• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่านนิยาย สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่มที่ 27 ตอนที่ 2

    หน้าที่แล้ว1 of 4

    บทที่1การตอบโต้ของชาวนา

    ในตำหนักเงียบสนิท ไม่มีใครโต้ตอบคำพูดของหนิงเชวีย

    นี่ไม่ได้หมายถึงคำพูดของมันไม่มีพลัง ความจริงคำพูดเหล่านี้เหมือนสายฟ้ามากมายฟาดอยู่ในห้วงสมองของเหล่าขุนนาง ทำให้พวกมันอยู่ในสภาพงุนงง

    ขุนนางผู้หนึ่งออกมายืนนอกแถว ชี้นิ้วสั่นระริกไปที่หนิงเชวีย คิดด่ามันว่าเลือดเย็นและไร้ความละอาย

    หนิงเชวียมองคนผู้นั้นนิ่ง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ขุนนางผู้นั้นโกรธจนริมฝีปากสั่น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา สุดท้ายนิ้วของขุนนางผู้นั้นก็ตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

    ตั้งแต่เรื่องการปลอมแปลงพระราชโองการถูกเปิดโปง ขุนนางของต้าถังก็แบ่งเป็นสองฝ่าย ทว่าเมื่อเห็นแคว้นกำลังจะล่มสลาย ความแตกแยกและความเป็นศัตรูต่อกันจึงถูกบังคับให้สงบลง

    ขุนนางหลายคนคำนึงถึงส่วนรวมเป็นสำคัญ เกลี้ยกล่อมให้ตัวเองไม่สนใจเรื่องพระราชโองการเป็นการชั่วคราวเพื่อไม่ให้ต้าถังต้องเกิดสงครามภายในอย่างเต็มรูปแบบ ทว่าใครเลยจะคิด หนิงเชวียเข้าวังมาคุยกับองค์หญิงร่วมคืน ขณะที่ทุกคนต่างเข้าใจว่าเรื่องราวกำลังจะอยู่ในความควบคุมแล้ว มันกลับ…ชักดาบฟันจักรพรรดิสิ้นพระชนม์!

    หลังจากที่โกรธและกลัวอย่างสุดขีด ขุนนางเหล่านี้ที่เคยพบเจอมรสุมมามากมายกลับสงบลงได้อย่างรวดเร็วและต่างตะลึงเมื่อพบว่าสิ่งที่หนิงเชวียพูดคือข้อสรุปที่ดีที่สุด

    จักรพรรดิหลี่ฮุยหยวนถูกสังหาร สายเลือดของจักรพรรดิองค์ก่อนจึงเหลือเพียงองค์ชายหก ขุนนางทั้งหลายนอกจากสนับสนุนองค์ชายหกขึ้นครองราชย์แล้วยังเหลือทางเลือกอื่นใดอีกเล่า ขุนนางในราชสำนักและขุนศึกที่สู้รบหลั่งเลือดอยู่ในแนวหน้า รวมถึงราษฎรที่สุดท้ายแล้วต้องรู้เรื่องการปลอมแปลงพระราชโองการอย่างแน่นอนก็ไม่ต้องเลือกฝ่ายแล้ว ต้าถังก็ไม่ต้องแตกแยกแล้ว

    ไม่ต้องเลือกคือทางเลือกที่ดีที่สุด ที่จริงเหตุผลข้อนี้ทุกคนต่างรู้ แต่ไม่มีใครสามารถตัดสินใจแทนต้าถัง มีเพียงหนิงเชวียที่ทำได้ เพราะมีเพียงหนิงเชวียที่กล้าทำ

    การปลอมแปลงพระราชโองการของจักรพรรดิองค์ก่อนถือเป็นกบฏ ไม่ว่าใครล้วนต้องถูกประหาร ต่อให้เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่หรือองค์หญิงก็ไม่อาจหนีพ้นการพิพากษาตามกฎหมายของต้าถัง ทว่าเมื่อเรื่องเกิดขึ้นจริง ใครเล่าจะกล้าลงมือ

    มีแต่หนิงเชวียที่ไม่ให้โอกาสหลี่ฮุยหยวนแก้ต่างหรือขอร้อง ไม่ให้เวลาผู้ใดได้ไตร่ตรองก็ลงดาบประหาร นี่เรียกว่าไม่สอนสั่งก็ลงโทษ

    การตวัดดาบที่เรียบง่ายนี้แสดงให้เห็นความคิดจิตใจที่สงบนิ่งถึงขั้นเลือดเย็นของมัน เป็นตัวแทนของสถานศึกษาที่เพิกเฉยต่ออำนาจของจักรพรรดิ ทำให้ผู้คนหวาดกลัวสุดขีด

    บัดนี้ขุนนางและนายทหารทั้งหลายยังจะทำอะไรได้ การกระทำเช่นกบฏของหนิงเชวียย่อมสามารถหาข้ออ้างที่แน่นหนาประดุจเหล็กกล้าจากกฎหมายของต้าถังได้ หากแต่ใครจะกล้าพูดว่ามันปลงพระชนม์ ในเมื่อภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันไม่สมควรยั่วโทสะของสถานศึกษาผู้เป็นที่พึ่งสุดท้ายของต้าถัง

    ขุนนางทั้งหลายมองหนิงเชวียที่ยืนอยู่เยื้องบัลลังก์ มองศพของจักรพรรดิที่จมในกองเลือด อารมณ์บนใบหน้าค่อนข้างซับซ้อน…โกรธ เสียใจ งุนงง ระแวง หวาดกลัว…แตกต่างกันไป

    ยังไม่มีผู้ใดโต้ตอบคำพูดของหนิงเชวีย ความเงียบสนิทยังดำเนินไปดุจเดิม ล้วนเป็นเพราะอารมณ์ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และเพราะพวกมันยากจะยอมรับว่าต้าถังถูกหนึ่งดาบที่โหดเหี้ยมและเลือดเย็นนี้กำราบให้สงบลง

    สถานศึกษาไม่อาจก้าวก่ายเรื่องการปกครอง นี่คือกฎเหล็กที่จอมปราชญ์กล่าวไว้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คืออะไร

    ทันใดนั้นพระอัครมเหสีจูงองค์ชายหกเดินเข้ามา

    ขุนนางทั้งหลายในตำหนักตกใจอีกครั้ง พวกมันต่างรู้ว่าพระอัครมเหสีและองค์ชายหกถูกองค์หญิงขัดขวางให้อยู่นอกฉางอัน นางเข้าวังมาตั้งแต่เมื่อใด ทำไมไม่ได้ยินข่าวล่วงหน้าเลย

    พระอัครมเหสีไม่ได้แต่งตัวเลิศหรู ยังคงสวมชุดธรรมดา ใบหน้าสงบนิ่ง…นางเป็นพระอัครมเหสีของที่นี่เกือบยี่สิบปี ฉางอันจะขวางนางได้อย่างไร และเป็นไปได้หรือที่นางจะเข้าวังไม่ได้

    องค์ชายหกใส่ชุดธรรมดาเช่นเดียวกัน เพียงคาดสายคาดเอวสีเหลืองอร่าม เดินตามมารดาของตนมาทีละก้าว พอเห็นภาพอันโหดร้ายที่ด้านในของตำหนัก ใบหน้าเล็กๆ ก็ขาวซีด

    องค์ชายหกรู้สึกว่าขาเริ่มอ่อน มือเริ่มสั่น แต่พระอัครมเหสีจับมือไว้แน่น มันจึงไม่กล้าเดินช้าและไม่กล้าแสดงอาการถอยหนี

    พระอัครมเหสีพาองค์ชายหกเดินต่อเข้าไปด้านใน เดินไปที่ราชบัลลังก์

    จนถึงตอนนี้เหล่าขุนนางในตำหนักจึงค่อยรู้สึกตัว พวกที่จงรักภักดีต่อพระอัครมเหสีต่างคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วที่สุด ตื่นเต้นจนหน้าแดง

    ขุนนางฝ่ายหลี่อวี๋คุกเข่าลงช้าๆ แต่สีหน้าของพวกมันยังคงขุ่นเคือง

    พระอัครมเหสีจูงองค์ชายหกเดินอ้อมกองเลือดและศพศีรษะขาดหน้าบัลลังก์ หนิงเชวียหลีกไปด้านข้างเพื่อเปิดทาง

    พระอัครมเหสีมองหลี่อวี๋ครั้งหนึ่ง

    เพราะโกรธแค้นและเสียใจสุดขีด สติสัมปชัญญะของหลี่อวี๋จึงหลุดลอยไปจากร่าง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่มีการตอบสนองใดๆ

    พระอัครมเหสีอุ้มองค์ชายหกขึ้นนั่งบนบัลลังก์ จากนั้นทอดตามองเหล่าขุนนางแล้วเอ่ยว่า

    “ยังตะลึงอะไร ต้าถังกำลังเฉลิมฉลองความสุขสงบกันอยู่หรือ กรมทหาร ส่งรายงานสถานการณ์การรบล่าสุดมา”

     

    องครักษ์หลายสิบคนสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบด้วยความตื่นตัว

    ในตำหนักด้านหลังของพวกมันเงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงใด แตกต่างโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับความคึกคักตอนที่องค์หญิงเรียกประชุมเหล่าขุนนางและทหารในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้

    องครักษ์ประจำตัวจากดินแดนทุ่งหญ้าที่ภักดีที่สุดต่อหลี่อวี๋ เข้าร่วมกองกำลังอวี่หลินมานาน เมื่อได้ยินว่าในวังเกิดการเปลี่ยนแปลงจึงตั้งใจจะบุกเข้าวัง แต่ถูกกองกำลังอวี่หลินปราบปราม หลายคนสู้รบจนตัวตาย บางคนยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวก็ถูกจับไปเข้าคุกของกรมทหาร

    คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนรู้จักของหนิงเชวีย หลายปีก่อนระหว่างทางจากเมืองเว่ยมาฉางอันมันและชายฉกรรจ์แห่งดินแดนทุ่งหญ้าเหล่านี้เคยสู้รบร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน มีมิตรภาพต่อกัน แต่นั่นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว พอได้ยินข่าวนี้มันเพียงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วไม่สนใจเรื่องนี้อีก

    สิ่งของที่ทำจากทองและของแหลมคมทั้งหมดในห้องบรรทม กระทั่งกระจกทองแดงล้วนถูกนำออกไป ผ้าห่มนุ่มๆ จำนวนนับไม่ถ้วนถูกปูไว้ทั่วห้อง แม้อยากเอาศีรษะโขกผนังตายก็ยากจะทำได้

    ใบหน้าของหลี่อวี๋ซูบเซียวและขาวซีดลงมาก ดูอ่อนแอยิ่งนัก ราวกับว่าจะล้มลงได้ทุกเมื่อ

    ดวงตาที่เคยสดใสของนางคล้ายมีน้ำค้างแข็งปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ไร้ประกายใดๆ แผ่ความหนาวเย็นเสียดกระดูกออกมา นางมองหนิงเชวียพลางเอ่ยเสียงสั่นเครือว่า

    “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหลอกข้า”

    “ถ้าท่านหมายถึงการสนทนาครั้งสุดท้ายในห้องทรงพระอักษรล่ะก็…ข้าไม่ได้หลอกท่าน ตอนนั้นข้าเพียงนิ่งเงียบ ท่านพูดว่าไม่ว่าซังซังจะทำผิดอย่างไรข้าก็ไม่อาจหักใจทำร้ายนาง คำพูดนี้ถูกต้อง ท่านไม่อาจหักใจทำร้ายหลี่ฮุยหยวน เรื่องนี้ข้าก็เข้าใจ แต่เข้าใจกับเห็นด้วยเป็นคนละอย่างกัน”

    หนิงเชวียมองนางพลางเอ่ยต่อไปว่า

    “ความรักความสงสารและความเสียใจที่ท่านมีต่อมันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า เหมือนความรักที่ข้ามีต่อซังซังก็ไม่เห็นว่าคนทั้งโลกจะยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่ชอบน้องชายท่าน”

    “แต่เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าคนที่เจ้าฆ่าคือสายเลือดของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจะเห็นด้วยกับการกระทำของเจ้าหรือ”

    หลี่อวี๋จ้องตามันพลางเอ่ยอย่างคับแค้นใจ

    หนิงเชวียมองนางพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า

    “แล้วท่านเคยคิดบ้างไหมว่าเหตุใดพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครสามารถสังหารราชนิกุลแซ่หลี่ในวังหลวง ถูกแล้ว เพราะค่ายกลสยบเทวะคุ้มครองวังหลวงมาตลอด

    เมื่อครู่ในตำหนัก ตอนที่ข้าฟันดาบ พวกสัตว์ร้ายบนชายคาล้วนมีปฏิกิริยา เพียงแต่พอพวกมันรู้ว่าเป็นข้าก็ระงับกระแสปราณ

    นี่เป็นเพราะอะไรน่ะหรือ เพราะฝ่าบาทมอบค่ายกลสยบเทวะให้ข้าซึ่งหมายถึงมอบทุกชีวิตของพวกเจ้าตระกูลหลี่ให้ข้า แล้วแต่ข้าจะจัดการ”

    หลี่อวี๋ร่างสั่นสะท้าน หน้าซีดลงกว่าเดิม

    “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ที่แท้เสด็จพ่อเชื่อใจสถานศึกษา แต่ไม่เชื่อใจพวกเราที่เป็นลูก ในความเห็นของเสด็จพ่อมีเพียงสถานศึกษาเท่านั้นสินะที่ปกป้องต้าถังได้อย่างแท้จริง…”

    นางมองหนิงเชวียพลางกล่าวเย้ยหยัน

    “ต้าถังจะล่มสลายอยู่รอมร่อ สถานศึกษากลับไม่เคลื่อนไหว เอาแต่หลบอยู่ในภูเขาเยี่ยงมุสิกขี้ขลาด ไม่รู้เสด็จพ่อจะสำนึกเสียใจหรือไม่ที่ตัดสินใจแบบนี้”

    หนิงเชวียสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยว่า

    “นี่คือจุดที่ท่านเทียบพระอัครมเหสีไม่ได้ นางจะไม่สงสัยการตัดสินใจของฝ่าบาทโดยเด็ดขาด อีกอย่างสมัยก่อนนางเคยประสบเรื่องราวของอาจารย์และสถานศึกษามาด้วยตนเอง ดังนั้นแม้ข้ากับนางจะมีความแค้นฝังลึกต่อกัน แต่ตอนที่นางเลือกที่จะเชื่อใจข้ากลับไม่มีความลังเลใดๆ และไม่มีการเผื่อใจแม้แต่น้อย

    มีแต่คนหน้ามืดตามัวเท่านั้นที่มองข้ามภูเขาหลังสถานศึกษา ที่คิดจริงๆ ว่าสถานศึกษาเลือกที่จะหลบลี้หนีหายเพราะขี้ขลาด แม้ข้าไม่รู้ว่าสภาพการณ์ที่แท้จริงในตอนนี้เป็นเช่นไร แต่ข้าบอกท่านได้ว่าตอนนี้บรรดาศิษย์พี่ของข้ากำลังเตรียมการสู้รบอยู่อย่างแน่นอน สู้รบเพื่อต้าถังและเพื่อสถานศึกษา”

    หลี่อวี๋ก้มหน้าเงียบไป ไม่รู้จะเชื่อคำพูดของหนิงเชวียได้หรือไม่

    แต่หนิงเชวียไม่สนใจเรื่องนี้ มองนางพลางกล่าวสืบไปว่า

    “เป้าหมายที่ข้ากลับมาฉางอันก็คือการสู้รบเช่นกัน ข้าต้องทำให้ความวุ่นวายในฉางอันสงบลงโดยเร็ว มาดูให้แน่ใจว่าค่ายกลสยบเทวะไม่เกิดปัญหา จากนั้นไปเอาดวงตาค่ายกล ขอเพียงทำเรื่องเหล่านี้สำเร็จ ต่อให้อาศรมเทพแข็งแกร่งขนาดไหนก็บุกเข้ามาไม่ได้”

    หนิงเชวียบรรยายแผนของตนอย่างจริงจังเหมือนไขข้อข้องใจ เพียงแต่เวลานี้ไม่มีความจำเป็นต้องไขข้อข้องใจให้หลี่อวี๋ฟังเลย พฤติกรรมของมันจึงน่าแปลกใจอยู่บ้าง

    “ข้าพูดเรื่องพวกนี้เพราะอยากบอกท่านว่าต้าถังจะไม่ล่มสลายอย่างแน่นอน”

    หนิงเชวียมองตานาง มองสีเทาที่ไม่เป็นมงคลในดวงตานาง แล้วพยายามคลี่คลายความคิดฆ่าตัวตายของนางต่อไปโดยเอ่ยอย่างเฉยชาว่า

    “ถ้าท่านต้องการแก้แค้นข้าหรือสถานศึกษา เช่นนั้นก่อนอื่นก็ต้องมีชีวิตอยู่”

    ในที่สุดแววตาของหลี่อวี๋ก็พอจะมีประกายขึ้นมาบ้าง

    ตอนนี้นางเดาเจตนาของหนิงเชวียได้แล้ว

    “เหตุใดเจ้าจึงอยากให้ข้ามีชีวิตอยู่”

    “เพราะถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ พวกขุนนางและกองทัพที่ภักดีต่อท่านและหลี่ฮุยหยวนจะมีจิตใจที่หนักแน่น การดำเนินการในราชสำนักทั้งด้านการทหารและการปกครองจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ส่วนประกอบใดที่มีประโยชน์ข้าจะไม่ทิ้งไป ดังนั้นข้าจึงอยากให้ท่านอยู่เพื่อทุ่มเทพลังของท่านให้ต้าถังต่อไป”

    หลี่อวี๋จ้องตามันพร้อมเอ่ยเสียงเย็นชาว่า

    “ความจริงเจ้าเปลี่ยนวิธีพูดได้”

    “พูดว่ายามนี้ต้าถังต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่น่ะรึ ข้าไม่เห็นว่าการตกแต่งคำพูดให้สวยหรูจะมีประโยชน์อะไรในตอนนี้ องค์หญิงเป็นผู้มีสติปัญญา เข้าใจความหมายของข้าก็ดีแล้ว”

    หลี่อวี๋สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เหมือนมองเห็นคนที่แปลกหน้ากันโดยสิ้นเชิง

    “เจ้าเลือดเย็นเกินไปแล้ว”

    “ที่นอกเมืองฉางอัน ต่อหน้าพวกขุนนางชราที่ท่านส่งไป ข้าพูดว่าพวกท่านไม่รู้หรอกว่าเวลาที่ข้าเลือดเย็นนั้นเป็นอย่างไร แต่ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่พวกท่านจะมีโอกาสได้เห็น”

     

    หลายปีให้หลัง ในบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามครั้งยิ่งใหญ่นี้ การตอบโต้ครั้งแรกสุดของต้าถังเริ่มตั้งแต่หนิงเชวียคุ้มครองพระอัครมเหสีและองค์ชายหกกลับถึงฉางอันแล้วสังหารหลี่ฮุยหยวน

    แต่ความจริงการตอบโต้ครั้งแรกสุดของต้าถังไม่ได้เริ่มที่หนิงเชวีย ไม่ใช่กองกำลังปราบแดนเหนือที่สู้รบกับเผ่าจินจั้ง ไม่ใช่เฉาเสี่ยวซู่ที่พาทหารค่ายเซียวฉีออกจากฉางอันไปต้านข้าศึกนับหมื่นในเขตชายแดนตะวันออกเพียงลำพัง และไม่ใช่กองทัพเรือที่สาบานว่าแม้ตายก็ไม่ยอมจำนนที่ย้อมแม่น้ำชิงเหอจนเป็นสีแดง แต่เริ่มที่ชาวนาคนหนึ่ง

    ณ ที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ทางทิศใต้ของต้าถังมีหมู่บ้านอยู่แห่งหนึ่ง

    ข้างหมู่บ้านมีลำธาร ริมลำธารมีโรงโม่หิน ฝั่งตรงข้ามกับโรงโม่หินเป็นทุ่งหญ้า บนทุ่งหญ้ามีร้านองุ่นปลูกไว้แน่นขนัด องุ่นบนร้านถูกเด็ดไปนานแล้ว เหลือเพียงองุ่นที่เติบโตได้ไม่ดีถูกทิ้งไว้ที่เดิม น้ำค้างแข็งฤดูสารทและฝุ่นละอองปกคลุมดูไม่โดดเด่น

    จริงอยู่ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่สวยงาม แต่ไม่ได้แตกต่างจากหมู่บ้านอื่นๆ ของต้าถังมากนัก ดูแล้วไม่โดดเด่นเช่นเดียวกับพวงองุ่นเล็กๆ ใต้ร้านองุ่นบนทุ่งหญ้า

    ในหมู่บ้านมีชาวนาคนหนึ่งชื่อหยางเอ้อร์สี่ แม้มันยืนกรานว่าตนคือช่างทาสี แต่ในสายตาของชาวบ้าน คนผู้นี้ที่ใช้คราดได้อย่างคล่องแคล่วและเลี้ยงดูสุกรได้อ้วนพีย่อมเป็นชาวนา ทั้งเป็นชาวนาที่เก่งมากด้วย หยางเอ้อร์สี่ไม่อาจปฏิเสธคำชมทำนองนี้จึงได้แต่นิ่งเงียบยอมรับ

    หยางเอ้อร์สี่เคยเป็นทหารมาก่อนเช่นเดียวกับชาวบ้านส่วนใหญ่ตามชนบทของต้าถัง เคยสู้รบกับชาวเยี่ยนที่ด่านชายแดน เคยสังหารทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้า แม้แต่ความสามารถด้านการทาสีก็เรียนรู้มาจากตอนที่อยู่ในกองทัพชายแดน

    หลังปลดประจำการมันแต่งภรรยาและมีลูก ทำงานหาเลี้ยงชีพ ดูแลครอบครัว ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ นอกจากเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ ที่พบได้เป็นปกติของแต่ละบ้านแล้วก็ไม่มีเรื่องกวนใจอื่นใด

    ชีวิตที่ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนถูกทิ้งไว้ที่ด่านชายแดนเมื่อหลายปีก่อน นอกจากการได้พบเจ้าม้าดำตัวใหญ่ที่ชอบกินโจ๊กข้าวโพดแล้วในชีวิตก็ไม่มีเรื่องอะไรแปลกใหม่ที่น่าตื่นเต้นอีก

    บางครั้งหยางเอ้อร์สี่ก็คิดถึงวันเวลาที่อยู่ด่านชายแดน

    วันหนึ่งมันถือถังสีทาสีกำแพงอยู่ในสถานศึกษาหลวง จู่ๆ ก็มีมือปราบเดินเข้ามาติดกระดาษสีขาวบนกำแพงแล้วจากไปอย่างรีบร้อน

    หยางเอ้อร์สี่โวยวายมาสองปี สุดท้ายทางการยังไม่ยอมขึ้นค่าจ้างทาสีให้ มันถูกบิดาตี ซ้ำบุตรียังร้องไห้งอแงจึงได้แต่ตกลงมาทาสีให้สถานศึกษาหลวง เดิมอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งโมโหหนัก ใจคิด เจ้าพวกนี้ไม่เห็นหรือว่าข้าทาสีอยู่ถึงได้เอากระดาษมาติด แล้วตอนนี้จะทาสีอย่างไร

    แน่นอนมันคงไม่ยอมรับว่าที่ตนโมโหความจริงแล้วเพราะอ่านข้อความบนกระดาษไม่ออก

    ชาวถังส่วนใหญ่อ่านหนังสือออก แต่ตอนเด็กมันดื้อและซุกซน หลังไปเกณฑ์ทหารก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยอมโดนโบยแต่ไม่ยอมเข้าชั้นเรียนหนังสือ ด้วยเหตุนี้ตอนนี้จึงเป็นคนไม่รู้หนังสือเพียงไม่กี่คนในหมู่บ้าน ถูกเด็กข้างบ้านล้อเลียนอยู่บ่อยๆ เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่มันสำนึกเสียใจมากที่สุด

    ดีที่ครู่ต่อมาในสถานศึกษาหลวงมีการตีระฆัง ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ยินเสียงระฆังก็มารวมตัวกัน รอฟังเซียนเซิงกฎหมายอธิบายว่าราชสำนักประกาศกฎหมายอะไร

    เซียนเซิงกฎหมายของสถานศึกษาหลวงยังไม่ออกมา ชาวบ้านที่รู้หนังสือก็อ่านเข้าใจเนื้อหาบนกระดาษแล้ว เพราะที่เขียนอยู่บนนั้นไม่ใช่กฎหมายใหม่อะไร แต่เป็นข่าวเรื่องสงคราม

    ทุกคนต่างนิ่งเงียบ มีสีหน้าตกใจ

    หยางเอ้อร์สี่ยังไม่รู้ว่าบนกระดาษเขียนว่าอะไร พอเห็นหน้าทุกคนแล้วก็ยิ่งร้อนใจขึ้นอีก จับเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะกลับบ้านไปบอกบิดามารดามาเค้นถามจึงรู้คำตอบ

    “กองกำลังชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือถูกซุ่มโจมตีที่แคว้นเยี่ยน พ่ายแพ้แล้ว”

    ในประกาศของราชสำนักยังมีเนื้อหาอีกมาก โดยเฉพาะต่อชาวบ้านในหมู่บ้านหรือในอำเภอเขตชายแดนตะวันออก ขอให้พวกมันอพยพโดยเร็วที่สุด กองทหารประจำการในแต่ละเขตให้ตั้งแนวป้องกันในเขตของตน เรียกระดมชายฉกรรจ์ที่มีประสบการณ์การเกณฑ์ทหาร…

    ไม่มีผู้ใดสนใจเนื้อหาเหล่านี้เพราะที่นี่ห่างไกลจากแคว้นเยี่ยนมากพอสมควร คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ได้พูดให้พวกมันฟัง ทุกคนเพียงตกใจและโกรธเคืองต่อความพ่ายแพ้จึงวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

    บางคนถามอย่างกังวลใจว่ากองทัพของแคว้นเยี่ยนจะบุกมาถึงที่นี่ไหมจึงเกิดเสียงหัวเราะเยาะขึ้นมาในทันใด ไม่มีใครกังวลเรื่องนี้เลย ทุกคนต่างเชื่อมั่นว่าขอเพียงราชสำนักส่งกองทัพใหญ่มา ชายแดนตะวันออกต้องปลอดภัยแน่นอน

    หยางเอ้อร์สี่นิ่งเงียบมาตลอด พอทุกคนแยกย้ายไปแล้วมันจึงดึงตัวเซียนเซิงกฎหมายในสถานศึกษาหลวงมาขอคำชี้แนะอย่างจริงจังเกี่ยวกับเนื้อหาในตอนท้ายของประกาศ

    มันไม่มีแก่ใจจะทาสีแล้ว ถึงอย่างไรค่าจ้างที่ทางการให้ก็ไม่ได้มากมายนัก

    พอมันกลับถึงบ้านก็กินขาหมูครึ่งจานกับผักดองหนึ่งกระจาดและดื่มสุรา ยิ่งกินอารมณ์ยิ่งหม่นหมอง

    ภรรยามันนั่งยองอยู่นอกบ้าน แยกเปลือกและกากองุ่นออกจากในถังไม้เตรียมบ่มสุรา พบว่าไม่ได้ยินเสียงสามีพูดเป็นเวลานานจึงถามว่า

    “เป็นอะไร”

    “ไม่มีอะไร”

    “กินข้าวสักหน่อยสิ ดื่มสุราตอนท้องว่างไม่ดีนะ”

    หยางเอ้อร์สี่รับว่าอืมแล้วดื่มสุราต่อ ยิ่งดื่มก็ยิ่งเงียบ แต่ดวงตากลับวาวโรจน์

    จู่ๆ มันก็เอ่ยกับภรรยาว่า

    “ข้าจะจากบ้านไปไกล”

    “ทำไมล่ะ”

    ภรรยาเงยหน้าถามอย่างสงสัย

    “ชายแดนตะวันออกเกิดเรื่อง”

    หยางเอ้อร์สี่เล่าเนื้อหาในประกาศของทางการให้ฟังรอบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า

    “ข้าอยากไปดูสักหน่อย”

    ภรรยาอึ้งไปครู่ก่อนหัวเราะออกมา น้ำองุ่นในมือกระเด็นไปทั่ว กล่าวเสียดสีว่า

    “ชายแดนตะวันออกเกิดเรื่อง…ชายแดนของคอกหมูหรือชายแดนของร้านองุ่น? พูดอย่างกับว่าต้าถังเป็นบ้านเจ้า เจ้าเป็นจักรพรรดิหรือพระอัครมเหสีกันล่ะ เจ้าเป็นแค่ชาวนานะ”

    หยางเอ้อร์สี่กล่าวอย่างเดือดดาลว่า

    “ข้าเป็นช่างทาสี ไม่ใช่ชาวนา!”

    ภรรยาไม่ใส่ใจคำพูดของมัน คิดว่ามันกำลังเมาสุราจึงก้มหน้าทำงานต่อไป บ่นอุบอิบว่า

    “ดื่มสุราทีไรพูดจาเหลวไหลทุกที”

    หยางเอ้อร์สี่เงียบไปครู่ก่อนเอ่ยว่า

    “ข้าไม่ได้เมา ประกาศของราชสำนักเขียนไว้ ชายฉกรรจ์ที่เคยเกณฑ์ทหารขอเพียงอายุไม่เกินสี่สิบจะต้องถูกเรียกระดมพล”

    ตอนนี้ภรรยาจึงพบว่าที่แท้สามีไม่ได้พูดเพราะเมา นางยกสองมือขึ้นจากถังไม้เช็ดกับเสื้อผ้า ถามอย่างร้อนใจว่า

    “คำสั่งเรียกระดมพลคือประกาศให้ชายแดนตะวันออกเกี่ยวอะไรกับพวกเรา”

    “พวกเราอยู่ใกล้กับฉางอัน ชายแดนตะวันออกนั้นอยู่ไกล ประกาศของราชสำนักคงอีกหลายวันกว่าจะไปถึง ไม่แน่ว่าตอนนั้นชาวเยี่ยนและชาวหมานที่เลวทรามพวกนั้นอาจบุกเข้ามาแล้วก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร”

    “ต่อให้ราชสำนักจะเรียกระดมพล…ก็ต้องรอให้ทางการดำเนินการ ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวมิใช่หรือ”

    หยางเอ้อร์สี่กล่าวเสียงเข้มว่า

    “ถ้ารอทางการดำเนินการก็ไม่ทันแล้ว”

    “แต่…เจ้าไปคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร”

    ภรรยาพูดเสียงสั่น

    หยางเอ้อร์สี่ตอบว่า

    “ชายแดนตะวันออกถูกรุกราน ราชสำนักต้องตั้งจวนว่าการในยามสงครามที่นั่นอย่างแน่นอน พอไปถึงที่นั่นข้าจะไปเข้าร่วมกับพวกมัน”

    ภรรยายิ่งฟังยิ่งไม่สบายใจ จึงตะโกนเสียงแหลมเข้าไปด้านใน

    “ท่านพ่อ ท่านรีบมา!”

    หยางเอ้อร์สี่ตบโต๊ะอย่างแรง ผักดองและขาหมูที่เหลืออยู่ล้วนกระเด็นลงพื้น มันกล่าวอย่างมีโทสะว่า

    “จะตะโกนทำไม! ปกติให้เจ้าตะโกนเรียกท่านพ่อมากินข้าว ไม่เห็นตะโกนดังขนาดนี้เลย!”

    ประตูห้องด้านในเปิดออก ชายชราหลังค่อมเดินเข้ามา

    หยางเอ้อร์สี่ลุกขึ้นยืนถามว่า

    “ท่านพ่อ ท่านกินข้าวหรือยัง”

    ชายชราเห็นความเลอะเทอะบนพื้นก็เอ่ยว่า

    “ยัง”

    “อย่างนั้นให้สะใภ้เฉือนขาหมูมาให้ดีไหม”

    ภรรยาน้ำตาหยดแหมะ มองพ่อสามี ใจคิด ปกติข้าไม่เคยให้ท่านผู้เฒ่าต้องอดอยาก เพียงแต่ขาหมูตุ๋นครั้งก่อนไม่ได้เรียกท่าน ท่านคงไม่เพราะเรื่องนั้นจึงพาลโกรธกระมัง ถ้าท่านรั้งเจ้าคนเมานี่ให้อยู่บ้านได้ อย่าว่าแต่ขาหมูตุ๋น ข้าจะเฉือนขาตัวเองตอบแทนท่าน

    ชายชราเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

    หยางเอ้อร์สี่เกิดอาการร้อนใจ

    “แม้มีผนังกั้นอยู่ แต่พวกเจ้าทะเลาะกันเสียงดังขนาดนี้ข้าจะไม่ได้ยินได้อย่างไร”

    ชายชราเอ่ย

    หยางเอ้อร์สี่รูปร่างกำยำสูงใหญ่ ยามนี้กลับก้มหน้าอย่างเชื่อฟังเหมือนตอนเป็นเด็กที่ทำความผิด พูดตะกุกตะกักว่า

    “ข้า…ปลดประจำการมาจากกองทัพชายแดน เวลานี้ไม่ไปร่วมรบจะใช้ได้หรือ…”

    ไม่รอให้หยางเอ้อร์สี่พูดจบ ชายชราก็ถลึงตาตวาดว่า

    “เคยเป็นทหารแล้วแน่นักหรือ ข้าก็เคยเป็นทหาร!จะโอ้อวดทำไมที่นี่!”

    ภรรยาได้ยินดังนั้นจึงหยุดร้องไห้ มองพ่อสามีอย่างมีความหวัง

    ชายชราเงียบไปอีกครู่ แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยว่า

    “อยากไปก็ไปสิ ถ้าตอนนี้ข้าไม่ได้อายุหกสิบ แต่เป็นสี่สิบ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

     

    หยางเอ้อร์สี่นำธนูไม้หวงหยางที่เก็บรักษาไว้อย่างดีออกมาจากตู้ในห้อง

    จากนั้นแบกคราดที่ลับจนคมวาวไว้ที่บ่า ภรรยาผูกขาหมูที่หนักพอสมควรไว้ที่ด้านหนึ่งของคราดแล้วถามว่า

    “จะเอาสุราไปด้วยหรือไม่”

    สะใภ้ตามชนบทของต้าถังปกติแล้วจะมีอัธยาศัยใจคอเช่นนี้ เห็นว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ก็นิ่งเงียบยอมรับแล้วช่วยสามีเตรียมการอย่างจริงจัง

    หยางเอ้อร์สี่ตอบว่า

    “จะไปสู้รบแล้ว ดื่มสุราผิดกฎของกองทัพ”

    ภรรยาจึงวางสุราที่เพิ่งบ่มเสร็จลง ใจคิด ไม่ใช่ทหารอย่างเป็นทางการสักหน่อย มีกฎของกองทัพที่ไหนกัน

    ตอนนี้ลูกสองคนเพิ่งวิ่งกลับมาบ้าน ลูกชายคนเล็กวิ่งอย่างกระหืดกระหอบ ใบหน้าแดงก่ำ คิดพูดอะไรแต่พูดไม่ออก ลูกสาวคนโตมองหยางเอ้อร์สี่ พูดอย่างโกรธเคืองว่า

    “ท่านพ่อ สถานศึกษาหลวงยังทาสีไม่เสร็จ อาจารย์สอนหนังสือไม่พอใจมาก ท่านอยากให้พวกเราเรียนหนังสือไม่ได้และเป็นเหมือนท่านหรือ”

    ถ้าเป็นยามปกติ ได้ยินบุตรีพูดเช่นนี้หยางเอ้อร์สี่ต้องโกรธ แล้วหิ้วถังสีอย่างว่าง่ายไปทาสีสถานศึกษาหลวงจนเสร็จอย่างแน่นอน แต่วันนี้มันเพียงหัวเราะฮาๆ

    “บอกอาจารย์ว่าถ้าพ่อกลับมาแล้วต้องไปทาให้เสร็จแน่นอน”

    แล้วหยางเอ้อร์สี่ก็มองไปทางบิดา

    “ท่านพ่อ ข้าไปแล้ว”

    ชายชราพยักหน้า เอ่ยว่า

    “ระวังตัวด้วย”

    หยางเอ้อร์สี่หอมแก้มภรรยาฟอดใหญ่

    ลูกสองคนน่าจะเห็นภาพนี้มาบ่อยแล้วจึงไม่ตกใจ เพียงแปลกใจเรื่องอื่น

    บุตรชายเบิ่งตาโตถามว่า

    “ท่านพ่อ ท่านจะไปไหน”

    “ไปชายแดนตะวันออก”

    “ท่านพ่อจะไปทำอะไร”

    บุตรีถาม

    “ไปสู้กับข้าศึก”

    “ท่านพ่อต้องสู้ให้ชนะนะ!”

    บุตรีพูดอย่างตื่นเต้น

    “ต้องชนะแน่นอน”

    หยางเอ้อร์สี่หัวเราะฮาๆ สะพายธนู แบกคราด ออกจากบ้านไป

     

    ทหารม้าราชสำนักเผ่าจั่วจั้งรวมถึงกองทัพร่วมของแคว้นเยี่ยน ซ่งและฉีบุกเข้าเขตแดนแคว้นต้าถังภายใต้การนำขององค์ชายหลงชิ่ง เดินทัพเข้ามาไกล หลายวันนี้ยังไม่เจอการสู้รบต่อต้านใดๆ

    กองกำลังชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือถูกทำลายแล้ว แม้มีทหารต้าถังไม่น้อยที่รอดมาได้ แต่พวกมันกำลังหลบหนีการตามกวาดล้างของทั้งทหารและชาวบ้านแคว้นเยี่ยน ต่อให้หนีกลับต้าถังได้ก็กระจัดกระจายกันไป ไม่อาจแสดงพลังรบ

    กองทัพร่วมที่รุกรานต้าถังนี้ โดยเฉพาะทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าที่มาจากทุ่งร้าง กระทำการหยาบช้าต่อชายแดนตะวันออก ปล้น ฆ่าและเผาทำลาย จิตใจของพวกมันมุ่งหวังเพียงทรัพย์สินเงินทอง ใบหน้าท่าทางฮึกเหิม กระตุ้นม้าให้วิ่งไปมาอยู่บนถนน

    หลงชิ่งเห็นภาพด้านล่างเนินเขาแล้วก็คิ้วขมวด กล่าวเสียงเย็นชาว่า

    “มีวินัยกันหน่อย อย่าเสียเวลากับพื้นที่ชนบทพวกนี้มากนัก พวกเราต้องไปให้ถึงฉางอันโดยเร็วที่สุด”

    เหล่าบริวารรับคำสั่ง แต่มีนายทหารบางคนไม่เห็นด้วย

    ชื่อเสียงพันปีไม่พ่ายแพ้ของต้าถังทิ้งความกลัวที่ไม่อาจลบเลือนไว้ในใจของนายทหารเหล่านี้ ยามนี้แม้การสู้รบราบรื่นดี แต่พวกมันไม่เคยเพ้อฝันว่าจะตีฉางอันให้แตกได้จริงๆ ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าพวกนั้นก็คิดเช่นเดียวกัน พวกมันคิดว่าปล้นชิงในดินแดนต้าถังจนสุขสำราญแล้วสมควรถอยกลับ เพื่อป้องกันการโต้กลับและล้างแค้นของชาวถัง

    “ต้าถังในตอนนี้ไม่เหมือนต้าถังในกาลก่อน พี่น้องคู่นั้นในฉางอันทำผิดอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนต่อให้พวกมันไม่ทำผิดเลยก็ไม่อาจยืนหยัดต่อไปเพราะฟ้าจะทำลายต้าถัง”

    หลงชิ่งเอ่ยต่อไปว่า

    “บัดนี้ต้าถังเผชิญศึกรอบด้าน เบื้องหน้าของพวกเราไม่มีกองทัพต้าถัง เมืองฉางอันว่างเปล่าไร้การป้องกัน นี่คือโอกาสที่เฮ่าเทียนประทานให้พวกเรา ถ้าไม่คว้าไว้กลับเป็นพวกเราเสียเองที่อาจถูกฟ้าลงทัณฑ์”

    นายกองคนหนึ่งเอ่ยว่า

    “ต่อให้บุกไปประชิดฉางอัน…ก็ไม่มีประโยชน์ ผู้ใดล้วนทราบว่าฉางอันไม่มีทางถูกตีแตก ถึงเวลานั้นพวกเราจะทำอย่างไร”

    “โลกนี้ไม่มีเมืองใดที่ตีไม่แตก”

    หลงชิ่งไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม ตอนนี้โลกนี้มีไม่กี่คนรวมทั้งตัวมันที่รู้แผนการที่แท้จริงของอาศรมเทพ การที่เผ่าจินจั้งบุกลงใต้ ทั้งโลกบุกโค่นต้าถัง เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงกลลวงตา เป็นแค่วิธีการที่ทำให้ทหารต้าถังวิ่งเต้นทำงานจนเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น สิ่งที่อาศรมเทพต้องการจริงๆ คือทำให้ฉางอันไร้คนป้องกัน

    ทั้งหมดเพียงเพื่อดวงตาค่ายกล

    อาศรมเทพมั่นใจว่าสามารถนำดวงตาค่ายกลมาได้

    ทั้งทหารและราษฎรของต้าถังล้วนคิดว่าเมืองฉางอันไม่มีทางถูกตีแตก จึงเคลื่อนกำลังพลไปยังพื้นที่ต่างๆ แต่หากอาศรมเทพได้ดวงตาค่ายกลและทำลายค่ายกลสยบเทวะได้ ฉางอันจะพบกับหายนะ

    หลงชิ่งดึงบังเหียนม้าเบาๆ บังคับม้าให้วิ่งลงจากเนินเขา

    ข้าวสาลีในทุ่งออกรวงแน่นขนัด ดูคล้ายท้องทะเลสีทองเอนไสวตามสายลมแห่งฤดูสารท

    ทัศนียภาพแสนงดงาม

    บ้านนาริมทุ่งถูกไฟเผาไหม้ ควันดำค่อยๆ ลอยขึ้น ได้ยินเสียงร้องที่น่าเวทนาของชาวถังได้อยู่รำไร

    หลงชิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนหลังจากที่เข้าชั้นสองของสถานศึกษาไม่สำเร็จแล้วลาจากฉางอันอย่างเศร้าใจ

    วันนั้นมันได้เห็นทัศนียภาพของทุ่งนาที่สวยงามของต้าถัง บ้านที่มีหลากสีสัน ชาวถังที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ตอนนั้นมันก็สาบานว่าวันหนึ่งจะต้องนำทัพกลับมาเผาทำลายสิ่งเหล่านี้ให้สิ้นซาก

    มันให้แม่ทัพนายกองไปรักษาระเบียบวินัยของทหารไม่ใช่เพราะสงสารชาวถัง แต่เป็นความจำเป็นในการเดินทัพ อันที่จริงมันคิดว่าภาพของการเข่นฆ่าและเผาทำลายต่างหากจึงเป็นทัศนียภาพที่สวยงามที่สุด

    ใบหน้าส่วนที่ยื่นออกมานอกหน้ากากของหลงชิ่งเผยรอยยิ้มแห่งความพอใจ

    ทหารของกองทัพร่วมหลายหมื่นสร้างความเสียหายไปทั่วในชนบทเขตชายแดนตะวันออกของต้าถัง แม้กฎของกองทัพจะเข้มงวดขนาดไหนก็ไม่อาจทำได้ถึงขั้นสั่งซ้ายไปซ้ายสั่งขวาไปขวาอย่างเฉียบขาด สำมะหาอะไรกับที่ทหารส่วนใหญ่เป็นทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าที่ไร้ระเบียบวินัยเป็นนิสัยอยู่แล้ว

    คำสั่งของหลงชิ่งถ่ายทอดลงไป ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าส่วนใหญ่ทำตามคำสั่งมารวมกลุ่มกัน เดินทัพไปทางตะวันตกมุ่งสู่ฉางอัน แต่ยังคงมีทหารม้านับพันที่รั้งรออยู่ด้านหลัง

    ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าเหล่านี้เชื่อมั่นว่าด้วยทักษะการขี่ม้าของตน ใช้เวลาไม่นานก็ตามกองทัพข้างหน้าได้ทัน จึงไม่รีบเร่งเดินทาง เอาแต่ปล้นชิงไปทั่ว

    พวกมันรู้แต่แรกว่าจงหยวนนั้นร่ำรวย ความเป็นอยู่ของชาวถังอุดมสมบูรณ์ ทว่าเมื่อเข้ามาในเขตแดนต้าถังจึงพบว่าจินตนาการที่มีต่อจงหยวนตอนอยู่ในทุ่งร้างที่แท้แล้วช่างน่าขัน ทรัพย์สินที่สะสมไว้ในหมู่บ้านธรรมดาหมู่บ้านหนึ่งของชาวถังยังมากกว่าในเผ่าระดับกลางของดินแดนแห่งทุ่งหญ้าเสียอีก!

    ผ้าไหมที่สวยงามและเงินทองของล้ำค่าทำให้พวกมันไม่อยากจากไป สาวงามชาวถังผิวขาวนวลยิ่งทำให้พวกมันน้ำลายไหลย้อย ดังนั้นหลายคนจึงตัดสินใจจะกวาดเก็บครั้งหนึ่งก่อนการสู้รบใหญ่

    ทหารม้าเผ่าจั่วจั้งหลายสิบนายควงดาบโค้งในมือ ส่งเสียงผิวปากและเสียงหัวเราะที่ระคายหู บุกเข้าหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในหุบเขา

    หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากถนนใหญ่จึงโชคดีรอดพ้นจากกองกำลังหลักของกองทัพร่วม ชาวบ้านที่ลี้ภัยจากบริเวณใกล้เคียงล้วนอาศัยทางเล็กมาหลบภัยที่นี่ ตอนนี้มีกันอยู่ร้อยกว่าคน

    ชาวบ้านลี้ภัยเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กสตรีและคนชรา ส่วนชายหนุ่มในหมู่บ้าน ตอนที่หมู่บ้านของพวกมันถูกทำลายล้วนตายในการต่อสู้กับทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้า

    ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้ากวาดต้อนทุกคนมารวมตัวกันแล้วเริ่มค้นทรัพย์สินในบ้าน เพียงแต่หมู่บ้านนี้อยู่ห่างไกลจริงๆ ค่อนข้างยากจน พวกมันจึงกอบโกยได้ไม่มากนัก

    ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ก่นด่าอย่างเดือดดาล

    พวกชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันอยู่ฟังไม่ออกว่าพวกชาวหมานด่าว่าอะไร ต่างก้มหน้าเงียบ มีเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งในอ้อมกอดของหญิงชราที่จ้องมองพวกทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าอย่างแน่วนิ่ง

    เด็กหญิงยังเด็กอยู่มาก จึงไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไร แต่นางรู้ว่าบ้านของตนถูกคนเลวสวมเสื้อขนสัตว์เก่าขาดพวกนี้เผาทำลาย บิดาของตนก็ถูกคนเลวตัวเหม็นพวกนี้ฆ่าตาย แววตาของนางจึงเต็มไปด้วยความแค้น

    ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้านายหนึ่งกำลังโมโหว่าวันนี้กอบโกยได้น้อย พลันมองไปเห็นแววตาเคียดแค้นของเด็กหญิงจึงเดือดขึ้นมาอย่างฉับพลัน กุมดาบในมือเดินเข้าหากลุ่มคน

    มันยกดาบโค้งในมือขึ้น

    คนชราหลายคนลุกขึ้นยืนด่าทอเพื่อยับยั้งมัน แต่ดาบโค้งฟันลงมาแล้ว

    ทว่า…เด็กหญิงคนนั้นไม่ได้ถูกฟัน เพราะดาบโค้งร่วงลงพื้น เกิดเสียงกระแทกดังชัดเจน

    เบ้าตาของทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้ามีลูกธนูปักอยู่ มันล้มทั้งยืน

    ลูกธนูดอกนั้นค่อนข้างลวกหยาบ ไม่เหมือนอาวุธมาตรฐานของทหารต้าถัง

    พวกทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าต่างตกใจ ร้องตะโกนเป็นภาษาหมาน ในเวลาอันสั้นก็ขึ้นม้าอีกครั้ง ปลดธนูจากบ่าลงมาถือไว้ มองไปทางป่าด้านหลังหมู่บ้านอย่างตื่นตัว

    ฟุ่บ!

    ลูกธนูดอกหนึ่งยิงมาจากในป่า ยิงถูกไหล่ของทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้านายหนึ่ง โลหิตสาดกระจาย

    พวกทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าไม่เพียงไม่ตกใจ ซ้ำมีสีหน้ายินดี ตะโกนโห่ร้อง บังคับม้าเข้าโอบล้อมป่าแห่งนั้น

    จากลักษณะของลูกธนูพวกมันแน่ใจว่ามือธนูในป่าไม่ใช่ทหารต้าถัง แต่อาจเป็นนายพราน เมื่อหลายวันก่อนก็มีพี่น้องในเผ่าจำนวนมากถูกนายพรานชาวถังฆ่าตาย

    นายพรานที่รวมกลุ่มกันอย่างมากมีเพียงสองสามคน ขอแค่ปรากฏร่องรอย ไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของทหารม้าฝีมือดีอย่างพวกมัน

    หยางเอ้อร์สี่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ กระชับธนูไม้หวงหยางในมือ ไหล่พิงลำต้น เท้าขวาเหยียบพื้นเบาๆ ดูกังวลเล็กน้อย

    เมื่อเทียบกับตอนออกจากบ้านมันผอมลงไปมาก ดำขึ้นมากด้วย หนวดเครารกครึ้ม ริมฝีปากแห้งผากมีรอยเลือดซึม ดูโทรมยิ่งนัก

    เสียงกีบเท้าม้าดังใกล้เข้ามา ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าโอบล้อมป่า หยางเอ้อร์สี่พุ่งตัวออกจากหลังต้นไม้ ง้างธนูยิงอย่างฉับพลัน ยิงโดนท้องของทหารม้านายหนึ่ง

    เมื่อแน่ใจว่าในป่ามีมือธนูแค่คนเดียว ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าสามนายจึงยิงธนูอย่างต่อเนื่อง ทำให้หยางเอ้อร์สี่ได้แต่หลบอยู่หลังต้นไม้ไม่กล้าโผล่ออกไป ส่วนทหารม้าที่เหลือโอบล้อมมาด้านข้าง

    บนลำต้นมีเสียงตึกๆ ดังอยู่เป็นระยะ เปลือกไม้ปลิวกระเด็น บางครั้งลูกธนูยังแฉลบผ่านร่างกายไป

    การรับมือกับนายพรานชาวถัง ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้ามีประสบการณ์มามากแล้ว หยางเอ้อร์สี่ตอบโต้อะไรไม่ได้เลย ได้แต่นิ่งเฉยดูศัตรูบุกเข้ามา

    ถึงคราวจนตรอกนอกจากหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อยแล้วสีหน้าของมันไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวแต่อย่างใด

    ทันใดนั้นมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นอย่างถี่ยิบ ในป่ามีฝนธนูตกลงมา!

    ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้ายี่สิบกว่านายที่วิ่งมาหน้าสุดถูกยิงจนกลายเป็นเม่นธนู ร่วงจากหลังม้าในทันใด โลหิตโซมกาย ตายคาที่

    จากนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าดังสนั่น ไม่รู้มีคนมากน้อยเท่าใดวิ่งออกมาจากป่าเข้าเข่นฆ่าทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าราวกับฝูงหมาป่า

    ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าที่ยังเหลือรอดร้องตะโกนอย่างตกใจและเดือดดาล ในที่สุดสีหน้าก็แสดงอาการหวาดหวั่น ดึงสายบังเหียนสุดชีวิต คิดจะหันม้าหนี

    ถ้าฟังภาษาหมานออกจะรู้ว่าคำที่ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าตะโกนคือคำว่าซุ่มโจมตี

    พวกมันคิดว่าตนถูกทหารต้าถังซุ่มโจมตี

    คนร้อยกว่าคนวิ่งออกมาจากป่า บางคนสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา บางคนสวมชุดผ้าไหม ส่วนใหญ่สวมชุดชาวนา ไม่มีสักคนที่สวมเครื่องแบบของทหารต้าถัง

    อายุของคนเหล่านี้ค่อนข้างมาก ในมือถืออาวุธต่างๆ กันไป เช่นหยางเอ้อร์สี่ถือคราด บางคนถือค้อน แต่ส่วนใหญ่ถือดาบตรง

    ดาบตรงที่แหลมคมคืออาวุธของทหารต้าถัง คนพวกนี้ที่แท้ใช่ทหารต้าถังหรือไม่ใช่กันแน่

    พวกมันไม่ใช่ทหารต้าถัง

    พวกมันเคยเป็นทหารต้าถัง

    พวกมันปลดประจำการแล้ว ตอนนี้เป็นพ่อค้า เป็นคนของสำนักคุ้มภัย เป็นชาวนา

    แต่ยามที่ต้าถังต้องการพวกมัน พวกมันก็คือทหารต้าถัง

    หยางเอ้อร์สี่ตีทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้านายหนึ่งตกม้าแล้วสาวเท้าเข้าไปแทงคราดเข้าหน้าอกของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง

    จากนั้นใช้เท้าขวาเหยียบทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้านายนั้นไว้แล้วกระชากคราดออก

    กระบวนท่าการเคลื่อนไหวนี้คล่องแคล่วลื่นไหล คิดว่ามันเคยทำมาแล้วหลายครั้ง

    มันกระชับคราดวิ่งไปทางทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าที่ถูกเพื่อนทิ้งแล้วโดนพวกชาวนาล้อมอยู่ หยางเอ้อร์สี่บ่นอยู่ในใจด้วยความเดือดดาล วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้ดาบสักเล่ม

    “ขอข้าจัดการเอง!”

    มันตะโกนบอก

    ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้านายนั้นถูกดาบฟันจนโลหิตโซมกาย สติไม่แจ่มใสแล้ว พิงต้นไม้อยู่ แกว่งดาบโค้งในมือไปตามสัญชาตญาณล้วนๆ ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้

    พวกชาวถังที่ล้อมมันอยู่ได้ยินเสียงตะโกนอย่างรีบร้อนของหยางเอ้อร์สี่ ต่างเข้าใจความหมายจึงถอยเปิดทาง ยกศัตรูคนนี้ให้มัน

    หยางเอ้อร์สี่วิ่งมาถึงเบื้องหน้าทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าที่กำลังหายใจรวยริน ถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือแล้วควงคราดแทงไป ดูเป็นธรรมชาติราวกับทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้าน

    หน้าที่แล้ว1 of 4

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook