• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 3 ตอนที่ 1

    เขาเข้าใจว่านี่คือสัญญาอันเป็นที่รู้กันของทั้งสองคนที่หาได้ยากยิ่ง ครั้งหนึ่งเขาถึงกับแอบปลื้มปีติยินดีกับสัญญาอันเป็นที่รู้กันนี้ กระทั่งตอนนี้ถึงได้รู้สึกราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบ

    เพลิงโทสะของการถูกหลอกใช้และถูกปั่นหัวเล่นพลันลุกโชนขึ้น

    นี่นับเป็นอะไร ‘วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วยย่างสุนัข’*เมื่อครู่ที่นางนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงก็เพียงเพราะต้องการให้ความจริงในคดีอวี๋ตูปรากฏออกมา มาบัดนี้สมปรารถนาดังใจแล้วจึงมาคิดบัญชีเก่ากับเขาอีก

    บางทีอาจไม่ใช่คิดบัญชีเก่าอีกครั้ง นับแต่พริบตาที่เขาหนีรอดไปได้ นางก็เฝ้าแต่คิดจะทวงบัญชีทั้งต้นทั้งดอกกลับคืนกระมัง ดอกบัวทะลุใจของนางกระหายใคร่จะดื่มโลหิตที่ลำคอของเขามานานแล้ว

    จั่นเจารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างไม่เคยเป็น

    แต่ก่อนเขารู้สึกว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่พูดไม่รู้เรื่องอธิบายไม่เข้าใจ ผู้บริสุทธิ์จะอย่างไรก็คือผู้บริสุทธิ์ ถ้าคำพูดไร้น้ำหนัก การกระทำของเขาย่อมพอจะปิดปากทุกคนได้กระมัง

    แต่อยู่ที่นี่ คำพูดก็ดีการกระทำก็ดีล้วนเปล่าประโยชน์

    จั่นเจายิ้มเศร้า มือที่กุมกระบี่จวี้เชวี่ยลดลงมาช้าๆ “ข้าจะไม่สู้กับท่านแม่ทัพ”

    “เจ้าไม่สู้กับข้า หรือเจ้าจะยืดคอรอให้สังหาร” ตวนมู่ชุ่ยรู้สึกว่านี่ช่างเหลวไหล นิ้วมือเรียวยาวลูบผ่านตัวโซ่ช้าๆ แตะไปที่เหล็กแข็งปลายหอก “จั่นเจา ชักกระบี่เถิด”

    จั่นเจาหลุบตาไม่ขยับ ลำคอพลันเย็นวาบ หัวหอกของดอกบัวทะลุใจได้แตะลงมาบนลำคอของเขาแล้ว

    “ข้าไม่มีความอดทนมากนัก” เห็นชัดว่าตวนมู่ชุ่ยกำลังพยายามกดข่มเพลิงโทสะ “ขืนเจ้ายังไม่ชักกระบี่ออกมา ข้าก็จะตัดคอของเจ้าเสีย”

    “ข้าเพียงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรท่านแม่ทัพจึงจะพอใจ” จั่นเจาพลันเอ่ยปากแล้ว “สู้ชนะแล้วอย่างไร สู้แพ้แล้วก็อย่างไร ท่านแม่ทัพไม่ได้อยากเอาชีวิตข้า หากต้องการให้ข้าตายคงไม่หน่วงเหนี่ยวมาถึงวันนี้ ไม่ต้องสิ้นเปลืองสมองคิดหาวิธีให้ข้าดื่มสุราพิษอะไร ไม่ต้องเมื่อยปากเกลี้ยกล่อมข้าให้ชักกระบี่ ลงมือให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไยมิใช่หมดปัญหา ทั้งไม่ให้ข้าตาย และไม่ให้ข้าใช้ชีวิตอย่างสงบ ระแวงข้าไปเสียทุกอย่าง ข้าหนีก็เป็นความผิด กลับมาก็เป็นความผิด เป็นผู้ต้องสงสัยว่าสังหารผู้ช่วยแม่ทัพมีความผิด ล้างมลทินให้ตัวเองก็ยังมีความผิด ตอนแรกปิดบังความเป็นมาของตนมีความผิด หลังจากรายงานประวัติความเป็นมาให้ท่านแม่ทัพทราบแล้วก็ยังมีความผิด ถ้าท่านแม่ทัพกับจั่นเจามาสลับตำแหน่งกัน ท่านแม่ทัพโปรดถามใจตัวเองดูว่าควรทำอย่างไรดี”

    คำพูดเหล่านี้เขาพูดด้วยเสียงดังกังวานเปี่ยมพลังทุกถ้อยทุกคำ ภายใต้ความตื่นตะลึง มือของตวนมู่ชุ่ยสั่นเล็กน้อย หัวหอกสั่นไหวกรีดลำคอจั่นเจาเป็นแนวเล็กโลหิตไหลซิบ

    “เจ้า…” ตวนมู่ชุ่ยกัดฟัน “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเพราะคำพูดคนทำให้หวั่นไหว คิดจะสร้างผลงานขึ้นมาในระหว่างกลียุค ข้าก็เข้าใจไปก่อนว่าเจ้าจะมาพึ่งพาอาศัยข้า แต่จั่นเจา ในเมื่อจะมาอยู่ในสังกัดของข้าก็ควรฟังข้าสั่งการ เหตุใดเจ้าจึงกล้าต่อต้านข้า ตอนแรกก็หันคมอาวุธเข้าใส่ ตอนหลังก็ข่มขู่ด้วยสุราพิษ เข้าออกตามใจชอบเห็นค่ายทหารของข้าเป็นอะไรไป”

    จั่นเจาโกรธจัดจนหัวเราะ “ที่แท้ในสายตาของท่านแม่ทัพ ที่ข้ามีความผิดเพียงเพราะข้าไม่เชื่อฟัง”

    ตวนมู่ชุ่ยนิ่งงัน กลับเป็นการยอมรับโดยปริยาย

    “จั่นเจาเป็นบุรุษผู้สง่าผ่าเผย วีรอาจหาญ ต่อให้บากหน้ามาอยู่ในสังกัดท่านแม่ทัพจริงก็ต้องนอนหนุนอาวุธเฝ้าระวังจนฟ้าสาง*อาศัยกระบี่คมอาวุธสร้างผลงานให้เกริกก้อง จะไม่มีวันเอาแต่ยืมจมูกท่านแม่ทัพหายใจได้แต่เชื่อฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัดรับคำเพื่อประจบเอาใจท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพขังข้าไว้ในกรงไม้หนามก่อน ภายหลังก็ข่มขู่ด้วยสุราพิษ ทั้งหมดเพียงใช้อารมณ์ไม่ถามต้นสายปลายเหตุ เห็นจั่นเจาเป็นคนไม่มีหน้ามีตาไม่มีศักดิ์ศรี เหยียบย่ำราวต้นไม้ใบหญ้า อาศัยอะไรให้จั่นเจาตอบแทนด้วยหยกล้ำค่า**ปกติคงมีคนมาส่ายหางให้ความเคารพนบนอบต่อท่านแม่ทัพมากเกินไป ท่านแม่ทัพจึงเข้าใจว่าใต้หล้าอันกว้างใหญ่ไพศาลล้วนมีแต่คนประเภทเกาป๋อเจี่ยนที่รู้จักแต่รับปากคอยประจบเอาใจท่านแม่ทัพเท่านั้น”

    ใบหน้าของตวนมู่ชุ่ยบัดเดี๋ยวขาวบัดเดี๋ยวคล้ำ ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยถูกคนตำหนิประณามต่อหน้าเช่นนี้

    ขณะชะงักงันอยู่นั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก ตามมาด้วยเสียงสดใสกังวานของอาหมี “คุณหนู”

    ตวนมู่ชุ่ยรีบเก็บดอกบัวทะลุใจทันที จากนั้นก็หมุนตัวไปไม่เหลือบแลจั่นเจาอีก

    ผ้าม่านเลิกขึ้นพาไอหนาวเข้ามาเล็กน้อย ใบหน้าของอาหมีถูกสายลมยามราตรีซัดจนแดงระเรื่อ สายตาของนางหยุดนิ่งที่ร่างจั่นเจา ในดวงตาสุกใสมีรอยยิ้มเจืออยู่ “คุณหนู กระโจมจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว จะให้ข้าพาจั่นเจาไปเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่”

    จั่นเจาตะลึงงัน มองไปทางตวนมู่ชุ่ย นางให้คนจัดเตรียมกระโจมให้เขา?

    “ไม่ต้องแล้ว” ตวนมู่ชุ่ยแพขนตาหลุบต่ำ น้ำเสียงราบเรียบยิ่ง “ข้าคิดไปคิดมา จั่นเจาไม่เหมาะที่จะรั้งอยู่ที่นี่ เจ้าส่งเขาออกจากค่ายทหารไปเถิด”

    อาหมีงงงัน ไม่เข้าใจเพราะเหตุใดเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ตวนมู่ชุ่ยก็เปลี่ยนใจแล้ว “ส่งเขาออกจากค่ายทหาร แล้ว…จั่นเจาจะไปที่ใด”

    “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” ตวนมู่ชุ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “เมืองอันอี้ใหญ่โตเพียงนี้เขาอยากไปที่ใดก็ไป เพียงอย่ามาเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าข้าก็แล้วกัน!”

    พูดจบก็ไม่แม้แต่จะรั้งอยู่ต่ออีกสักเล็กน้อย นางเดินขมวดหัวคิ้วมุ่นผ่านข้างกายอาหมี มือเลิกม่านขึ้นอย่างแรงแล้วยอบตัวลงเดินออกไปทันที

    อาหมีนิ่งงันอยู่กับที่ มองผ้าม่านที่ยังขยับไหวเบาๆ แล้วก็มองจั่นเจา สีหน้าคล้ายทำอะไรไม่ถูกอยู่เป็นนานจึงกล่าวขึ้นมาอย่างลังเล “จั่นเจา เจ้า…ล่วงเกินอะไรคุณหนูของเราอีกแล้ว”

    จั่นเจาไม่ตอบ นิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพให้เจ้าไปจัดเตรียมกระโจมให้ข้าหรือ”

    “ใช่” พอเอ่ยถึงเรื่องนี้คิ้วโค้งชวนมองทั้งสองข้างของอาหมีก็ขมวดมุ่น “เมื่อครู่หลังจากส่งพวกแม่ทัพเกาป๋อเจี่ยนไปแล้ว คุณหนูก็ให้ข้าจัดเตรียมกระโจมสะอาดหลังหนึ่งออกมา ยังจะจัดทหารสองนายมาให้เจ้าเรียกใช้สอย…ใครจะรู้เวลาผ่านไปเพียงแวบเดียว เฮ้อ…”

    อาหมีถอนใจเบาๆ มือข้างหนึ่งดึงสายรัดที่เอวไปมาคล้ายไม่พอใจ แต่พลันเหลือบไปเห็นสีหน้าจั่นเจาดูไม่ดีนักจึงรีบเอ่ยปลอบ “ทว่าคุณหนูของเราแต่ไรมาก็มีนิสัยเช่นนี้ คำพูดที่เพิ่งพูดออกไป ประเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนอีกแล้ว…จั่นเจา คุณหนูให้ข้าส่งเจ้าออกจากค่ายก็เท่ากับปล่อยตัวเจ้าแล้ว คิดว่าคุณหนูคงไม่สงสัยว่าเจ้าเป็นผู้สอดแนมของทางเจาเกออีก เพียงแต่…แล้วเจ้าจะไปที่ใด”

    ตอนนางถามในใจก็เป็นกังวลยิ่ง กลัวจะได้ยินจากปากจั่นเจาว่าเขาจะไปจากเมืองอันอี้

    จั่นเจาถูกคำพูดเมื่อครู่ก่อนของอาหมีทำเอาสับสนว้าวุ่น เขาเข้าใจว่าตวนมู่ชุ่ยเอาแต่หวาดระแวงเขา จึงระงับเพลิงโทสะในใจไว้ไม่อยู่และเอ่ยประณามไปด้วยความโมโห เดิมทีคิดว่าด้วยนิสัยของตวนมู่ชุ่ยจะต้องกระทืบเท้าเร่าๆ ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรตามมาอีกเท่าไร คิดไม่ถึงว่านางจะอดกลั้นไว้ได้ ทั้งยังให้อาหมีส่งเขาออกไป…คิดมาถึงตรงนี้จั่นเจาพลันใจหายวาบ คำพูดของเขารุนแรงถึงเพียงนั้นไม่รู้ตวนมู่ชุ่ยได้เก็บมาใส่ใจหรือไม่ นี่ถ้าเป็นตอนอยู่ไคเฟิงคงขอบตาแดงเดินจากไปแล้ว ชั่วขณะนั้นเขาทั้งไม่สบายใจและปวดใจ พอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าเพราะเหตุใดหลังจากเข้ามาอยู่ในห้วงลึกความสุขุมเยือกเย็นที่เคยมีก็อันตรธานหายไปหมด เหตุใดจึงหุนหันพลันแล่นและไร้ความอดทนถึงเพียงนี้

    ในใจพลันสับสนวุ่นวาย ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามา จนอาหมีต้องเรียกติดๆ กันหลายคำเขาจึงได้สติ “อะไรหรือ”

    “ข้ากำลังถามเจ้า จะไปจากเมืองอันอี้หรือไม่” อาหมีกัดริมฝีปาก ทั้งเฝ้ารอคอยทั้งตื่นเต้นจริงจัง

    “ในเวลาอันสั้นก็ไม่มีที่ให้ไป อยู่เมืองอันอี้ไปชั่วคราวก่อนแล้วค่อยคิดหาทาง”

    หัวใจทั้งดวงของอาหมีค่อยๆ กลับสู่ที่เดิม นางคลี่ปากยิ้มดูน่ารักยิ่ง “เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าออกไป จั่นเจา เจ้าจะไปพักอยู่ที่ใด”

    ในเมืองอันอี้คนที่จั่นเจารู้จักมีเพียงไม่กี่คน จึงบอกไปตามที่คิด “บางทีข้าอาจจะกลับไปอยู่ที่คฤหาสน์สกุลฉีมู่ก่อน…” พูดมาได้ครึ่งหนึ่งก็นึกถึงคนในสกุลฉีมู่จึงรีบเอ่ย “แม่นางอาหมี ท่านแม่ทัพ…จะลงโทษคนในสกุลฉีมู่อย่างไรหรือ”

    อาหมีไม่เข้าใจ “จั่นเจา เจ้ากับสกุลฉีมู่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่สหาย เหตุใดจึงเป็นห่วงพวกเขาเช่นนี้”

    คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นอีก “หลักฐานการลอบติดต่อกับทางเจาเกอที่ค้นมาได้เหล่านั้น บ้านสกุลฉีมู่เป็นผู้สอดแนมแน่นอนไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีก เพียงแต่ตาแก่สองคนนั่นปิดปากแน่น ไม่ว่าจะใช้ทัณฑ์ทรมานอย่างไรก็ไม่ยอมปริปากแม้ครึ่งคำ คิดว่าคงยอมตายแน่แล้ว ฟังน้ำเสียงท่านแม่ทัพ ทัพตวนมู่จะไม่สนใจเรื่องนี้ต่อไปอีก ให้แม่ทัพเกาป๋อเจี่ยนเป็นคนจัดการเรื่องในภายหลังต่อไป”

    จั่นเจาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะหันมาประสานมือให้อาหมี “แม่นางอาหมี จั่นเจา…มีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง”

    “เรื่องอะไรหรือ”

    “คดีบ้านสกุลฉีมู่ถูกกล่าวหาว่าลอบติดต่อกับทางเจาเกอ ความผิดส่วนใหญ่คงตกอยู่กับฉีมู่ติงและฉีมู่เตี่ยน ส่วนคนอื่นๆ ในสกุลฉีมู่ เช่นแม่นางฉีมู่อีหลัวกับคนรับใช้อีกกลุ่มหนึ่งคงพัวพันได้รับโทษไปด้วย ความผิดไม่ถึงตาย ถ้าไม่ลำบากเกินไปนัก เมื่อสะดวกและสบโอกาสเหมาะยังขอให้แม่นางอาหมีได้โปรดช่วยพูดจาให้พวกเขาสักสองประโยค”

    อาหมีนิ่งฟังเงียบๆ ด้วยฐานะของนางจะไปพูดจาแทนคนในครอบครัวฉีมู่สักสองประโยค คิดว่าเกาป๋อเจี่ยนคงเห็นแก่หน้านางสักสามส่วน เพียงแต่…

    แม่นางฉีมู่อีหลัว…

    อาหมีพลันนึกถึงตอนไปคุมตัวจั่นเจาออกมาจากคุกใต้ดิน หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังจั่นเจาผู้นั้น แม้สีหน้าเศร้าสร้อยทุกข์ทนปล่อยผมยาวยุ่งรุงรัง แต่หากพิจารณาดูอย่างละเอียดก็นับเป็นหญิงงามคนหนึ่ง จั่นเจายังเอาตัวเองไม่รอด ยังจะขอร้องเพื่อนาง

    ชั่วขณะนั้นอาหมีรู้สึกไม่สบายอย่างมาก ทั้งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมและไม่พอใจ จึงได้แต่ก้มหน้าไม่ส่งเสียง

    จั่นเจาเห็นนางสีหน้าผิดปกติ นึกไม่ถึงว่าอาหมีจะคิดมากเช่นนี้ ทั้งยังเข้าใจว่านางลำบากใจเรื่องนี้จึงยิ้มน้อยๆ “แม่นางอาหมี ถ้าลำบากใจล่ะก็ ที่จั่นเจาพูดไปเมื่อครู่คิดเสียว่าไม่เคยได้ยินเถิด ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”

    อาหมียิ้ม “พี่ใหญ่จั่น ข้าจะจดจำไว้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ถ้ามีเวลาว่าง ข้าจะไปที่ค่ายเกาป๋อเจี่ยนขอร้องเขาสักครั้ง”

    จู่ๆ นางก็เปลี่ยนมาเรียกเขาว่าพี่ใหญ่จั่น จั่นเจาใจเต้นตึกตัก ความประหลาดใจผุดขึ้นมาในส่วนลึกของแววตาวาบหนึ่ง เขาหลุบตาลง ไม่เผยท่าทีอะไร “ถ้าเช่นนั้น ลำบากแม่นางอาหมีแล้ว”

     

    คืนนี้ตวนมู่ชุ่ยนอนไม่ค่อยหลับ นางพลิกตัวไปพลิกตัวมา พอหลับตาก็เห็นภาพจั่นเจาประณามนางเสียงเฉียบขาด ทุกถ้อยทุกคำแหลมคมบาดลึก แค่คิดก็รู้สึกทรวงอกอัดแน่นเจ็บปวด พลันนึกเสียใจขึ้นมา หากรู้แต่แรกก็ไม่ควรปล่อยจั่นเจาไปง่ายดายเช่นนี้ น่าจะผูกโยงแล้วโบยตีสักพักหนึ่งก่อนค่อยว่ากัน

    ครึ่งคืนหลังถึงได้เริ่มง่วงขึ้นมาบ้าง ขณะกำลังเคลิ้มหลับก็มีคนเรียกนางเบาๆ ที่ข้างหมอน “ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ”

    ตวนมู่ชุ่ยตกใจตื่นขึ้น พลิกตัวลงจากเตียง ถึงได้พบว่าในกระโจมตลบอบอวลไปด้วยหมอก ไอหนาวกดคุกคามคน นอกกระโจมคล้ายมีเสียงคร่ำครวญแหบแห้ง ทุกคำน่าเวทนายิ่ง ทำให้คนขนพองสยองเกล้า

    ตวนมู่ชุ่ยรู้ว่าในกองทัพเจาเกอมีคนที่มีความสามารถแปลกมหัศจรรย์อยู่มาก คอยทำสิ่งประหลาดให้คนเคลิบเคลิ้มหูตามัว ทว่าในใจนางกลับไม่รู้สึกกลัว ทั้งยังยิ้มหยันออกมา ดอกบัวทะลุใจถือพร้อมในมือ ไม่ได้คลุมเสื้อคลุมก็เดินไปที่ประตูกระโจม มือยื่นไปเลิกม่านขึ้นช้าๆ

    ด้านนอกสภาพไม่เหมือนเมื่อตอนกลางวัน สีท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดินเหลือง ก้อนเมฆหนาลอยต่ำ นกกาเกาะกลุ่มร้องเซ็งแซ่ผ่านไป ทหารที่เฝ้าอยู่หน้ากระโจมหลักรวมทั้งทหารรักษาการณ์ล้วนไม่เห็นเงาแม้แต่ครึ่งนาย

    ตวนมู่ชุ่ยไม่กระโตกกระตาก ทว่าขณะย่างเท้าก็พลันได้ยินเสียงผิดปกติ ตอนก้มหน้าลงมองก็พบว่าที่ด้านหน้ากระโจมหลักมีหลุมลึกสีดำขนาดมหึมาอยู่หลุมหนึ่ง โคลนเลนที่ก้นหลุมดุจหมึก ฟองเดือดปุดๆ ไม่หยุด บริเวณตรงกลางก้นบ่อมีสตรีผู้หนึ่งนอนอยู่

    อยู่ห่างไกลเกินไปจึงมองไม่ชัดเจน เห็นเพียงว่าสตรีผู้นั้นสวมชุดกระโปรงสีเขียวมรกต หน้าตาดูคุ้นตาอยู่หลายส่วน ในใจของตวนมู่ชุ่ยมีความรู้สึกแปลกประหลาดผุดขึ้นมา ไม่รู้เพราะอะไรนางถึงก้มตัวลงไปดู…

    เพียงชั่วพริบตาเดียว จู่ๆ ก็มีหนวดงวงสีดำสองเส้นพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของโคลนเลนก้นบ่อดุจสายฟ้าฟาด อานุภาพของเสียงน่าตื่นตะลึงยิ่ง ตวนมู่ชุ่ยใจเต้นระทึก ขณะจะถอยหลังหนวดงวงนั่นก็คล้ายมีชีวิต เส้นหนึ่งโอบรัดเอวเอาไว้ อีกเส้นหนึ่งก็พันลำคอนางแล้วลากดึงลงไป

    ตวนมู่ชุ่ยหัวปักลงไปในโคลนเลน ภาพเบื้องหน้ามีแต่ความมืดมิด ข้างหูมีเสียงไหลโกรก รู้สึกเพียงโคลนเลนเหนียวอุ่นแทบจะห่อหุ้มร่างทั้งร่างเอาไว้ หลังพยายามดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง เท้าก็เหยียบถูกพื้นแข็งจนประคองตัวยืนขึ้นมาได้ นางไอเสียงดังไม่หยุด อ้าปากหอบหายใจคำโต

    รอจนลมหายใจค่อยสงบลงบ้างแล้ว ก็ยกมือขึ้นมาเช็ดโคลนเลนที่ใบหน้า พอเหลียวมองไปรอบด้านก็พลันรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่

    สตรีที่หลับใหลอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของโคลนเลนเงียบๆ ผู้นั้น เหตุใดจึงมีหน้าตา…คล้ายกับนางถึงเพียงนี้

    บางทีไม่อาจบอกว่าคล้าย แต่พูดได้ว่าเหมือนราวกับพิมพ์เดียวกัน ตวนมู่ชุ่ยมองนาง รู้สึกคล้ายกำลังเอาคันฉ่องส่องตัวเอง

    ขณะตะลึงงันอยู่นั้น ทางด้านหลังพลันมีเสียงโคลนโหมซัดสาดกระเด็นดังขึ้น ตวนมู่ชุ่ยหันหน้ากลับไปตามสัญชาตญาณ เห็นโคลนเลนกลุ่มหนึ่งยิ่งซัดมาใกล้ก็ยิ่งสูง จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรูปร่างคน เพียงแต่เป็นเพียงโครงร่างเท่านั้น มีรูลึกสองรูตรงส่วนของศีรษะ มันกำลังจับตามองนางนิ่ง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook