• Connect with us

    Enter Books

    คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 1 ตอนที่ 2

    2 of 2หน้าถัดไป

    บทที่4

     ตวนมู่ชุ่ยออกเดินทางไกลแล้ว

    นางได้แรงบันดาลใจจากมีดเลาะเนื้อวัวของพ่อครัวติงจึงจะเดินทางไปยังฉีหลู่*เพื่อหาสิ่งของเก่าของอี้หยา**พ่อครัวเลื่องชื่อแห่งแคว้นฉีในสมัยชุนชิว

    “ขอเพียงข้าหามีด กระทะ ตะหลิวที่อี้หยาแห่งแคว้นฉีเคยใช้ ประกอบกับยันต์และอาคมเล็กน้อยเพื่อเรียกปีศาจที่สิงสถิตอยู่ในนั้นออกมา พวกเขาย่อมปรุงอาหารล้ำค่ารสเลิศด้วยกรรมวิธีลับเฉพาะของอี้หยาให้กับข้า อาหารรสเลิศเชียวนะจั่นเจา” นัยน์ตาทั้งสองของตวนมู่ชุ่ยเปล่งประกายวาว นิ้วชี้กระตุก***

    “ข้าได้ยินมาว่าอี้หยาไม่ใช่คนดีอะไร เอาบุตรชายตนเองนึ่งให้ฉีเหิงกงเสวย” จั่นเจาพูดจาดั่งสาดน้ำเย็น****ใส่ตวนมู่ชุ่ย

    “จั่นเจา เจ้าต้องเข้าใจ ฝีมือการทำอาหารกับอุปนิสัยใจคอของคนมักไม่เกี่ยวข้องกัน” ตวนมู่ชุ่ยมองค้อนจั่นเจาทีหนึ่ง “เจ้าอุปนิสัยใจคอไม่เลว ครั้งก่อนเจ้าต้มโจ๊ก ไยมิใช่เกือบจะเผาห้องครัวของศาลไคเฟิงไปแล้ว”

    จั่นเจาแทบจะกระโดดขึ้นมา “เจ้า…ใครเป็นคนบอกเจ้า”

    คนที่อยู่ในที่นั้นมีเพียงกงซุนเช่อกับหวังเฉาหม่าฮั่น ทุกคนต่างสาบานด้วยน้ำใสใจจริงว่าตนจะไม่พูด

    ตวนมู่ชุ่ยวางท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง “ผู้บอกย่อมเป็นเทพเตา”

    ถึงกับผูกสัมพันธ์กับเทพเตาแล้ว จั่นเจาสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ พร้อมกันนั้นก็ได้ข้อสรุปออกมาอย่างหนึ่ง…มนุษย์แม้จะบำเพ็ญพรตจนกลายเป็นเทพเซียนได้ แต่นิสัยชอบซุบซิบนินทากาเลพูดเรื่องมโนสาเร่ยังคงติดตามตัวไปดุจเงา จะเห็นได้ว่านิสัยเทพนิสัยมนุษย์ในบางครั้งก็ยังคงมีส่วนที่คล้ายกัน

    “เช่นนั้นเจ้าไปแล้ว ถ้ามีภูตผีปีศาจมาก่อเรื่องก่อราวจะทำอย่างไร” จั่นเจายังคงห่วงกังวลอาณาประชาราษฎรเช่นเคย

    “จะมีภูตผีปีศาจจากไหนมาก่อเรื่องก่อราวมากเช่นนั้น” ตวนมู่ชุ่ยตบๆ บ่าจั่นเจา “อีกอย่าง ก็มีผีเสื้อส่งข่าวแล้วไม่ใช่หรือ”

    ในที่สุดจั่นเจาก็ไม่รู้จะจับผิดตรงไหนแล้ว “เจ้าจะไปเมื่อไร ข้าจะไปส่งเจ้า”

    “ไม่ต้องยุ่งยาก บอกลากันตรงนี้เลย” ตวนมู่ชุ่ยกระทืบเท้าไปที่พื้นสองสามที “เจ้าที่ ขอผ่านทางหน่อย”

    จากนั้นร่างของตวนมู่ชุ่ยก็ถูกดูดลงไป บอกว่าดูดลงไปก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร ถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะบอกว่าพื้นดินที่ใต้ฝ่าเท้าตวนมู่ชุ่ยพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่ม แล้วร่างของตวนมู่ชุ่ยก็จมลงไปกระทั่งมิดหัว

    หรือว่านี่ก็คือวิชามุดดินในตำนานเล่าลือ

    จั่นเจาปากอ้าตาค้าง ยังไม่ทันได้สติกลับคืนมาก็ได้ยินตวนมู่ชุ่ยเรียก “จั่นเจา จั่นเจา”

    ตอนก้มหน้าลงมอง จั่นเจาเพียงรู้สึกขนหัวลุกชัน…ตวนมู่ชุ่ยโผล่เพียงศีรษะขึ้นมาจากพื้นดิน สั่งกำชับอย่างรีบร้อน “ช่วยข้าดูบ้านหน่อย มีเวลาว่างก็หมั่นมาตรวจตรา”

    “ทราบแล้วๆ” จั่นเจารู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง “เจ้าไปได้แล้ว”

    ตวนมู่ชุ่ยแย้มยิ้มพึงพอใจ แล้วจมหายลงไปในดินอย่างรวดเร็ว

     

    จั่นเจายกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นที่หน้าผาก จะคบค้าสมาคมกับตวนมู่ชุ่ยจำเป็นต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งเป็นพิเศษอย่างแท้จริง

    สองวันแรก จั่นเจายังหาเวลาว่างมานั่งที่กระท่อมตวนมู่อยู่ชั่วครู่ชั่วยาม พอวันที่สามก็ไม่ว่างแล้วเพราะร้านผ้าจิ่นซิ่วที่ถนนซีซื่อในเมืองเกิดคดีฆาตกรรม

    ความจริงสถานที่ใหญ่ขนาดเมืองไคเฟิงจะเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พูดในทางกลับกัน ถ้าไม่มีคดีฆาตกรรม วันๆ มีแต่คดีพิพาทระหว่างเพื่อนบ้าน ทะเลาะตบตีหึงหวงกัน ขายของขาดตาชั่งเหล่านี้ ศาลไคเฟิงคงเปลี่ยนชื่อเป็นสถานไกล่เกลี่ยไคเฟิงไปนานแล้ว

    ผู้ถูกสังหารเป็นคนสกุลหลี่ ชื่อเต็มว่าหลี่ซงป๋อ เพศชาย อายุประมาณห้าสิบปี เป็นเถ้าแก่ร้านผ้าจิ่นซิ่ว เป็นคนทำการค้าไม่สัตย์ซื่อ แต่ก็ไม่ใช่พ่อค้าหน้าเลือดที่ใครๆ ต่างชิงชัง มีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ไม่ซับซ้อน สูญเสียภรรยาในวัยกลางคน ไม่มีบุตรธิดา รับหลานห่างๆ มาเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่งชื่อว่าหลี่กวงจง หลี่กวงจงผู้นี้ยังไม่ได้แต่งงาน เกียจคร้านเอาแต่กินไม่ทำงาน ไม่ได้รับความชื่นชอบจากหลี่ซงป๋อสักเท่าไร

    จากประจักษ์พยานผู้พบเห็น หลู่อาเหมาคนรับใช้จวนเสนาบดีหลิวเจ้ากรมอากรย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ค่ำคืนนั้นเหตุการณ์ในสถานที่เกิดเหตุเป็นเช่นนี้

    คืนนั้นหลู่อาเหมารับคำสั่งจากมามาในจวนเสนาบดีให้ไปที่ร้านผ้ารับผ้าแดงหลิงเซียว*มาให้นายหญิงพับหนึ่ง เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูร้านผ้าก็เห็นหลี่กวงจงสีหน้าลนลานวิ่งออกมาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน ยังหวุดหวิดจะชนถูกหลู่อาเหมา หลู่อาเหมารู้สึกแปลกใจ มองไปทั่วร้านก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหลี่ซงป๋อ ครั้นแล้วจึงเดินเข้าไปหาในห้องด้านใน พอเข้าไปข้างในหลู่อาเหมาก็ตกใจจนขวัญกระเจิง เพียงเห็นหลี่ซงป๋อล้มหงายอยู่กับพื้น นัยน์ตาทั้งสองเบิกโพลงลิ้นจุกปากขาดใจตายไปแล้ว

    ครั้นแล้วหลู่อาเหมาก็ทั้งร้องตะโกน ‘ช่วยด้วย! มีคนถูกฆ่า!’ทั้งวิ่งออกจากประตูมา บังเอิญเจอหวังเฉาหม่าฮั่นที่ออกตระเวนตรวจตราผ่านมาทางนี้พอดี หลังฟังคำบอกเล่าถึงผู้ต้องสงสัยของหลู่อาเหมา หวังเฉาหม่าฮั่นไล่ตามไปไม่ถึงสองถนนก็จับตัวหลี่กวงจงได้แล้ว

    จากคำบอกเล่าในภายหลังของหวังเฉา หลังจากหลี่กวงจงถูกจับก็ไม่เคยหุบปาก ไม่ต้องรอให้หวังเฉาซักถามก็เริ่มเล่าถึงพฤติกรรมชั่วร้ายที่ตนทำลงไปในช่วงเกือบสามปีมานี้ออกมา ซึ่งรวมถึงหนีหนี้หอสุราสามครั้ง ถือโอกาสหยิบฉวยข้าวของคนอื่นมาสองครั้ง พูดจาแทะโลมหญิงสกุลดีหนึ่งครั้ง ยังมีเมื่อไม่นานมานี้ก็แอบหยิบเงินในร้านผ้าจิ่นซิ่วสิบตำลึงไปดื่มสุราเคล้านารีอีกหนึ่งครั้ง

    ในเบื้องต้นตอนหลี่กวงจงสารภาพความผิดของตัวเองออกมาได้ครึ่งหนึ่ง หวังเฉาก็รู้แล้วว่าหลี่กวงจงไม่ใช่ฆาตกร ต่อมาการชันสูตรศพก็ยืนยันถึงความเป็นจริงในข้อนี้ หลี่ซงป๋อตายเพราะขาดอากาศหายใจและถูกคนบีบคอ ส่วนที่ว่าทำให้ขาดอากาศก่อนแล้วค่อยบีบคอหรือบีบคอก่อนแล้วค่อยทำให้ขาดอากาศก็ไม่อาจพิสูจน์ยืนยันได้ กุญแจสำคัญอยู่ที่รอยนิ้วมือที่ติดอยู่บนลำคอหลี่ซงป๋อนั้นเรียวเล็ก ชัดเจนว่าเป็นรอยนิ้วมือของสตรี ที่สำคัญกว่านั้นก็คือดูจากรอยนิ้วมือที่ปรากฏ สตรีผู้นี้มือทั้งสองข้างล้วนมีหกนิ้ว

    หลี่กวงจงหลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยว่าสังหารคน เดิมเขาควรถูกปล่อยตัว…ถ้าไม่ใช่เพราะเขาพร่ำพรรณนาถึงความผิดที่เคยทำมามากมายเพียงนั้นล่ะก็

    เงื่อนงำเหลือเพียงอย่างเดียว สตรีที่มีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว

    ซึ่งก็หาตัวไม่ยาก ไม่นานผู้ต้องสงสัยก็โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ บ้านหลังที่สี่ถนนตงเอ้อร์เป็นเจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ที่ทำอาชีพโม่เต้าหู้ ทุกคนที่เคยมาซื้อเต้าหู้นางต่างรู้ว่ามือทั้งสองข้างของเจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์มีนิ้วมือข้างละหกนิ้วมาแต่กำเนิด

    เจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์มีนิสัยห้าวหาญมุทะลุดุดันติดตัวมาแต่กำเนิด กำลังขายเต้าหู้อยู่ดีๆ จู่ๆ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ศาลท่าทางดุดันดุจเสือดุจหมาป่ากลุ่มหนึ่งจับกุมตัวไป นางมีหรือจะยอมไปด้วยดี ตลอดทางทั้งเตะทั้งกัดทั้งข่วนทั้งกรีดร้อง สงสารเจ้าหน้าที่ศาลที่มาจับกุมนาง ปกติถูกคนข่วนหน้าก็จะมีรอยเลือดห้ารอย วันนี้พอถูกข่วนหน้ากลับมีหกรอย

    พอได้ยินว่าจับกุมผู้ต้องสงสัยหกนิ้วได้แล้ว จั่นเจาและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกดีใจ ไหนเลยจะรู้ พอเจอหน้าเจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ก็รู้สึกราวถูกน้ำเย็นถังหนึ่งราดรดลงมากลางศีรษะ

    เจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ผู้นี้รูปร่างผอมเล็กเกินไป เตี้ยเกินไป…

    แม้จะบอกว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ร่างกายยังคงบอบบางราวกับเด็กหญิงอายุสิบเอ็ดสิบสอง ยืนตรงแล้วก็ยังสูงไม่ถึงหน้าอกจั่นเจา แม้ลักษณะท่าทางยามตะกุยหน้าผู้อื่นจะดูดุดัน แต่หากว่าตามที่เจ้าหน้าที่ศาลบอก ‘เรี่ยวแรงเปรียบกับลูกไก่แล้วก็พอๆ กัน’

    หลี่ซงป๋อรูปร่างสูงใหญ่หลังเสือเอวหมี เชื่อหรือว่าเจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์จะบีบคอหลี่ซงป๋อที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ตายได้

    คดีคืบหน้ามาถึงตรงนี้ เบาะแสพื้นฐานพลันขาดช่วงหมดแล้ว ผู้รับผิดชอบทำคดีเข้าสู่สภาพการณ์คิดหาวิธีแก้ไขอะไรไม่ออก…ขอเพียงมีหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ผู้ต้องสงสัยคนที่สองก็จะถูกปล่อยตัวพ้นจากความผิด

    แต่ทุกท่าน คำพูดที่ว่า ‘ขุนเขากั้นสายน้ำขวางไร้ทางไป หลังพุ่มไพรหมู่บ้านป่าปรากฏพลัน’*ประโยคนี้โดยทั่วไปแล้วเหมาะสมที่สุดที่จะใช้กับสถานการณ์เช่นนี้

    คืนวันนั้น ตอนจั่นเจากับหวังเฉาหม่าฮั่นไปตระเวนตรวจตรา แม่เฒ่าผมขาวทั้งศีรษะผู้หนึ่งถือไม้เท้าเดินงกๆ เงิ่นๆ เข้ามาคว้าแขนจั่นเจาแล้วส่งเสียงร่ำไห้ด้วยความคับแค้นใจ “ใต้เท้าจั่น เจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ถูกใส่ความ เจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่สังหารคนหรอก…หลี่ซงป๋อเจ้าคนใจดำอำมหิตใจไม้ไส้ระกำ ทำร้ายบ้านสกุลเจิ้งยังไม่พอ ตายแล้วยังจะลากเจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ลงหลุมไปด้วย…”

    จั่นเจาฟังออกถึงความผิดปกติในทันที “หลี่ซงป๋อทำร้ายบ้านสกุลเจิ้ง หลี่ซงป๋อกับบ้านสกุลเจิ้งมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน”

    น้ำตาของแม่เฒ่าผมขาวไหลเป็นทาง เริ่มหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต

    เมื่อยี่สิบปีก่อน หลี่ซงป๋อผู้นี้เป็นเพียงหลงจู๊*คนหนึ่งที่ร้านผ้าจ้างมา เจ้าของร้านผ้าจิ่นซิ่วมีชื่อว่าเจิ้งวั่นหลี่ แต่งภรรยาชื่อหลิวสี่เม่ย วันหนึ่งออกไปเก็บบัญชีข้างนอก ตลอดคืนไม่ได้กลับมา วันถัดมามีเจ้าหน้าที่ศาลมาที่บ้าน ที่แท้เจิ้งวั่นหลี่ถูกโจรปล้นระหว่างทาง ประสบเคราะห์กรรมโดยไม่คาดคิด

    หลิวสี่เม่ยเศร้าโศกเสียใจเป็นที่สุด หากไม่ใช่รู้ว่าตนตั้งครรภ์คงฆ่าตัวตายตามสามีไปแล้ว บ้านสกุลเจิ้งเดิมก็มีคนน้อยอยู่แล้ว เมื่อเจิ้งวั่นหลี่ตายไปการค้าของร้านผ้าหลี่ซงป๋อจึงเป็นผู้รับช่วง หลี่ซงป๋อผู้นี้เห็นเงินทองก็เกิดความโลภ ยิ่งรู้ว่านายหญิงตั้งครรภ์ไม่มีเวลามาใส่ใจการค้าจึงลอบใช้วิธีต่ำทรามบางอย่าง เพียงชั่วเวลาไม่กี่เดือนก็โยกย้ายเงินของร้านผ้าไปอย่างลับๆ ภายนอกก็เพียงบอกการค้าไม่ดีหมุนเงินไม่ทัน หลิวสี่เม่ยเพื่อจะรักษากิจการของครอบครัวสามี ถูกหลี่ซงป๋อหลอกให้เอาชื่อร้านผ้าไปกู้ยืมเงินดอกเบี้ยสูงมาหลายก้อน พอจะคาดเดาได้ สิ่งที่ตามมาต่อจากนั้นคือเจ้าหนี้พากันมาทวงหนี้ถึงบ้าน หลิวสี่เม่ยไม่มีปัญญาใช้หนี้ และเกิดความคิดจะฆ่าตัวตาย หลังจากฝากฝังเจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์บุตรสาวไว้กับจางซื่อแม่นมของตนแล้วก็จุดไฟเผาร้านผ้า ฝังร่างตนเองอยู่ในกองเพลิง

    เจ้าหนี้ไม่รู้ว่าบุตรสาวกำพร้าของบ้านสกุลเจิ้งรอดไปได้ เพียงเข้าใจว่าสกุลเจิ้งไม่มีใครโชคดีรอดมาได้ หนี้สินเหล่านั้นก็ได้แต่ยกเลิกกันไป ส่วนหลี่ซงป๋อผู้นั้นก็ทำทีเป็นออกหน้าในฐานะข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของสกุลเจิ้ง จัดงานศพให้นายหญิงอย่างเป็นทางการ แล้วถือโอกาสรับช่วงกิจการที่เหลือของสกุลเจิ้ง เปิดร้านผ้าจิ่นซิ่วขึ้นใหม่อีกครั้ง

    เล่าเหตุการณ์ในอดีตจบ แม่เฒ่าผมขาวหรือก็คือจางซื่อแม่นมของหลิวสี่เม่ยที่เอ่ยถึงในข้างต้นก็ร้องไห้จนเสียงแหบเสียงแห้ง “ใต้เท้าจั่น ท่านว่าหลี่ซงป๋อผู้นี้ยังเป็นคนอยู่หรือ…เจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์นางถูกใส่ความ…”

    จั่นเจากับหวังเฉาหม่าฮั่นต่างมองหน้ากันไปมา

    เอาเถอะ นี่เป็นเรื่องเศร้าในหมู่ชาวบ้านเรื่องหนึ่งที่คนได้ยินแล้วเศร้าใจฟังแล้วน้ำตาร่วง พฤติกรรมของหลี่ซงป๋อทำให้คนรู้สึกรังเกียจเหยียดหยาม

    ประเด็นสำคัญคือ…

    เรื่องนี้ส่งผลดีต่อเจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์หรือ

    เดิมทีเจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์อีกไม่นานก็กลับบ้านได้แล้ว เพราะนางมีหลักฐานยืนยันได้ว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ทั้งไม่มีเหตุจูงใจที่จะสังหารคน ทว่าเวลานี้เนื่องจากความ ‘กระตือรือร้นวิ่งเต้น’ของจางซื่อ จึงไม่อาจปล่อยตัวเจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ไปได้ในเวลาอันสั้นนี้

    ถึงแม้ในคืนวันนั้นนางจะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เพื่อนบ้านซ้ายขวาต่างยืนยันได้ว่าตอนนั้นนางกำลังโม่เต้าหู้ แต่การสังหารคนไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ว่าจ้างมือสังหารก็เป็นที่นิยมกันแพร่หลาย

    นางมีเหตุจูงใจให้สังหาร เรื่องพัวพันถึงความแค้นของคนรุ่นก่อน

    นางต้องสงสัยว่าสังหารคน นางมีหกนิ้ว

    พูดถึงหกนิ้วก็ไม่อาจไม่เอ่ยถึงข่าวสารอีกข้อหนึ่งที่จางซื่อแจ้งให้ทราบ หลิวสี่เม่ยมารดาของเจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ก็มีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว

    การพัวพันของคดีหนึ่งทำให้อีกคดีหนึ่งโผล่ขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับทุกคนในศาลไคเฟิงที่ทำคดีกันมาอย่างโชกโชน เรื่องราวเพียงผ่านมายี่สิบกว่าปี คิดจะถามถึงเหตุการณ์บางอย่างในตอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก

    ไม่ผิดจากที่คาด ไม่นานหวังเฉาก็สืบข่าวได้จากเจ้าหน้าที่ศาลสูงวัยท่านหนึ่งถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ร้านผ้าจิ่นซิ่วในครั้งนั้น เล่าว่าไฟไหม้ในครั้งนั้นรุนแรงมาก เพื่อนบ้านใกล้เคียงแม้มีใจอยากช่วยแต่ก็ต้องถอยเพราะความร้อนแรงของไฟที่ลุกไหม้ มีเสียงกรีดร้องน่าเวทนาอย่างที่สุดของหลิวสี่เม่ยดังออกมาจากกองไฟ คนที่ได้ยินไม่มีใครไม่หดหู่ใจ

    หลังจากเปลวเพลิงมอดดับ นอกจากเตาเหล็กกระทะทองแดงที่ใช้เคี่ยวสีย้อมยังอยู่ดีแล้ว อย่างอื่นที่เหลือก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดสิ้น ที่น่าสงสารกว่านั้นก็คือหลิวสี่เม่ยถูกเผาจนแม้แต่ร่างก็ไม่เหลือให้เห็น

    “กระทั่งร่างก็ไม่มีเหลือหรือ” จั่นเจาหัวใจกระตุกไหวขึ้นมาทีหนึ่ง

    หวังเฉาหม่าฮั่นหันไปมองจั่นเจาพร้อมกัน ทั้งสามคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมาเกือบจะพร้อมกัน

    หลิวสี่เม่ยอาจจะไม่ได้ถูกไฟคลอกตาย

     

    จั่นเจาตัดสินใจจะไปตรวจดูร้านผ้าจิ่นซิ่วสักครั้ง

    ที่หน้าประตูร้านผ้าจั่นเจาบังเอิญเจอหลู่อาเหมามาชะโงกหน้าชะโงกตาเข้าพอดี พอเห็นแววตาสงสัยที่จั่นเจามองมา หลู่อาเหมาก็ตกใจรีบแสดงความบริสุทธิ์ของตน “นายหญิงบ้านข้าเป็นห่วงผ้าแดงหลิงเซียว จึงให้ข้ามาดูว่าร้านผ้าจิ่นซิ่วได้เปิดร้านอีกหรือไม่”

    จั่นเจาไม่เข้าใจ “ร้านผ้าในเมืองมีมากมาย เพราะเหตุใดจะต้องซื้อที่ร้านผ้าจิ่นซิ่วด้วย”

    “ข้าน้อยก็ถามไปเช่นนี้” หลู่อาเหมาเกาศีรษะ “แต่นายหญิงบอกว่าผ้าแดงหลิงเซียวมีขายที่ร้านผ้าจิ่นซิ่วที่เดียวเท่านั้น”

    “เช่นนั้นนายหญิงบ้านเจ้าก็ต้องรออีกนานแล้ว” จั่นเจาสีหน้าสุดวิสัยจะช่วยเหลืออะไรได้

    ในร้านมืดสลัวยิ่ง เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ทุกที่มีแต่ฝุ่นเกาะ คำบอกว่าคนตายตะเกียงดับ เวลานี้ดูแล้วเรียกว่าคนตายฝุ่นเกาะดูจะเหมาะสมกว่า

    บนโต๊ะบัญชีมีสมุดบัญชีกางอยู่เล่มหนึ่ง ตอนจั่นเจาก้มลงดู แถวสุดท้ายเขียนไว้ชัดเจน ‘บ้านสกุลหลิว ผ้าแดงหลิงเซียวหนึ่งพับ’

    จั่นเจาถือโอกาสพลิกดูข้างหน้า การค้าของร้านผ้าจิ่นซิ่วดูเหมือนจะไม่เลว ผ้าเดินลายเทียน ผ้ามัดย้อม ผ้าโปร่ง ผ้าไหม ผ้าป่าน แพรต่วน จำนวนเข้าๆ ออกๆ ล้วนไม่น้อย จั่นเจาหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องด้านใน เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันนึกอะไรขึ้นได้จึงหมุนตัวเดินกลับไป เอาสมุดบัญชีมาพลิกดูใหม่อีกครั้ง

    เมื่อครู่หลู่อาเหมาบอกว่าผ้าแดงหลิงเซียวมีขายเฉพาะที่ร้านผ้าจิ่นซิ่วเท่านั้น เช่นนั้นร้านผ้าจิ่นซิ่วน่าจะทำผ้าแดงหลิงเซียวขึ้นโดยเฉพาะ ปริมาณซื้อขายน่าจะไม่น้อย เพราะเหตุใดในสมุดบัญชีทั้งเล่มกลับมียอดขายให้บ้านสกุลหลิวเพียงรายเดียว

    คิ้วรูปดาบของจั่นเจาขยับเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจั่นเจาจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องด้านใน เปิดตู้ไม้เก็บสมุดบัญชีของร้าน ในตู้ไม้เต็มไปด้วยสมุดบัญชีที่เก็บมายี่สิบกว่าปีตั้งแต่หลี่ซงป๋อเปิดร้านผ้าขึ้นอีกครั้ง

    ดูของปีนี้ก่อน ผ้าเดินลายเทียน ผ้ามัดย้อม ผ้าโปร่ง ผ้าไหม ผ้าป่าน แพรต่วน…ไม่มีผ้าแดงหลิงเซียว

    พลิกดูเล่มที่สอง ผ้าเดินลายเทียน ผ้ามัดย้อม ผ้าโปร่ง ผ้าไหม ผ้าป่าน แพรต่วน…ไม่มี

    เล่มที่สาม ผ้าเดินลายเทียน ผ้ามัดย้อม…ไม่มี

    เล่มสุดท้าย หน้าแรก ยอดขายแรก ‘บ้านสกุลหวัง ผ้าแดงหลิงเซียวหนึ่งพับ’

    ภรรยาเสนาบดีหลิวก่อนออกเรือนมีนามว่าหวังหวน

    ร้านผ้าจิ่นซิ่วเปิดร้านมายี่สิบปี เพียงขายผ้าแดงหลิงเซียวไปสองครั้ง ทั้งสองครั้งล้วนขายให้หวังหวน

    จั่นเจาปิดสมุดบัญชีในมือลงช้าๆ

     

    เรื่องที่ได้ยินมาจากเรือนหวังหวน ภรรยาเสนาบดีหลิวก็ดูปกติธรรมดา

    “วันนั้นเดินผ่านร้านผ้าจิ่นซิ่วที่เปิดใหม่ เห็นผ้าแดงหลิงเซียววางอยู่บนชั้นพับหนึ่ง สีสันดูเข้มเงายิ่งจึงซื้อไว้ นำมาตัดชุดกระโปรงหรูฉวิน*สีแดง ภายหลังอายุเริ่มมากจึงเก็บขึ้นไม่ได้นำมาสวม จะว่าไปก็ประจวบเหมาะพอดี หลายวันก่อนเฉินมามาที่อยู่ในจวนมาขอลาออก ข้าให้หยาเอ๋อร์ไปคัดเลือกเสื้อผ้าเก่ามาให้มามา หนึ่งในนั้นก็มีกระโปรงหรูฉวินสีแดงชุดนี้ ต่อมาหลานสาวของใต้เท้าจะออกเรือน ข้าจึงคิดจะใช้ผ้าแดงหลิงเซียวมาตัดชุดแต่งงาน ตอนให้คนไปถามที่ร้านผ้าจิ่นซิ่ว หลงจู๊บอกจำได้ว่ายังมีอีกพับ เพียงแต่ต้องไปรื้อหาที่ห้องเก็บของ ข้าจึงให้บุตรชายสกุลหลู่ไปรับตอนค่ำ ใครจะรู้…” หวังหวนคล้ายปลงอนิจจังส่ายหน้าทอดถอนใจเบาๆ หยาเอ๋อร์สาวใช้รีบยื่นชาปี้หลัวชุน**ที่เพิ่งชงเสร็จให้อย่างรู้ใจ หวังหวนรับมาแต่ไม่ได้รีบดื่ม เพียงมองจั่นเจา “ที่จำได้ก็มีเพียงเท่านี้ ไม่ทราบพอจะช่วยใต้เท้าจั่นได้หรือไม่”

    แน่นอนย่อมช่วยไม่ได้

    สุดท้ายหยาเอ๋อร์ก็มาส่งจั่นเจาออกประตู จั่นเจาเอ่ยถามคล้ายไม่ได้ตั้งใจ “แม่นางหยาเอ๋อร์ มามาสูงวัยในจวนลาออก เพราะอะไรเจ้าจึงเลือกเสื้อผ้าสีแดงฉูดฉาดออกมา”

    หยาเอ๋อร์สั่นศีรษะ “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าไม่ใช่คนเลือก”

    จั่นเจาคาดคิดไม่ถึงว่าหยาเอ๋อร์จะตอบเช่นนี้

    “ตอนข้าไปคัดเลือกเสื้อผ้าก็เห็นชุดกระโปรงแดงตัวนี้ แต่เฉินมามาไหนเลยจะใช้เสื้อผ้าแบบนี้ ข้าจำได้แม่นยำว่าเอากระโปรงชุดนี้เก็บเข้าไปในหีบแล้ว ใครจะรู้ตอนนายหญิงมาดู กระโปรงแดงชุดนั้นกลับพับเป็นรูปสี่เหลี่ยมวางอยู่บนโต๊ะปะปนอยู่ในกองเสื้อผ้าที่คัดมาแล้ว ไม่รู้ว่าใครเล่นไม่รู้เรื่องเช่นนี้”

    “ต่อมาเล่า”

    “ต่อมาก็เอากระโปรงแดงชุดนี้พร้อมทั้งเสื้อผ้าเก่าตัวอื่นๆ มอบให้เฉินมามาไป” พูดมาถึงตรงนี้หยาเอ๋อร์พลันนึกอะไรขึ้นได้ “ที่แปลกยิ่งกว่าอยู่ข้างหลัง วันก่อนข้าเจอลูกสาวของเฉินมามา นางบอกอยากจะตัดชุดกระโปรงหรูฉวินด้วยผ้าแพรต่วนสีแดงสักชุด ข้าจึงถามว่าไม่ใช่ให้มามาไปชุดหนึ่งหรอกหรือ นางกลับบอกว่าเสื้อผ้าสีเทาๆ ดำๆ พวกนั้นมีแต่คนแก่จึงจะใส่ ประหลาดยิ่งนัก นางมีดวงตาโตปานนั้น กลับไม่เห็นว่าในกองเสื้อผ้าที่นายหญิงให้ไปมีชุดกระโปรงหรูฉวินที่ตัดจากผ้าแดงหลิงเซียวอยู่ชุดหนึ่งหรือ”

    หลังออกจากจวนสกุลหลิวมา จั่นเจาก็ถอนหายใจยาว

    คดีนี้ประเดี๋ยวก็ยุ่งเหยิงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ประเดี๋ยวก็มีเบาะแสสลับซับซ้อนเต็มไปหมด ทำให้คนกลัดกลุ้มเสียจริง

    ถ้าตวนมู่ชุ่ยอยู่ก็คงดี

    ตวนมู่ชุ่ยแม้จะชอบพูดจากระแหนะกระแหนเขา แต่นางเฉลียวฉลาดยิ่ง ไม่แน่อาจดึงปลายด้ายที่แตกต่างเส้นนั้นออกมาได้ จากนั้นก็คลี่เชือกปอกลุ่มใหญ่ที่พันกันยุ่งเหยิงนี้ออกมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

    ขณะที่คิดเช่นนี้ ก็เดินมาถึงหน้าประตูร้านผ้าจิ่นซิ่วโดยไม่รู้ตัว

     

    เป็นช่วงเวลายามดึก ราตรีกาลมืดมิดยิ่ง แสงจันทร์เลือนรางยิ่ง บางเบาดุจสายหมอกจางๆ

    ร้านผ้าจิ่นซิ่วที่อยู่เบื้องหน้าเงียบสงัดผิดปกติ ต้นไม้เก่าแก่ที่ปากประตูยื่นกิ่งก้านออกไปเงียบๆ ท่ามกลางความมืด ที่ปลายกิ่งมีนกเค้าแมวขนดำเกาะอยู่

    ไม่มีลมแม้แต่น้อย นกเค้าแมวตัวนั้นเกาะอยู่ที่ปลายกิ่งไม้เงียบๆ ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาทอประกายประหลาดนั่นเคลื่อนช้าๆ ไปตามการเคลื่อนไหวของจั่นเจาก็คงไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่ง

    จั่นเจาผลักประตูร้านจิ่นซิ่วให้เปิดออกช้าๆ ประตูส่งเสียงแอ๊ดๆ ฝุ่นผงที่มองไม่เห็นร่วงหล่นลงมาจากด้านบน ลอยวนอยู่กลางแสงจันทร์เลือนรางดุจมารปีศาจเริงระบำ

    นกเค้าแมวตัวนั้นพลันส่งเสียงฮือๆ ประหลาดออกมาทำให้คนรู้สึกหวั่นหวาด จั่นเจาหัวใจแทบจะหลุดออกมานอกอก

    นกเค้าแมวหรืออีกชื่อหนึ่งคือนกไล่วิญญาณ ไล่วิญญาณมา ตามวิญญาณไป

    จั่นเจาจุดกลักจุดไฟที่ติดตัวมา กลิ่นฉุนของควันและดินประสิวทำให้กลิ่นเปียกชื้นและกลิ่นเน่าเปื่อยในห้องค่อยๆ จางไป

    จั่นเจาค่อยๆ ก้าวไปช้าๆ เปลวไฟจากกลักจุดไฟสั่นไหวไปมาไม่หยุดนิ่ง เช่นเดียวกับเงาร่างบนกำแพงของจั่นเจา เดี๋ยวยาว เดี๋ยวสั้น

    ในอากาศมีกลิ่นอายบางอย่างที่บอกไม่ถูกลอยวน คล้ายมีอะไร…ไม่ชอบมาพากล

    คล้ายมีดวงตาคู่หนึ่งอยู่ในมุมมืดคอยมองตามแผ่นหลัง ก้าวไปถึงไหน สายตาก็ตามไปถึงนั่น

    แววตานั่นเป็นแววตาที่เยียบเย็น

    จั่นเจาหยุดฝีเท้า

    เขามองเห็นเงาร่างบนผนังกำแพงได้อย่างชัดเจน นอกจากเขาแล้ว…ยังมีคนอื่น

    คนผู้นั้นกางแขนกว้าง เงาบนกำแพงถูกแสงไฟส่องสะท้อนจนดูใหญ่โตและแปลกประหลาด

    จั่นเจาแอบง้างลูกศรดอกหนึ่งในแขนเสื้อ แล้วก็เปลี่ยนใจ ปล่อยมือออกจากลูกศร

    เขาก้าวช้าๆ ไปข้างหน้าต่อ คนที่อยู่ข้างหลังผู้นั้นตามติดมาทุกฝีก้าว จั่นเจายิ้มน้อยๆ พลันออกแรงสะบัดข้อมือปล่อยลูกศรออกไป พร้อมกันนั้นก็หมุนตัวกลางอากาศรอบหนึ่ง หันกลับไปมองคนผู้นั้น

    ไม่มีคน

    ถ้ามีคน ต้องไม่เงียบกริบเช่นนี้

    มีเพียงกระโปรงหรูฉวินสีแดงหลิงเซียวกว้างใหญ่ตัวหนึ่งลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ ผ้าคาดเอวปลิวไหว ช่องแขนว่างเปล่าเหยียดออกไปสองด้าน ประดุจคนผู้หนึ่งกางแขนทั้งสองข้างออกไป

    ใจกลางฝ่ามือจั่นเจาเย็นเฉียบ กุมกระบี่จวี้เชวี่ย*แน่น

    ภายใต้แสงไฟ กระโปรงหรูฉวินสีแดงผ้าหลิงเซียวตัวนั้นมีแสงสีเข้มประหลาดปรากฏอยู่รอบตัว มันยังคงลอยอยู่กลางอากาศ เพียงแต่ไม่รู้เพราะอะไร ตรงแผ่นหลังค่อยๆ โก่งขึ้นคล้ายสัตว์ที่กำลังเตรียมพร้อมจะเข้าโจมตี

    ดูเหมือนในเวลาเดียวกันกับที่จั่นเจาชักกระบี่ยาวออกจากฝัก กระโปรงสีแดงหลิงเซียวนั่นก็พุ่งลงมาใส่

    จวี้เชวี่ยฟาดฟันออกไปสุดกำลังแต่ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา พลังกระบี่สลายไปในอากาศอย่างไร้สุ้มเสียง กระโปรงหรูฉวินนั่นกลับห่อตัวเข้าหากัน พอแตะถูกร่างก็สลัดไม่หลุด ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น คล้ายจะรวมเข้ากับเนื้อหนัง ยังมีหนวดสัมผัสจำนวนนับไม่ถ้วนยื่นออกมา และแทงลึกลงไปในร่างกายที่มีเลือดเนื้อ ไอเย็นแทรกลึกลงไปถึงกระดูก

    กลักจุดไฟกลิ้งหลุนๆ ไปด้านข้าง เปลวไฟดับลงในทันที ราตรีกาลมืดมิด นอกจากความมืดก็มีแต่ราตรีกาล

    ร่างจั่นเจาถูกกระโปรงหรูฉวินพันรัดไว้แน่นหนา ไม่อาจกระดุกกระดิกได้เลย กระโปรงหรูฉวินนั่นยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น รัดแน่นจนจั่นเจาหายใจหายคอไม่ออก

    มือคู่หนึ่ง มือของสตรีคู่หนึ่งค่อยๆ ยื่นมากุมลำคอของจั่นเจา นิ้วมือเย็นเฉียบสิบสองนิ้วลื่นมันดุจผิวของงูพิษ

    จั่นเจาพลันนึกถึงผีเสื้อส่งข่าวที่แขนขวา

    ไม่ทันการณ์แล้ว ทั้งร่างของเขาจมอยู่ในความมืดมิดที่ห่อหุ้มอยู่เป็นชั้นๆ ไม่อาจแตะถึงผีเสื้อส่งข่าวได้อีก ตวนมู่ชุ่ยไม่มีวันรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่

    ที่นี่เป็นซอกมุมที่แม้แต่แสงจันทร์ก็ส่องมาไม่ถึง

     

    จากสะพานตวนมู่ถึงกระท่อมตวนมู่คือเจ็ดก้าว จากกระท่อมตวนมู่ถึงสะพานตวนมู่ยังคงเป็นเจ็ดก้าว

    หวังเฉาเดินๆ หยุดๆ หยุดๆ เดินๆ อยู่ระหว่างสะพานไม้กับกระท่อมอยู่อย่างนี้ บางครั้งก็มองไปที่กระท่อมตวนมู่ที่ไร้สุ้มเสียงแล้วถอนหายใจหนักๆ

    หวังเฉารออยู่หน้าประตูกระท่อมตวนมู่เช่นนี้มาเป็นเวลาสามวันแล้ว

    สามวันก่อน จางหลงจ้าวหู่ตามหาตัวจั่นเจาที่หายไปตลอดทั้งคืนพบที่ร้านผ้าจิ่นซิ่ว

    แต่บางทีนั่นอาจไม่ใช่จั่นเจา เป็นเพียงตัวดักแด้รูปคนสีแดงตัวหนึ่งเท่านั้น

    ใช่แล้ว เป็นตัวดักแด้

    ที่ผ้าแดงห่อหุ้มอยู่น่าจะเป็นคนผู้หนึ่ง ทั่วร่างยังมีไออุ่นน้อยๆ ข้างในผ้าดูเหมือนจะเป็นผิวหนังมนุษย์ ถ้าตั้งอกตั้งใจฟังก็จะได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบายิ่ง

    ที่หล่นอยู่ด้านข้างคือกระบี่จวี้เชวี่ยของจั่นเจาและกลักจุดไฟ

    ถ้าคาดเดาไม่ผิด คนที่อยู่ในนั้นน่าจะเป็นจั่นเจา

    แต่จะเอาองครักษ์จั่น ‘ออกมา’ได้อย่างไร

    ผ้าผืนนั้นคล้ายเชื่อมติดแนบอยู่กับผิวหนัง ไม่รู้จะแยกออกมาอย่างไร ครั้นจะใช้มีดตัดผ้าให้ขาด ไม่ว่าจะลงมีดเบาเพียงใด ระมัดระวังเพียงใดก็จะมีโลหิตซึมออกมาทันที

    ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้จะทำอย่างไร จำต้องรายงานให้ใต้เท้าเปาทราบ

    ความตื่นตระหนกตกใจของเปาเจิ่งไม่ต้องบอกก็รู้ แต่ทุกคนไม่เคยคาดเดาถึงความสงบเยือกเย็นของเปาเจิ่ง

    “ไปสำนักซี่ฮวาหลิว หาตวนมู่ชุ่ย”

    หวังเฉารับคำ เดินออกมาไม่ถึงสองก้าวก็ถูกเปาเจิ่งเรียกไว้ “ถ้านางยังไม่กลับมาก็รอนางอยู่ที่นั่น จำไว้ ห้ามเข้าไปในกระท่อมตวนมู่โดยพลการเด็ดขาด”

     

    ตอนช่วงเวลาอาหารเย็นหม่าฮั่นมายังกระท่อมครั้งหนึ่ง นำเอาสุราอาหารจำนวนหนึ่งมาให้หวังเฉา เมื่อถามถึงองครักษ์จั่น หม่าฮั่นก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างห่อเหี่ยว ขอบตาแดงเรื่อ

    “ไม่รู้ใต้เท้าจั่นต้องอาคมปีศาจอะไร” หวังเฉารู้สึกเศร้าใจ “หวังว่าจะเป็นเช่นที่ใต้เท้าเปากล่าว สำนักซี่ฮวาหลิวมีหนทางแก้ไข”

    ตกค่ำ หม่าฮั่นกลับไปที่ศาลก่อน หวังเฉายังคงเดินๆ หยุดๆ อยู่ระหว่างกระท่อมกับสะพานไม้ พอเหนื่อยแล้วก็ลงนั่งที่ข้างสะพาน

    ตวนมู่ชุ่ยปรากฏตัวขึ้นมาในเวลานี้เอง

    ตอนนั้นหวังเฉาหัวคิ้วขมวดแน่น มองสายน้ำใต้สะพานใจลอย ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำ

    ตวนมู่ชุ่ยแบกกระทะเหล็กอยู่บนหลัง มือข้างหนึ่งถือตะหลิว มือข้างหนึ่งถือมีดหั่นผัก บนศีรษะยังมีหญ้าในน้ำพันติดอยู่หลายต้น ปากก็บ่นพึมพำ “มุดน้ำมาเร็วกว่ามากจริงๆ…”

    “ผะ…ผู้…ผู้มาคือใคร” หวังเฉาเสียงสั่นเทา ที่สั่นยิ่งกว่าเสียงก็คือขาทั้งสองข้างของเขา

    ตวนมู่ชุ่ยมองค้อนเขาไปทีหนึ่ง “คำพูดนี้ข้าต้องเป็นคนถามเจ้าจึงจะถูก”

    ครั้งนี้สมองของหวังเฉากลับหมุนได้เร็วยิ่ง “ท่านคือตวน…ตวน…ตวน…ตวนมู่ชุ่ย?”

    คำตอบของตวนมู่ชุ่ยเต็มไปด้วยอารมณ์สนุกสนาน

    “ใช่แล้ว ข้าคือตวน…ตวน…ตวน…ตวนมู่ชุ่ย”

    “แม่นางตวนมู่ ท่านได้โปรดช่วยใต้เท้าจั่นด้วย” หวังเฉาเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา ทิ้งตัวลงไปคุกเข่าดังตึง

    ครานี้เปลี่ยนเป็นตวนมู่ชุ่ยตะลึงงันแทนแล้ว

     

    “เช่นนั้นหรือ” หลังฟังหวังเฉาบอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ตวนมู่ชุ่ยก็ระบายลมหายใจออกมา “เจ้ากลับไปก่อน ข้าล้างหน้าแต่งตัวแล้วจะไปดูเขา”

    “ท่านยังต้องล้างหน้าแต่งตัวอีกหรือ” หวังเฉาแทบจะเป็นลมลงไปเดี๋ยวนั้น

    ถึงได้บอกว่าอิสตรีไม่มีวันแยกแยะหนักเบารีบช้า ไม่อาจทำงานใหญ่ได้

    หวังเฉามองท่าทางเอ้อระเหยไม่รีบไม่ร้อนเหมือนไม่ใช่เรื่องของตนของตวนมู่ชุ่ยแล้วก็ได้แต่แค้นใจ

    ไม่นานตวนมู่ชุ่ยก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เปลี่ยนมาสวมชุดสะอาดสะอ้าน ในมือยังถือเสื้อไปอีกตัวหนึ่ง

    สวมตัวหนึ่งแล้วยังต้องถือไปอีกตัวหนึ่ง ไม่ได้เชิญไปดูเทศกาลโคมไฟเสียหน่อยหวังเฉาอดใจไม่ไหวอยากจะมองค้อน

    “เจ้า” ตวนมู่ชุ่ยชี้ไปที่หวังเฉา “เอากระทะตะหลิวมีดที่ข้าเอามาไปด้วย”

    หวังเฉาทนไม่ไหวแล้ว “เพราะอะไร”

    “เพราะจั่นเจาจำเป็นต้องบำรุงร่างกายสักหน่อย” ตวนมู่ชุ่ยวางท่าวางทางราวกับต้องทำเช่นนั้นจริง

    หวังเฉาอยากจะตวาดโต้แย้งยิ่งนัก ท่านอย่าคิดว่าเพราะใต้เท้าเปาเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ศาลไคเฟิงจึงไม่มีอะไรสักอย่าง พวกเรามีกระทะตั้งสองใบ!

    แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาไม่กล้า

     

    แม้จะเตรียมใจมาเต็มที่ แต่พอเห็นสภาพดักแด้สีแดง ตวนมู่ชุ่ยก็ยังคงสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ

    “จั่นเจา” ตวนมู่ชุ่ยพึมพำ “ตอนข้าไปเจ้ายังเป็นจั่นเจา แต่พอข้ากลับมาเจ้ากลับกลายเป็นขนมจ้าง*ไปเสียแล้ว”

    ในเวลานี้กงซุนเช่อยกน้ำชาเข้ามาพอดี ครั้นได้ยินฝีเท้าก็ซวนเซ เกือบจะทำน้ำชากระฉอก

    จางหลงกับจ้าวหู่ไม่กล้าหัวเราะ พวกเขาเคยต้องลำบากเพราะตวนมู่ชุ่ยและไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ กับเล้าสุกรคอกสุกร รวมถึงทุกอย่างที่ทำมาจากเนื้อสุกรอีก

    หวังเฉาก็ไม่ได้หัวเราะ ระหว่างทางที่แบกกระทะตะหลิวมาศาลไคเฟิง เขาพลันตระหนักว่าเขามองข้ามเรื่องหนึ่งไป

    นั่นก็คือตวนมู่ชุ่ยโผล่ขึ้นมาจากในน้ำ แม่น้ำสายนั้นไม่นับว่าตื้น ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ถ้าตวนมู่ชุ่ยซ่อนตัวอยู่ในน้ำก็ควรจะโผล่ขึ้นมาครึ่งตัว เพราะเหตุใดตอนพูดคุยกับเขา ร่างทั้งร่างจึงคล้ายเหยียบอยู่บนผิวน้ำ

    ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุกวาบ ได้แต่สงบปากเงียบกริบราวกับจักจั่นในฤดูหนาว

    มีเพียงหม่าฮั่นที่แสยะปากคิดจะหัวเราะ แต่มองซ้ายขวาเห็นทุกคนสีหน้าจริงจังจึงหุบปากลง

    “เจ้า ไปอุโมงค์เก็บน้ำแข็งเคาะน้ำแข็งมาให้ข้าก้อนหนึ่ง” ตวนมู่ชุ่ยสั่งหม่าฮั่น แล้วหันกลับไปมองกงซุนเช่อ “รบกวนเอาอ่างน้ำใบหนึ่งมาตั้งที่กลางลาน ใส่น้ำให้เต็มอ่าง พอถึงยามจื่อ*ก็ต้มน้ำให้เดือด”

    น้ำแข็งถูกนำมาตามคำสั่ง อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้จากอุโมงค์ใต้ดินมาถึงห้องนอนของจั่นเจา แม้จะวิ่งมาอย่างรีบเร่ง แต่น้ำแข็งก็ยังละลายมีน้ำหยด

    ตวนมู่ชุ่ยรับน้ำแข็งมา หยิบมีดเล็กทำจากหยกสีมรกตเลี่ยมฝังเส้นไหมทองคำออกมาจากเอว เมื่อถือมีดไว้ในมือมันก็เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วราวกับบินได้

    หวังเฉาหม่าฮั่นเห็นไม่ชัดเจนว่าตวนมู่ชุ่ยใช้มีดอย่างไร เพียงเห็นตอนตวนมู่ชุ่ยค่อยๆ สะบัดมีดเข้าใกล้ก้อนน้ำแข็ง พอคมมีดสะบัดผ่าน น้ำแข็งก็จะปลิวร่วงลงมาเป็นแผ่นๆ โปร่งใสพร่างพราว บางดุจปีกจักจั่น ไม่นานก็ทับถมเป็นกองเล็กๆ ที่ข้างเตียง การเคลื่อนไหวผ่านเร็วในชั่วพริบตาพาให้คนรู้สึกทั้งลายตาทั้งตะลึงลาน

    “ถ้าหวังเอ้อร์ที่ขายมีดตัดเส้นหมี่ที่ถนนตงเชิญคนมีฝีมืออย่างแม่นางตวนมู่ไปได้ล่ะก็…” หม่าฮั่นอดคิดเพ้อเจ้อลมๆ แล้งๆ ไม่ได้

    น้ำแข็งแผ่นสุดท้ายปลิวร่อนลงมา ลอยคว้างดุจผีเสื้อน้ำแข็งที่ใกล้ตาย ตวนมู่ชุ่ยริมฝีปากเจือรอยยิ้ม มือซ้ายสะบัดขึ้นบนเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำ “ขึ้น”

    จะว่าไปก็แปลก ร่างของจั่นเจา อา…ไม่สิ ดักแด้รูปคนนั่นคล้ายถูกอะไรดันขึ้นและลอยช้าๆ อยู่กลางอากาศ

    ในเวลาเดียวกันนั้น หวังเฉาสองขาอ่อนยวบ หม่าฮั่นสองตาแข็งค้าง จางหลงจ้าวหู่มองหน้ากันอย่างอกสั่นขวัญหาย มิน่าเล่าใต้เท้าจั่นชอบบอกว่าไม่อาจไปตอแยตวนมู่ชุ่ย ดูแล้วตรวจค้นเล้าสุกรยังนับว่าเบา ไม่ถูกส่งตัวไปอยู่เล้าสุกรตลอดชีวิตก็นับว่าโชคดีไปสามชาติแล้ว

    ขณะนึกดีใจอยู่นั้นตวนมู่ชุ่ยก็ยื่นมือขวาออกมา โบกผ่านแผ่นน้ำแข็งที่กองอยู่ แผ่นน้ำแข็งนั่นถึงกับเหมือนมีวิญญาณสิงอยู่ ต่างหมุนเป็นเกลียวลอยวนขึ้นไปตามมือของตวนมู่ชุ่ย แผ่กระจายไปแปะรอบตัวจั่นเจา ทุกแผ่นเชื่อมต่อกันสนิท คล้ายมีเสื้อน้ำแข็งเคลือบทับอยู่อีกชั้นหนึ่ง เหมือนใช้ช่างฝีมือติดขึ้นไปทีละแผ่นๆ

    ทันใดนั้นตวนมู่ชุ่ยก็ตบมือขึ้นเบาๆ ตวาดเสียงต่ำขึ้น “เข้า” แผ่นน้ำแข็งชั้นนั้นซึมแทรกเข้าไปในเสื้อแดงทันที ไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย

    ตวนมู่ชุ่ยชี้ไปที่จั่นเจาแล้วพูดกับทุกคน “รอถึงยามจื่อ น้ำในอ่างเดือดแล้ว ก็เอาองครักษ์จั่นใส่ลงไป

    เอาองครักษ์จั่นใส่ลงไป…ในน้ำเดือด?

    ถ้าเป็นปกติจางหลงจ้าวหู่คงโวยวายขึ้นมานานแล้ว แต่ตอนนี้ได้เปิดหูเปิดตาถึงฝีมือที่ไม่ธรรมดาของตวนมู่ชุ่ย ไหนเลยจะกล้าเอ่ยคำว่า‘ไม่’ออกมาแม้ครึ่งคำ จะต้มนึ่งผัดทอดขอเพียงสั่งการ ใส่น้ำมันเติมเกลือใส่น้ำส้มขอเพียงเอ่ยปาก ใต้เท้าจั่น พี่ใหญ่จั่น ไม่ใช่พี่น้องไม่มีคุณธรรมน้ำมิตร แต่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ท่านอดทนไว้ก่อน

     

    ยามจื่อสามเค่อ*น้ำในอ่างเดือดพล่านนานแล้ว ดักแด้รูปคนลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำ พวกหวังเฉาหม่าฮั่นต่างมองด้วยความสยดสยอง ขณะกำลังหวาดหวั่น พลันได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังขาดหายเป็นห้วงๆ เสียงดังฮือๆ คล้ายสะอึกสะอื้นคล้ายกำลังพูดอะไร ประเดี๋ยวอยู่ไกลนอกกำแพง ประเดี๋ยวอยู่ใกล้แค่ข้างหู ทุกคนฟังแล้วขนพองสยองเกล้า ขนทุกเส้นลุกชัน

    ขณะตัวสั่นเทาทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นพลันมีเสียงพรวดดังขึ้นมาจากในน้ำเดือด เงาดำกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากในน้ำกระโจนขึ้นไปยังที่สูง เรื่องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน ตวนมู่ชุ่ยกระโดดขึ้นไป เอาเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนแขนห่อหุ้มเงาดำกลุ่มนั้นไว้ เสื้อผ้าตัวนั้นเดิมปลิวไปตามสายลมทำท่าจะร่วงหล่น แต่เวลานี้กลับกางอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ร่วงลงสู่พื้นเสียงหนัก

    ตอนทุกคนเพ่งมองอย่างละเอียดก็เห็นเป็นเพียงเสื้อเปล่าตัวหนึ่ง แต่มันกลับกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นดิ้นรนต่อสู้สุดชีวิต เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมานดังไม่ขาดหู คล้ายครอบคลุมร่างคนที่มองไม่เห็นตัวไว้เช่นนั้น ทุกคนต่างขนลุกเกลียวสีหน้าแปรเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว

    แล้วก็ได้ยินตวนมู่ชุ่ยหัวเราะเยาะหยันแล้วว่า “ปีศาจร้าย เสื้อผ้าของข้าตวนมู่ชุ่ย เจ้าสวมใส่ส่งเดชได้หรือ”

     

    เปาเจิ่งกำลังหลับใหล ก็ถูกหวังเฉาเขย่าตัวปลุกให้ตื่นขึ้น

    “ใต้เท้า ขึ้นมาไต่สวนคดีเถิด”

    “ไต่สวนคดี?” เปาเจิ่งประหลาดใจ มองหวังเฉา แล้วก็มองนอกประตูที่มีแต่ความมืด “ไต่สวนคดีอะไร”

    “คดีฆาตกรรมที่ร้านผ้าจิ่นซิ่ว จับตัวผู้ต้องหาได้แล้วขอรับ”

    “พูดจริงหรือ” เปาเจิ่งสองตาเบิกกว้าง อาการงัวเงียไม่เหลืออยู่อีก

     

    ท่านกงซุนนอนไม่ค่อยหลับ

    ด้านหนึ่งก็เป็นห่วงจั่นเจา อีกด้านหนึ่งเขาอยากรู้ยิ่งนัก ตวนมู่ชุ่ยให้ตั้งอ่างน้ำเดือดไว้กลางลานเพื่อจะทำอะไร

    แต่ตวนมู่ชุ่ยเพียงสั่งการให้เซี่ยวเว่ยทั้งสี่อยู่ด้านข้าง ปฏิเสธคำขออยู่ดูเหตุการณ์ของท่านกงซุนอย่างนุ่มนวล

    ‘ท่านกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถิด’ตวนมู่ชุ่ยวางมาดขรึม‘ข้าไม่อยากช่วยคนหนึ่งรอดมาได้ แต่ทำให้อีกคนตกใจตาย’

    ตอนนั้นกงซุนเช่อฟังแล้วงุนงงไม่เข้าใจ ภายหลังมาขบคิดดูถึงได้รู้ว่าตวนมู่ชุ่ยพลิกแพลงคำพูดเพื่อจะบอกว่าเขาขี้ขลาดตาขาว

    พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร กงซุนเช่อโกรธแค้นไม่พอใจ เป็นสาวเป็นนางพูดจาไม่สำรวมเสียเลย

    ราวยามสามก็ถูกเคาะประตูปลุกให้ตื่น หม่าฮั่นโก่งคอเรียก “ท่านกงซุน ลุกขึ้นเถิด ใต้เท้าเปิดศาลแล้ว”

    เพลงพื้นเมืองที่ชาวบ้านร้องเล่นเพลงนั้นร้องว่าอย่างไรแล้วนะ

    ‘ไคเฟิงมีเปาชิงเทียน (เปาเจิ่ง) หน้าตาเฉยชาดุจเหล็กแข็ง แยกแยะดีชั่วไม่เห็นแก่ส่วนตน จั่นเจาจอมยุทธ์ใต้คอยให้ความช่วยเหลือ ที่ปรึกษากงซุนขยับปลายพู่กัน เซี่ยวเว่ยทั้งสี่ยืนขนาบอยู่สองฝั่ง มีดประหารทั้งสามปกป้องอยู่รอบด้าน ฟ้าดินสว่างสดใสมีแสงตะวัน โลกสงบสุขท้องฟ้าเป็นสีคราม*’

    ในเพลงพื้นเมืองยังบอก ‘มีแสงตะวัน’ยามนี้ค่ำมืดไร้แสงสว่างจะมาเปิดศาลอะไร

    กงซุนเช่อเดินมาห้องพิจารณาคดีอย่างคับข้องใจยิ่ง แต่ยังไม่ทันเดินเข้ามาใกล้ก็ได้ยินเสียงเปาเจิ่ง

    “ศาลเรา…ไม่เคยไต่สวนผู้กระทำผิดเช่นนี้มาก่อน”

    “ครั้งแรกก็แปลกครั้งที่สองก็คุ้น ไต่สวนมากเข้าก็ย่อมเคยชิน” เสียงนี้พอได้ยินก็รู้ว่าเป็นตวนมู่ชุ่ย นางมักมีท่าทางไม่อนาทรร้อนใจ เช่นคนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอวอยู่ร่ำไป

    “โลกมนุษย์มีกฎหมาย แดนปีศาจมีกฎเกณฑ์ ภูตผีปีศาจก่อเรื่องก่อราว ตามหลักแล้วแม่นางตวนมู่ต้องเป็นคนจัดการ”

    “พูดเช่นนั้นก็ไม่ผิด แต่เจ้าทุกข์ล้วนเป็นคนในโลกมนุษย์ หลี่ซงป๋อเสียชีวิต องครักษ์จั่นก็เกือบลอยขึ้นสวรรค์ไปเป็นเซียน ใต้เท้าเปาจะไม่ช่วยจัดการให้พวกเขาได้อย่างไร”

    ได้ยินคำว่า ‘ลอยขึ้นสวรรค์ไปเป็นเซียน’ก็มีคนส่งเสียงไอหนักๆ ออกมาสองคำ

    คนผู้นี้คือ…องครักษ์จั่น!

    กงซุนเช่อสาวเท้ายาวๆ จากสามก้าวเป็นสองก้าวเข้าไปในห้องพิจารณาคดี ไม่ผิดจากที่คิด คนที่สวมชุดสีน้ำเงินเอวห้อยกระบี่จวี้เชวี่ยผู้นั้นก็คือจั่นเจามิใช่หรือ

    “องครักษ์จั่น เจ้าไม่เป็นไรแล้วกระมัง” กงซุนเช่อปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

    “ใช่ เป็นเซียนไม่สำเร็จ ต้องย้อนกลับมาไคเฟิง” จั่นเจาจงใจพูดให้ตวนมู่ชุ่ยฟัง ตวนมู่ชุ่ยหัวเราะคิกๆ ไม่เก็บมาใส่ใจ

    “ได้ยินว่าจับตัวผู้ต้องหาได้แล้ว ไม่ทราบ…” กงซุนเช่อเหลียวมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีใคร

    “อ้อ อยู่โน่น” ตวนมู่ชุ่ยชี้มือไป “ปีศาจร้ายผู้นี้มีเจตนาชั่วร้าย เกือบจะเอาชีวิตจั่นเจาไปด้วย ข้าจะต้องให้มันได้รับความทุกข์ทรมานบ้าง”

    เพราะเหตุใดต้องชี้ขึ้นไปบนหลังคา

    กงซุนเช่อเงยหน้าขึ้นไปอย่างไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ

    รอบๆ คานหลังคากว้างโล่ง ฝุ่นควันเดี๋ยวเข้มเดี๋ยวจาง เสื้อคลุมยาวว่างเปล่าโหรงเหรงขาดรุ่งริ่งลอยผลุบโผล่อยู่ในความมืดดุจค้างคาวดุร้ายตัวใหญ่มหึมากางปีกออก บางครั้งก็ส่งเสียงครวญครางกรีดร้องแหบแห้งออกมา

    ท่านกงซุนกระทั่งจะส่งเสียงฮึสักคำก็ไม่มี ร่างอ่อนระทวยล้มลงไปทันที

    “ท่านกงซุน!” จั่นเจารีบก้าวเข้ามา ประคองร่างกงซุนเช่อไว้

    ตวนมู่ชุ่ยทำหน้าทะเล้น “กงซุนเช่อ นับว่าข้าไม่ได้ประเมินขวัญของท่านต่ำไป”

     

    ตอนกงซุนเช่อฟื้นขึ้นมาท้องฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากบนฟ้าสูงสว่างไสวกำลังดี

    สิ่งที่พบเห็นเมื่อคืนคล้ายดังฝันไป

    ครั้นออกจากประตูมา เห็นจางหลงจ้าวหู่กำลังเดินหมากอยู่กลางลาน กงซุนเช่อก็ถามด้วยความแปลกใจ “ไม่ต้องไปสืบคดีหรือ”

    “สืบคดี? คดีร้านผ้าจิ่นซิ่วหรือ” จางหลงไม่ได้เงยหน้าขึ้น “เมื่อคืนปิดคดีไปแล้ว”

    ปิด…ปิด…ปิด…ปิดคดี?

    คดีที่ลึกลับซับซ้อนเช่นนั้น สายสนกลในของคดีแปลกประหลาดเช่นนั้น เหมือนทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้น เวลานี้กลับบอกว่าปิดคดีไปแล้วหรือ

    กงซุนเช่อเบิกนัยน์ตาจนกว้าง

    “ใช่ ปิดคดีแล้ว” จ้าวหู่วางตัวหมากลง “หลี่ซงป๋อมีความผิดมหันต์สมควรตาย เขาใช้เงินจ้างโจรสังหารเจิ้งวั่นหลี่เจ้าของร้านผ้าคนเดิมก่อน จากนั้นก็วางเพลิงเผาหลิวสี่เม่ยผู้เป็นนายหญิงทั้งเป็น กระทำผิดสังหารคนไปสองคน ครั้งนี้ถูกวิญญาณพยาบาททวงชีวิต สวรรค์ให้ความเป็นธรรม ก่อกรรมทำเข็ญไว้ย่อมได้รับการตอบสนอง”

    วิญญาณพยาบาททวงชีวิต นี่มันอะไรกัน

    กงซุนเช่อพลันรู้สึกว่าตนล้าหลังแล้ว เพียงชั่วเวลาสั้นๆ คืนเดียว เขาพลาดจุดสำคัญใดของเรื่องราวไปบ้าง เหตุใดฟังแล้วเหมือนตกลงไปในเมฆหมอก จับต้นชนปลายไม่ถูก

    เห็นจางหลงจ้าวหู่จดจ่ออยู่กับการเดินหมากไม่มีท่าทีจะสนใจตนแม้แต่น้อย กงซุนเช่อจึงตัดสินใจจะไปหาหวังเฉาหม่าฮั่นถามให้รู้เรื่อง

     

    หวังเฉาหม่าฮั่นนั่งดื่มชาอยู่ในห้องเล็กติดประตูใหญ่ หรือน่าจะบอกว่านั่งสนทนากันและถือโอกาสดื่มชา

    “ได้ยินว่าคดีร้านผ้าจิ่นซิ่วปิดคดีไปแล้วหรือ” กงซุนเช่อเอ่ยถาม

    “ปิดแล้ว” หวังเฉามองไปที่หม่าฮั่น คล้ายยังหวาดผวา “คิดไม่ถึงว่าวันที่เกิดไฟไหม้ หลิวสี่เม่ยจะกระโดดลงไปในกระทะทองแดงบนเตาเหล็กที่ใช้เคี่ยวสีย้อมผ้า ร่างถูกเผาจนกระดูกและเนื้อหนังไม่มีเหลือ แค่คิดก็เนื้อตัวสั่นสะท้านแล้ว”

    “หลี่ซงป๋อเสียดายไม่อาจตัดใจทิ้งกระทะทองแดงเตาเหล็กเหล่านั้น และนำมาเคี่ยวสีย้อมผ้าสีแดงเข้มอีกครั้ง สีแดงเดิมก็ร้อนแรงดุดันอยู่แล้ว ยังเรียกดวงวิญญาณอาฆาตแค้นของหลิวสี่เม่ยออกมา ชีวิตถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องถูกกรรมตามสนองเช่นนี้”

    “เขารู้เพียงสีแดงหลิงเซียวนั่นเป็นของแปลกหายาก ถ้ารู้ว่ามีวิญญาณของหลิวสี่เม่ยสิงอยู่ ไหนเลยจะกล้าใช้”

    “หลิวสี่เม่ยผู้นี้ก็ช่างมีความอดทน เกือบยี่สิบปีมานี้นิ่งเงียบไม่ส่งเสียง กบดานอยู่ในบ้านสกุลหวัง เพราะเหตุใดจึงไม่ออกมาแก้แค้นตั้งแต่แรก”

    “ถ้าออกมาตั้งแต่แรก เจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ชิงร้านผ้ากลับมาแล้วจะมอบให้ใครเล่า เวลานี้ใต้เท้าเปาได้ตัดสินให้มอบร้านผ้าจิ่นซิ่วแก่เจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ ไม่ใช่สมความตั้งใจของนางพอดีหรือ”

    “หนี้มีเจ้าหนี้ ความแค้นก็มีคู่แค้น สังหารหลี่ซงป๋อก็แล้วไปเถิด เพราะเหตุใดต้องทำร้ายใต้เท้าจั่นด้วย”

    “เจ้าไม่ได้ยินที่นางพูดหรือ เพียงอยากหาคนมาตายแทน แล้วชิงเอากายเนื้อมา จะได้บอกเล่าเรื่องราวที่ถูกกลั่นแกล้งให้ใต้เท้าทราบ”

    “ครั้งนี้ใต้เท้าจั่นเสี่ยงอันตรายยิ่ง ถ้าไม่ใช่มีผีเสื้อส่งข่าวที่แม่นางตวนมู่มอบให้คุ้มครองกาย เกรงว่าดวงจิตคงแตกสลายไปนานแล้ว…”

    สองคนพูดกันอย่างออกรสออกชาติ พูดเองวาดภาพเอง เจ้าคำข้าคำ ไม่ได้สนใจกงซุนเช่อเลย

    นี่มันเรื่องอะไรกันแน่กงซุนเช่อยืนทึ่มทื่อ กายเนื้อ? ดวงจิต? ดวงวิญญาณ? วิญญาณอาฆาตแค้น หรือจะเป็นงิ้วหลีหยวน*เรื่องใหม่ที่ในเมือง

    ถามต่อไปก็ไม่ได้เบาะแสอะไรขึ้นมา จึงตัดสินใจไปหาจั่นเจา

     

    …ใต้เท้าเปาก็อยู่ด้วย

    “องครักษ์จั่น เจ้าผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งนี้มาได้ พลังชีวิตบอบช้ำมาก แม่นางตวนมู่ได้สั่งกำชับให้เจ้าพักผ่อน เจ้าก็สงบใจรักษาตัวเถิด”

    “คดีนี้แปลกประหลาดเพียงนี้ ใต้เท้าคิดจะใช้ข้ออ้างอะไรในการปิดคดีหรือขอรับ”

    “เวลานี้ดูแล้ว คงจำต้องประกาศแก่ภายนอกว่าหลี่ซงป๋อกระทำความชั่วจิตใจหวาดผวาจึงตกใจตาย ส่วนเรื่องรอยนิ้วมือหกนิ้วนั่น ก็บอกผู้ชันสูตรศพว่าไม่ต้องพูดออกไปก็แล้วกัน ร้านผ้าจิ่นซิ่วเดิมเป็นกิจการของบ้านสกุลเจิ้ง ตัดสินคืนให้แก่เจิ้งเฉี่ยวเอ๋อร์ก็นับว่าสมดั่งความตั้งใจของหลิวสี่เม่ยแล้ว พูดถึงหลิวสี่เม่ยก็เป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง เป็นดวงวิญญาณโดดเดี่ยวเดียวดายมายี่สิบปี มาบัดนี้ยังต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากเสื้อปีศาจเซียวเถา*…”

    “แม่นางตวนมู่โกรธที่หลิวสี่เม่ยเกือบจะทำลายชีวิตผู้น้อย ถึงได้ลงโทษนางด้วยเสื้อปีศาจเซียวเถา…”

    เพราะเหตุใดแม้แต่คำสนทนาของใต้เท้าเปากับองครักษ์จั่นก็ยังฟังดูแปลกประหลาดเช่นนี้

    ใต้เท้าเปาสั่งกำชับจั่นเจาอีกหลายประโยคถึงได้จากไป กงซุนเช่อรีบเข้าไปซักถามจั่นเจา “เสื้อปีศาจเซียวเถาอะไร อะไรคือลงโทษด้วยเสื้อปีศาจ”

    จั่นเจายิ้มๆ “เป็นเสื้อที่แม่นางตวนมู่เอามาด้วยตัวนั้น ได้ยินว่าทำมาจากผลเซียวเถา เดิมต้นเถาก็เป็นหนึ่งในห้าไม้มงคล**อยู่แล้ว เซียวเถาหรือลูกเถาแห้งคาต้นไม่หล่นร่วงลงมายิ่งใช้สยบภูตผีปีศาจได้นานาชนิด เสื้อปีศาจเซียวเถาตัวนี้เพียงพอให้หลิวสี่เม่ยผู้นั้นได้รับความทุกข์ทรมานแล้ว…”

    กงซุนเช่อคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ “แม่นางตวนมู่อยู่ที่ใด ข้าไปถามนางคงสะดวกกว่า”

    “ท่านจะหาแม่นางตวนมู่หรือ นางอยู่ที่ห้องครัว บอกจะทำอาหารบำรุงร่างกาย…”

     

    ยังไม่ทันเข้ามาใกล้ห้องครัวก็เห็นคนงานในห้องครัวกับหัวหน้าพ่อครัวล้วนออกมานั่งอยู่ที่ม้าหินในลานด้านหลัง ตอนเอ่ยถาม หัวหน้าพ่อครัวก็ทำตาประหลับประเหลือก “ไล่พวกเราออกมาหมด หมุนไปหมุนมาอยู่ในนั้นคนเดียวไม่รู้ทำอะไร ไม่ใช่ข้าคุยโม้ อาหารตำรับลับอะไรบ้างที่ข้าไม่เคยเห็น ยังกลัวข้าจะแอบดูหรือ ช่างเหลือเกินจริงๆ…”

    หัวหน้าพ่อครัวยังคงพูดจ้อไม่หยุด กงซุนเช่อผละมายังหน้าประตูห้องครัว ปกติเวลาหุงข้าวทำกับข้าวมักจะเปิดประตูกว้าง แต่ครั้นเป็นตวนมู่ชุ่ยลงมือ บานประตูกลับปิดสนิท หน้าต่างก็ปิดแน่น คนที่รู้ก็รู้ว่ากำลังทำอาหาร คนที่ไม่รู้อาจเข้าใจว่าปิดประตูวางแผนก่อกบฏ

    กงซุนเช่อยกมือเคาะประตู “แม่นางตวนมู่…”

    ตวนมู่ชุ่ยเพียงแง้มประตูออกครึ่งบาน “ท่านกงซุนหรือ มีธุระอะไรหรือไม่”

    “ใช่…มีธุระ…เรื่อง…ร้านผ้าจิ่นซิ่ว…หลิวสี่เม่ย…เรื่อง…เป็นมาอย่างไร”

    คำพูดสั้นๆ ประโยคเดียว กงซุนเช่อกลับพูดออกมาอย่างยากลำบาก พูดมาถึงช่วงหลัง แผ่นหลังก็เย็นวาบ สองขาสั่นพั่บ ริมฝีปากเปลี่ยนสีด้วยทนไม่ไหว

    กงซุนเช่อสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว

    หัวหน้าพ่อครัวบอกในห้องครัวเหลือตวนมู่ชุ่ยอยู่เพียงคนเดียว ตวนมู่ชุ่ยยืนพูดกับเขาอยู่ที่ประตู แล้วมือที่ถือมีดหั่นผักสับอะไรอยู่บนเขียงเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคือใคร มือที่ถือตะหลิวผัดอะไรไปมาอยู่ในกระทะเหล็กคือใคร เป็นใครที่เทน้ำมันเดือดนั่นลงไปในกระทะ มีเสียงน้ำมันกระเด็นดังฉี่ๆ เป็นใครที่ขยับจานชามดังโคล้งเคล้ง

    “มีธุระอะไรกันแน่” ตวนมู่ชุ่ยส่งยิ้มหวาน หวานจนกงซุนเช่อขนพองสยองเกล้า

    “ไม่…ไม่มีธุระอะไร ลำบากแม่นางตวนมู่แล้ว”

    กงซุนเช่อพูดไม่ปะติดปะต่อ หัวเราะแข็งทื่อออกมาสองคำและเร่งรุดจากไปราวกับหนีอะไรบางอย่าง

    ตวนมู่ชุ่ยยักไหล่แล้วปิดประตูลงอีกครั้ง ก่อนหมุนตัวมามองมีดหั่นผักที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่เหนือเขียง แล้วก็มองตะหลิวที่กำลังทำงานยุ่งไม่ได้หยุดพักแม้ชั่วครู่ชั่วยามอันนั้น

    เพื่อจะบำรุงพลังชีวิตให้จั่นเจา อี้หยา ครั้งนี้ต้องลำบากท่านแล้ว

     

    2 of 2หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง

    นิยายยอดนิยม

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ยอดสถาปนิกผู้พิทักษ์อาณาจักร เล่ม 1 ครั้งที่ 1

      บทที่ 1 กลายเป็นเศษสวะในนิยาย     เหตุการณ์ที่เหมือนนิยายกำลังเกิดขึ้นกับผม เมื่อลืมตาก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู...

    Facebook