• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่านนิยาย สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่มที่ 27 ตอนที่ 2

    บทที่ 2ผู้เยาว์วัยแห่งสถานศึกษา

    การซุ่มโจมตีในครั้งนี้ได้ชัยชนะอย่างงดงาม ตอนเก็บกวาดสนามรบหยางเอ้อร์สี่ที่ฆ่าศัตรูไปสาม ทำให้บาดเจ็บได้สอง ได้สิทธิ์ในการเลือกของรางวัลจากการรบเป็นคนแรก

    สมบัติที่พวกทหารม้าเก็บกวาดมาย่อมต้องมอบให้ราชสำนักดำเนินการ ส่วนที่เรียกว่ารางวัลจากการรบย่อมไม่พ้นพวกชุดเกราะและอาวุธ เพียงแต่เกราะหนังที่ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าใช้ในสายตาของคนที่เคยเป็นทหารประจำการของต้าถังก็เหมือนเสื้อเก่าๆ ที่ใช้ปกปิดร่างกายเท่านั้น ไม่มีใครอยากได้ ดังนั้นเป้าหมายจึงเหลือเพียงดาบและธนู

    หยางเอ้อร์สี่อยากได้ดาบสักเล่ม คราดถูกลับมาคมมาก ใช้ฆ่าคนได้อย่างสบาย หลังต่อสู้มาหลายครั้งมันใช้จนคล่องมือแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเครื่องมือถากหญ้า ไม่ค่อยเหมาะสำหรับสู้รบ

    ทหารต้าถังก่อนจะปลดประจำการสามารถใช้ระยะเวลาในการเป็นทหารและความดีความชอบที่เคยทำแลกเปลี่ยนกับเกียรติยศของการได้นำอาวุธคู่ใจกลับบ้าน ไม่มีใครสามารถตัดใจจากอาวุธคู่ใจของตน คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะแลกเปลี่ยน สุดท้ายกลายเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของทหารต้าถัง

    หยางเอ้อร์สี่ตอนอยู่ในกองทัพมีชื่อเสียงด้านยิงธนู ดังนั้นจึงเลือกนำธนูไม้หวงหยางกลับบ้าน ทิ้งดาบคาดเอวไว้ที่กองทัพ ตอนนี้เห็นดาบที่เหล่าสหายนำกลับมาจากกองทัพก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย มันจึงอยากแลกดาบ

    ทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าสองนายที่ถูกยิงและตีตายในตอนแรกสุดไม่รู้ทำดาบคาดเอวตกไว้ที่ไหน ด้วยเหตุนี้มันจึงให้บรรดาสหายเหลือคนสุดท้ายไว้ให้มัน

    หยางเอ้อร์สี่คารวะขอบคุณบรรดาสหายที่เข้าใจความคิดของตน ดาบโค้งที่เก็บได้จากข้างศพทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้า แม้ยังไม่ค่อยชินกับรูปแบบของดาบ แต่รู้สึกว่าดีกว่าคราดมาก

    ได้ดาบแหลมคมและใช้งานง่ายแล้ว คราดพลันดูเทอะทะไปเลย แต่มันไตร่ตรองอยู่นานก็ยังตัดใจทิ้งไม่ลง จึงแบกไว้ที่บ่า จากนั้นเดินเข้าป่าไป

    ครู่ต่อมามันเดินออกจากป่า สิ่งของดำๆ ส่ายไปมาอยู่บนคราด พอเพ่งมองอย่างละเอียดจึงพบว่าเป็นขาหมูที่เอามาจากบ้าน ถูกกินจนเหลือเพียงกีบเท้า

    บรรดาสหายเห็นภาพเช่นนี้มาหลายวัน สุดท้ายทนไม่ไหวจึงเอ่ยหยอกล้อ

    “ข้าว่านะเอ้อร์สี่ เจ้าเอากีบเท้าที่น่าสงสารนี่มาตุ๋นกินเถอะ หรือไม่ก็โยนทิ้งไป จะแขวนไว้ทั้งวันทำไม”

    หยางเอ้อร์สี่ไม่สนใจคำพูดพวกมัน

    “ภรรยาให้มาต้องค่อยๆ กิน ตอนหมักเกลือใส่เกลือไปไม่น้อย ตอนอบรมควันก็ใช้กิ่งสนอย่างดี ไม่ต้องกลัวเสีย”

    บรรดาสหายต่างหัวเราะเป็นการใหญ่ จากนั้นไม่มีผู้ใดสนใจขาหมูที่น่าสงสารอีก

    หยางเอ้อร์สี่รู้สึกว่าด้านข้างมีการขยับเขยื้อนจึงหันไปมอง เห็นมือเล็กๆ ข้างหนึ่งกำลังดึงชายเสื้อของตนเบาๆ คือมือของเด็กหญิงที่ก่อนหน้านี้เกือบถูกทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าฆ่าตาย

    เห็นใบหน้าที่มอมแมมมันก็คิดถึงลูกสาวตนจึงกล่าวปลอบใจว่า

    “ไม่ต้องกลัว พรุ่งนี้พวกเราจะไล่คนเลวพวกนั้นไปให้หมด”

    เด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้มาเพื่อสนทนากับมัน ในแววตาไม่มีความหวาดกลัว แต่ทอประกาย มุมปากมีน้ำลายซึมออกมา

    หยางเอ้อร์สี่มองไปตามสายตานางจึงพบว่านางจ้องขาหมูที่แขวนอยู่บนคราดอย่างไม่วางตา แววตากระหายหิวของเด็กหญิงเคลื่อนไหวไปมาตามการแกว่งของกีบเท้าหมู ทั้งน่ารักและน่าสงสาร มันคิดไปคิดมาแล้วดึงกีบเท้าหมูลง ยัดเข้าไปในอกเสื้อของเด็กหญิง เด็กหญิงดีใจจนยิ้มออกมา เช็ดน้ำลายที่มุมปากแล้วโค้งคารวะขอบคุณ จากนั้นกระโดดโลดเต้นวิ่งไปหาย่าของตน วิ่งไปพลางตะโกนอะไรสักอย่างไปพลาง

    สหายคนหนึ่งเดินมาหาหยางเอ้อร์สี่ บอกว่า

    “ทั้งครอบครัวของนางถูกฆ่า เหลือเพียงสองคนย่าหลานหลบในหลุมหลบภัยจึงรอดมาได้”

    หยางเอ้อร์สี่มองเงาหลังของเด็กหญิง ไม่ได้พูดสิ่งใด

    พวกมันแบ่งเสบียงของตนครึ่งหนึ่งไว้ให้ชาวบ้านลี้ภัย จากนั้นวาดแผนที่คร่าวๆ บอกพวกชาวบ้านว่าห่างจากที่นี่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้สิบเจ็ดลี้มีจวนว่าการชั่วคราวของราชสำนักที่รับผิดชอบพากลุ่มชาวบ้านลี้ภัยหนีไป

    เมื่อจัดการเรื่องเสร็จพวกมันก็จูงม้าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บยี่สิบกว่าตัวออกจากหมู่บ้าน

    เช้าวันที่สอง ทหารปลดประจำการเหล่านี้ได้พบกับหน่วยทหารหลักของต้าถัง

    “หยางเอ้อร์สี่ ใช้ได้นี่ ได้ดาบมาเร็วขนาดนี้”

    ทหารม้านายหนึ่งกล่าวพลางมองหยางเอ้อร์สี่

    หยางเอ้อร์สี่กล่าวอย่างได้ใจว่า

    “นี่ยังไม่เท่าไหร่ ถ้าไม่เพราะข้าฆ่าชาวหมานสามคนแล้วสิ้นเรี่ยวแรงไปมาก อีกทั้งไม่ชอบแย่งความดีความชอบล่ะก็ สองคนที่ถูกข้าเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสคงต้องจดลงบัญชีของข้าด้วย”

    ทหารม้านายนั้นได้ฟังก็หัวเราะ

    “พอแล้วๆ ข้าจะไม่ลืมบอกหัวหน้าให้บันทึกความดีความชอบของเจ้า”

    “อย่าลืมสิว่าข้าคือทหารในกองทัพชายแดนรัชสมัยเทียนฉี่ปีที่สองนะ”

    ว่าจบหยางเอ้อร์สี่ก็แบกคราดตามสหายเข้าป่าไป

    ทหารม้านายนั้นกระตุ้นม้าเบาๆ ให้วิ่งไปอีกทางจนไปถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง หยุดม้าที่ข้างม้าของหัวหน้า กล่าวรายงานเสียงเบาถึงข่าวที่ได้รับมาเมื่อครู่

    หลิวซือหัวหน้ากองแห่งค่ายเซียวฉีพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยกมือเป็นความหมายให้ทหารลาดตระเวนนายนี้จากไป จากนั้นมองชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยว่า

    “หลงชิ่งเร่งความเร็วมากขึ้น เพิ่งคลาดกับพวกเรา”

    ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมชุดเขียว สีหน้าสงบนิ่ง ดูโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางทหารชุดเกราะหลายร้อยที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของค่ายเซียวฉี ชายผู้นี้คือเฉาเสี่ยวซู่

    เฉาเสี่ยวซู่เอ่ยว่า

    “หลงชิ่งดูค่อนข้างรีบร้อน การป้องกันของเขตต่างๆ ก็อ่อนแอเกินไป”

    หลิวซือเอ่ยว่า

    “กองทหารประจำการของแต่ละเขตใช้สู้รบกับพลเดินเท้ายังพอไหว แต่กับทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าไม่มีทางเลยจริงๆ พวกมันสู้รบอย่างอเนจอนาถ แต่ก็สู้อย่างเต็มกำลัง”

    “ข้าไม่ได้สื่อความหมายในเชิงตำหนิ ในบรรดากองทหารประจำการทั้งหมดความจริงนับได้เพียงเขตกู้ซานว่ามีกำลังรบที่แท้จริง ฮว่าซานเยวี่ยทำหน้าที่ซานโจวเจิ้นจวินจู่ก่วนได้ไม่เลว เพียงแต่ทหารของมันส่วนใหญ่ย้ายไปค่ายบัญชาการทัพเหนือเพื่อต้านเผ่าจินจั้ง พวกเราจึงไม่อาจหวังพึ่งมัน”

    หลิวซือค่อนข้างรู้สึกหม่นหมอง มันติดตามเฉาเสี่ยวซู่พาทหารม้าฝีมือดีแปดร้อยจากค่ายเซียวฉีออกจากฉางอันมายังชายแดนตะวันออก เดินทางอย่างยากลำบากและเสี่ยงอันตรายมาตลอดทาง ทั้งสู้รบกับทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าไปหลายรอบ แต่กลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เพราะจำนวนคนของพวกมันน้อยเกินไป ถึงขั้นไม่กล้าปะทะกับกองกำลังหลักของหลงชิ่งโดยตรง

    เฉาเสี่ยวซู่เอ่ยว่า

    “ไม่ต้องคิดมาก แม้ทำได้เพียงไล่ตามก่อกวน แต่อย่างน้อยก็ทำให้พวกทหารม้าชาวหมานไม่กล้ากำแหงเกินไป ทำให้ชาวบ้านชายแดนตะวันออกเจอกับความโหดร้ายน้อยลง”

    พูดจบมันมองไปทางกองทหารอาสาที่กำลังเดินหายเข้าไปในป่า กล่าวอย่างเลื่อมใสว่า

    “ถ้าไม่มีคนพวกนั้น สถานการณ์จึงสิ้นหวังอย่างแท้จริง”

     

    คนอย่างหยางเอ้อร์สี่มีเป็นจำนวนมาก

    มีชาวนาจำนวนมากละทิ้งที่นา ละทิ้งบ้าน รวบรวมเงินค่าเดินทาง หอบสัมภาระรวมถึงดาบหรือธนูที่สมัยก่อนนำมาจากกองทัพ มุ่งหน้าสู่ชายแดนตะวันออกที่ห่างไกล

    คำสั่งเรียกเกณฑ์ทหารของราชสำนักยังมาไม่ถึงหมู่บ้านของพวกมัน แต่พวกมันก็เคลื่อนไหวก่อนแล้ว ตามเหตุผลการทำแบบนี้ถือว่าไม่ฉลาด เพราะพวกมันไม่มีการรวมกลุ่ม แม้แต่สนามรบอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้

    แต่สงครามครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่นๆ นี่คือสงครามที่เกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของต้าถัง ดังนั้นข่าวการรุกรานของศัตรูก็คือคำสั่งของกองทัพ คือคำสั่งเรียกเกณฑ์ทหาร บนถนนหนทางหรือในป่าเขา หากพบใครที่เอวคาดดาบเก่าหรือสะพายธนูก็ถือว่าเป็นสหายร่วมรบ ด้วยเหตุนี้จึงรวมตัวกันเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งได้

    ส่วนสนามรบอยู่ที่ไหนนั้น…ข้าศึกอยู่ที่ใดที่นั่นก็คือสนามรบ!

    นี่คือความคิดของหยางเอ้อร์สี่ และคือความคิดของเหล่าสหายของมันด้วย

    ภายหลังสงครามสิ้นสุด รายงานทางการทหารระบุว่าเพียงแค่พื้นที่เขตภาคกลางของต้าถังก็มีทหารปลดประจำการมากกว่าสองหมื่นที่สมัครใจเข้าร่วมสงครามต่อต้านผู้รุกรานทางชายแดนตะวันออกก่อนที่คำสั่งเรียกเกณฑ์ทหารจะมาถึง

    กองกำลังตอบโต้กลุ่มแรกสุดและน่าชื่นชมที่สุดของต้าถังนี้ สุดท้ายแล้วกลับถึงหมู่บ้านของตนได้ไม่ถึงครึ่ง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook