• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 21 บทที่ 3

    บทที่ 3

    หมอเทวดา

     

    สุราถูกเทลงในจอกหยก กระทั่งเทถึงแปดส่วนซ่งหลีจึงพยายามยกป้านสุราขึ้นหยุดยั้งอย่างว่องไว นางวางป้านสุรากลับบนโต๊ะ สองมือถือจอกสุราขึ้น ยื่นให้เบื้องพระพักตร์จักรพรรดิด้วยความนอบน้อม

    ท่าทางเหล่านี้ซ่งหลีในอดีตไม่รู้เคยทำกี่หนแล้ว ฝ่าบาทโปรดที่จะทอดพระเนตรนางรินสุรา ทักษะไม่ได้ช่ำชองเหมือนกับสนมชายาคนโปรดหรือนางกำนัลคนอื่นๆ ขณะซ่งหลียกป้านรินสุราให้พระองค์ ท่วงท่ามักสะดุดเล็กน้อย ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายดายเพียงนี้ แต่พอซ่งหลีกระทำกลับหนักหนาและเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จักรพรรดิชอบรับการปรนนิบัติที่ตั้งอกตั้งใจเช่นนี้จากนาง นี่นำมาซึ่งความพึงพอพระทัยอย่างมากให้พระองค์

    แต่ขณะนี้พระองค์ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ท่าทางของซ่งหลียังคงแข็งขืน จักรพรรดิทรงรู้สึกไม่เหมือนเมื่อก่อน อากัปกิริยาทุกอย่างเบื้องหน้าพระองค์ของนางในคืนนี้ล้วนปรากฏความกังวลและความหวาดกลัว

    “มองดูข้า” จูโฮ่วจ้าวตรัสเสียงเย็นชา

    ซ่งหลีมิกล้าไม่มองดูพระองค์ หัวคิ้วนางขมวดเบาๆ คิ้วโก่งทั้งสองข้างลดลงมา สีหน้าอ่อนแอนี้ที่ผ่านมาทำให้พระองค์หลงใหลเป็นที่สุด

    จูโฮ่วจ้าวมองดูซ่งหลี กลับคิดถึงเพียงกิริยาท่าทางเด็ดขาดที่นางช่วยเหลือเยียนเหิงอย่างไม่เสียดายชีวิตในจวนแม่ทัพตรวจการทหารห้ากองทัพ

    ในห้องบรรทมอันใหญ่โตมีเพียงคนทั้งสอง พระองค์ผลักไสขันทีและนางกำนัลทั้งหมดออกไปแล้ว ความจริงนับจากยกทัพลงใต้มา จักรพรรดิเจิ้งเต๋อหลงใหลสาวงามเจียงหนานที่พวกเจียงปิน สวี่ไท่ และจางจงหมุนเวียนกันนำมาบรรณาการ ระหว่างทางไม่มีเวลาว่างเสวยสุขกับนางสักครั้งเดียว แต่คืนนี้พระองค์ตั้งใจเรียกนางมา

    พระองค์จ้องสองตาของนาง ซ่งหลีเองก็ได้แต่ฝืนกลั้นความหวาดกลัวมองฝ่าบาทกลับ จูโฮ่วจ้าวมองออกว่าความหวาดกลัวส่วนนี้ในใจนางหาได้เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเองไม่

    จูโฮ่วจ้าวรับจอกหยกมาจิบหนึ่งอึก ถามซ่งหลีเสียงเย็นชา “เจ้ากับคนแซ่เยียนผู้นั้น…รู้จักกันได้อย่างไร”

    ซ่งหลีฟังแล้วระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ นางรู้ว่าได้แต่ตอบตามความสัตย์จริง “หม่อมฉันรู้จักกับมันขณะอายุสิบปี เติบโตมาด้วยกันหกปี” นางกลืนน้ำลายเล็กน้อย “นับจากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีก กระทั่ง…ในวันนั้น”

    จูโฮ่วจ้าวฟังแล้วจิบสุราเงียบๆ ความจริงพระองค์ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกที่เรียกว่า ‘เติบโตมาด้วยกัน’ ว่าเป็นอย่างไร พระองค์คือพระโอรสองค์โตของจักรพรรดิเซี่ยวจง จูโฮ่วเหว่ยพระอนุชาเพียงองค์เดียวสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระชนมายุสองพรรษาก็ถูกแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาท ตลอดมาล้วนเติบโตเพียงลำพัง ยิ่งพระชนมายุเพียงสิบห้าพรรษาก็ขึ้นครองราชย์ทันที ผู้ที่ห้อมล้อมอยู่รอบพระวรกายตลอดการเติบโตของพระองค์ ทั้งหมดล้วนเป็นขุนนางราชสำนักและข้าราชบริพารที่อายุมากกว่าพระองค์ช่วงหนึ่ง ในโลกนับตั้งแต่จูโฮ่วจ้าวรู้ความเป็นต้นมา ระหว่างคนกับคนมีเพียงคำว่า ‘เบื้องบนเบื้องล่าง’ ไม่มีคำว่า ‘ด้วยกัน’

    แต่ถึงแม้มิอาจเข้าใจ พระองค์ก็ยังรู้สึกได้ว่าซ่งหลีกับเยียนเหิงมีสิ่งล้ำค่าที่พระองค์ไม่เคยมี

    จูโฮ่วจ้าวดื่มสุราจนหมดในฉับพลันแล้วโยนจอกหยกไปยังด้านข้างจนแตก ก่อนเข้าไปจับอกเสื้อของซ่งหลีเอาไว้ ซ่งหลีมิอาจต่อต้านและมิได้ต่อต้าน ร่างนางเฉกเช่นหุ่นถูกจักรพรรดิกระชากเข้ามาใกล้

    ลมหายใจของจักรพรรดิเจิ้งเต๋อรดบนหน้าของซ่งหลีแล้ว ซ่งหลีอดทนไว้มิได้เผยอาการขัดขืนออกมาสักนิด หลายปีมานี้นางเรียนรู้นานแล้วว่าจะอยู่ข้างพระวรกายจักรพรรดิอย่างไร

    ขณะนี้จูโฮ่วจ้าวกระชากเสื้อผ้าของซ่งหลีให้ขาดได้ทุกเมื่อ จากนั้นเหมือนหลายครั้งในอดีต ครอบครองร่างกายของนางอย่างเต็มอารมณ์ ในแผ่นดินไม่มีผู้ใดขัดขวางมิให้พระองค์กระทำเช่นนี้ได้ หรือแม้ชิงซ่งหลีไปจากพระหัตถ์ของพระองค์

    คืนนี้พระองค์ตั้งพระทัยจะเสวยสุขกับซ่งหลีเพื่อให้แน่ใจเรื่องนี้อีกครั้ง

    จักรพรรดิเขยิบเข้าใกล้มองดูส่วนลึกของนัยน์ตานาง

    ในนั้นไม่มีอะไรทั้งสิ้น

    ไม่มีความรู้สึกรุนแรงที่พรั่งพรูออกมาขณะนางต้องตายในวันนั้น

    จูโฮ่วจ้าวผลักนางออก พระองค์มิได้สนใจซ่งหลีที่ล้มลงบนพื้นและผลักประตูออกจากห้องบรรทมไปด้วยโทสะพลุ่งพล่าน ขันทีฉกรรจ์พกอาวุธยุทธภัณฑ์แปดคนนั้นที่เฝ้าอยู่นอกประตูติดตามอย่างกระชั้นชิด

    จักรพรรดิเดินตรงสืบต่อ ก้าวออกจากห้องบรรทมที่สร้างอยู่ในตำหนักด้านข้างของตำหนักอู่อิง องครักษ์ตามเสด็จเพิ่มขึ้นถึงสามสิบกว่าคนเช่นกัน พระองค์เดินไปยังลานกว้างตำหนักหลักหน้าประตูอู่อิง จ้ำอ้าวไปมาหลายครั้ง โทสะมิอาจมอดดับ

    พอคิดว่าบนโลกมีสิ่งที่ตนเองมิอาจได้มาเช่นกัน พระองค์ก็รู้สึกกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง

    “ไปตำหนักเหวินหวา” จูโฮ่วจ้าวมีพระบัญชา “ข้าจะไปดูมันอีก”

     

    หลังอาการบาดเจ็บของจิงเลี่ยทรงตัวเล็กน้อย หมอหลวงจึงย้ายมันไปรักษาสืบต่อที่ห้องของตำหนักเหวินหวาที่เดิมใช้เป็นคลังหนังสือ นี่คือพระบัญชาที่จักรพรรดิสั่งการด้วยพระองค์เอง หมอหลวงเดิมทีมิอาจห่างจากจักรพรรดิไกลนัก ต้องดูแลพระวรกายตลอดเวลา หากจะให้พวกมันรักษาจิงเลี่ยสืบต่อ ย้ายมันเข้ามาในพระราชวังโดยตรงคือวิธีที่สมควรที่สุด

    จิงเลี่ยถูกเกาทัณฑ์จวบจนวันนี้ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว วันเวลาที่ผ่านมาจูโฮ่วจ้าวล้วนมาเยี่ยมมันด้วยพระองค์เองตลอด ด้วยเหตุนี้แม้ฝ่าบาทจะพลันปรากฏตัวในช่วงเวลากลางดึกเช่นนี้ หมอที่รับหน้าที่เฝ้าดูและรักษาจิงเลี่ยก็มิได้ประหลาดใจเกินไปนัก

    จักรพรรดิยังถามอาการของจิงเลี่ยอย่างละเอียดอีกครั้ง ถึงแม้มิได้ถาม เพียงมองเห็นก้านเกาทัณฑ์ที่ยังคงปักอยู่ตรงหน้าอกก็รู้ว่ามันยังมิได้หลุดพ้นจากวิกฤต

    “มันฟื้นขึ้นมาหรือไม่” จูโฮ่วจ้าวถาม

    “ทูลฝ่าบาท ใบหน้าของผู้บาดเจ็บบางครั้งมีการเคลื่อนไหวอยู่บ้าง หนังตาคล้ายเคยเปิดออกเล็กน้อยเช่นกัน” หมอหลวงรีบตอบ “แต่เช่นนี้สติสัมปชัญญะจะฟื้นคืนทันทีหรือไม่ พวกกระหม่อมเองก็ยากที่จะชี้ขาด เวลาส่วนมากผู้บาดเจ็บยังคงนอนสลบ”

    สิ่งที่หมอหลวงมิได้เปิดเผยคือพวกมันกังวลว่าปฏิกิริยาการเคลื่อนไหวบริเวณใบหน้าเหล่านี้ อาจเป็นเพราะหน้าอกที่ถูกหัวลูกศรเริ่มเกิดเลือดพิษไหลซึมสู่เส้นเลือดหัวใจจึงสร้างความเจ็บปวดขึ้น…

    จักรพรรดิเดินไปนั่งลงข้างเตียงจิงเลี่ย มองดูมันเงียบๆ เนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็นหมอหรือองครักษ์ก็ลอบอัศจรรย์ใจ พวกมันไม่เคยเห็นฝ่าบาทเป็นห่วงคนผู้หนึ่งเช่นนี้ อีกทั้งอดทนเช่นนี้มาก่อน

    “ขยับแล้ว!” ยามนี้จักรพรรดิร้องเบาๆ และชี้ใบหน้าของจิงเลี่ย บรรดาหมอหลวงเร่งเข้าไปสำรวจดู เห็นเพียงหว่างคิ้วและสันจมูกของจิงเลี่ยเหมือนย่นขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาก็คล้ายเปิดออกเป็นเส้นที่เล็กอย่างยิ่ง นี่ยังไม่เพียงพอที่จะชี้ขาดว่ามันจะฟื้นตื่นหรือไม่ แต่กลับเพียงพอที่จะทำให้จักรพรรดิตื่นเต้นขึ้นมา

    พระองค์จับมือของจิงเลี่ยเอาไว้ มองหนังตาที่คล้ายปิดคล้ายเปิดนั้น กล่าวอย่างตื้นตัน “เจ้าต้องมีชีวิตกลับมา! ต้องหายเป็นเหมือนเดิมเร็วหน่อย! ข้ารับปากเหยาเหลียนโจวแล้วว่าจะจัดศึกตัดสินที่พระราชวังต้องห้ามให้เจ้ากับมัน! บนเวทีที่ใหญ่ที่สุด เอาชนะเจ้าสำนักอู่ตังที่แข็งแกร่งที่สุด…นั่นคือความปรารถนาชั่วชีวิตของเจ้ากระมัง นั่นจะเป็นศึกที่คนในใต้หล้าล้วนอยากเห็นด้วยตา ต้องจารึกชื่อไว้ชั่วกาลอย่างแน่นอน! เจ้ามิอาจทำให้ข้าผิดหวัง! ข้าสั่งให้เจ้าห้ามตาย!”

    แต่ทว่าจูโฮ่วจ้าวมิอาจรู้สึกได้ว่านิ้วมือของจิงเลี่ยมีพลังใดๆ ใบหน้านั้นยังคงตกอยู่ในภาวะที่ยากจำแนกระหว่างได้สติกับนอนสลบ จักรพรรดิมิอาจรู้ว่าวาจาเหล่านี้ของตนเองจิงเลี่ยได้ยินสักคำหรือไม่

    เหล่าหมอที่ยืนอยู่ด้านหลังจักรพรรดิล้วนมิได้ส่งเสียง พวกมันทั้งหมดรู้ว่ากล้ามเนื้อรอบแผลเกาทัณฑ์ตรงหน้าอกจิงเลี่ยเริ่มปรากฏสีดำเทาเล็กน้อยแล้ว หมอหลวงชราหัวหน้าผู้วินิจฉัยตัดสินใจแล้วว่าต่อให้หาวิธีรักษาอื่นๆ ที่มีโอกาสยิ่งกว่ามิได้ สามวันให้หลังพวกมันก็จะทดลองฝืนถอนลูกเกาทัณฑ์ออกมา มองเห็นจักรพรรดิทรงเป็นห่วงและเห็นความสำคัญจิงเลี่ยเช่นนี้ด้วยตาตนเอง พวกมันได้แต่ลอบภาวนาขอให้โชคดี

     

    เงาร่างอ้วนเตี้ยนั้นยืนอยู่ในหมู่ผู้คุ้มภัยรูปร่างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่ง ศีรษะสูงเพียงหน้าอกของคนอื่นราวกับถูกคนโอบล้อมจนจมมิด

    และนี่คือความปรารถนาของคนผู้นี้

    มันยกหมวกไผ่สานที่เก่าขาดบนศีรษะขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตทั้งสองทอดมองไปยังเบื้องหน้า แถวที่เรียงเข้าสู่ประตูจวี้เป่าเมืองหนานจิงยังคงยาวยิ่งนัก และกองกำลังที่ห้อยธงคุ้มภัยอักษรอิง (应) ขบวนนี้ของพวกมันอยู่กึ่งกลางแถวนั้น ด้านหน้าอย่างน้อยมีเกินกว่าหนึ่งร้อยคน เคลื่อนที่ไปเชื่องช้าอย่างยิ่ง

    แถวขยับอีกแล้ว มันก้มศีรษะ ปลายนิ้วหยาบอ้วนจับด้ามดาบตรงข้างเอว เดินตามไปข้างหน้า ดาบคาดเอวเล่มนั้นยาวเหลือเกิน แม้ห้อยไว้บนสายคาดเอวข้างซ้าย ปลายฝักก็แทบจะลากบนพื้น ทำให้ท่าทางการเดินของมันน่าขันยิ่งนัก ดาบที่คนอ้วนผู้นี้เคยใช้มาในชีวิตมีไม่น้อย แต่ไม่มีสักเล่มที่ใหญ่เพียงนี้ ดาบฟันคนประเภทนี้มันไม่เคยใช้มาก่อน

    คมดาบในมือของมันใช้เพียงรักษาคน

    ความจริงสามวันก่อนเหยียนโหย่วฝอหมอเทวดาบรรลุถึงวงนอกเมืองหนานจิงแล้ว แต่ตลอดมามิอาจเข้าไปได้…มันไม่อาจเชิดคางบอกว่าตนเองคือผู้ที่มารักษาจิงเลี่ยและผ่านด่านขององครักษ์ไปโต้งๆ

    ขณะจิงเลี่ยเกิดเรื่อง เหยียนโหย่วฝออยู่ที่อำเภอเจียงอินเมืองฉางโจว ข่าวที่หวังโส่วเหรินส่งคนเผยแพร่ บรรลุถึงที่นั้นประมาณสองวันให้หลัง พรรคจินมู่ (ไม้ทอง) ที่คุมการขนส่งในแม่น้ำเพียงเจ้าเดียวในท้องถิ่นพบตัวมันและบอกข่าวที่มาจากหนานจิงนั้น

    ‘คนผู้นี้รักษาไม่ง่ายนัก ซ้ำยังทำร้ายร่างกายอีกแล้วหรือ นักสู้เหล่านี้น่ารำคาญจริงๆ…’ เหยียนโย่วฝอแม้ปากกล่าวเช่นนี้ แต่ความจริงรีบจัดเตรียมอุปกรณ์แพทย์แล้วขึ้นเรือสินค้าของพรรคจินมู่เร่งเดินทางมาถึงหนานจิง

    แต่มันเองก็คิดไม่ถึงว่านอกเมืองหนานจิงจะวุ่นวายเช่นนี้ ชาวยุทธภพที่มาเพราะได้ยินข่าวมากมายล้วนหยุดพักอยู่นอกเมือง รอคอยโอกาสเข้าไป ภายในปะปนด้วยคนหลากหลายรูปแบบ ทำให้กองทัพราชองครักษ์ที่ปกป้องโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันอยู่เคร่งเครียดอย่างยิ่ง จึงจำกัดผู้เข้าออกประตูเมืองอย่างเข้มงวด

    ขณะมิอาจเข้าเมือง เหยียนโหย่วฝอเองก็ต้องปิดเรื่องสถานะของตนเป็นความลับด้วยความรอบคอบ คนที่รวมตัวอยู่นอกเมืองมาจากหลากหลายพื้นที่ อีกทั้งล้วนรู้ว่าเหยียนโหย่วฝอสำคัญอย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดรับประกันว่าจะไม่มีพวกบ้าบิ่นฉวยโอกาสจี้ตัวมันไปเรียกค่าไถ่

    ‘หาศิษย์สำนักปากว้า’ ขณะอับจนหนทาง เหยียนโหย่วฝอกำชับกลุ่มศิษย์พรรคจินมู่ที่คุ้มกันส่งมันเช่นนี้ ‘นอกจากนี้อย่าเปิดเผยเรื่องของข้าต่อผู้ใด’

    โชคดีอย่างยิ่ง สองวันให้หลังกลุ่มศิษย์พรรคจินมู่ก็หาคนสำนักปากว้าผู้หนึ่งพบ มันคือโหยวอีหมิงศิษย์ภายในของสาขาหลักฮุยโจวที่ถูกอิ่นอิงเฟิงอาจารย์เจ้าสำนักส่งมาสอบถามสถานการณ์ของจิงเลี่ย ในปีนั้นมันเคยตามอิ่นอิงเฟิงไปหูหนานช่วยเหลือหกกระบี่บ้านแตก เคยพบหน้าเหยียนโหย่วฝอ ด้วยเหตุนี้เหยียนโหย่วฝอพอได้ยินสมาชิกพรรคจินมู่รายงานนามนี้ก็รู้ว่าไว้ใจได้

    โหยวอีหมิงผู้นี้อายุมากกว่าสี่สิบปีแล้ว มันกระทำการถี่ถ้วนและจัดเจน ประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชน อิ่นอิงเฟิงจึงได้มอบภารกิจนี้ให้ พอมันถึงหนานจิงมองเห็นสถานการณ์ที่ประตูเมืองถูกปิดก็พินิจว่าจะเข้าไปเช่นไร มันคิดได้ว่าอาจารย์มีไมตรีกับเฉิงเซินหัวหน้าผู้คุ้มภัยสำนักคุ้มภัยอิ้งอวิ้นในเมืองหนานจิง จึงไปยังสาขาย่อยของสำนักคุ้มภัยที่เจียงหนิง หาเถ้าแก่ที่นั่นเพื่อบอกถึงเจตนาที่มา สำนักคุ้มภัยอิ้งอวิ้นในอดีตเคยคุ้มภัยผ่านซ่องโจรและเขตอิทธิพลเมืองอันฮุยสองครั้ง เถ้าแก่สาขาย่อยสำนักคุ้มภัยผู้นั้นย่อมกระจ่างอย่างยิ่ง พอได้ยินว่าโหยวอีหมิงไหว้วานก็ส่งคนไปหนานจิงแจ้งหัวหน้าผู้คุ้มภัยเฉิงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เฉิงเซินใช้ผู้คุ้มภัยที่เป็นลูกน้องติดต่อกับโหยวอีหมิงทันที เตรียมการดูแลทุกเมื่อ

    ขณะพบหน้ากับเหยียนโหย่วฝอ โหยวอีหมิงเปิดเผยว่าจะจัดการให้มันแฝงเข้าขบวนของสำนักคุ้มภัยอิ้งอวิ้นได้ทุกเมื่อเพื่อส่งมันเข้าหนานจิง

    ‘จอมยุทธ์จิงอาจสิ้นชีวิตได้ทุกขณะ’ โหยวอีหมิงกล่าวต่อเหยียนโหย่วฝอ ‘พวกเราต้องออกเดินทางให้เร็วที่สุด’ วันที่สองพวกมันจึงมาถึงนอกประตูเมืองแห่งนี้

    การฝากสารของหวังโส่วเหรินแม้สร้างความโกลาหลที่คาดคิดไม่ถึง แต่ก็เพราะมันสั่งการให้ทุกพื้นที่ออกแรง จึงส่งเหยียนโหย่วฝอมาถึงเมืองหนานจิงอย่างรวดเร็ว

    แถวยาวแถวนั้นขยับอีกแล้ว เหยียนโหย่วฝอมองเห็นว่าคนกว่าครึ่งล้วนถูกองครักษ์กีดกันอยู่นอกประตู มิอาจเข้าไป มันอดมิได้ที่จะรู้สึกเคร่งเครียดอยู่บ้าง

    ข้าเกลียดการไปมาหาสู่กับทางการราชสำนักที่สุด…

    ยามนี้คือฤดูหนาว แต่หน้าผากที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกไผ่สานของเหยียนโหย่วฝอกลับผุดเม็ดเหงื่อใหญ่เท่าถั่วเขียวหลายเม็ด ผู้คุ้มภัยด้านข้างมองเห็นแล้วล้วนรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง ท่านนี้คือหมอเทวดาที่ควบคุมชีวิตของพวกบ้ากำลังในยุทธภพไว้ในมือมิใช่หรือ เหตุใดเคร่งเครียดแม้กระทั่งด่านเข้าประตูเมืองเช่นนี้

    “ท่านหมอ ไม่ต้องกังวล” หัวหน้าผู้คุ้มภัยที่รับหน้าที่นำขบวนแย้มยิ้มพลางกล่าว “ธงสำนักคุ้มภัยของสำนักคุ้มภัยอิ้งอวิ้นต้องผ่านประตูเมืองหนานจิงได้อย่างแน่นอน”

    โหยวอีหมิงที่แต่งกายเป็นผู้คุ้มภัยเช่นเดียวกันก็ตบหัวไหล่ของเหยียนโหย่วฝอ

    เหยียนโหย่วฝอเพียงรู้สึกรำคาญยิ่งยวด มันแทบอยากจะกระชากเสื้อผ้านี้และดาบคาดเอวทิ้งในทันที

    “หากจะให้ข้ารับความลำบากเช่นนี้…จิงเลี่ยเจ้าเด็กคนนั้น ห้ามตายเป็นอันขาด”

     

    หัวหน้าผู้คุ้มภัยผู้นั้นมิได้กล่าวผิด เหยียนโหย่วฝอมิได้ถูกตรวจสอบซักถามก็เข้าประตูจวี้เป่าได้ ภายใต้การอำพรางของขบวนคุ้มภัย เฉิงเซินหัวหน้าสำนักคุ้มภัยอิ้งอวิ้นรอต้อนรับอยู่ในประตูนานแล้ว มันแจ้งหวังโส่วเหรินผ่านขุนนางที่คุ้นเคยล่วงหน้าแล้ว ยามนี้จึงส่งเหยียนโหย่วฝอไปหน้ากำแพงเมืองชั้นในของพระราชวังโดยไม่มากความแล้วค่อยให้ลูกน้องที่หวังโส่วเหรินส่งมารับช่วงต่อ นำไปยังที่อยู่ของใต้เท้าหวังในเมืองชั้นใน

    หลายวันมานี้หวังโส่วเหรินมิได้หลับสนิทสักคืน ขณะนี้รู้ว่าเหยียนโหย่วฝอหมอเทวดามาถึงแล้วในที่สุด มันก็รีบออกมาที่ห้องโถงด้วยตัวเอง เข้าไปจับมืออวบอ้วนทั้งสองนั้นของเหยียนโหย่วฝอแนบแน่น

    “ท่านหมอเหยียน ลำบากแล้ว”

    ผู้ที่ไหว้วานตนเองด้วยความจริงใจตรงหน้าคือหวังโส่วเหรินที่ความชอบปกคลุมใต้หล้า ถึงแม้ยามปกติเหยียนโหย่วฝอเผชิญหน้าเจ้าสำนักของสำนักแห่งหนึ่งหรือผู้กล้าในยุทธภพก็ไม่เคยไว้หน้าผู้ใด แต่ขณะนี้มันอดมิได้ที่จะแสดงมารยาทต่อหวังโส่วเหรินด้วยความเคารพและกล่าวอย่างสุภาพเรียบร้อย “ข้าต้องรักษาสุดฝีมือเป็นแน่”

    ทว่าแม้นำเหยียนโหย่วฝอเข้ามาหนานจิงได้สำเร็จก็ไม่ได้หมายความว่าจะส่งมันเข้าวังตรวจจิงเลี่ยได้ นี่ต่างหากคือด่านที่ลำบากที่สุด

    หวังโส่วเหรินเดิมทีคิดขอให้จางหย่งช่วยเหลืออีกครั้งโดยกราบทูลฝ่าบาทโดยตรง แต่ถูกจางหย่งปฏิเสธอย่างเฉียบขาด

    ‘หมอหลวงที่สุดยอดที่สุดในใต้หล้าก็กำลังรักษาจิงเลี่ยอยู่ จู่ๆ จะให้แนะนำหมอยุทธภพคนหนึ่งมาสอดมือ หากจิงเลี่ยตายในทันทีทันใด ความรับผิดชอบนี้ไยมิใช่ข้าจางหย่งแบกรับ’ แน่นอนว่าหากกล่าวกลับกัน ถ้าหากรักษาจิงเลี่ยหาย จางหย่งก็จะได้รับความชอบเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท แต่มันรู้ดีว่าอาการบาดเจ็บของจิงเลี่ยหนักหนาสาหัสมากเพียงใด ไม่ยอมเสี่ยงอันตรายนี้ยังจะดีกว่า…อย่างไรจางหย่งก็คลุกคลีอยู่ในวงราชสำนักเนิ่นนาน รู้ชัดถึงหลักการที่ว่าทำน้อยผิดน้อยดีกว่าละโมบความชอบเสี่ยงกระทำ

    เหยียนโหย่วฝอกับจิงเลี่ยห่างกันเพียงกำแพงวังกั้นเท่านั้น แต่หวังโส่วเหรินกลับคิดหาวิธีมิได้ เวลาผ่านไปทีละน้อย เพียงแต่วิกฤตของจิงเลี่ยหนักหนาเข้าไปทุกที หวังโส่วเหรินไม่ออกเดินทางกลับหนานชางเข้าดำรงตำแหน่งก็ย่ำแย่อย่างยิ่งเช่นกัน…มันรู้ว่าพวกเจียงปินยังเตรียมกล่าวหาว่ามันฝ่าฝืนราชโองการเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท ไม่แน่ว่าอาจจะนับรวมความโกลาหลนอกเมืองหนานจิงในหมู่นี้เพื่อใส่ร้ายว่าหวังโส่วเหรินวางแผนปองร้าย

    หวังโส่วเหรินกลับได้รับรายงานด้วยในยามนี้ ทำให้เรื่องราวเสมือนเผยแสงอรุณ

    มีคนมาถึงแล้วจากหนานชาง

     

    ทุกก้าวที่หู่หลิงหลันเดินเข้าห้องหนังสือของตำหนักเหวินหวาล้วนเคร่งเครียดจนเหมือนเหยียบอยู่บนคมดาบแหลม

    บุตรที่นอนอยู่ในอ้อมแขนนาง ขณะนี้กลับเงียบอย่างน่าประหลาด ไม่ร้องไห้เป็นประจำเหมือนตอนเดินทางที่ทั้งยาวนานและเร่งรีบนั้น หู่หลิงหลันรู้ว่าให้ทารกแรกเกิดคนหนึ่งเดินทางไกลโยกเยกโคลงเคลงมิใช่เรื่องดี แต่นางไม่มีทางเลือก

    บัดนี้มารดาและบุตรทั้งสองบรรลุถึงที่หมายในที่สุด

    บิดาเจ้าอยู่เบื้องหน้าแล้ว

    เนื่องเพราะต้องเข้าสู่วังหลวง หู่หลิงหลันจึงผลัดเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของสตรีชาวฮั่นที่สะอาดเรียบร้อย ล้างคราบความลำบากตรากตรำที่เพิ่งเร่งมาถึงหนานจิงออกไปเพื่อที่จะหลบหลีกด่านบนแม่น้ำที่เพิ่มมากขึ้น พวกมันละทิ้งการโดยสารเรือ จ้างรถม้าเดินทางมาถึงจากทางบก หู่หลิงหลันรู้ว่านี่จะทำให้บุตรลำบากกว่าเดิม แต่นางมั่นใจว่าบุตรของตนเองกับจิงเลี่ยต้องแข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วไปเป็นแน่

    อย่างไรเสียตอนที่เจ้ายังอยู่ในท้องแม่ก็ลงสู่สมรภูมิด้วยกันกับพวกเรา…

    สองฝั่งบนเฉลียงทางเดินตำหนักเหวินหวาล้วนเพิ่มองครักษ์วังหลวง มองดูหู่หลิงหลัน เลี่ยนเฟยหง และเหยียนโหย่วฝอผ่านทางไปโดยมีพวกพ้องสิบสองคนคุ้มกันส่งอย่างใกล้ชิด ยามนี้หู่หลิงหลันย่อมมิได้พกอาวุธใดๆ แต่องครักษ์วังหลวงเหล่านี้ไม่รู้ว่าการที่สตรีสูงหนานางนี้ตรงหน้าจะชิงดาบทวนของพวกมันไปแล้วสังหารเหล่าทหาร ณ ที่นั้นความจริงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ…ต่อให้มือข้างหนึ่งอุ้มบุตรเอาไว้ก็ตาม

    เลี่ยนเฟยหงเข้าวังแล้วแม้กระทั่งไม้เท้าก็ห้ามพก ได้แต่ลากฝีเท้าติดตามอยู่ด้านหลังหู่หลิงหลัน ประโยชน์ในการติดตามมาของมันความจริงคือลดความระแวดระวังขององครักษ์วังหลวง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ตรวจสอบสถานะของเหยียนโหย่วฝออย่างเคร่งครัด และดังคาด เมื่อองครักษ์เฝ้าประตูวังรู้ว่าผู้ที่มาครานี้คือภรรยาจิงเลี่ยและ ‘สองคนชราในครอบครัว’ พวกมันก็ตรวจดูเลี่ยนเฟยหงและเหยียนโหย่วฝออย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่าอายุของพวกมันหาได้ปลอมแปลงไม่ จึงปล่อยพวกมันเข้าไป

    พฤติการณ์นี้นับว่ากระทำผิดลบหลู่เบื้องสูงหรือไม่ หวังโส่วเหรินและจางหย่งล้วนมิอาจบอกได้แน่ชัด เมื่อวานขณะจางหย่งกราบทูลฝ่าบาท บอกฝ่าบาทเพียงจิงเลี่ยมีภรรยาและบุตรมาถึงหนานจิงแล้ว จักรพรรดิพอได้ฟังก็ทรงมีพระบัญชาอนุญาตให้พวกมันเข้าวังมาพบจิงเลี่ยได้ทันที หาได้ถามว่าประกอบด้วยผู้ใดบ้างไม่

    ข้าเพียงรายงานต่อฝ่าบาท ซ้ำยังมิได้ขออันใด ยิ่งไม่เคยกล่าวว่ามีคนอื่นมาด้วย…นี่คงไม่นับว่าปิดบังฝ่าบาทกระมัง…

    ความจริงจางหย่งร้อนตัวเล็กน้อยจึงกล่าวกับตนเองเช่นนี้มาตลอด มันคิดว่าอย่างไรตนเองก็มิได้กล่าวถึงเหยียนโหย่วฝอ หากเกิดเรื่องก็เป็นเพียงหน้าที่ที่องครักษ์วังหลวงตรวจสอบไม่ดี ไม่เกี่ยวข้องกับมันสักนิด…

    หมอหลวงกำหนดไว้ว่าจะฝืนผ่าเนื้อถอนลูกเกาทัณฑ์ให้จิงเลี่ยเมื่อวาน แต่ถูกคำสั่งของจักรพรรดิห้ามปรามไว้ได้ทัน ในเมื่อมีญาติจะมาพบจิงเลี่ย การถอนลูกเกาทัณฑ์ของพวกมันก็ต้องเลื่อนไปอีกสองวัน ให้ภรรยาและบุตรของจิงเลี่ยพบหน้ามันสักครั้งก่อน…อาจเป็นครั้งสุดท้าย

    ในที่สุดพวกหู่หลิงหลันก็ก้าวเข้าห้องหนังสือที่ใช้ต่างห้องผู้ป่วยนั้น ทุกแห่งอบอวลไปด้วยกลิ่นยารุนแรง เหยียนโหย่วฝอพอได้กลิ่นก็รู้ว่าทั้งหมดคือกลิ่นที่ปรุงออกมาจากยาชั้นดีที่มีราคาแพงที่สุด

    หลังจากเหยียนโหย่วฝอก้าวเข้าวัง ซ้ายขวาหน้าหลังถูกองครักษ์เฝ้าดูอย่างเข้มงวดอยู่ตลอด มันเคร่งเครียดจนหายใจลำบาก ดวงตากลมโตคู่นั้นกลอกไปกลอกมาด้วยความหวาดหวั่น ระแวดระวังทุกสิ่งรอบกาย มีเพียงหลังได้กลิ่นหอมของยาในขณะนี้เหยียนโหย่วฝอจึงเหมือนพลันถูกดึงกลับมาในโลกของตนเอง สองมือและสองขาไม่ได้สั่นสะท้านอีก มันออกแรงหายใจพลางผงกศีรษะ

    อย่างไรก็นับเป็นหมอของราชสำนัก การใช้ยายังถือว่าไม่เลว…

    หู่หลิงหลันอุ้มบุตรเดินไปยังเตียงที่ถูกบรรดาหมอห้อมล้อมหลังนั้น ในที่สุดนางก็มองเห็นสามีที่ยังคงตกอยู่ในภาวะหมดสติ และมีลูกเกาทัณฑ์ยื่นออกมาจากบนหน้าอก ใบหน้าที่นิ่งสนิทของมันคล้ายแผ่สีเทาจางๆ

    หู่หลิงหลันไม่เคยเห็นจิงเลี่ยหมดหนทางเช่นนี้มาก่อน นางมองดูลูกเกาทัณฑ์ดอกนั้นพลางระงับเพลิงโทสะที่ขณะนี้พุ่งขึ้นเต็มทรวงจนเหมือนจวนจะปะทุออกมาจากในดวงตา

    นางแทบอยากจะสับร่างของจักรพรรดิแคว้นหมิงที่ทำร้ายจิงเลี่ยจนเป็นเช่นนี้กับองครักษ์วังหลวงทั้งหมดของพระองค์เป็นหมื่นชิ้น

    เลี่ยนเฟยหงรับรู้ได้ถึงความเดือดดาลของหู่หลิงหลัน มันมองเห็นสภาพเช่นนี้ของจิงเลี่ย ไหนเลยจะไม่รู้สึกเสียใจ

    จิงเลี่ยฝึกฝนร่างกายด้วยความวิริยอุตสาหะ หรือว่าจะต้องถูกทำให้เสียหายไปเช่นนี้หรือ…

    เลี่ยนเฟยหงกลับรู้ว่าตอนนี้ต่างหากคือเวลาที่ต้องอดทน ห้องอันหรูหรางดงามห้องนี้คือสถานที่ที่อันตรายที่สุดบนโลก มันจับแขนข้างหนึ่งของหู่หลิงหลันเอาไว้เบาๆ ปลอบโยนนางอย่างไร้สุ้มเสียง หู่หลิงหลันมองเห็นสายตาของเลี่ยนเฟยหงก็รู้ว่าตนเองต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ นางใช้ทักษะการหายใจฝืนบังคับอารมณ์ของตนเองให้กลับเป็นปกติ

    “ลูก…” นางนำบุตรเข้าใกล้จิงเลี่ย “นี่คือบิดาเจ้า มองเห็นหรือไม่”

    ทารกราวกับฟังคำพูดของมารดาเข้าใจจริงๆ มันเอียงศีรษะมองดูใบหน้าของจิงเลี่ยอย่างแน่วนิ่งคล้ายจำแนกบิดาที่แปลกหน้าได้อย่างละเอียด

    เหยียนโหย่วฝอกลับมิได้สนใจคนอื่นใดอีก มันเดินหน้าเข้าไปเปิดผ้าขาวที่ปิดหน้าอกของจิงเลี่ยอยู่ออก

    “นี่ท่านทำอะไร ห้ามขยับส่งเดช!” หมอผู้ช่วยเยาว์วัยคนหนึ่งตวาด หมอหลวงหลักทั้งสามยามนี้ล้วนไม่ได้อยู่ในห้องผู้ป่วย…พวกมันล้วนไม่อยากรับคำถามจากครอบครัวจิงเลี่ย…จึงทิ้งไว้เพียงผู้ช่วยให้มาตอบแทน

    เหยียนโหย่วฝอย่อมไม่ต้องการให้พวกมันตอบอะไรทั้งสิ้น มันเพียงมองดูแผลเกาทัณฑ์ไม่กี่แวบพอสังเขปก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา

    “เด็กน้อย ฝีมือเจ้า แม้กระทั่งเช่นนี้ก็สกัดไว้ได้!” เหยียนโหย่วฝอกล่าว บรรดาหมอหลวงเดิมคิดฝืนดึงมันออกมาและปิดแผลเกาทัณฑ์ใหม่อีกครั้ง แต่ได้ยินเหยียนโหย่วฝอกล่าวถึงพฤติกรรมประหลาดที่จิงเลี่ยใช้ร่างกายสกัดลูกเกาทัณฑ์นี้ออกมาได้ในทันที ทุกคนล้วนตะลึงงันไปชั่วขณะ

    เหยียนโหย่วฝอยังตรวจดูปากแผลและสีหน้าของจิงเลี่ยเล็กน้อย จากนั้นกล่าวเสียงเย็นชา “หากไม่เอาลูกเกาทัณฑ์ออก สองวันให้หลังคงช่วยไม่ได้แล้ว”

    แม้กระทั่งหัวหน้าก็มิกล้าวินิจฉัยชะตาชีวิตของจิงเลี่ยเช่นนี้ บรรดาหมอได้ยินก็ประหลาดใจอย่างมาก

    “แต่กล้ามเนื้อหน้าอกนั้นผ่ามิได้…” หมอคนหนึ่งตอบ แต่ถูกเหยียนโหย่วฝอขัดจังหวะด้วยความรำคาญ

    “นั่นข้ารู้แล้ว…มีเข็มหรือไม่”

    “เจ้าจะทำอะไร” องครักษ์ที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างตวาดเหยียนโหย่วฝอ หลายคนวางฝ่ามือบนด้ามดาบแล้ว

    หู่หลิงหลันกลับเข้าไปประจันหน้าพวกมันอย่างรวดเร็ว ในมือนางยังคงอุ้มบุตร มือที่ห้อยอยู่อีกข้างหนึ่งว่างเปล่า แต่เหล่าองครักษ์มองเห็นรูปโฉมงดงามและแววตาของนางล้วนถูกสยบลง

    อย่าขัดขวาง อย่าก้าวมาแม้แต่ก้าวเดียว

    พวกมันราวกับได้รับคำสั่งเช่นนี้จากท่วงท่าของหู่หลิงหลัน ไม่มีสักคนกล้าขยับฝีเท้า

    จู่ๆ ก็ปรากฏสถานการณ์เช่นนี้ หมอสิบกว่าคนทั้งหมดล้วนประหวั่นพรั่นพรึง เหยียนโหย่วฝอยื่นมือเร่งเร้าอีกครั้ง “เข็มเล่า”

    หมอเหล่านี้อย่างไรก็อยู่ในเส้นทางสายนี้มาหลายปี ครั้นพบเจอกับหมอที่มีประสบการณ์คนอื่นๆ ย่อมรับรู้ได้ถึงบุคลิกพิเศษของกันและกัน นี่ไม่ต่างกับการยอมรับซึ่งกันและกันของนักสู้ และความมั่นใจในตนเองที่ปรากฏออกมาในขณะนี้ของเหยียนโหย่วฝอเหนือกว่าหมอราชสำนักกลุ่มนี้อย่างมาก คนหนึ่งในนั้นรีบหยิบเข็มเงินหลายสิบเล่มที่มีขนาดเล็กใหญ่สั้นยาวต่างกันชุดหนึ่งออกมาจากในกล่องยื่นให้เหยียนโหย่วฝอ

    เหยียนโหย่วฝอตรวจดูงานฝีมือของเข็มเงินอย่างละเอียดและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หมออีกคนหนึ่งยังหยิบตะเกียงน้ำมันมา เหยียนโหย่วฝอใช้ปลายนิ้วลูบไล้กล้ามเนื้อที่หกเกร็งเหล่านั้นตรงหน้าอกจิงเลี่ยอย่างเบามือเพื่อให้แน่ใจถึงอาการอีกครั้ง ก่อนใช้เข็มเงินที่ผ่านการลวกด้วยไฟตะเกียงแทงเข้าระหว่างไหล่และคอของจิงเลี่ย

    บรรดาหมอเห็นเพียงนิ้วมืออ้วนกลมของเหยียนโหย่วฝอกลับว่องไวผิดปกติ ใช้เข็มได้แม่นยำและรวดเร็ว ไม่ถึงครู่หนึ่งก็แทงบริเวณลำคอ ไหล่ทั้งสอง และซี่โครงทั้งสองยี่สิบกว่าเข็มแล้ว หลังเสร็จสิ้นมันกดหน้าอกจิงเลี่ยอีกครั้ง สำรวจการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อเล็กน้อย

    “ประเสริฐ ต่อไปเข็มนี้สำคัญที่สุด พวกเจ้าพลิกมันให้นอนตะแคง” เหยียนโหย่วฝอกล่าวสั่งการ “ต้องระวัง มิอาจขยับก้านเกาทัณฑ์”

    บรรดาหมอจับจ้องมองหน้ากัน นี่คงมิใช่การล้อเล่น…หากขณะพลิกตัวหัวลูกศรแทงลึกเข้าไปอีกและทำร้ายจนถึงหัวใจ จิงเลี่ยอาจสิ้นชีพทันที

    “ยังรออะไรอีก โอกาสจะผ่านไปแล้ว!” เหยียนโหย่วฝอเร่งพลางคำนวณการไหลเวียนของเลือดลมของชีพจรในร่างจิงเลี่ยอย่างเงียบๆ

    ถึงตอนนี้ขี่หลังเสือยากจะลงแล้ว เหล่าหมอจำต้องเชื่อใจมัน พลิกร่างกายของจิงเลี่ยไปด้านหนึ่งคนละไม้คนละมือ เผยแผ่นหลังออกมา มีหมอสองคนรับหน้าที่ประคองก้านเกาทัณฑ์ตรงหน้าอกไว้เบาๆ เพื่อป้องกันหัวลูกศรสร้างความเสียหายภายในเพราะการขยับเขยื้อน

    ครั้งนี้เหยียนโหย่วฝอเลือกหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งที่ยาวและหนาที่สุดมา จ้องการกระจายตัวของลายกล้ามเนื้อบนแผ่นหลังจิงเลี่ยอย่างใกล้ชิด ดวงตากลมโตคู่นั้นของมันราวกับมองทะลุชีพจรในร่างได้

    มันใช้ท่าทางผ่อนคลายประหนึ่งยื่นนิ้วมือชี้สิ่งของ มือซ้ายแทงเข็มเงินเข้าจุดที่เล็งไว้ แล้วยื่นมือขวาออกมาออกแรงกดนวดตามกระดูกสันหลังของจิงเลี่ย คล้ายกำลังขับเลือดลมภายในผ่านทุกข้อต่อ สามนิ้วมือซ้ายจับหัวเข็มพลางขยับอย่างนุ่มนวล สองมือของเหยียนโหย่วฝอทำท่าทางที่ทักษะละเอียดอ่อนซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งสองนี้ได้พร้อมกัน ดุจดั่งหนึ่งใจใช้สองแต่ก็สอดประสาน ในสายตาเหล่าหมอช่างเป็นการแสดงวิชาแพทย์ที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนโดยแท้

    หลังผ่านไปพักหนึ่ง เหยียนโหย่วฝอถอนเข็มยาวนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว สองมือล้วนรั้งกลับมา มันพ่นลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง ใช้แขนเสื้อเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก

    “วางมันลงมา” เหยียนโหย่วฝอกล่าว “ผ่าออกได้แล้ว”

    เหล่าหมอเผยสีหน้าที่ยากจะเชื่อและทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เหยียนโหย่วฝอรำคาญอย่างเห็นได้ชัดอีกครั้ง

    “ไม่มีผู้ใดกล้าหรือ ได้ เอามีดให้ข้า”

    เหยียนโหย่วฝอรับมีดสั้นใช้ไฟลวกคมมีดที่หมอยื่นมา เขยิบเข้าใกล้บริเวณแผลเกาทัณฑ์ของจิงเลี่ย เหล่าหมอต่างก็ชะเง้อหน้าชมดู แต่พวกมันยังมิได้มองเห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้นก็เห็นเหยียนโหย่วฝอออกห่างจากจิงเลี่ยแล้ว

    ในมือมันถือลูกเกาทัณฑ์ที่หัวลูกศรขึ้นสนิมแล้วดอกหนึ่ง

    หู่หลิงหลันมองเห็นลูกเกาทัณฑ์ในมือเหยียนโหย่วฝอก็หลั่งน้ำตาอย่างมิอาจควบคุมตัวเอง

    เหล่าหมอต่างเดินเข้าไป บางคนตรวจสอบลมหายใจและชีพจรของจิงเลี่ย บางคนกำลังห้ามเลือดที่แผลตรงหน้าอกนั้น จากปากแผลที่เพิ่งผ่าออกนั้น ปริมาณโลหิตที่หลั่งออกมากลับน้อยกว่าที่พวกมันคาดการณ์ มือเร็วคู่นี้ของเหยียนโหย่วฝอคือยอดทักษะในสายตาของพวกมันโดยแท้จริง

    เหยียนโหย่วฝอวางลูกเกาทัณฑ์บนโต๊ะด้านข้าง มันมองดูหมอที่กำลังยุ่งวุ่นวายเหล่านั้นแวบหนึ่งแล้วจึงหันหน้ากล่าวต่อองครักษ์วังหลวงเหล่านั้น “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ พวกเจ้าเองก็ไม่อยากถูกฝ่าบาทสอบถามกระมัง ลูกเกาทัณฑ์นี้คือสิ่งที่เหล่าหมอหลวงดึงออกมา ฉวยโอกาสขณะยังไม่มีคนอื่นเข้ามา รีบส่งพวกเราออกนอกวังเถอะ”

    เหล่าองครักษ์มองหน้ากันแวบหนึ่ง เมื่อครู่พวกมันให้เหยียนโหย่วฝอลงมือรักษาอย่างนิ่งดูดาย หากถูกเบื้องสูงถึงขั้นจักรพรรดิทราบ อาจถูกสอบสวนหาความผิดได้ ที่เหยียนโหย่วฝอกล่าวคือวิธีแก้ไขที่ดีที่สุดแล้ว พวกมันรีบพยักหน้าพร้อมกันทันที เปิดประตูห้องออก

    ก่อนจากไปหู่หลิงหลันหันหน้ามองดูจิงเลี่ยอีกแวบหนึ่งและถามเหยียนโหย่วฝอด้วยความอยากรู้ “มัน…จะรอดจริงๆ หรือไม่”

    “นอกจากสวรรค์ ผู้ใดก็มิอาจบอกว่าคนใดจะมีชีวิตต่อไปอย่างแน่นอนได้” เหยียนโหย่วฝอยิ้มน้อยๆ “เพียงแต่เท่าที่ข้าดู ต่อไปเจ้าต้องลำบากขึ้นแล้ว ดูแลลิงสองตัวหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก”

     

    (หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ เพลงกลอนคลั่งยุทธ์เล่ม 21 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook