• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 2 บทที่ 1

    บทที่ 1

    การประลองต่อหน้าพระพักตร์ ณ เรือนเป้าฝาง

     

    อุทยานซีย่วนแห่งพระราชวังหลวง เมืองเป่ยจิง

    กรงเหล็กขนาดใหญ่กรงหนึ่ง ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงแปดฉื่อ กว้างแปดฉื่อถึงหนึ่งจั้งโดยประมาณ ตลอดซี่ลูกกรงล้วนทาด้วยสีทอง ด้านบนและล่างแปดมุมตรึงไว้ด้วยดอกไม้โลหะหลากชนิดที่หลอมขึ้นจากเหล็กกล้าอย่างวิจิตรบรรจง นับว่ากรงนี้สร้างได้อย่างโอ่อ่ายิ่ง

    ในกรงเหล็กมีเสือดาวแข็งแรงและปราดเปรียวตัวหนึ่งรูปลักษณ์ดูคล่องแคล่วและทรงพลังอย่างยิ่ง กำลังเยื้องย่างเป็นวงกลม ท่าเดินที่ทระนงองอาจนั้นพกพาไว้ด้วยพลังบ้าระห่ำที่ชวนให้ผู้คนเกิดความสะพรึงกลัว

    สถานที่ที่จัดวางกรงเหล็กคือโถงตำหนักอันหรูหราไร้เทียบเทียม พื้นผนังเสาค้ำหลังคาล้วนแกะสลักทั้งหมด รอบด้านแขวนม่านธงมงคลและพระพุทธรูปตกแต่งที่มาจากต่างแคว้นแดนไกล องครักษ์สวมชุดเกราะห้อยอาวุธสิบกว่านายจัดเป็นสองแถวซ้ายขวา แต่ละนายใบหน้าขาวใสไร้หนวดเครา ครั้นมองดูให้ละเอียดพบว่าที่แท้ล้วนเป็นขันที กำลังล้อมอารักขาเก้าอี้หนังเสือว่างเปล่าตัวหนึ่งตรงกึ่งกลางโถงตำหนัก

    การตกแต่งจัดวางอย่างวิจิตรอลังการระดับนี้ กอปรกับกรงเสือดาวขนาดใหญ่ด้านข้างนั้นอีก ทำให้เผยบรรยากาศสุดประหลาดประเภทหนึ่งออกมา

    ประตูฝั่งหนึ่งของโถงตำหนักที่หันไปทางทิศใต้เปิดกว้าง ตรงข้ามกับลานประลองขนาดใหญ่กลางแจ้งแห่งหนึ่ง พื้นสนามจับแน่นไปด้วยดินทรายเล็กละเอียดสีเทา สองข้างจัดวางสิบแปดศัสตราวุธเต็มไปหมด ยังมีกลองศึก ฆ้องทองแดง และธงรบ เหล่าศัสตราวุธทำศึกต่างๆ นานาพร้อมสรรพ ปลายแหลมของหอกทวนที่ชี้ขึ้นฟ้าสะท้อนประกายสีเงินภายใต้แสงแดดในเดือนเหมันต์ ด้านคมปราศจากฝุ่นสกปรก จัดเตรียมไว้เรียบร้อยอย่างที่สุด สิ่งที่ได้เห็นมิเพียงแต่ของประดับตกแต่ง ยังแสดงถึงเจ้าของโถงตำหนักว่าต้องเป็นผู้เลื่อมใสพลังยุทธ์เป็นแน่

    สองฝั่งลานประลองต่างมีบรรดาชายฉกรรจ์รวมตัวอยู่ ที่อยู่ทางทิศตะวันออกมีจำนวนราวยี่สิบสามสิบคน แต่ละคนรูปร่างสูงหนา แข็งแรงล่ำสัน สวมชุดขุนนางฝ่ายยุทธ์สีทอง ข้างเอวห้อยดาบปักวสันต์ ก็คือองครักษ์เสื้อแพรผู้ทำหน้าที่อารักขาเชื้อพระวงศ์และสืบสำรวจหน่วยงาน ผู้คนทั้งราชสำนักและชาวบ้านป่าเขาได้ยินชื่อเป็นต้องสั่นกลัวกันถ้วนทั่ว

    ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามมีเพียงห้าคน สวมชุดคลุมสีเขียวเข้ม ผูกข้อมือมัดขา เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นนักสู้นอกราชสำนัก คนที่เป็นหัวหน้าอายุไม่น้อยแล้ว ผมขาวบางตามัดเป็นเปีย หน้าผากเผยให้เห็นรอยย่นดั่งถูกมีดสลัก หากรูปร่างกลับดูแข็งแรงอย่างยิ่ง ใต้ชุดคลุมสีเขียวนั้นเห็นกล้ามเนื้อนูนแน่นรางๆ ผู้ชราใช้ผ้าดำคาดคลุมใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้จึงมองไม่เห็นปาก

    อาภรณ์ของคนทั้งห้านี้ บริเวณอกซ้ายปักรูปทวิลักษณ์ไท่จี๋ (หยินหยาง) ไว้อันหนึ่ง สี่คนในนั้นใช้ด้ายสีดำปัก มีเพียงผู้ชราคนเดียวที่ใช้ด้ายเงิน

    องครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ตรงข้ามใช้แววตาที่แฝงความอาฆาตจ้องมองนักสู้ชุดเขียวทั้งห้าคนนี้จากไกลๆ ไม่หยุดหย่อน พวกมันไม่สะทกสะท้าน ท่ายืนเรียบสงบดั่งน้ำนิ่ง ส่วนผู้ชรานั้นหลับตายืน มือทั้งสองทับกันอยู่ตรงจุดตันเถียนใต้สะดือ สภาพคล้ายเข้าฌาน

    คนทั้งหมดในโถงตำหนักและลานประลองล้วนไม่เปล่งวาจา กำลังรอคอยการปรากฏตัวของเจ้าของเก้าอี้หนังเสืออยู่

    เงียบรออยู่นาน ข้างโถงตำหนักพลันมีเสียงขานนามเสียงหนึ่งดังขึ้น

    “ต้าชิ่งฝ่าหวังเสด็จ!”

    ทั้งองครักษ์ขันทีในตำหนัก บรรดาองครักษ์เสื้อแพรบนลานประลอง ยังมีนักสู้ชุดเขียวห้าคนนั้นต่างคุกเข่าไปทางเก้าอี้พร้อมกัน

    ขบวนคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวจากข้างประตูนั้น ลำดับแรกคือขันทีที่สวมชุดองครักษ์แบบเดียวกันแปดคนทำหน้าที่เปิดทาง ถัดมาคือนักแสดงชายหญิงสวมชุดผ้าแพรทอเบาสบายหลากสีสิบกว่าคน บางคนหน้าแต้มสีสัน บางคนสวมหน้ากากแปลกประหลาด ในมือถือสิ่งของจำพวกทวนสำหรับการแสดง บ่วงเถาวัลย์ ลูกกลมแพรสี จากนั้นคือลามะจากแดนตะวันตกสวมหมวกทรงเหมือนหงอนไก่หลายคน แต่ละคนหน้ากลมตาเล็ก สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม มองขบวนนี้เพียงผ่านๆ เกือบทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นขบวนนักแสดงกายกรรมที่ตระเวนไปตามถนนในช่วงเทศกาล

    ลำดับสุดท้ายที่ปรากฏตัวมีสี่คน คนแรกคือขุนนางฝ่ายยุทธ์ สูงเจ็ดฉื่อ ท่าทางกล้าแกร่ง ทุกก้าวที่เหยียบย่างทะมัดทะแมง บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเก่า โดยเฉพาะที่แก้มข้างหนึ่งและใบหู คือรอยแผลเป็นจากการถูกลูกธนูทะลุผ่าน มองจากภายนอกก็สามารถเดาได้แล้วว่าเป็นทหารกล้ารักษาชายแดนที่เคยสู้รบเสี่ยงภัยในภูเขาดาบทะเลเกาทัณฑ์มาก่อน

    คนที่สอง ชุดที่ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมใส่ก็เป็นชุดเฟยอวี๋สีทองขององครักษ์เสื้อแพร ทว่ากลับงดงามหรูหรากว่าชุดของกลุ่มองครักษ์บนลานเป็นอย่างมาก ที่ข้างเอวไร้ดาบห้อย ใบหน้าขาวสะอาดหมดจด แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ชวนให้เกิดความรู้สึกดีได้ง่ายยิ่ง ท่าทางทรงพลังกว่าขุนนางฝ่ายยุทธ์คนก่อนหน้าเล็กน้อย และยังมีบุคลิกมั่นใจในตนเองอีกชนิดหนึ่ง ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีตำแหน่งสูงกว่าจึงเกิดเป็นรัศมีอำนาจที่มากกว่า

    คนด้านหลังสุดของขบวนเดินออกมาภายใต้การปรนนิบัติของสตรีตั้งครรภ์ที่งามเพริศพริ้งอย่างยิ่งนางหนึ่ง

    คนผู้นี้มีอายุเพียงยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี ใบหน้าเรียวยาว สวมชุดลามะ ท่อนบนพาดเฉียงไว้เพียงเสื้อคลุมไร้แขนห้าสีตัวหนึ่ง เผยให้เห็นไหล่ขวาและท่อนแขนเปลือยเปล่าทั้งที่อยู่ภายใต้ฤดูเหมันต์ แต่หากมองดูหมวกและรองเท้าของคนผู้นี้โดยละเอียดจะพบว่าทั้งหมดล้วนใช้ไหมทองในการถักทอ แลดูสูงส่งถึงขีดสุด ไม่เหมาะกับชุดลามะบนร่างนั่นเป็นอย่างยิ่ง บุรุษเยาว์วัยผู้นี้แม้ว่าเรือนร่างผอมเพรียว แต่กล้ามเนื้อแขนที่เผยออกมากลับแข็งแรง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่กระฉับกระเฉง ใบหน้ามีความขี้เล่นยั่วเย้าผู้อื่นประเภทหนึ่ง กอปรกับสรีระและฝีเท้าอันรวดเร็วนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าในร่างกายคงเก็บสำรองพลังที่ยังใช้ไม่หมดเอาไว้

    ขุนนางฝ่ายยุทธ์อาจหาญและหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรยืนปรนนิบัติอยู่สองข้างเก้าอี้หนังเสือ บุรุษเยาว์วัยกลับมิได้นั่งลงในทันที แต่เดินไปหน้ากรงเสือดาว ชื่นชมสัตว์เลี้ยงของตนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกระโดดขึ้นเก้าอี้

    ครั้นขึ้นนั่งเก้าอี้แล้ว กลุ่มคนนอกโถงตำหนักก็โห่ร้องทรงพระเจริญหมื่นปีพร้อมกัน

    บุรุษเยาว์วัยที่มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมแต่กลับสวมชุดผิดวิสัยผู้นี้หาใช่ใครอื่น คือจูโฮ่วจ้าว จักรพรรดิเจิ้งเต๋อองค์ปัจจุบัน ต้าชิ่งฝ่าหวังคือฉายาทางธรรมที่พระองค์แต่งตั้งขึ้นเอง

    จักรพรรดิองค์ปัจจุบันเยี่ยมยุทธ์ ใต้หล้าต่างรู้ดี ยามนี้สองคนที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างก็อาศัยวิทยายุทธ์จนได้รับความโปรดปราน คนหน้าขาวนั้นคือเฉียนหนิงแม่ทัพตรวจการฝ่ายซ้าย ผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมด ทั้งยังเป็นคนโปรดปรานข้างกายฝ่าบาทมาหลายปี เดิมทีมันเป็นเพียงบ่าวรับใช้ในเรือนขันทีเฉียนเหนิง แต่เพราะฝีมือยิงเกาทัณฑ์ได้ทั้งซ้ายขวาอันยอดเยี่ยม จึงได้รับการชื่นชมจากจักรพรรดิ นับจากนั้นก็กลายเป็นสหายต้นที่เปรียบเหมือนเงาตามตัวฝ่าบาท เจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับพระราชานุญาตให้ใช้สกุลจูร่วมกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ ได้สมญานามว่า ‘หวงซู่จื่อ (ข้าพระบาทจักรพรรดิ)’ ในตอนแรกเฉียนหนิงอยู่ในสังกัดของกลุ่มขันทีฉ้อฉลหลิวจิ่น เพียงแต่เฉียนหนิงได้เสนอความคิดเห็นต่อองค์จักรพรรดิให้สร้าง ‘เรือนเป้าฝาง’* หลังนี้หลายปีก่อนหลิวจิ่นถูกประหารชีวิต เฉียนหนิงไม่เพียงโชคดีที่รอดพ้น แต่ตำแหน่งขุนนางยังใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ

    ขุนพลอีกนายนามว่าเจียงปิน เดิมเป็นขุนพลโหยวจีตำแหน่งเล็กๆ ผู้หนึ่งจากเมืองเซวียนฝู่นอกด่าน หนึ่งปีก่อนเป็นเพราะติดตามทัพชายแดนเข้านครหลวงปราบกบฏจนได้พบพาน ท่าทางห้าวหาญและประสบการณ์ทำศึกอันโชกโชนของมันทำให้ได้รับความชอบจากจักรพรรดิอย่างยิ่ง นับจากนั้นก็กลายมาเป็นขันทีข้างพระองค์ เลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับการองครักษ์เสื้อแพรเขตนครหลวงอย่างรวดเร็ว ควบหน้าที่บัญชาการทหารผู้ติดตามกองหนึ่งประจำนครหลวง

    จักรพรรดิโบกพระหัตถ์บอกเป็นนัยให้ขันทีทั้งสองนำสตรีตั้งครรภ์ผู้เลอโฉมออกไปก่อน จากนั้นทอดพระเนตรไปยังนักสู้ชุดเขียวห้าคนนั้นบนลานประลอง

    ผู้ชรานำคนทั้งสี่เดินมาคุกเข่าลงหน้าประตูห้องตำหนัก

    “กระหม่อม รองเจ้าสำนักอู่ตังซือซิงเฮ่า นำศิษย์สี่คนเข้าเฝ้าฝ่าบาท” มันกล่าวผ่านผ้าปิดหน้าที่กั้นอยู่

    “บังอาจ!” เฉียนหนิงคิ้วตั้งขึ้น “เข้าเฝ้าฝ่าบาทไยต้องปิดบังหน้าตา”

    ซือซิงเฮ่าเงยหน้าพอประมาณ มือซ้ายค่อยๆ เปิดผ้าดำออก

    เห็นเพียงบริเวณริมฝีปากล่างของซือซิงเฮ่าที่ไม่รู้ว่าถูกโจมตีอย่างหนักจากอะไร ทำให้บาดแผลฉีกออกเป็นรอยสามเหลี่ยมคว่ำยาวลงไปถึงใต้คาง ฟันและเหงือกแถวล่างล้วนเปิดเผยออกมา โฉมหน้าดั่งผีโครงกระดูก น่าสยองขวัญยิ่ง

    “เป็นเพราะกระหม่อมเคยได้รับบาดเจ็บ รูปโฉมไม่น่ามอง เกรงว่าจะเป็นการไม่เคารพต่อฝ่าบาท จึงปิดบังเอาไว้ ขอประทานอภัย”

    เฉียนหนิงเห็นปากที่ฉีกขาดของซือซิงเฮ่าย่อมตกใจอย่างเลี่ยงมิได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรให้มันคาดผ้าปิดหน้าอีกหรือไม่ จึงลอบสังเกตสีพระพักตร์ฝ่าบาทเพื่อคาดเดาการตอบสนองของพระองค์

    จักรพรรดิทรงมิได้นำมาใส่พระทัย ตรงกันข้ามกลับทอดพระเนตรบาดแผลของซือซิงเฮ่าอย่างละเอียดด้วยความสนพระทัย “ทุกคนลุกขึ้น ที่นี่มิใช่วังหลวง ทุกคนล้วนคือผู้เยี่ยมยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี แผลนี้ของเจ้าเหตุใดถึงเกิดขึ้นได้ ต่อสู้กับสัตว์ร้ายอะไรหรือ”

    ซือซิงเฮ่าลุกขึ้นพร้อมกันกับกลุ่มคน มันก้มศีรษะประสานมือ “แผลนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน ขณะฝึกยุทธ์ถูกสหายร่วมสำนักพลั้งมือทำร้าย” มันยิ้มน้อยๆ ขณะกล่าว เป็นเพราะบาดแผลตรงคาง ทุกคำพูดของมันจึงเหมือนพกพาเสียงลมประหลาดประเภทหนึ่ง

    “พูดเช่นนี้แสดงว่ามันแกร่งกว่าเจ้า?” จักรพรรดิแย้มพระสรวลพลางถามอีก

    “พอกระหม่อมถูกกระบวนท่านั้นเข้าไปพลันเกิดจิตสังหาร จากนั้นก็พลั้งมือเช่นกัน” ซือซิงเฮ่าเงยหน้าพอประมาณ กล้ามองตรงไปยังโอรสสวรรค์ “สุสานของสหายร่วมสำนักผู้นี้ กระหม่อมไปปัดกวาดทุกปี”

    จักรพรรดิทรงได้ยินก็ตาลุกวาว สีหน้าตื่นเต้น พระหัตถ์ที่จับอยู่บนที่วางแขนถูไถไปมา

    “เรารอไม่ไหวแล้ว”

    เฉียนหนิงเข้าใจ รีบชูฝ่ามือขึ้น

    “เตรียมการประลอง!”

    สำนักอู่ตังและองครักษ์เสื้อแพรต่างถอยกลับไปยังสองข้างลานประลอง ในขณะเดียวกันองครักษ์ขันทีสี่คนก็ต่างจับมุมเก้าอี้หนังเสือเอาไว้ แล้วยกเก้าอี้พร้อมกับองค์จักรพรรดิขึ้น ย้ายไปยังหน้าประตูโถงตำหนัก ให้พระองค์สามารถทอดพระเนตรการประลองได้ถนัดชัดเจนยิ่งขึ้น

    เฉียนหนิงส่งสายตาให้องครักษ์เสื้อแพรบนลานจากไกลๆ กลุ่มองครักษ์รีบพยักหน้า หนึ่งในนั้นแยกตัวออกมาจากกลุ่ม มันก็คือคนที่มีรูปร่างสูงหนาที่สุดในบรรดาองครักษ์เสื้อแพรหลายสิบ ความทรงพลังเมื่อเทียบกับเจียงปินยังมากกว่าอยู่เล็กน้อย พวกพ้องเข้ามาถอดชุดคลุมสีทองออกให้มัน เผยให้เห็นชุดต่อสู้สีดำที่อยู่ด้านใน มันกำหมัดที่เต็มไปด้วยหนังด้านหนาทั้งสองข้าง เหยียบย่างก้าวใหญ่ไปยังกลางลาน

    คนผู้นี้นามว่าตู้เยี่ยนเฟิง มาจากสำนักปากว้าอันเป็นหนึ่งในเก้าสำนักใหญ่ที่เลื่องชื่อ วรยุทธ์เพลงหมัดของมันคัดเลือกจากยอดฝีมือ ‘แม่ทัพต้าฮั่น’* พันคนของกององครักษ์เสื้อแพรเขตนครหลวง ผ่านการทดสอบที่ใต้เท้าเฉียนหนิงควบคุมด้วยตัวเอง เป็นตัวแทนองครักษ์ในวังทุกคนออกประลองต่อหน้าพระพักตร์สนามนี้

    ท่าทางและสีหน้าของตู้เยี่ยนเฟิงสุขุมเยือกเย็น แม้อยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิก็มิได้แสดงความตื่นเต้นสักนิด ท่วงทีดูสง่างามยิ่ง เฉียนหนิงเห็นแล้วลอบพึงพอใจ

    อีกด้านหนึ่ง ตัวแทนออกศึกของสำนักอู่ตังก็เป็นคนที่รูปร่างสูงหนาที่สุดในกลุ่มเช่นเดียวกัน

    คนผู้นี้โกนศีรษะจนเกลี้ยง สรีระประหนึ่งหมีร้ายตัวหนึ่ง ซ้ำยังสูงใหญ่กว่าตู้เยี่ยนเฟิงเล็กน้อย มันถกชายชุดคลุมขึ้นมาสอดไว้ข้างสายคาดเอว เผยให้เห็นต้นขาอันแข็งแกร่งทั้งสองข้าง มองเผินๆ ไม่ต่างจากเอวคอดกิ่วของสตรีที่แต่งงานแล้วเท่าใดนัก แต่ว่าท่ายืนของคนผู้นี้มีความแปลกประหลาดเล็กน้อย หน้าอกหุบชิด แผ่นหลังดุจกระดองเต่าโก่งสูงขึ้น ชวนให้รู้สึกว่าค่อนข้างเฉื่อยชา

    เฉียนหนิงรู้สึกอยู่ก่อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าในสำนักอู่ตังจะมียักษ์ที่สูสีกับตู้เยี่ยนเฟิงเช่นนี้ อีกทั้งยังจะให้มันออกศึก เคยได้ยินว่าวิทยายุทธ์สำนักอู่ตังแต่ไรมาเชิดชูการใช้อ่อนสยบแข็ง ยืมแรงโจมตี แต่คนผู้นี้เหมือนเป็นมือดีด้านพลังแข็งนอกสำนักโดยสิ้นเชิง

    ศิษย์อู่ตังผู้นี้เดินไปยังกลางลาน คุกเข่าให้จักรพรรดิ ขานชื่อของตนเองออกมา “ฉู่หลันเทียนศิษย์ ‘สายเต่าพิทักษ์’ แห่งสำนักอู่ตัง”

    จักรพรรดิพยักพระพักตร์บอกเป็นนัยให้ฉู่หลันเทียนลุกขึ้นยืน พระองค์ทอดพระเนตรเห็นนักสู้ของทั้งสองฝั่งรูปร่างพอฟัดพอเหวี่ยงกันก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น

    “พวกเจ้าลองเดาว่าฝ่ายไหนจะชนะ” จักรพรรดิสนพระทัยในวรยุทธ์ยิ่ง ขยับพระองค์ พระหัตถ์ขวากำหมัดซุกในฝ่าพระหัตถ์ซ้าย “ลองพนันดู”

    เฉียนหนิงยิ้มน้อยๆ “ตู้เยี่ยนเฟิงเป็นลูกน้องของกระหม่อม…กระหม่อมมิบังอาจคาดเดา” แต่ในใจมันเต็มไปด้วยความมั่นใจ หลายวันก่อนมันได้เห็น ‘ฝ่ามืออสนีคำรนปากว้า’ ที่ตู้เยี่ยนเฟิงใช้ออกมา พลังยุทธ์ทำลายป้ายศิลาหนาครึ่งฉื่อได้สบายๆ

    ส่วนเจียงปินขุนนางฝ่ายยุทธ์ที่อยู่อีกข้างหนึ่งจ้องมองคนทั้งสองบนลานประลองอย่างเย็นชา ไม่เอ่ยคำ

    บนลานประลอง ฉู่หลันเทียนและตู้เยี่ยนเฟิงยืนห่างกันสิบกว่าก้าว ฉู่หลันเทียนก้มศีรษะประสานมือแสดงมารยาท ตู้เยี่ยนเฟิงกลับเพียงแค่พยักหน้าแสดงมารยาทตอบพอประมาณ มันรับตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรมานานหลายปี รังเกียจคนธรรมดาป่าเขาประเภทนี้อย่างยิ่ง

    ซือซิงเฮ่าที่อยู่ข้างลานเอามือกอดอก เฝ้าดูกลางลานอย่างใกล้ชิด คล้ายจะเคร่งเครียดเล็กน้อย เฉียนหนิงมองเห็นแล้วยิ่งภาคภูมิใจ

    จักรพรรดิแย้มพระสรวลพลางชูพระหัตถ์ขึ้นมา

    เฉียนหนิงรีบตะโกนร้อง “เริ่มการประลอง!”

    สองนักสู้กลางลานตั้งท่าต่อสู้ในทันที ตู้เยี่ยนเฟิงเริ่มด้วย ‘ท่าเท้าเจ็ดดาว’ มือซ้ายแบนิ้วเรียงชิดยื่นไปเบื้องหน้า มือขวากำหมัดอยู่ข้างหู เป็น ’ท่าเท้าราตรีโรมรัน’ ตามแบบแผนของสำนักปากว้าโดยเฉพาะ ฉู่หลันเทียนสองเท้าแยกย่อเป็นรูปคันธนู ฝ่ามือใหญ่ทั้งคู่ค่อยๆ ตั้งสูงระดับอก ทั้งหมดเป็นท่าเชิญให้บุกก่อน

    ตู้เยี่ยนเฟิงมาจากสำนักเลื่องชื่อที่เกิดขึ้นภายหลังย่อมรู้ดีถึงลักษณะพิเศษที่ลงมือทีหลังของมวยไท่จี๋สำนักอู่ตัง ไหนเลยจะลงมือใส่ศูนย์กลางให้ฝ่ายตรงข้ามรัดพัน มันสังเกตท่าทางของฉู่หลันเทียน แล้วก็ตัดสินว่าท่าเท้าของอีกฝ่ายต้องไม่เร็วเป็นแน่

    ท่าเท้า คือแก่นของวิถียุทธ์ปากว้า

    ใช้ข้อดีของตน โจมตีข้อด้อยศัตรู คือที่สุดแห่งยุทธวิธี

    ตู้เยี่ยนเฟิงยกเท้าขึ้นพอประมาณ ส้นเท้าห่างจากพื้นเพียงครึ่งเฟิน ฝ่าเท้าราวกับลื่นไถลไปบนผิวทะเลสาบน้ำแข็งก็ไม่ปาน รวดเร็วไร้เค้าลาง มันใช้การย่ำเท้าไปรอบๆ ที่ฝึกมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านครั้ง อ้อมปราดไปทางขวาของฉู่หลันเทียน ไปยังจุดอ่อนตรงหูและท้ายทอยของมัน แล้วพลิกมือซัดหมัดออกไป!

    ฉู่หลันเทียนฟังเสียงเพื่อแยกแยะตำแหน่ง ร่างกายมิต้องหมุนไป แขนขวาก็ยื่นออกไปด้านข้าง ต้านรับหมัดนั้น

    แต่หมัดของตู้เยี่ยนเฟิงยังออกไม่สุด ดั่งเช่นกิ่งหลิวดีดเก็บกลับมา ที่แท้เป็นการโจมตีลวงเพื่อลองเชิงศัตรูท่าหนึ่ง เท้ายังคงย่ำไม่หยุด จากนั้นอ้อมไปยังด้านหลังของฉู่หลันเทียน ซ้ำยังจู่โจมต่อเนื่องอีกสองหมัดในเวลาเดียวกัน

    เพลงหมัดมือเปล่าของสำนักปากว้าแต่ไรมาก็ช่ำชองการใช้ฝ่ามือมากกว่าใช้หมัด แรงโจมตีของฝ่ามือเจ็บหนักยาวนาน แต่จุดด้อยคือเก็บมือค่อนข้างเชื่องช้า ตู้เยี่ยนเฟิงได้คำนวณไว้ก่อนแล้ว เพลงหมัดอู่ตังน่ากลัวที่สุดเมื่อต้องสู้ในระยะแนบประชิด ด้วยเหตุนี้มันจึงเปลี่ยนมาใช้หมัดที่ออกเร็วเก็บเร็ว ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมิอาจยึดแขนเอาไว้

    สองหมัดนี้บีบจนฉู่หลันเทียนต้องป้องกันดังคาด แต่หมัดของตู้เยี่ยนเฟิงพอโจมตีออกก็เก็บกลับทันที ฉู่หลันเทียนเหนี่ยวรั้งแขนของอีกฝ่ายมิได้โดยสิ้นเชิง กระบวนท่ามวยไท่จี๋จึงมิอาจสำแดง

    ตู้เยี่ยนเฟิงใช้กลยุทธ์เคลื่อนที่โจมตีไกลเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อ้อมตัวฉู่หลันเทียนโจมตีไม่หยุด นี่คือกลยุทธ์ที่มันร่างไว้แต่แรกแล้ว ไร้ช่องโหว่ให้ชิงโจมตี ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีเพียงสถานะรับมือท่าต่อสู้ ตนเองได้ยืนอยู่บนชัยชนะก่อน หากมีโชคโจมตีถูกศัตรูสักท่าหนึ่ง ย่อมชนะอย่างสวยงาม อีกทั้งเพียงโจมตีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฝ่าบาททอดพระเนตรได้พอสมควรก็คงตะโกนให้หยุด ตนเองโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวโดยตลอด ย่อมเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ชนะ

    เฉียนหนิงอ่านความคิดในกลยุทธ์ของตู้เยี่ยนเฟิงออก ยิ้มน้อยๆ อย่างใจเย็น

    แต่สีหน้าฉู่หลันเทียนกลับมิได้ร้อนใจสักนิด เพียงแต่หมุนตัวรับกระบวนท่าเงียบๆ ไม่หยุด ราวกับกำลังสอดประสานไปกับการแสดงของตู้เยี่ยนเฟิง

    ซือซิงเฮ่าจ้องคนทั้งสองในการต่อสู้ แววตาแฝงความเคร่งเครียดเล็กน้อย

    ยามนี้ตู้เยี่ยนเฟิงได้กุมจังหวะการต่อสู้ไว้แล้ว ยิ่งทำให้ลงมือได้ดั่งใจหมาย มันตั้งใจจะแสดงท่วงท่าต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ทันใดนั้นมันตะโกนหนึ่งเสียง ออกหมัดสี่หมัดจากสี่มุม เสียงหมัดแหวกฝ่าอากาศชัดเจนจนได้ยิน!

    “ใกล้เต็มทีแล้ว” ซือซิงเฮ่ากล่าวพึมพำเสียงแผ่วเบา

    ตู้เยี่ยนเฟิงสามหมัดแรกล้วนโจมตีได้ราบรื่นอย่างยิ่ง แต่ว่าหลังหมัดที่สี่โจมตีออกไปกลับเก็บกลับมามิได้

    หมัดนี้เดิมทีเล็งโจมตีกกหูฉู่หลันเทียน แต่กลับถูกฉู่หลันเทียนเบี่ยงตัวขยับก้าว หลบแฉลบไป

    นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่หลันเทียนไม่ตั้งรับและขยับตัวหลบหลีก ที่แท้ท่าเท้าของมันรวดเร็วฉับไวกว่าตู้เยี่ยนเฟิงเสียอีก

    ฉู่หลันเทียนไม่เพียงแค่หลบ ในขณะเดียวกันมันก็ขยับศีรษะและหัวไหล่ ยึดหมัดนั้นของตู้เยี่ยนเฟิงเอาไว้!

    จักรพรรดิยามนี้ทรงร้องออกมาคำหนึ่ง พระองค์ทอดพระเนตรฉากนี้ยังเข้าใจผิดคิดว่าหมัดของตู้เยี่ยนเฟิงได้จู่โจมเข้าใบหน้าฉู่หลันเทียนไปแล้ว

    ตู้เยี่ยนเฟิงย่อท่านั่งม้าอย่างเร่งร้อน ใช้เรี่ยวแรงทั่วร่างหมายชักหมัดกลับมา

    คู่ต่อสู้รวบรวมแรงทั่วร่าง นี่คือสภาวะที่ผู้ฝึกเพลงมวยไท่จี๋ใคร่ประสบที่สุด

    ฉู่หลันเทียนมิเพียงไม่ใช้แรงยื้อยุดกับตู้เยี่ยนเฟิง แต่กลับสะบัดเอวและไหล่ รับแขนของคู่ต่อสู้ที่เข้ามาหาผลักกลับคืนไป

    ภายใต้การดึงอย่างรุนแรงของตู้เยี่ยนเฟิง มิเพียงไม่ประสบกับแรงต้าน แต่กลับถูกแรงคล้อยตามของท่านี้ผลักกลับคืน ดึงความว่างเปล่า สูญเสียสมดุล ล้มไปด้านหลัง

    หากเป็นคนทั่วไป เมื่อเสียศูนย์ล้มไปด้านหนึ่ง ร่างกายย่อมเกิดการตอบสนอง หมายคืนสู่สมดุลโดยพุ่งแรงไปในทิศทางตรงกันข้าม แต่ตู้เยี่ยนเฟิงคือนักสู้ การตอบสนองนี้จึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง มันล้มไปด้านหลังร่างก็โน้มไปข้างหน้าในทันที

    ฉู่หลันเทียนจับการตอบสนองนี้ของตู้เยี่ยนเฟิงได้อย่างถูกต้องแม่นยำถึงขีดสุด หัวไหล่ปล่อยหมัดนั้นออก มือขวายื่นออกไปจับอกเสื้อของตู้เยี่ยนเฟิงเอาไว้ ออกแรงกระชากตามแรงโน้มไปด้านหน้าของมัน

    ตู้เยี่ยนเฟิงเพิ่งจะล้มไม่ทันไร ร่างกายก็คว่ำไปด้านหน้าต่อ มันก้าวออกไปก้าวหนึ่งอย่างรีบร้อน ใช้แรงยันไว้ หมายหยุดยั้งร่างกาย

    ฉู่หลันเทียนกุมทิศทางพลังและศูนย์ถ่วงของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ทั้งหมด มือที่จับอกเสื้อเอาไว้ข้างนั้นของมันยามนี้อาศัยพลังทั้งผลักและดึงของตู้เยี่ยนเฟิงดันมันเฉไปด้านหลัง

    ตู้เยี่ยนเฟิงโงนเงน ในหัวคิดตั้งหลักให้เกิดความสมดุลไม่หยุด แต่ทุกครั้งที่ดูเหมือนเกือบจะยืนนิ่งแล้วก็จะถูกฉู่หลันเทียนลากดึงหรือผลักดันอย่างแยบยล ล้มเซไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

    ตู้เยี่ยนเฟิงทุกข์ทรมานในใจ พื้นผิวลานประลองนั้นเหมือนกลายเป็นดาดฟ้าเรือเล็กที่เผชิญกับคลื่นลมแรง โคลงจนมันเอียงซ้ายล้มขวา ถึงขั้นรู้สึกวิงเวียนศีรษะ

    แน่นอนว่าพื้นดินย่อมมิอาจเคลื่อนที่ อันที่จริงนี่คือทักษะสดับพลังแปรพลังในมวยไท่จี๋ของฉู่หลันเทียน ทำลายและก่อกวนศูนย์ถ่วงความสมดุลของตู้เยี่ยนเฟิง สำหรับผู้เชี่ยวชาญในการใช้ท่าเท้าหมัดปากว้าผู้นี้ นี่คือสถานะเป็นรองที่มิเคยคาดคิดมาก่อนเลยในชีวิต!

    สิ่งที่เห็นในสายตาของพวกจักรพรรดิเจิ้งเต๋อ ฉู่หลันเทียนใช้เพียงมือข้างเดียวกำอกเสื้อของตู้เยี่ยนเฟิงเอาไว้ มิได้เคลื่อนไหวออกแรงแต่อย่างใดก็สามารถควบคุมยอดฝีมือองครักษ์เสื้อแพรที่ผู้นี้ไว้ในกำมือ จับร่างกายกำยำนั่นส่ายไปส่ายมาราวกับเชิดหุ่นก็ไม่ปาน จักรพรรดิทอดพระเนตรอย่างแช่มชื่น ร่างกายเอนไปด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว ทรงหลงใหลอย่างยิ่ง

    ส่วนเฉียนหนิงที่อยู่ด้านข้างหน้าถอดสีจนซีดขาวกว่าปกติ รอยยิ้มที่มีอยู่เสมอเลือนหายไปแล้ว

    ซือซิงเฮ่ามองเห็นการตอบสนองของฝ่าบาท กล่าวเสียงแผ่วเบาคำหนึ่ง “พอแล้ว”

    ฉู่หลันเทียนได้ยินจึงค่อยๆ พยักหน้า มือขวาออกแรงทุ่ม ตู้เยี่ยนเฟิงประหนึ่งตุ๊กตากระดาษขาชี้ฟ้า ร่างล้มกลิ้ง หลังศีรษะดิ่งสู่พื้น ในขณะเดียวกันฉู่หลันเทียนย่อตัวท่านั่งม้า ข้อศอกซ้ายกระทุ้งลงสู่ใบหน้าตู้เยี่ยนเฟิงอย่างแรง

    นี่คือเพลงมวยไท่จี๋ ‘ดึงรากตัดโคน’

    องครักษ์เสื้อแพรข้างลานกลุ่มนั้นอดมิได้ที่จะร้องตกใจ

    ศีรษะของตู้เยี่ยนเฟิงที่กำลังจะกระแทกพื้นจากระดับความสูงหลายชุ่น พลันหยุดนิ่ง

    ที่แท้เป็นมือขวาของฉู่หลันเทียนออกแรงดึงมันไว้ได้ทันท่วงที ข้อศอกซ้ายอีกข้างก็เพียงแค่หยุดอยู่เหนือจมูกตู้เยี่ยนเฟิงสองชุ่น หยุดนิ่งไม่ไหวติงเช่นกัน

    หากว่าพกพาน้ำหนักทั่วร่าง ใช้หลังศีรษะเป็นจุดสัมผัสในการทุ่ม และทุ่มลงไปจริงๆ จากนั้นค่อยรวมกับการกระทุ้งจากข้อศอกนั่น ดินทรายบนลานประลองไม่เปื้อนมันสมองที่แบะออกมาสิน่าแปลก

    ยอดวิชา ‘สี่ตำลึงปาดพันชั่ง’ ของมวยไท่จี๋ชุดนี้ ให้ยักษ์ที่มีแรงพันชั่งเช่นฉู่หลันเทียนผู้นี้ใช้ออกมายิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกร้อยเท่า!

    ฉู่หลันเทียนเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ใช้แขนเดียวยกตู้เยี่ยนเฟิงที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ขึ้นมายืน จากนั้นปล่อยอกเสื้อมัน ถอยหลังไปหลายก้าว ประสานหมัดแสดงมารยาท

    “ออมมือแล้ว!” ครั้นแล้วฉู่หลันเทียนก็คุกเข่าให้จักรพรรดิ มันสีหน้าเฉยเมย ดูคล้ายไร้ซึ่งความรู้สึกกับชัยชนะในครั้งนี้

    ซือซิงเฮ่าและศิษย์สายเต่าพิทักษ์สามคนของมันก็คุกเข่าให้จักรพรรดิเช่นกัน

    เหล่าองครักษ์เสื้อแพรเป็นเพราะได้เห็นวิชาลับไท่จี๋นี้ ต่างมองดูจนตะลึงงันไปประเดี๋ยวหนึ่ง ยามนี้พวกมันจึงเพิ่งพบว่าจักรพรรดิทรงจ้องมองจนลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างลืมตัว ต่างก็รีบร้อนหมอบกราบ

    จักรพรรดิเจิ้งเต๋อโบกพระหัตถ์ บอกเป็นนัยให้กลุ่มองครักษ์เสื้อแพรและศิษย์อู่ตังถอยไป เรียกเพียงซือซิงเฮ่าผู้เดียวเข้ามาในโถงตำหนัก

    ลามะทั้งหมดที่คอยปรนนิบัติและนักแสดงต่างก็ถอยออกไป องครักษ์ขันทีปิดประตูด้านหน้า ซ้ำยังยกเก้าอี้หนังเสือกลับสู่ตำแหน่งที่นั่งกลางโถงตำหนัก ให้จักรพรรดิประทับ จักรพรรดิรับสั่งให้ขันทีจัดหาที่นั่งให้เฉียนหนิง เจียงปิน และซือซิงเฮ่า

    จักรพรรดิทรงตื่นเต้นจนพระพักตร์แดงเรื่อ เห็นได้ชัดว่าพอพระทัยกับการประลองคู่นี้อย่างยิ่ง เฉียนหนิงเหลือบมองแล้วค่อนข้างโล่งใจ

    แต่จักรพรรดิกลับตรัสเปิดประโยคแรกว่า “ซือซิงเฮ่า เจ้าบังอาจมากนัก หลอกเราหัวหมุน”

    ซือซิงเฮ่าสีหน้านิ่งเฉย “กระหม่อมไม่เข้าใจ”

    “เมื่อครู่เราเห็นชัดเจนว่าขณะประลองสีหน้าเจ้าแฝงความเคร่งเครียดเล็กน้อย แต่ว่าองครักษ์เสื้อแพรที่เลือกมาจากพันคนของเรา ยามอยู่เบื้องหน้าศิษย์เจ้าผู้นั้นก็เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง”

    “เมื่อครู่สิ่งที่กระหม่อมกังวลคือศิษย์สำนักเราขาดความพอเหมาะ ทำร้ายใต้เท้าตู้ท่านนั้น” ซือซิงเฮ่าประสานหมัดพลางยิ้มน้อยๆ กล่าว

    คำพูดนี้ช่างเสียดหูเฉียนหนิงยิ่งนัก

    จักรพรรดิกลับสรวลเสียงดังฮ่าๆ “ศิษย์แซ่ฉู่คนนั้นของเจ้าอยู่ในระดับไหนในสำนักอู่ตัง”

    “มวยไท่จี๋ที่ฉู่หลันเทียนฝึกนับว่าเป็นระดับสูง มันจึงเป็นศิษย์ระดับสูง เพียงยังเทียบกับวิชาอาวุธมิได้” ซือซิงเฮ่าตอบอย่างเคารพนบนอบ “คนที่มีความสามารถระดับมัน บนเขาอู่ตังมีเพียงราวๆ สามสิบคน”

    “สามสิบคน!” จักรพรรดิเบิกพระเนตรโพลง “ในกองทัพของเราหากมียอดฝีมือระดับนี้สามสิบคนคงจะเหนือกว่ากองทัพนับพันนับหมื่น! เจียงปิน เจ้าว่าใช่หรือไม่”

    เจียงปินช่างพูดช่างจาต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทมาโดยตลอด แต่วันนี้เป็นเพราะคนของอู่ตังอยู่ตรงนี้ด้วยจึงเงียบขรึมพูดน้อย ขณะนี้ฝ่าบาทขานชื่อถาม มันไม่ตอบมิได้ “บนสนามรบ หัวใจสำคัญคือการโยกย้ายกำลังทหาร ร่วมมือขานรับกันและกัน กระหม่อมคิดว่าเป็นคนละเรื่องกับทักษะการสู้ตัวต่อตัวเช่นนักสู้นี้”

    “คำพูดของใต้เท้าเจียงถูกต้องนัก” ซือซิงเฮ่ากล่าวพลางมองตรงไปยังเจียงปินด้วยดวงตาเรียวเล็กที่เต็มไปด้วยรอยย่น หากแววตากลับทอประกาย “อนึ่งจะบ่มเพาะนักสู้เช่นนี้สามสิบคน ความอุตสาหะและเวลาที่เสียไปมากกว่าการฝึกฝนกองทัพหนึ่งพันคนมากมายหลายเท่า ให้นำวิถียุทธ์ไปใช้กับวิถีรบ ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ”

    เจียงปินได้ฟังก็ตกตะลึง แต่ไหนแต่ไรมันคือทหารกล้าที่เคยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์พิเศษ หลังได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิ ไม่ว่าจะอยู่ในวังหรือในป่าล้วนแต่ลำพอง จะเคยถูกลบหลู่จากนักสู้ชุดผ้าเช่นนี้ได้อย่างไร แต่อำนาจที่แผ่ออกมาจากรองเจ้าสำนักอู่ตังผู้นี้ มันกลับมิเคยประสบมาก่อนบนสนามรบชายแดน กอปรกับคนผู้นี้คล้ายได้รับความชื่นชมจากฝ่าบาทอย่างยิ่ง เจียงปินก็เลยมิกล้ากำเริบเสิบสาน

    “ซือซิงเฮ่า” จักรพรรดิตรัสอีก “เจ้าเป็นรองเจ้าสำนักอู่ตัง เช่นนั้นฉู่หลันเทียนเทียบกับเจ้าแล้วเป็นอย่างไร”

    “ต่อหน้ากระหม่อม ฉู่หลันเทียนไปได้มิถึงสิบกระบวน” ซือซิงเฮ่ากล่าวผ่อนหนักผ่อนเบา

    “สิบกระบวน? ยากจะจินตนาการ!” จักรพรรดิทรงพระเกษมสำราญ จ้องมองซือซิงเฮ่าจากบนลงล่าง แล้วค่อยมองเฉียนหนิงและเจียงปิน รวมถึงเหล่าขันทีที่อยู่ทางซ้ายและขวา “เช่นนั้น…หากว่าขณะนี้เจ้าจะลอบสังหารเรา ในเรือนเป้าฝางนี้ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวาง เราต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย?”

    เฉียนหนิงและเจียงปินได้ยินคำนี้ก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง มองซือซิงเฮ่า

    ยามนี้พวกมันพลันพบว่าทั่วร่างผิดปกติ มีความรู้สึกอันตรายที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนประเภทหนึ่ง

    แม้แต่องครักษ์ขันทีเหล่านั้นต่างก็รู้สึกได้ หลายคนถึงขั้นเอามือพาดด้ามดาบอย่างกระวนกระวาย

    เสือดาวในกรงใหญ่พลันคำราม ดวงตาจ้องเขม็งตรงไปที่ซือซิงเฮ่า ร่างกระโจนใส่ลูกกรงสองสามครั้งอย่างรุนแรง กระแทกจนขนหลุดจากหัวและมีเลือดออก

    ซือซิงเฮ่าเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ มิได้ตอบคำถามจักรพรรดิ

    แต่แรงกดดันอันตรายชนิดนั้นเห็นได้ชัดว่าแผ่ออกมาจากร่างของมัน

    ดังเช่นสัตว์ร้าย!

    ครู่ต่อมา ความรู้สึกกดดันนั้นก็สลายไป เฉียนหนิงจึงสูดลมหายใจหนึ่งเฮือก ยืนขึ้นจากเก้าอี้อย่างเดือดดาล

    “บังอาจ!”

    “เจ้าโวยวายอะไร” จักรพรรดิเจิ้งเต๋อร้องอุทาน ขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามา ใช้ผ้าไหมเช็ดเหงื่อเย็นบนพระพักตร์จักรพรรดิออกไป จักรพรรดิหาได้กริ้วไม่ แต่กลับรู้สึกสนุก ความเร้าใจของเหงื่อเย็นที่ไหลออกมาประเภทนี้ที่ผ่านมาพระองค์มิเคยได้ลองลิ้มมาก่อน “เราเป็นคนล้อเล่นก่อนเอง ไม่โทษมันหรอก”

    เฉียนหนิงได้ยินเช่นนั้นก็นั่งลงด้วยใบหน้าเก้อเขิน จักรพรรดิรับสั่งให้คนนำสุราอุ่นมาจอกหนึ่ง ทรงดื่มหมดในหนึ่งอึก ซ้ำยังหันไปถามซือซิงเฮ่า “วรยุทธ์สำนักอู่ตังวิเศษเช่นนี้ เราเรียนได้ไหม” พระองค์ชี้กรงเสือดาว “อย่าได้ดูถูกว่าฝีมือเราต่ำต้อย เสือดาวที่ดุร้ายเช่นนี้ เราเคยจับด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว”

    ซือซิงเฮ่าประสานหมัด “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยพละกำลัง ย่อมมิใช่ธรรมดา หากตั้งพระทัยร่ำเรียน มีวิชาใดบ้างไม่สำเร็จ แต่ว่าวิถีแห่งการฝึกยุทธ์ต้องมุ่งมั่นบากบั่นจึงจะสามารถก้าวหน้าได้ไกล กษัตริย์ย่อมมีวิถีแห่งกษัตริย์ หากได้รับการถ่ายทอดวิชายุทธ์ต้องแบ่งความคิดในการบริหารปกครอง คงจะมิใช่โชคดีของแผ่นดินเป็นแน่”

    จักรพรรดิผิดหวังเล็กน้อย “เช่นนั้น…พวกเจ้าทิ้งศิษย์มีฝีมือของอู่ตังไว้ที่นี่สักหลายๆ คน คอยรับใช้เราในระยะยาว เป็นอย่างไร”

    ซือซิงเฮ่ายังคงส่ายหน้า “เมื่อครู่ฝ่าบาทก็ได้ทอดพระเนตรเห็นถึงความห่างชั้นของใต้เท้าตู้และศิษย์ของกระหม่อมแล้ว แต่นี่มิใช่ความผิดของใต้เท้าตู้ ในเมื่อนักสู้ผู้หนึ่งต้องรับราชการ เป็นขุนนางมีกิจธุระมาก ไหนเลยจะยังมีเวลาทุ่มเทกายใจ แสวงหาจุดสุดยอดแห่งวิถียุทธ์”

    มันชี้กรงเสือดาวขนาดใหญ่นั้น

    “เสือดาวป่าต่อให้ดุร้ายเพียงไร เมื่ออยู่ในกรงก็เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งเท่านั้น”

    ขณะซือซิงเฮ่ากล่าว ดวงตามองเฉียนหนิงและเจียงปินผ่านๆ ปากที่ฉีกขาดแย้มยิ้มอย่างพิลึก

    เจียงปินหน้าตาเคร่งขรึม แผลเป็นเหล่านั้นล้วนแดงวาวขึ้น นิสัยโผงผางของคนเป็นแม่ทัพนายกองอดมิได้ที่จะกำเริบ

    “หากมีโอกาส อยากลองดูนักว่ารองเจ้าสำนักซือไปนอกด่าน ขณะเผชิญหน้ากับทัพม้าธนูมองโกลนับพันนับหมื่นจะดุร้ายได้เพียงใด”

    ซือซิงเฮ่าประสานมือให้เจียงปิน ได้ยินคำพูดนี้มันกลับเคารพขุนนางฝ่ายยุทธ์ที่เก่งกล้าผู้นี้ขึ้นมาหน่อย แต่กับเฉียนหนิงมันไม่มองอีกแม้แต่แวบเดียว

    เฉียนหนิงเดือดดาลยิ่งกว่าเจียงปิน มันเพิ่งคุมองครักษ์เสื้อแพรได้ไม่นาน เดิมคิดอาศัยการประลองต่อหน้าพระพักตร์ในครั้งนี้สร้างความชอบ แต่ชาวป่าที่มาจากเขาอู่ตังเหล่านี้กลับทำให้มันตกร่วงลงมาอีกครั้ง ทว่าติดตรงที่มีฝ่าบาทอยู่ มันจำต้องนั่งอดกลั้นอยู่บนเก้าอี้

    เจียงปินผู้ห้าวหาญ หนึ่งปีก่อนได้ใกล้ชิดฝ่าบาทก็เพราะมีเฉียนหนิงชักนำ บัดนี้เจียงปินกลายเป็นคู่ต่อสู้แย่งชิงความโปรดปรานของมันแล้ว เฉียนหนิงกังวลอย่างยิ่ง ตอนนี้เห็นคนของสำนักอู่ตัง ความกล้าหาญของพวกมันเหนือกว่าเจียงปินร้อยเท่า เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทชมชอบยิ่งนัก เฉียนหนิงจึงยิ่งรู้สึกเป็นกังวล แต่ได้ยินซือซิงเฮ่ายืนกรานไม่ยอมรับข้อเสนอของฝ่าบาทก็ค่อนข้างโล่งใจ

    จักรพรรดิทรงถูกปฏิเสธซ้ำอีกก็ปริวิตกเล็กน้อย แม้ว่าตลอดมาพระองค์จะมีนิสัยขี้เล่น แต่ก็มิใช่กษัตริย์ที่ความอดทนต่ำ ปกติเดินหมากกับเจียงปิน บางครั้งขณะทำผิดกติกา ถูกเจียงปินตำหนิต่อหน้า ก็มิได้พิโรธ ด้วยเหตุนี้ยามนี้พระองค์จึงเพียงแค่ถอนหายใจส่ายหน้า

    “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล เช่นนั้นเจ้ากับศิษย์อยู่ที่นี่อีกสักระยะหนึ่ง ให้เราได้ชื่นชมยอดวิชาอู่ตังอีกหลายๆ กระบวน สิ่งนี้ทำได้กระมัง?”

    ซือซิงเฮ่าลุกขึ้นแสดงคารวะ “น้อมรับพระบัญชาฝ่าบาท”

    จักรพรรดิทรงสั่งการไปยังขันทีที่คอยปรนนิบัติต่อ ให้พวกมันสั่งคนร่างราชโองการอนุญาตให้อารามอวี้เจินแห่งเขาอู่ตังคืนสู่การดูแลของสำนักอู่ตังอย่างเป็นทางการ ซ้ำยังพระราชทานเงินทองและสิ่งทอ ซือซิงเฮ่าคุกเข่าขอบพระทัย จากนั้นถอยออกไปตามการนำทางของขันที

    ซือซิงเฮ่าเดินอยู่ระหว่างเฉลียงทางเดินของเรือนเป้าฝางที่เหมือนเขาวงกตนั่น ครั้งจักรพรรดิทรงสร้างตำหนักหลังนี้ได้ใช้ความคิดในการออกแบบเป็นพิเศษ ตำหนักตั้งติดกันเป็นแถวถี่ ด้านในสร้างห้องลับเพื่อใช้ในการเสวยสุข ซ้ำยังสร้างวัดพุทธต่างลัทธิ สิ่งก่อสร้างแปลกประหลาดอย่างยิ่ง หากมิมีคนนำทางก็คงง่ายต่อการหลงทางเป็นที่สุด

    ตอนนั้นเอง ด้านหลังพลันมีเสียงหนึ่งถ่ายทอดมา “ช้าก่อน”

    เป็นขุนนางเรืองอำนาจเฉียนหนิงตามมา ด้านหลังนำองครักษ์เสื้อแพรระดับสูงมาด้วยสองคน

    องครักษ์เสื้อแพรหน่วยงานพิเศษนี้ดูแลคุกอาญาหลวงต้าซิ่ง ควบอำนาจตรวจจับและสืบสวนอย่างทารุณ นับแต่ราชวงศ์นี้สถาปนาขึ้นมา ตั้งแต่ขุนนางในท้องพระโรงไปจนถึงพ่อค้าคนงาน พอเห็นชุดเฟยอวี๋สีทองขององครักษ์เสื้อแพรเป็นต้องกลัวจนตัวสั่น แต่ซือซิงเฮ่ายามเผชิญหน้ากับหัวหน้าสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพรผู้นี้กลับเพียงแค่แสดงมารยาทพอประมาณอย่างโอหัง

    “ข้าจะถือว่าคนบ้านนาป่าเขาเช่นเจ้าไม่รู้จักธรรมเนียม” เฉียนหนิงก็มิได้กล่าวคำพูดสุภาพ “แต่ความเคลื่อนไหวในยุทธภพของสำนักอู่ตังพวกเจ้า อย่าคิดว่าราชสำนักไม่รู้”

    ซือซิงเฮ่าไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย หูตาขององครักษ์เสื้อแพรมีอยู่ทุกหัวระแหง โดยเฉพาะหลังหน่วยบูรพาและหน่วยประจิมถูกล้มเลิก มันก็ยิ่งถือครองอำนาจเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว กำลังคนจำนวนมากของสำนักอู่ตังท้าประลองทุกพรรคทุกสำนักไปทั่วแว่นแคว้นแดนดิน ในเมื่อคนในยุทธภพของพื้นที่ต่างตื่นตัว องครักษ์เสื้อแพรไหนเลยจะไม่รู้

    “นี่คือเรื่องระหว่างสำนักในยุทธภพของคนอย่างพวกข้า ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก” ซือซิงเฮ่าตอบ

    “เหตุผลนี้ข้าย่อมรู้ หาไม่แล้วราชสำนักไยมิก้าวก่าย?” เฉียนหนิงแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “แต่อย่าคิดว่านี่หมายความว่าเป็นการยินยอม เพียงแค่อดกลั้น ทางที่ดีพวกเจ้าก็อย่าล้ำเส้นยุทธภพเสียจะดีกว่า ถ้าหากกระทำจนเพลิงลุกลามเกินไป เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ใต้หล้าจะไม่เหลือที่ให้สำนักอู่ตังเจ้าคุ้มกายอีก”

    มันกล่าวจบก็จากไป ก่อนจากไปยังส่ายหน้าถอนหายใจกล่าวเพิ่มอีกประโยค “เฮ้อ…‘ใต้หล้าไร้เทียมทาน’ อันใดกัน คนอู่ตังเหล่านี้…ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าในหัวสมองพวกเจ้าคิดอะไรอยู่…”

    ซือซิงเฮ่าเพียงแค่ยืนนิ่งเงียบเอาไว้ มองคล้อยขุนนางมากอำนาจผู้นี้จากไป

    เจ้า…ย่อมไม่เข้าใจ

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook