวเหยียน ณ เมืองเซียงหยางก่อนหน้า ขณะอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นของร้านย้อมผ้า พวกมันถูกชนชาวยุทธภพในพื้นที่ล้อมโจมตีเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นหกกระบี่บ้านแตก คนทั้งสองเคียงไหล่ทำศึก ปกป้องประตูของบ้านหลังนั้น…ในตอนนั้นฮั่วเหยาฮวามีความรู้สึกว่าได้ปกป้องประตูบ้านกับบุรุษของตนเองจริงๆ

    มองดูซีเสี่ยวเหยียนด้านหน้า ฮั่วเหยาฮวาอดมิได้ที่จะคิดว่า

    ในตอนนั้นราวกับใจเราเชื่อมโยงถึงกัน…

    ยามนี้ด้านหน้าของภูเขาที่กั้นไว้ด้วยป่าไม้ถ่ายทอดสุ้มเสียงเหมือนฟ้าร้องมาจากไกลๆ

    ซีเสี่ยวเหยียนที่ปีนป่ายสุดกำลังหยุดชะงักลงทันใด

    นักดาบหญิงสองคนด้านหลังต่างก็ได้ยิน ก่อนหน้าพวกมันเคยสอบถามว่าค่ายพลเสินจีราชองครักษ์คือกองทัพอย่างไรกันแน่ ขณะนี้ได้ยินเสียงดังสนั่นต่อเนื่องไม่ขาดสาย พวกมันจึงรู้แล้วว่าคืออะไร

    ฮั่วเหยาฮวาและหู่หลิงหลันคาดหมายไว้แล้วว่าเมื่อซีเสี่ยวเหยียนได้ยินเสียงปืนใหญ่จะมีการตอบสนองอันตื่นเต้นอย่างไร

    แต่ไม่มี ซีเสี่ยวเหยียนแค่หยุดชะงักไปชั่วขณะและเริ่มเคลื่อนไหวอีกทันที มิได้ส่งเสียงสักนิด มิได้หันหน้ามองสักแวบ เพียงเดินไปทางทิศตะวันตกที่เสียงระดมยิงถ่ายทอดมาสืบต่อ

    หู่หลิงหลันมองเห็นอดมิได้ที่คิดว่า

    คนผู้นี้เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับขณะอยู่ที่หออิ๋งฮวาแห่งซีอาน มิน่าวันนั้นจึงสู้กับจอมเวทปัวหลงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

    หากจิงเลี่ยสู้กับมันอีก แพ้ชนะยากจะกล่าวโดยแท้จริง…

    “เริ่มแล้ว…” ด้านข้างนาง ฮั่วเหยาฮวาหอบหายใจพลางกล่าว

    หู่หลิงหลันพยักหน้า ได้ยินเสียงระเบิดก็นับเป็นสัญญาณบอกแล้วว่าสำนักอู่ตังเลือกประจัญบานกับกองทัพของแคว้นต้าหมิงจริงๆ นี่คือเรื่องราวบ้าคลั่งเพียงไร แต่หู่หลิงหลันที่เข้าใจสำนักอู่ตังดีก็รู้สึกว่าผลลัพธ์นี้หาได้ผิดคาดไม่

    ระหว่างทางที่ติดตามซีเสี่ยวเหยียนมาเอาขี้ผึ้งลอกคราบที่เขาอู่ตัง ความจริงหู่หลิงหลันกำลังกลัดกลุ้มมาโดยตลอด กังวลว่าจะใช้วิธีใดจึงจะนำยาประหลาดนี้มาจากมือสำนักอู่ตัง…อย่างไรจิงเลี่ยและหกกระบี่บ้านแตกก็เป็นศัตรูของอู่ตัง ตอนนี้เขาอู่ตังเข้าสู่สงครามอันวุ่นวาย หู่หลิงหลันกลับมีโอกาสลอบเข้าไปชิงยาได้ ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกขัดแย้งในจิตใจอยู่บ้าง

    ด้านหน้าเนินเขา ซีเสี่ยวเหยียนกัดฟันแน่น ร่างแผ่ไอร้อนอันน่าตกตะลึง มันก้าวปีนขึ้นสืบต่อจดจ่อพลังทั่วร่างไว้ที่เท้า ฝืนระงับโทสะที่พลุ่งพล่านในอกเอาไว้ ควบคุมตนเองมิให้ถูกอารมณ์ครอบงำ

    ทว่าบริเวณมุมในหัวใจ เหล็กหมาดแหลมที่ชื่อว่า ‘ความเสียใจ’ เล่มหนึ่งยังคงทิ่มแทงมันไม่หยุดหย่อน

    ข้าไม่สมควรออกจากเขาอู่ตัง ขณะนี้ข้าควรเคียงไหล่ยืนอยู่ที่นั่นกับพี่น้องของตัวเอง

    ซีเสี่ยวเหยียนตะโกน ใช้มือทั้งสองช่วยขึ้นหน้าผา เมื่อหลุดพ้นจากป่าแล้วตรงหน้าก็พลันโล่งกว้าง ฮั่วเหยาฮวากับหู่หลิงหลันเองก็เร่งขึ้นมา ทว่ากลับเห็นซีเสี่ยวเหยียนยืนอยู่ที่เดิม ด้านหน้าคือเนินเขาราบเรียบผืนหนึ่งที่กลับเปลี่ยนเป็นโล้นเกลี้ยงแล้ว ป่าไม้หนาทึบแต่เดิมถูกตัดจนโล่งเตียน ต้นไม้กองระเนระนาดอยู่เต็มพื้น ภาพเหตุการณ์น่าสลดเหมือนวันสิ้นโลก

    มีกรรมกรร้อยกว่าคนถูกค่ายพลเสินจีเกณฑ์มาถางป่าทางตะวันออกของอารามอวี้เจิน เดิมทีล้วนนอนพักแรมอยู่ระหว่างต้นไม้ที่หักโค่นลง เมื่อครู่ถูกเสียงระดมยิงเปิดศึกทำให้ตกใจตื่น ขณะกำลังจะมองทอดไปยังทิศทางของอารามอวี้เจินพลันพบว่าเนินเขาด้านหลังปรากฏคนประหลาดชายหญิงเสมือนสัตว์ป่าสามคนนี้ ต่างก็ตะลึงงัน

    ในฝูงชนยังมีทหารราบราชองครักษ์สิบห้านายซึ่งพกโล่และหอกทวน รับหน้าที่เฝ้าดูรักษาการณ์อยู่ที่นี่ พวกมันมองเห็นคนทั้งสามจึงชี้นิ้วตะโกน “พวกเจ้าเป็นใคร!”

    เสียงปืนใหญ่กลบเกลื่อนเสียงตะโกนของพวกมัน แต่นี่มิใช่สาเหตุที่พวกมันหุบปาก แต่เป็นมองเห็นดาบใหญ่สามเล่มบนหลังคนทั้งสาม

    เป็นผู้ฝึกยุทธ์!

    หู่หลิงหลันและฮั่วเหยาฮวาต่างชักดาบเหยี่ยไท่และดาบเลื่อยใหญ่ออกมายืนเคียงไหล่ซ้ายขวาข้างกายซีเสี่ยวเหยียน

    “เจ้าห้ามลงมือ เก็บแรงกายเอาไว้” ฮั่วเหยาฮวายิ้มน้อยๆ กล่าวจบนางก็เดินผ่านซีเสี่ยวเหยียนไปข้างหน้ากับหู่หลิงหลันที่มีเจตนาเหมือนกัน ซีเสี่ยวเหยียนไม่ตอบคำ เพียงยืนมองดูพวกนางอยู่ที่เดิม

    หลังหอกทวนสามเล่มหักสะบั้น โล่สองแผ่นแตกร้าวกับซากศพสองศพล้มลง ทหารราบแปดนายที่เหลือก็หนีไปอย่างหวาดกลัว

    กรรมกรที่มุงดูแต่เดิมก็หนีไปจนหมดสิ้น ในใจคิดเพียงเหตุใดบนโลกจึงมีสตรีที่ร้ายกาจเช่นนี้ ทั้งยังมีถึงสองคน

    ในขณะที่คนทั้งสองเช็ดคราบเลือดบนคมดาบ ซีเสี่ยวเหยียนเดินไปกล่าวคำด้านหลังพวกนาง

    “ถึงเวลาแยกจากแล้ว”

    ท่ามกลางเสียงระดมยิงต่อเนื่อง คำพูดประโยคนี้ของซีเสี่ยวเหยียนยังคงฟังได้ยินอย่างชัดเจน หู่หลิงหลันและฮั่วเหยาฮวามิได้หยุดเช็ดดาบขณะจ้องมองใบหน้าเด็ดเดี่ยวของมัน

    ซีเสี่ยวเหยียนไม่จำเป็นต้องโค้งตัว มันเพียงย่อเข่าลงเล็กน้อย แขนยาวก็หยิบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขึ้นจากพื้นได้ มันใช้กิ่งไม้วาดภาพเส้นทางอันเรียบง่ายภาพหนึ่งบนพื้นทราย

    “…พวกเจ้าอ้อมไปเช่นนี้คงจะหลบไปยังเขาด้านหลังอารามอวี้เจินได้ ตรงนี้ของไหล่เขาคือลานยุทธ์ชางอวิ๋น ข้างลานยุทธ์มีเรือนหลังหนึ่ง ภายในมีคลังยา ขี้ผึ้งลอกคราบเก็บซ่อนอยู่ในตู้ไม้สีดำลงกลอนใบหนึ่ง เวลาเช่นนี้ที่นั่นก็ไม่น่าจะมีคนเฝ้าดูแล้ว”

    ซีเสี่ยวเหยียนกล่าวจบก็มองดูหู่หลิงหลัน หู่หลิงหลันพยักหน้าให้มัน บอกเป็นนัยว่าจำได้แล้ว

    ซีเสี่ยวเหยียนมองดูใบหน้าอันงดงามและหาญกล้าของหู่หลิงหลัน ความเสียใจส่วนนั้นที่ทิ่มแทงอยู่ในใจของมันแต่เดิม ขณะนี้สลายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

    หากครั้งนี้ต้องตายจริงๆ…ก่อนตายได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับนางถือว่าไม่เสียเปล่าแล้ว

    ตั้งแต่เดินทางร่วมกันกับหู่หลิงหลัน ซีเสี่ยวเหยียนคิดอยู่เสมอว่า

    เพราะเหตุใดข้าจึงไม่รู้จักนางเร็วกว่านี้ เช่นนั้นนางคงไม่กลายเป็นศัตรูของอู่ตังเพราะจิงเลี่ย แต่พวกเรา…

    ทว่าซีเสี่ยวเหยียนก็เข้าใจว่าความคิดเช่นนี้ไร้สาระ หากมิใช่เพราะจิงเลี่ย มันกับหู่หลิงหลันคงมิได้พบกัน ทุกสิ่งล้วนเป็นชะตากรรม

    ดังเช่นมันถูกกำหนดเป็นศิษย์อู่ตัง

    ยามนี้ซีเสี่ยวเหยียนพบว่าฮั่วเหยาฮวากำลังจ้องมันอย่างร้อนรน ในสายตานั้นเปล่งประกายระยิบระยับอยู่บ้าง “เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมาก” ซีเสี่ยวเหยียนกล่าว “นี่มิใช่การต่อสู้ของเจ้า เจ้าตามนางไปเอายาก็พอแล้ว” มันแย้มยิ้มและกล่าวอีก “ไปพบจิงเลี่ย มิใช่เรื่องที่เจ้าอยากทำที่สุดตั้งแต่แรกหรือ”

    ไม่รอให้ฮั่วเหยาฮวาตอบ ซีเสี่ยวเหยียนก็กล่าวกับหู่หลิงหลันอีก “พานางไปพบจิงเลี่ย นี่คือค่าตอบแทนที่ข้านำเจ้ามาเอาขี้ผึ้งลอกคราบ”

    หู่หลิงหลันมองดูฮั่วเหยาฮวา จากนั้นพยักหน้ารับปากซีเสี่ยวเหยียน

    “บอกจิงเลี่ยว่าต้องรักษาแผลให้หายดี แล้วข้าจะกลับไปหามัน จากนั้นเอาชนะอย่างสง่าผ่าเผย”

    ซีเสี่ยวเหยียนกล่าวจบ ขว้างกิ่งไม้ในมือทิ้งไป กระชากผ้าคลุมบนร่างออก เผยชุดดำสายพลอีกาที่ฉีกขาดและด่างขาวหลายจุดแล้วตัวนั้นออกมา ก่อนเดินไปยังทิศทางของสมรภูมิ

    สตรีสองนางจับจ้องมันจากด้านหลัง

    ฮั่วเหยาฮวามองดูเงาหลังของซีเสี่ยวเหยียนจากไป พลันนึกถึงฉากที่มันยืดอกชักดาบเพื่อปกป้องนาง บนถนนอันมืดมิดในค่ำคืนเหน็บหนาวต้นฤดูใบไม้ผลินั้นที่เมืองจิงโจว

    “ห้ามตาย!”

    ฮั่วเหยาฮวาตะโกนร้องอย่างควบคุมอารมณ์มิได้

    ซีเสี่ยวเหยียนมิได้หยุดชะงักลงเพราะคำพูดประโยคนี้ มันยังคงเดินไปข้างหน้า

    ทว่าพวกนางล้วนมองไม่เห็นว่าภายใต้การร้องเรียกของฮั่วเหยาฮวา ใบหน้าของซีเสี่ยวเหยียนบิดเกร็งเล็กน้อย มุมปากมันยกขึ้น เผยรอยยิ้มพึงพอใจสุดบรรยายและไม่กลัวความเป็นตายออกมา

    ได้ยินประโยคนี้…ก็ไม่เสียใจแล้ว

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook