• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่านนิยาย ล่า ตอน รังอินทรีเหนือขุนเขา บทที่ 1

    คนตัวเป็นๆ ทั้งคนหายไปกลางวันแสกๆ ผมมีหรือจะยอมรับได้ ผมนึกสงสัย เป็นไปได้หรือเปล่าที่บอดใหญ่จ้าวจะหลงใหลในความงามของเจวียนจื่อ เลยจงใจจับตัวเสี่ยวหม่าไปขังไว้ รอให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกเสียก่อน ถึงตอนนั้นค่อยปล่อยตัวพี่เขยออกมา

    ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกเหลวไหล เจวียนจื่อยังเรียนอยู่มัธยมปลาย ต่อให้บอดใหญ่จ้าวร้อนใจสักขนาดไหน ก็ไม่น่าจะรีบร้อนขนาดนั้น

    แต่เพื่อกันไว้ก่อน ผมจึงซักถามเจวียนจื่อโดยละเอียดอีกรอบ

    เรื่องที่เจวียนจื่อเล่าไม่มีอะไรต่างจากที่บอดใหญ่จ้าวพูดมาเลยสักนิด เพราะซักถามไม่ได้ความอะไร ผมจึงเชื่อว่าเสี่ยวหม่าหายตัวไปจริงๆ

    เรื่องนี้โคตรแปลก สถานที่อย่างวัดยงเหอทำไมถึงมีคนหายตัวได้

    บอดใหญ่จ้าวพูด “จบกันๆ เสี่ยวชี พวกเราเจอผีซ่อนคนเข้าให้แล้ว”

    “ผีซ่อนคน?” ผมไม่เข้าใจ “ผีซ่อนคนอะไรของเฮีย”

    เขานั่งไขว้ขา บอกว่าผีซ่อนคนเป็นหนึ่งในของแสลงที่เล่าสืบต่อกันมาในหมู่พรานเฒ่า พิลึกพิลั่นเกินบรรยาย ว่ากันว่าพวกพรานป่าออกล่าสัตว์ตอนกลางคืน เวลาผ่านวัดร้างสุสานเก่ามักจะมีคนหายไปคนหนึ่งอยู่เป็นประจำ เป็นไม่พบคนตายไม่พบศพ แต่กลับได้ยินเสียงพูดคุยของคนคนนั้น เรียกได้ว่าแปลกประหลาดสุดๆ

    ว่ากันตามที่พวกพรานเฒ่าบอก คนคนนั้นถูกผีจับตัวไปซ่อน ดังนั้นในหมู่พรานเฒ่าจึงมีคำพูดอยู่ประโยค ‘ฟ้ามืดไม่ขึ้นเขา เที่ยงคืนผีซ่อนคน’

    ผมอดด่าไม่ได้ “เหลวไหล ทำคนหายไม่พอ เฮียยังจะกล้าพูดเหลวไหลเรื่องผีซ่อนคนบ้าบออีก!ผมว่าเรื่องนี้คนซ่อนคนเสียมากกว่า!”

    เจวียนจื่อวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของเธอซีดเผือด นิ้วฟั่นเส้นผมไปมา สีหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย

    ผมพูดปลอบใจเธออยู่สองสามประโยค พอเห็นเธอมีท่าทีเหม่อลอย บวกกับฟ้าก็มืดแล้ว ผมจึงตัดสินใจเปิดห้องพักสองห้องในโรงแรมที่อยู่ข้างๆ ให้พวกเขาพักค้างอยู่ที่นั่นเป็นการชั่วคราว

    ทว่าตอนกลางคืนจู่ๆ ก็มีเสียงคนเคาะประตูร้านก๊อกๆ เสียงเคาะประตูทำผมตกใจตื่น ผมตะโกนเรียกหม่าซาน บอกให้เขาไปเปิดประตู แต่หลังจากเรียกอยู่สองสามที ผมก็นึกขึ้นได้ว่าหลายวันนี้หม่าซานตามจีเสี่ยวเหมี่ยนไปซื้อหนังสัตว์ที่ตงเป่ย จึงได้แต่ลุกออกไปเปิดประตูเองอย่างไม่เต็มใจพลางคิดว่าค่ำมืดดึกดื่นไอ้หน้าไหนมันมาเคาะประตูร้องไห้อาลัยศพ ข้าไม่ได้เปิดร้านขายโลงศพเสียหน่อย!*

    ผมคว้าเสื้อคลุมขึ้นสวม ด้านนอกลมกระโชกแรง ผมเนื้อตัวสั่นสะท้าน ท้องฟ้าดำมืด แสงดาวสักนิดก็ไม่มี เสียงเคาะประตูถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ จนผมอดวิตกกังวลไม่ได้

    ตาเคยบอกว่าคืนค่ำไร้แสงดาวแบบนี้เรียกว่า ‘คืนห้าผีกระตุกขวัญ’โบราณบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่พวกภูตผีหิวกระหายจะได้รับการปลดปล่อยออกจากขุมนรกเป็นการชั่วคราว คนทางที่ดีอย่าออกจากบ้าน เพราะอาจเกิดเรื่องได้ง่ายๆ!

    ผมรู้สึกว้าวุ่นใจ อ้าปากตะโกนออกไปคำหนึ่ง “ใคร”

    เสียงตอบที่ดังลอยมาจากด้านนอกแผ่วเบา ฟังไม่ออกว่าเป็นใครกันแน่

    ผมขยับไม้ค้ำ ค่อยๆ ย่องเข้าไปชิดบานประตู ก่อนจะกระชากเปิดเต็มแรง ที่แท้คนยืนอยู่หน้าประตูก็คือเจวียนจื่อ

    เธอมีทีท่าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เสียงสั่นระริก “พี่เสี่ยวชี ฉัน ฉัน…” น้ำตาเอ่อคลอ

    หัวผมลั่นดัง จบกันๆ หรือเจวียนจื่อจะถูกบอดใหญ่จ้าวรังแกเข้าแล้ว ทำไงดี ไม่ได้ๆ ผมต้องรีบให้คำชี้แนะกับเธอ ช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้เธอ ให้บอดใหญ่จ้าวลงชื่อต่อหน้า เขียนหนังสือรับรองว่าทันทีที่เจวียนจื่อเรียนจบเขาต้องรับเธอเป็นภรรยา ค่าเล่าเรียน สินสอดทองหมั้น เขาต้องเป็นคนออกทั้งหมด ถ้าเงินไม่พอผมจะให้เขายืมไปก่อน

    ขณะที่ผมกำลังคิด เจวียนจื่อก็พูดอย่างขลาดๆ “พี่เสี่ยวชี ฉันเข้าไปพูดข้างในได้หรือเปล่า”

    ผมรีบตอบ “เข้ามาๆ”

    พอเข้ามาในห้องเจวียนจื่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ มือทั้งสองข้างกุมเข้าหากันแน่น ไม่พูดไม่จา ผมแอบนึกโอดครวญอยู่ในใจ เรื่องนี้พูดยากชะมัด

    ผมพยายามหาเรื่องคุย “ความจริงพี่จ้าวของเธอ เอ่อๆ บอดใหญ่จ้าวนั่นแหละ ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร นอกจากจะไว้วางใจได้แล้ว ฝีมือล่าสัตว์ยังดีอีกด้วย!กำยำล่ำสัน อีกทั้งยังรู้จักดูแลใส่ใจผู้อื่น อายุก็ไม่มาก ยังไม่ถึงสี่สิบ!เอ่อ เรื่องนี้…จะว่าไปอายุเขาอาจมากอยู่สักหน่อย แต่คนยิ่งอายุมากก็ยิ่งรู้จักเอ็นดูรักใคร่ผู้อื่น!ดูอย่างคราวที่แล้ว ทุ่งล่าสัตว์ซื้อกวางมาฝูงหนึ่ง มีลูกกวางตัวหนึ่งไม่ยอมกินนม บอดใหญ่ลงทุนกอดมันไว้ในอ้อมแขน ป้อนนมให้มันอยู่ตั้งครึ่งเดือน…”

    ผมพูดน้ำลายแตกฟอง ยกยอบอดใหญ่จ้าวอยู่เป็นนานจนตัวเองก็ยังรู้สึกขัดเขิน ก่อนจะลองหยั่งเชิงถามความคิดเห็นของเจวียนจื่อ เจวียนจื่อพูดเสียงราบเรียบ “พี่จ้าวเป็นคนดีจริงๆ!”

    ผมดีใจสุดๆ ขอเพียงเธอไม่รังเกียจบอดใหญ่จ้าว เรื่องนี้ย่อมจัดการได้ไม่ยาก ดูท่าครั้งนี้ผมไม่ได้ปากเปียกปากแฉะไปเปล่าๆ แล้ว

    นึกไม่ถึง จู่ๆ เจวียนจื่อก็พูดขึ้น “พี่เสี่ยวชี ฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่เรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าพี่จะเชื่อหรือเปล่า…”

    พูดจบเธอก็มองออกไปนอกหน้าต่าง สีหน้าวิตกกังวลราวกับกลัวว่าจะมีคนแอบฟังอยู่ข้างนอกนั่น

    น้ำเสียงของเธอฟังดูแปลกประหลาด คล้ายคนกำลังพยายามระงับความหวาดกลัวอย่างเต็มกำลัง ขณะเดียวกันก็แฝงเสียงสะอึกสะอื้นไว้ ภายใต้บรรยากาศมืดมิดชวนประหวั่นยามค่ำคืน เสียงของเจวียนจื่อฟังดูน่าหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย

    ผมเองก็นึกหวั่น เผลอชำเลืองตามองตามเธอไป ฟ้าด้านนอกมืดมิด สายลมโถมกระหน่ำรุนแรง กระแทกจนฉลุหน้าต่างสั่นกึกๆ กักๆ ขนาดพวกเรานั่งหันหน้าเข้าหากันเวลาพูดยังต้องเสียงดังหน่อยถึงจะได้ยิน ดังนั้นเรื่องที่จะมีคนแอบฟังอยู่ข้างนอกนั้นจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    ผมคิดว่าเธอเป็นห่วงเสี่ยวหม่าจึงพูดปลอบใจ “เจวียนจื่อ ไม่ต้องกลัว ไม่แน่ว่าเสี่ยวหม่าอาจออกไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหนสักแห่ง อีกสองสามวันก็กลับมา”

    แต่เจวียนจื่อกลับจ้องมองมาทางผม “พี่เสี่ยวชี พี่เชื่อหรือเปล่าว่าโลกนี้มีภูตปีศาจ”

    ผมตะลึง เด็กสาวคนนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเร็วเกินไปหน่อยแล้ว พี่ชายหายสาบสูญกับปีศาจ ไม่เห็นจะมีอะไรเข้ากันตรงไหน!

    ผมพูด “เธอหมายถึงปีศาจจิ้งจอก ปีศาจหนูใน ‘ไซอิ๋ว’?”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook