• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่านนิยาย สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่มที่ 27 ตอนที่ 2

    ผู้ที่ช่วยต้าถังได้มีเพียงชาวถังเอง

    เช่นหยางเอ้อร์สี่ เช่นแม่ทัพใหญ่สวีฉือที่บัญชาการกองกำลังปราบแดนเหนือสู้รบกับเผ่าจินจั้งสามวันสามคืนไม่หลับไม่นอน เช่นชาวบ้านเขตเหอเป่ยที่ขนส่งเสบียงฝ่าความหนาวไปยังแนวหน้า

    แต่การจะกอบกู้วิกฤตของการล่มสลายของแคว้นอาศัยเพียงความกล้าและปณิธานที่ยิ่งใหญ่นั้นยังไม่พอ เพราะสงครามที่ทั้งโลกบุกโค่นต้าถังในครั้งนี้แม้ต่อสู้กันในโลก แต่อยู่ในระดับชั้นที่เกือบจะเหนือโลกิยะแล้ว

    ช่วงที่ผ่านมาพวกผู้ฝึกฌานที่น้อยครั้งจะสนใจเรื่องทางโลกต่างสนองตอบต่อโองการของอาศรมเทพ เข้าร่วมสงคราม แม้แต่วัดเสวียนคงที่เร้นกายจากโลกภายนอกยังส่งหลวงจีนสัประยุทธ์ของตนออกมา

    ชายแดนตะวันตกของต้าถัง บนที่ราบสูงของเทือกเขาชงหลิ่ง

    ชีเหมยต้าซือกำลังเดินเข้าหาหน่วยของแม่ทัพต้าถัง

    เจ้าอาวาสวัดเสวียนคงผู้นี้ฝึกฌานถึงขั้นกายเนื้อคือพุทธะ อาวุธธรรมดาไม่สามารถทำให้มันบาดเจ็บ ยอดฝีมือในมรรคาแห่งยุทธ์ของกองทัพต้าถังล้วนหยุดการก้าวเดินของมันไม่ได้

    เผชิญหน้ากับยอดคนโลกุตระเช่นนี้นอกจากความกล้าและความเด็ดเดี่ยวแล้วยังต้องมีความแข็งแกร่งที่แท้จริงด้วย

    ฝ่ายการทหารของต้าถังเท่าที่ผ่านมา ยอดฝีมือในมรรคาแห่งยุทธ์ระดับสุดยอดเฉกเช่นสวี่ซื่อและซย่าโหวปัจจุบันเหลือเพียงสวีฉือเท่านั้น ทว่าแม่ทัพใหญ่ซูเฉิงแม้มีสติปัญญาและกลยุทธ์ แต่ไม่โดดเด่นนักด้านพลังฝีมือ

    เช่นนั้นผู้ใดจะหยุดการก้าวเดินของชีเหมยได้

    ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่มีบัณฑิตสวมเสื้อนวมเก่าๆ เดินเข้ามาในสนามรบ

    บนตัวมันเต็มไปด้วยฝุ่นละอองแต่กลับดูสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ว่ากายหรือใจล้วนเป็นเช่นนี้

    ที่เอวยังคงผูกกระบวยไม้ไว้อันหนึ่ง แต่ไม่เห็นคัมภีร์เก่าเล่มนั้นแล้ว

    ในสนามรบที่กำลังโกลาหล หลังจากบัณฑิตผู้นี้ปรากฏตัวก็เหมือนมีลมวสันต์อันอบอุ่นอ่อนโยนโชยพัดเข้ามาในหัวใจของทุกผู้คน หน่วยทหารที่กำลังระส่ำระสายพลันสงบลง

    ทหารของต้าถังมีไม่กี่คนที่รู้ว่าบัณฑิตผู้นี้คือใคร แต่ที่เหลือไม่รู้เพราะเหตุใดพอเห็นบัณฑิตผู้นี้แล้วเหล่าทหารหาญจึงรู้สึกใจสงบอย่างหาที่เปรียบมิได้ และเต็มไปด้วยความรู้สึกมั่นใจ

    ในที่สุดชีเหมยก็หยุดก้าวเดิน

    ใครกันทำให้มันหยุดได้…แน่นอนว่าคือสถานศึกษา ขุมกำลังที่เข้มแข็งอย่างแท้จริงของต้าถังคือสถานศึกษา

    แม้บัณฑิตผู้นี้มีสีหน้าอ่อนโยน ดูคล้ายไร้พละกำลัง แต่เพียงมันยืนอยู่เบื้องหน้าหน่วยแม่ทัพของต้าถัง ชีเหมยก็ไม่กล้าเดินหน้าต่อ นี่คือพละกำลังที่แท้จริง

    “ก่อนที่ปฐมพุทธะจะละสังขารได้ส่งต่อของวิเศษและภูมิปัญญาไว้มากมาย ที่ต้องการคือยับยั้งการรุกรานโลกมนุษย์ของโลกแห่งความมืด ตั้งใจจะปราบบุตรีของหมิงหวัง บัดนี้คนทั้งโลกยังไม่เข้าใจ แต่คิดว่าวัดเสวียนคงเข้าใจแล้ว เช่นนั้นเพราะเหตุใด”ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยถามพลางมองชีเหมยต้าซือด้วยสีหน้าจริงใจ เป็นการขอคำชี้แนะอย่างจริงจังและบริสุทธิ์ใจ

    ชีเหมยต้าซือนิ่งเงียบไปนานก่อนกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณ แล้วเอ่ยตอบว่า

    “ปฐมพุทธะละสังขาร จอมปราชญ์ขึ้นสวรรค์ แสงแห่งอจลหมิงหวังฉายสู่โลกมนุษย์ เจตนาฟ้ามิอาจขัดขืน นี่คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน”

    ศิษย์พี่ใหญ่ค่อนข้างคาดไม่ถึงและค่อนข้างเสียดาย จึงกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า

    “ที่แท้เป็นเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าการจากไปของอาจารย์ส่งผลเช่นนี้ต่อนิกายพุทธ คิดว่าอาจารย์ก็คาดไม่ถึงเช่นกัน”

    ชีเหมยต้าซือเอ่ยว่า

    “นี่ก็เป็นอีกข้อพิสูจน์หนึ่ง”

    ศิษย์พี่ใหญ่มองมดตัวหนึ่งที่กำลังดิ้นรนไม่หยุดอยู่ในกองเลือดเล็กๆ เบื้องหน้ารองเท้าฟาง คิดไปคิดมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองชีเหมยต้าซือพร้อมเอ่ยเสียงเรียบว่า

    “สถานศึกษาเราอยากลองสักหน่อย”

    ชีเหมยต้าซือเอ่ยด้วยถ้อยคำเรียบง่ายแต่ความหมายลึกซึ้งว่า

    “นับถือ เชิญ”

    ศิษย์พี่ใหญ่จึงเอ่ยว่า

    “ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

    คำพูดนี้ถ้ากล่าวจากปากศิษย์พี่รอง ไม่ว่าจะเรียบง่ายไม่แสดงอารมณ์อย่างไรล้วนต้องถูกฝ่ายตรงข้ามเข้าใจว่าเป็นการแสดงความยโสอวดดี ถ้ากล่าวจากปากหนิงเชวียแน่นอนว่ามันจะต้องตั้งใจทำเสียงเรียบเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกถึงการเหยียดหยามดูแคลนของมัน แล้วโกรธเคืองจนแทบคลุ้มคลั่ง

    แต่ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวคำพูดนี้ออกมาอย่างไม่รีบร้อนและสงบนิ่งจริงๆ การกล่าวความจริงอย่างเรียบง่ายเช่นนี้ทำให้คนฟังยากจะเกิดอารมณ์ไม่พอใจ

    “ด่านฌานของอาตมาย่อมไม่อาจเทียบเซียนเซิงใหญ่”

    ชีเหมยต้าซือมองศิษย์พี่ใหญ่พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน

    “แต่ไม่ว่าเซียนเซิงใหญ่จะด่านฌานสูงเพียงใด คิดจะหยุดอาตมาคงไม่ใช่เรื่องง่าย”

    พระเถระแห่งวัดเสวียนคงรูปนี้ก็ตอบอย่างสุขุมและมีความมั่นใจเช่นกัน ความสามารถของด่านไร้ระยะสำหรับบรรดาผู้ฝึกฌานที่มีร่างกายปกติถือว่าน่ากลัว แต่สำหรับชีเหมยที่ฝึกถึงขั้นกายเนื้อคือพุทธะกลับไม่ใช่ความสามารถที่รับมือไม่ได้

    ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า

    “ข้าต่อยตีไม่เป็น เรื่องนี้เป็นปัญหาจริงๆ”

    “เซียนเซิงใหญ่ก้าวข้ามด่านทั้งห้า อยู่เหนือโลกิยะ จะไปทิศใต้ ทิศตะวันออก หรือทิศเหนือล้วนสามารถช่วยต้าถังขจัดภัยอันตราย แต่ท่านมาทิศตะวันตก เผชิญหน้ากับพวกเราศิษย์นิกายพุทธ ดูแล้วนี่คงเป็นผลจากเจตนาฟ้ายากคาดเดา เจตนาฟ้ายากขัดขืน”

    ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวอย่างจริงจังว่า

    “แม้ข้าต่อยตีไม่เป็น ซ้ำต้าซือยังฝึกฌานถึงขั้นกายเนื้อคือพุทธะ แต่หากลองตีดูสักหลายครั้ง ข้าคิดว่าน่าจะเกิดผลอะไรบ้าง”

    ชีเหมยต้าซือนิ่งไปครู่ก่อนมองไปทางหน่วยของแม่ทัพที่อยู่ด้านหลังศิษย์พี่ใหญ่ เอ่ยว่า

    “เซียนเซิงใหญ่กล่าวมีเหตุผล แต่ก่อนที่ท่านจะฆ่าข้าได้ ข้าคงฆ่าทุกคนในหน่วยของแม่ทัพใหญ่จนสิ้นแล้ว”

    กล่าวจบชีเหมยก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าที่แน่วแน่!

    เวลานี้มันอยู่ห่างจากหน่วยแม่ทัพเพียงสิบเจ็ดก้าว

    ศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่ตรงก้าวสุดท้าย เห็นสีหน้าที่แน่วแน่ของชีเหมย ศิษย์พี่ใหญ่จึงเริ่มมีสีหน้าหดหู่ เอ่ยถามว่า

    “นิกายพุทธเน้นเรื่องเมตตากรุณา ต้าซือจะบีบคั้นให้ข้าฆ่าคนจริงๆ หรือ”

    ชีเหมยต้าซือไม่ตอบคำถาม เดินหน้าไปอีกหนึ่งก้าว

    เสื้อนวมของศิษย์พี่ใหญ่สั่นไหว ตำแหน่งของกระบวยที่แขวนอยู่ที่เอวเปลี่ยนไปเล็กน้อย

    ทางตะวันตกห่างไกลจากสนามรบ ในค่ายของทหารแคว้นเยวี่ยหลุน แม่ทัพคนหนึ่งล้มลงตายคาที่ เสียงฮือฮาด้วยความตกใจดังไปทั่วบริเวณ ผู้คนต่างล้อมเข้ามาดู

    บนตัวแม่ทัพคนนั้นมองไม่เห็นบาดแผลใดๆ สีหน้าสงบนิ่งคล้ายหลับไป

    ชีเหมยต้าซือรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามลงมือแล้ว คิ้วซ้ายจึงเลิกขึ้น มันก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว

    ศิษย์พี่ใหญ่นิ่งมองมัน มีลมพัดที่ปลายผม

    ในกองทัพแคว้นเยวี่ยหลุนมีทหารธรรมดานายหนึ่งล้มลงสิ้นใจ

    หนึ่งก้าวสังหารหนึ่งคน

    ชีเหมยเดินหน้าหนึ่งก้าว

    ในกองทัพแคว้นเยวี่ยหลุนจะมีคนตายหนึ่งคน

    คนพวกนั้นตายอย่างรวดเร็วจึงไม่เจ็บปวด บนร่างกายไม่เห็นบาดแผลและไม่มีเลือดไหล ไม่มีใครมองเห็นว่าท้ายทอยของคนที่ตายล้วนเบี้ยวไป คล้ายถูกตีด้วยของไม่มีคม

    ศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่ที่เดิมตลอดไม่ได้ขยับไปไหน มีแต่เสื้อนวมที่สั่นเล็กน้อย และกระบวยซึ่งเริ่มเกิดรอยร้าวอันบ่งบอกว่ามันทำอะไรไปบ้าง

    ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้เจาะจงเลือกคนตาย

    มีทั้งแม่ทัพและทหารธรรมดา

    ในความคิดของมันทุกคนล้วนเสมอภาคกัน ฉะนั้นก่อนสังหารไยต้องเลือก แต่เห็นชัดว่าไม่ใช่ทุกคนที่คิดเหมือนศิษย์พี่ใหญ่

    ชีเหมยยังคงก้าวต่อไป ตอนนี้มันห่างจากหน่วยแม่ทัพอีกเก้าก้าว นี่หมายความว่าแคว้นเยวี่ยหลุนยังต้องสูญเสียอีกเก้าชีวิต

    สีหน้าของศิษย์พี่ใหญ่เคร่งขรึมขึ้นทีละน้อย

    เหลืออีกแปดก้าว

    ผู้บัญชาการกองทัพแคว้นเยวี่ยหลุนตาย

    เหลืออีกเจ็ดก้าว

    ผู้รับช่วงทำหน้าที่เจ้าคณะหอวินัยของวัดเสวียนคงตาย

    เท้าของชีเหมยต้าซือก้าวได้ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละก้าวต้องใช้เวลามากขึ้นเรื่อยๆ

    ขณะที่ชีเหมยยังไม่ทันได้ก้าวก้าวต่อไป ศิษย์พี่ใหญ่พลันบอกว่า

    “จักรพรรดิแคว้นเยวี่ยหลุนตายแล้ว”

    เป็นครั้งแรกระหว่างการต่อสู้ที่ศิษย์พี่ใหญ่ฆ่าคนก่อนที่ชีเหมยจะก้าวเดิน นี่หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าแม้เหลืออีกหกก้าวแต่คนที่ต้องตายไม่ได้เหลือเพียงหกคน

    อาจเป็นหกสิบ

    หกร้อย

    หกพัน

    หรือมากกว่านั้น

    ไม่ว่าจะมีเมตตาอย่างไร ขอเพียงฆ่าคนมากเข้าสุดท้ายก็ไม่กลัวที่จะฆ่าคน

    เท้าของชีเหมยต้าซือไม่อาจก้าวเดินต่อ

    ทันใดนั้นมีเท้าคู่หนึ่งเหยียบลงบนพื้นดิน เท้าคู่นั้นสวมรองเท้าผ้าสีเขียวแสนธรรมดา แต่ตอนที่ปรากฏ ฝ่าเท้าเหยียบลงบนมดตัวนั้นที่ดิ้นรนอยู่ในกองเลือดมาเป็นเวลานาน

    เจ้าของรองเท้าผ้าสีเขียวคือนักพรตผู้สวมชุดนักพรตสีเขียว

    ทั้งบริเวณเงียบสนิท ศิษย์พี่ใหญ่คารวะนักพรตชุดเขียวแล้วเอ่ยว่า

    “เจ้าอารามมาช้าไปแล้ว”

    นักพรตชุดเขียวคือเฉินโหม่ว เจ้าอารามของอารามจือโส่ว หลังจากจอมปราชญ์จากโลกมนุษย์ไป มันและเจ้าคณะฝ่ายเทศนาแห่งวัดเสวียนคงก็คือผู้อยู่จุดสูงสุดของโลกใบนี้

    ถ้ามันปรากฏตัวเร็วกว่านี้อีกนิด ศิษย์พี่ใหญ่ย่อมไม่อาจฆ่าคนไปมากถึงเพียงนั้น

    ศิษย์พี่ใหญ่ไม่อยากฆ่าคน ดังนั้นจึงพูดว่าเจ้าอารามมาช้าไป

    นักพรตชุดเขียวมองศิษย์พี่ใหญ่แล้วเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า

    “เพราะอยากดูสักหน่อยว่าศิษย์ที่จอมปราชญ์สอนด้วยวิถีแห่งเมตตาธรรมจะฆ่าคนได้มากน้อยแค่ไหน จึงมาช้า”

    ศิษย์พี่ใหญ่เข้าใจความหมายของมัน

    นิกายเต๋าไม่สนใจว่าจักรพรรดิแคว้นเยวี่ยหลุนจะเป็นหรือตาย ไม่สนใจว่าวันนี้นิกายพุทธจะมีคนตายมากน้อยเท่าไร ต่อให้นิกายพุทธและแคว้นเยวี่ยหลุนล่มสลายไปนักพรตชุดเขียวก็ไม่สนใจ

    ศิษย์พี่ใหญ่ทอดถอนใจว่า

    “ที่แท้เพราะอยากให้ข้าฆ่าคน”

    จากนั้นศิษย์พี่ใหญ่มองไปทางชีเหมยต้าซือ กล่าวอย่างเศร้าใจเล็กน้อยว่า

    “ตอนนี้ท่านยังคิดว่าเจตนาฟ้าไม่อาจขัดขืนอยู่หรือไม่”

    ชีเหมยต้าซือนิ่งเงียบ

    ศิษย์พี่ใหญ่มองกระบวยไม้ของตน มองรอยร้าวบนนั้น

    “จวินโม่พูดถูก การต่อยตีคือการใช้ของแข็งโจมตีจุดอ่อนของศัตรู ต้องออกแรงอย่างเต็มกำลัง ไม่อาจใจอ่อน เจ้าอารามท่าน…ก็ทำเช่นนี้”

    ศิษย์พี่ใหญ่เงยหน้ามองนักพรตชุดเขียว กล่าวยิ้มๆ ว่า

    “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต่อยตีเป็นแล้ว”

    นักพรตชุดเขียวเลิกคิ้ว ชุดพลิ้วไหว พลันเสียงดังปานเสียงอสนีบาตดังขึ้นในที่นั้น!

    กระบวยไม้ที่เอวของศิษย์พี่ใหญ่ไม่รู้หายไปไหน แต่ด้านหลังของชีเหมยต้าซือมีเศษไม้กระจายอยู่เต็ม

    กระบวยไม้แตกกระจาย ศีรษะของชีเหมยต้าซือผิดรูปไปอย่างมากคล้ายเคยถูกภูเขาลูกหนึ่งกดทับ แม้กายเนื้อคือพุทธะ แต่บัดนี้เป็นเพียงพระพุทธรูปดินเผาที่ส่ายโงนเงนใกล้ล้ม

    ชีเหมยต้าซือนั่งลงกับพื้น บาดเจ็บสาหัสจนลุกไม่ขึ้น

    โลหิตสดซึมออกมาจากเสื้อนวมของศิษย์พี่ใหญ่ช้าๆ ย้อมไหล่จนเป็นสีแดง

    พริบตาก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่ใช้การโจมตีแรกหลังจากเรียนรู้การต่อยตีต่อชีเหมยต้าซือ ขณะเดียวกันมันก็เกือบโดนนักพรตชุดเขียวเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส

    นักพรตชุดเขียวนิ่งมองมันพลางเอ่ยว่า

    “ด่านฌานของเจ้าสู้ข้าไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าในเส้นทางของการไร้ระยะ เจ้าเคลื่อนไหวได้มั่นคงกว่าข้า”

    “ที่ผ่านมาเจ้าอารามเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจึงไม่ค่อยมั่นคง”

    “ว่ากันว่าเจ้าเช้าเข้าถึงสู่พิสดาร เย็นบรรลุรู้ชะตา อย่างนั้นเมื่อใดที่เจ้าก้าวข้ามด่านทั้งห้า”

    “ครั้งนั้นใช้เวลาค่อนข้างนาน ใช้ไปสามวัน”ศิษย์พี่ใหญ่ตอบ

    นักพรตชุดเขียวนิ่งเงียบไปนาน ไพล่มือไปด้านหลัง ส่ายหน้ายิ้มๆ รอยยิ้มของมันดูเป็นธรรมชาติ สองมือของมันแม้ไพล่หลัง แต่อุ้มโลกทั้งใบไว้

    ศิษย์พี่ใหญ่นิ่งเงียบแล้วจากไป

    นักพรตชุดเขียวก็จากไปตาม

    การต่อสู้ของด่านไร้ระยะครั้งแรกในโลกมนุษย์เริ่มขึ้นแล้ว

     

    เด็กคนหนึ่งกำลังกะเทาะหินอยู่นอกหว่าซาน

    หลังจากพระพุทธรูปศิลาพังถล่ม วัดลั่นเคอถูกทำลาย เทศกาลอวี๋หลันก็ไม่เคยจัดขึ้นอีกเลย จึงแน่นอนว่าไม่มีนักท่องเที่ยวมาหว่าซาน สระน้ำริมถนนแห้งขอดไปนานแล้ว

    ตอนนี้โดยหลักๆ แล้วผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับการซ่อมแซมวัดลั่นเคอ หลวงจีนในวัดให้ความช่วยเหลืออย่างใจกว้าง ดังนั้นชีวิตความเป็นอยู่จึงนับว่าไม่เลว ก้อนหินทั่วภูเขากลายเป็นของเล่นที่หาง่ายสำหรับเด็กๆ ขณะเดียวกันก็เป็นวัตถุดิบชั้นดีในทางการฝีมือด้วย สามารถนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปศิลาองค์เล็กเพื่อขายได้

    เด็กน้อยทำตามที่มารดาสอน คิดกะเทาะหินสองก้อนให้เป็นไปตามลวดลาย แต่วันนี้มันเพิ่งทำงานนี้เป็นวันแรก ยังไม่ชำนาญ กะเทาะอยู่นานยังกะเทาะไม่ออก

    มันโมโหมาก เช็ดน้ำมูกไม่หยุด กะเทาะไม่หยุด กระทั่งเล็บยังถูกกระแทกจนเลือดออก

    บัณฑิตสวมเสื้อนวมปรากฏตัวข้างๆ มัน ที่ไหล่ซ้ายมีคราบเลือด

    บัณฑิตมองเด็กน้อยกะเทาะหิน ถามอยู่คำสองคำแล้วเข้าไปช่วย ไม่รู้เหมือนกันว่าบัณฑิตเอาเรี่ยวแรงมากมายมาจากไหน หินสองก้อนปะทะกันกลางอากาศพลันแยกออกเป็นสี่ชิ้นอย่างประณีต

    เด็กน้อยดีใจมาก กล่าวขอบคุณบัณฑิต ทั้งอยากกราบบัณฑิตเป็นอาจารย์

    บัณฑิตยิ้มน้อยๆ แล้วหายตัวไป

    ครู่ต่อมานักพรตชุดเขียวปรากฏตัวขึ้น มันถามเด็กน้อยคนนั้นอยู่คำสองคำ จากนั้นก็ยิ้มแล้วหายตัวไป

    เด็กน้อยมองหินสี่ก้อนที่ตนหอบอยู่คราหนึ่ง ค่อนข้างงุนงง แล้วหันกายเดินเข้าเมือง

     

    ในเมืองเฉาหยางมีเสียงระฆังดังกังวานอยู่ เสียงระฆังไม่ได้มาจากวัดไป๋ถ่า แต่มาจากวังหลวง นี่คือเสียงระฆังประกาศการสวรรคตของจักรพรรดิ

    ริมถนนแคบมีหญิงชรานั่งเย็บพื้นรองเท้าอยู่บนม้านั่งยาว พอได้ยินเสียงระฆังก็ขยี้ตาที่ฝ้าฟางแล้วบ่นพึมพำว่า

    “เรื่องอะไรอีกหนอ”

    บัณฑิตปรากฏตัวต่อหน้าหญิงชรา ถามอย่างนอบน้อมว่า

    “เสื้อนวมขาดแล้ว ซ่อมได้ไหม”

    หญิงชราเห็นรอยขาดที่ไหล่ซ้ายของเสื้อนวมและคราบเลือดเหล่านั้นจึงกล่าวอย่างมีโทสะว่า

    “นี่ไปต่อยตีกับใครที่ไหนมา อายุยังน้อยกลับไม่รักดี”

    เสื้อนวมซ่อมเสร็จ บัณฑิตก็จากไป

    ครู่ต่อมานักพรตชุดเขียวปรากฏตัวต่อหน้าหญิงชรา

    หญิงชราเห็นรอยแหว่งที่ด้านล่างชุดเขียวของมันก็โบกมือพร้อมเอ่ยว่า

    “เนื้อผ้าดีเกินไป ข้าไม่กล้าซ่อม”

    นักพรตชุดเขียวจึงจากไป

     

    ทัพใหญ่ของอาศรมเทพยกขึ้นเหนือแล้ว เถาซานวันนี้จึงเงียบเหงา มีเพียงเสินกวนสองสามคนเดินช้าๆ ผ่านไป

    บัณฑิตปรากฏตัวหน้าอาศรมเทพแล้วจากไป

    นักพรตชุดเขียวปรากฏตัวตามมาแล้วจากไป

    ช่วงปลายฤดูสารทนี้ บัณฑิตและนักพรตชุดเขียวเหยียบย่ำไปทั่วทุกหนแห่งบนโลก

    คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งตามหลัง เดินทางหมื่นลี้ในพริบตาคือที่เรียกว่าไร้ระยะ

    ทุกครั้งที่พวกมันปรากฏตัว อาการบาดเจ็บที่ไหล่ซ้ายของบัณฑิตจะหนักขึ้นหนึ่งส่วน นักพรตชุดเขียวกลับไม่เป็นอะไรเลย

     

    ณ เกาะไร้นามเกาะหนึ่งของหมู่เกาะหนานไห่

    บนหาดทรายสีขาวมีกระบองไม้สั้นอันหนึ่ง ครึ่งหนึ่งของตัวกระบองจมอยู่ในทราย ดูแล้วคือกระบองไม้ธรรมดา แต่ความจริงมันห่างไกลจากความธรรมดาอักโข

    แต่เพราะเจ้าของจากโลกนี้ไปแล้ว มันจึงถูกทิ้งไว้ที่นี่และดูธรรมดา

    บัณฑิตปรากฏตัวบนหาดทราย ก้มเก็บกระบองไม้

    นักพรตชุดเขียวปรากฏตัวตามมาบนหาดทราย แบมือยื่นออกไปยังมหาสมุทรสีเขียวคราม กระบี่เล่มหนึ่งลอยมาเหนือผิวทะเลสู่อุ้งมือมัน

    นักพรตชุดเขียวเอ่ยถามว่า

    “หนีนานขนาดนี้เหนื่อยหรือไม่”

    ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยตอบว่า

    “เมื่อเทียบกับเจ้าอาราม ข้ายังเยาว์วัย”

    จากนั้นก็ถามกลับว่า

    “เจ้าอารามไม่เหนื่อยหรือ”

    “ข้าเคลื่อนที่ได้เร็วกว่า”

    “เจ้าอารามเคลื่อนที่เร็วมากจริงๆ ถ้าหากระบองอันนี้ไม่เจอข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไร”

    “ต่อให้หากระบองของจอมปราชญ์เจอ เจ้าก็ยืนหยัดได้อีกแค่เจ็ดวัน”

    ศิษย์พี่ใหญ่มองมันพลางเอ่ย

    “ยืนหยัดได้มากขึ้นหนึ่งวันก็ถือว่าดีแล้ว”

    “ชะตาฟ้าลิขิตไว้แล้ว ไยต้องทำให้ตนเองเป็นทุกข์”

    “โลกมนุษย์ไม่มีชะตาลิขิต ไม่มีใครรู้ว่าเจ็ดวันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

    ช่วงเวลาเจ็ดวันเพียงพอให้กองทัพตะวันตกของต้าถังถล่มข้าศึกแคว้นเยวี่ยหลุน เพียงพอให้หนิงเชวียควบคุมค่ายกลสยบเทวะเมืองฉางอัน เพียงพอให้สถานศึกษาทำเรื่องต่างๆ มากมาย

    นักพรตชุดเขียวเอ่ยว่า

    “เจ็ดวันให้หลังสถานศึกษาจะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป”

    “อาจารย์ขึ้นฟ้าไปสู้รบ พวกเราที่เป็นศิษย์จะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด”

    เจ้านิกายแห่งอาศรมเทพไปสถานศึกษาด้วยตนเอง ตามแผนการของนิกายเต๋า สถานศึกษาไม่มีความสามารถกู้สถานการณ์แล้ว ทว่าดูจากสีหน้าที่สงบนิ่งของศิษย์พี่ใหญ่ในตอนนี้คล้ายมีความเป็นไปได้อย่างอื่น

    นักพรตชุดเขียวหยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า

    “เจ้าน่าจะรู้ว่าทิศทางการโจมตีที่แท้จริงของนิกายเต๋าอยู่ที่ไหน”

    ทัพใหญ่ของอาศรมเทพอยู่ที่เขตชิงเหอทางทิศใต้ของต้าถัง หน้าหุบเขาชิงสยา

    ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยเรียบๆ ว่า

    “ข้าไม่เก่งเท่าจวินโม่ ดังนั้นข้าจึงอยู่ที่นี่”

    ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนมาก จวินโม่อยู่ที่นั่น

    “เจ้าไม่ต้องถ่อมตัว จวินโม่แม้มีศักยภาพไม่จำกัด กระทั่งข้าก็มองไม่ออกว่าในสนามรบมันจะเดินไปได้ถึงขั้นไหน แต่เจ้าก็ยังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของสถานศึกษา ด่านฌานของเจ้าสูงที่สุดจึงเป็นภัยต่อนิกายเต๋ามากที่สุด เหตุนี้ข้าจึงมาเฝ้าดูเจ้า”

    ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยว่า

    “เจ้าอารามก็เป็นภัยต่อต้าถังมากที่สุดเช่นกัน เหตุนี้ตลอดมาข้าจึงรอให้ท่านมาเฝ้าดูข้า อีกอย่างด่านฌานของเจ้าอารามเหนือกว่าข้ามาก หากคำนวณอย่างนี้สถานศึกษาเราเป็นฝ่ายได้กำไร”

    อยู่เหนือด่านทั้งห้าไม่ได้หมายถึงไร้คู่ต่อสู้ เช่น ผู้ฝึกฌานด่านเบิกนภาหลังจากรับแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนเข้าไปในร่างแล้วจะมีพละกำลังมากจนแทบไร้คู่ต่อสู้ แต่ไม่แน่ว่าจะชนะการล้อมโจมตีของคนทั้งโลก

    มีเพียงด่านไร้ระยะที่ลึกล้ำสุดหยั่งคาด อยู่ไกลนับพันลี้ยังเด็ดหัวแม่ทัพได้ หากใช้ในสนามรบจะเป็นยุทธวิธีที่น่ากลัวที่สุดและป้องกันได้ยากที่สุด

    นักพรตชุดเขียวเอ่ยว่า

    “ข้าอาจไม่สนใจเจ้า”

    ใบหน้าของศิษย์พี่ใหญ่ปรากฏความมั่นใจที่น้อยครั้งจะได้เห็น

    “ท่านต้องสนใจข้า”

    “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”

    ศิษย์พี่ใหญ่มองมันพลางตอบอย่างจริงจังว่า

    “ข้าต่อยตีเป็นแล้ว ถ้าเจ้าอารามไม่สนใจข้า ไม่เฝ้าดูข้า ข้าจะฆ่าคนได้มากมาย จ้าวบัลลังก์พิพากษา จ้าวบัลลังก์โองการฟ้า เยี่ยซู…นอกจากหลิ่วไป๋และเจ้านิกายที่ข้าไม่มั่นใจแล้ว คนอื่นๆ ข้าล้วนฆ่าได้”

    “ข้าก็ฆ่าคนได้มากมายเช่นกัน”

    ศิษย์พี่ใหญ่ส่ายหน้า

    “ท่านทราบดีว่าท่านฆ่าคนในฉางอันไม่ได้ ฆ่าคนในสถานศึกษาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรต่อสงครามของโลกมนุษย์ในครั้งนี้”

    “ข้าบอกไปแล้ว อย่างมากเจ้าก็ยืนหยัดได้เพียงเจ็ดวัน หลังจากเจ็ดวันข้าจะฆ่าได้ตามใจชอบ”

    “ข้าก็บอกไปแล้ว โลกมนุษย์ไม่มีชะตาลิขิต ไม่มีใครรู้ว่าเจ็ดวันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

     

    ทัศนียภาพของภูเขาหลังสถานศึกษากลายเป็นภาพลวงตา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตามองเห็นคล้ายกำลังขยับเปลี่ยนที่ แต่ความจริงไม่ได้เคลื่อนไหวเลย เหมือนเส้นบนกระดานหมากที่เปลี่ยนแปลงตาหมากได้ต่างๆ นานาแต่ความจริงยังคงเป็นระเบียบไม่เปลี่ยนแปลง

    ในโลกของหมากล้อมสีขาวดำ ทั้งสองฝ่ายค่อยๆ ผสมผสานและจับกลุ่มกัน จากนั้นจู่ๆ ตรงกลางพลันปรากฏช่องว่างขนาดใหญ่ ริมช่องว่างขนาดใหญ่นั้นพลทหารที่หาญกล้าล้มไปข้างหนึ่งอย่างกะทันหัน

    ขุนศึกผู้ทระนงตรงกลางกระดานล้มกลิ้งจนฝุ่นเต็มตัว รถศึกนับหมื่นด้านหลังขุนศึกเสียหายอย่างหนักไม่อาจเดินหน้าต่อ เหลือไว้เพียงรอยล้อที่จมลึก

    ทัศนียภาพค่อยๆ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง น้ำจากน้ำตกสีเงินตรงหน้าผาที่อยู่ห่างไกลกระทบกับน้ำในทะเลสาบเกิดเสียงครืนครัน พวกต้นไม้บนภูเขาเหยียดกลับตั้งตรง

    องครักษ์เทพสิบกว่าคนข้างรถลากตายไปแล้ว บนตัวปรากฏรอยเส้นตรงถี่ยิบ หากแต่เงาร่างบนรถลากยังคงสูงใหญ่ ทำลายกระบวนหมากออกมาได้ ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

    ในป่าบนภูเขา หมาป่าหิมะซุกตัวอยู่ในถ้ำ เลียบาดแผลที่ขาหน้าไม่หยุด โลหิตย้อมผ้าห่มในถ้ำจนเป็นสีแดง สภาพจิตใจดูหม่นหมองน่าสงสาร

    ลำธารใสหลังโรงตีเหล็ก ห่านขาวยังคงนั่งบนกังหันน้ำ เงยหน้าขึ้นฟ้า แต่ไม่ได้ร้องออกมา ดูขุ่นเคืองคับข้องใจ เลือดค่อยๆ ย้อมขนหน้าท้องสีขาวจนเป็นสีแดง

    โคเหลืองบนทุ่งหญ้าดูอ่อนล้าชรากว่าเดิม

    กระดานหมากใต้ต้นสนแตกเป็นเสี่ยงๆ ศิษย์พี่ห้าและศิษย์พี่แปดมองชิ้นส่วนกระดานหมากที่กระจัดกระจายบนโต๊ะแล้วนิ่งเงียบไปนาน โลหิตไหลซึมออกจากมุมปาก ทั้งสองได้รับบาดเจ็บภายในอย่างสาหัส

    ศิษย์พี่ศิษย์น้องมองหน้ากัน มองเห็นความสำนึกเสียใจจางๆ ในดวงตาของอีกฝ่าย

    ไม่น่าเสียเวลากับกระดานหมากไปครึ่งชีวิตเพราะความชอบเลยจริงๆ ถ้าที่ผ่านมาตั้งใจศึกษาวิธีต่อยตีจากอาจารย์มาบ้าง ไหนเลยพรตเฒ่านิกายเต๋าจะลำพองได้ถึงเพียงนี้

    เจ้านิกายเปล่งเสียงหัวเราะก้องดัง

    ผ้าม่านบนรถลากสั่นไหวไม่หยุด ลมพัดจากกลางเขาอย่างฉับพลัน พัดต้นสนจนส่ายไหวคล้ายระลอกคลื่น เกิดเสียงดังครืนๆ ก้อนเมฆไหลกระแทกยอดน้ำตกจนแตกกระจาย

    เสียงหัวเราะของมันโอ่อ่าผ่าเผย เต็มไปด้วยความลำพองใจ

    ฆ่าสวี่ซื่อก่อนแล้วถล่มสถานศึกษา จากนั้นทำลายฉางอัน ต้าถังไม่อาจดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว!มิต้องสงสัย นี่จะเป็นจุดสูงสุดของชีวิตมัน

    ทว่าทันใดนั้นในเมฆหมอกตรงกลางเขามีคนผู้หนึ่งเดินมา

    ศิษย์พี่สามแห่งสถานศึกษา อวี๋เหลียน

    นางเดินอย่างแช่มช้าบนทางขึ้นเขา นางตัวเล็กมาก ใบหน้างามสดใส แต่กิริยาอ่อนโยนสุขุม

    ถ้ามองเพียงรูปร่างจะคิดว่านางเป็นเพียงดรุณีคนหนึ่ง

    ถ้าพินิจดวงตานางอย่างละเอียดจะคิดว่านางคือสตรีที่เห็นโลกมาอย่างเจนตา

    เห็นนางเดินขึ้นเขามา เสียงหัวเราะของเจ้านิกายค่อยๆ เงียบลง

    “เซียนเซิงสาม ข้ารู้ความไม่ธรรมดาของท่าน ด่านสู่พิสดารเป็นเพียงฉากหน้าที่ใช้หลอกคนทั้งโลก ขอเพียงท่านต้องการก็เข้าด่านรู้ชะตาได้ทุกเมื่อ ดังนั้นท่านเลิกเสแสร้งได้แล้ว”

    อวี๋เหลียนไม่กล่าววาจา ยังเดินต่อไป หากแต่เรื่องที่แปลกประหลาดมากก็เกิดขึ้นพร้อมกับการย่ำเท้าก้าวเดิน

    เส้นผมของนางค่อยๆ คล้อยตกลงแทบจะต่ำกว่าเอว ไม่ใช่ว่าผมของนางกำลังยาวขึ้น แต่นางกำลังเตี้ยลง!

    อวี๋เหลียนเดินอยู่บนทางขึ้นเขา เมื่อก้าวหนึ่งก้าวตัวจะเตี้ยลงหนึ่งส่วน ใบหน้าที่เดิมดูอ่อนเยาว์สดใสอยู่แล้วก็เยาว์วัยยิ่งกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายเป็นเด็กหญิงอายุสิบสองสิบสาม!

    กระแสปราณในร่างนางเองก็กำลังเปลี่ยนแปลง จริงดังคำพูดของเจ้านิกาย ทะลุด่านสู่พิสดารเข้าด่านรู้ชะตาได้อย่างง่ายดาย!

    เห็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของอวี๋เหลียน เจ้านิกายเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า

    “ข้าพูดไปแล้วว่า…”

    จู่ๆ เสียงของมันหยุดชะงัก คิ้วของมันพลันขมวดมุ่น เพราะหลังจากอวี๋เหลียนเข้าด่านรู้ชะตาแล้วกระแสปราณในร่างยังแข็งแกร่งขึ้นอีก!

    เดินช้าๆ บนทางขึ้นเขา นางเปลี่ยนจากด่านสู่พิสดารไปจนถึงจุดสูงสุดของด่านรู้ชะตาในชั่วพริบตา!

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook