• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 3 ตอนที่ 1

    5 of 5หน้าถัดไป

    เมื่อคืนนางรีบร้อนเร่งรุดไปที่ค่ายเกาป๋อเจี่ยน ตอนไปถึงจึงรู้ว่าฉีมู่ติงกับฉีมู่เตี่ยนถูกทรมานจนตายไปแล้วทั้งสองคน พอถามถึงฉีมู่อีหลัว เกาป๋อเจี่ยนพลันอึกอักขึ้นมา ตอนแรกบอกตายแล้วแต่พอถามว่าศพอยู่ที่ใด เขากลับอ้ำอึ้งพูดไม่ออก

    อาหมียิ่งถามก็ยิ่งสงสัย พลันนึกถึงเรื่องโจษจันในค่ายทหารเกี่ยวกับเกาป๋อเจี่ยนในช่วงก่อนขึ้นมาได้ สายตาจึงสอดส่ายไปด้านในกระโจมของเกาป๋อเจี่ยน เกาป๋อเจี่ยนมีท่าทีลนลานมากขึ้น เอาตัวมาบังสายตานางไว้ พูดจาสับสนเลอะเทอะไม่ตรงประเด็น

    เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งยืนยันถึงความสงสัยของอาหมี นางผลักเกาป๋อเจี่ยนออกแล้วพุ่งเข้าไปในกระโจมทันที พอเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าโลหิตทั่วร่างพลันพุ่งขึ้นไปที่กระหม่อม

    ในเมื่อถูกฉีกหน้าไปแล้ว เกาป๋อเจี่ยนก็ไม่สนใจคนรอบข้างหรือพูดจาหลบเลี่ยงอีก เพียงใช้คำพูดแฝงการเสียดสีเหน็บแนม “แม่นางอาหมี เจ้ามาที่นี่ใช่เป็นเจตนารมณ์ของแม่ทัพตวนมู่หรือไม่”

    อาหมีไม่สนใจเขาและไม่พูดไม่จา เพียงเดินไปที่ข้างเตียง ถอดเสื้อคลุมออกมาห่อหุ้มร่างเปล่าเปลือยดวงตาเหม่อลอยของฉีมู่อีหลัวเอาไว้

    เกาป๋อเจี่ยนมีท่าทีโกรธโมโห “แม่นางอาหมี ข้าเห็นแก่หน้าท่านแม่ทัพตวนมู่ จึงให้เกียรติเจ้าสามส่วน แต่เจ้าก็อย่ากำเริบเสิบสานเกินไปนัก!”

    อาหมีพยุงฉีมู่อีหลัวยืนขึ้น แม้จะมีเสื้อคลุมกั้นอยู่ แต่นางก็ยังรับรู้ได้ถึงเรือนร่างที่บอบบางและสั่นระริกของฉีมู่อีหลัว

    ตอนเดินมาถึงด้านนอกก็ถูกท่านชิวซานขวางไว้

    เขาเองก็รู้ว่านายของตนมั่วโลกีย์อย่างไร้ยางอายจึงพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก แต่ก็มีเหตุผลอยู่สามส่วน “แม่นางอาหมี ไม่ว่าอย่างไรท่านแม่ทัพก็เป็นแม่ทัพจากการแต่งตั้งของท่านอัครเสนาบดี ต่อให้แม่ทัพตวนมู่อยู่ที่นี่ก็ต้องให้เกียรติแม่ทัพเกาหลายส่วน เจ้าทำเช่นนี้ไยมิใช่เป็นการตบหน้าท่านแม่ทัพหรือ”

    อาหมีลังเลอยู่ชั่วขณะแต่เท้าของนางก็ไม่ได้หยุด

    ข้างหลังมีเสียงร้องตะโกนด้วยความโมโหและเสียหน้าของเกาป๋อเจี่ยน “ตวนมู่ชุ่ยอบรมผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้เองหรอกหรือ”

    นางพาคนกลับมาแล้ว แต่…

    ฉีมู่อีหลัวสติฟั่นเฟือนแล้ว ไม่รู้พูดเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ แต่นางไม่ใช่ฟั่นเฟือนด้วยโรคประสาท เพียงดวงตาเหม่อลอย ไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว ไม่ว่าใครก็ไม่รู้จัก ขดตัวเงียบๆ อยู่ในมุมหนึ่งของกระโจมราวกับคนตาย

     

    จั่นเจาเลิกม่านขึ้น เห็นหญิงรับใช้กำลังปรนนิบัติตวนมู่ชุ่ยกินอาหารจึงค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง เดิมทีนางก็บาดเจ็บภายนอก มาวันนี้เห็นกินอาหารได้ตามปกติ คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมากแล้ว

    ตวนมู่ชุ่ยชายหางตามาเห็นจั่นเจาก็โบกมือให้หญิงรับใช้ผู้นั้นล่าถอยออกไปแล้วหันมายิ้มให้

    จั่นเจายิ้มน้อยๆ เดินเข้าไปช้าๆ “ท่านแม่ทัพอาการดีขึ้นแล้วหรือ”

    ตวนมู่ชุ่ยเงยหน้ามองเขา “เหตุใดเจ้าไม่นั่งลงพูดจา ข้าแหงนคอมองเจ้าจนเมื่อยแล้ว”

    จั่นเจาลังเลเล็กน้อย แล้วยกชายเสื้อขึ้นนั่งลงที่ริมตั่ง ตวนมู่ชุ่ยมองจ้องเขาคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ ก่อนเอ่ยปาก “จั่นเจา เมื่อคืนเจ้าเป็นคนช่วยข้าไว้”

    จั่นเจาตอบไม่ตรงคำถาม “ท่านแม่ทัพออกจากค่ายไปตามลำพังกลางดึก กระทั่งอาวุธก็ไม่ได้พกพา ท่านออกไปทำอะไรหรือ”

    ตวนมู่ชุ่ยไม่ตอบ เพียงนิ่งไปชั่วขณะ “พวกที่ลอบสังหารข้าเมื่อคืนเป็นผู้สอดแนมที่ทางเจาเกอส่งมา จั่นเจา เหตุใดเจ้าจึงบังเอิญเร่งรุดมาได้ทันเวลาพอดี”

    จั่นเจาสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “นั่นก็ต้องถามท่านแม่ทัพว่าเพราะเหตุใดจึงมาปรากฏตัวใกล้ที่พักอาศัยของข้าตอนดึกตามลำพังคนเดียว”

    ตวนมู่ชุ่ยไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย “ถามได้ดี ข้าก็อยากถาม เพราะเหตุใดจึงไม่ใช่ที่อื่น กลับถูกจู่โจมในละแวกใกล้ที่พักของเจ้า”

    ทั้งสองคนตอบโต้กันไปมา ตาต่อตาฟันต่อฟัน ทุกคำไม่ลดราวาศอก แม้ไม่ถึงกับจะชักดาบเข้าห้ำหั่น แต่เห็นชัดว่าต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

    จั่นเจาไม่ใส่ใจ เพียงก้มหน้าเล็กน้อยคล้ายเคยชินแล้ว “ช่างเถิด ถ้าเจ้าสงสัยว่าข้าเป็นผู้สอดแนม ข้าช่วยเจ้าหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เมื่อคืนข้าฝันไปเรื่องหนึ่ง ฝันเห็นเจ้าจะผ่านมาจึงรีบให้คนไปดักซุ่มทำร้าย รอจนเจ้าตกอยู่ในอันตรายจึงปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือ หวังให้เจ้าไว้วางใจจะได้ขอตำแหน่งขุนนางสักตำแหน่งสองตำแหน่ง คิดไม่ถึงว่าท่านแม่ทัพจะมีสายตาดุจคบเพลิง มองแวบเดียวก็รู้ทะลุปรุโปร่ง ทุกคำที่ไต่ถามจั่นเจาไม่มีปัญญาแก้ตัว ยอมให้จับแต่โดยดี”

    ตวนมู่ชุ่ยหน้าบึ้ง ทว่าในดวงตามีรอยยิ้มซ่อนแฝงอยู่ “เจ้าก็หนีไปได้นี่ ครั้งก่อนข้าไม่ได้บาดเจ็บก็ยังรั้งเจ้าไว้ไม่ได้ ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บ ในค่ายทหารแห่งนี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้”

    จั่นเจาผงกศีรษะ “ข้าก็กำลังคิดเช่นนั้น แต่เมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยยิ่ง เวลานี้ยังไม่หายเหนื่อย รอข้านั่งสักครู่ พักอีกสักหน่อยค่อยหนีก็ไม่สาย”

    ตวนมู่ชุ่ยหัวเราะพรืดออกมา นางบาดเจ็บทั้งด้านหน้าด้านหลัง พอหัวเราะก็สะเทือนถึงแผล ความเจ็บแล่นขึ้นมาจนนางย่นหัวคิ้ว จั่นเจาแอบนึกเสียใจที่ตนพูดจาไม่ระวังจึงรีบเอ่ย “เจ้า…”

    ขณะคิดจะยื่นมือไปประคองนาง เพิ่งแตะถูกชายเสื้อก็พลันชะงักค้าง สายตาของตวนมู่ชุ่ยมองมือที่ลังเลไม่กล้ายื่นมาของเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ มองเขาอย่างตั้งคำถาม ประกายสงสัยในดวงตายิ่งเพิ่มพูน

    จั่นเจาหลบสายตานาง ค่อยๆ ลดมือลง ตวนมู่ชุ่ยพลันเอ่ยขึ้น “ข้าคิดขึ้นมาได้แล้ว!”

    จั่นเจาในใจสั่นสะท้านหันมองนางทันที หัวคิ้วตวนมู่ชุ่ยค่อยๆ ขมวดมุ่น พูดเน้นย้ำทีละคำ “จั่นเจา เมื่อคืนข้าดูเหมือนได้ยินเจ้าเรียกข้า ‘ตวนมู่’…เราคุ้นเคยกันถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไร เจ้าในตอนนั้น…กำลังเรียกใคร”

    ‘เจ้าในตอนนั้น…กำลังเรียกใคร’

    ทั้งสองคนมองประสานสายตากัน ในสมองตวนมู่ชุ่ยคล้ายมีประกายแสงแวบผ่านไป แสงโชติช่วงน้อยๆ ดุจแสงดาวตก ในความเลือนรางคล้ายกำลังจะนึกอะไรออก แต่แล้วก็คว้าอะไรไว้ไม่ได้เลย

    ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากนอกกระโจม เสียงทหารถ่ายทอดคำสั่งดังขึ้นมาอย่างรีบร้อน “แม่ทัพเกาขอเข้าพบขอรับ!”

     

    บอก ‘ขอเข้าพบ’แต่เกาป๋อเจี่ยนกลับหาได้ ‘ขอ’จริง ไม่รอให้ตวนมู่ชุ่ยทันได้เอ่ยคำว่า ‘เชิญ’เขาก็เลิกม่านกระโจมเดินเข้ามาแล้ว ไม่ได้สวมหมวกแม่ทัพ ไม่ได้สวมเสื้อเกราะ ข้างหลังมีท่านชิวซานเดินโซซัดโซเซตามมา สองมือของเกาป๋อเจี่ยนชูถาดใบหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะ ในถาดมีตราประทับแม่ทัพวางอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อย สาวใช้ที่ด้านนอกกระโจมไม่กล้าขวางเขาอย่างจริงจัง ได้แต่ทางหนึ่งทำท่าเหมือนจะขวาง ทางหนึ่งก็ร้องบอก “ท่านแม่ทัพไม่สบาย ยังไม่ได้ลุกขึ้น…”

    ตวนมู่ชุ่ยในใจสั่นสะท้าน หยัดร่างขึ้นนั่งตัวตรงโดยไม่รู้ตัว เกาป๋อเจี่ยนบุกรุกเข้ามาด้วยท่าทีฮึดฮัด แต่พอได้เจอตวนมู่ชุ่ยเข้าจริงกลับไม่กล้ากำเริบเสิบสาน เพียงประสานมืออย่างไม่จริงใจ “ท่านแม่ทัพตวนมู่ ตราประทับแม่ทัพของข้าอันนี้ ไม่ช้าก็เร็วคงรักษาไว้ไม่ได้ ขอให้ท่านแม่ทัพรับคืนไปเถิด”

    ตวนมู่ชุ่ยใจเต้นตึกตักขึ้นมา รู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีสาเหตุและรู้ว่าเกาป๋อเจี่ยนกำลังทำท่าทำทางไปอย่างนั้น เพียงแต่เห็นเขาพองขนเดือดดาลหนักก็รู้ว่าต้องลูบตามขน*ไปก่อน ครั้นแล้วจึงยิ้มน้อยๆ “ท่านแม่ทัพเกามีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน เมื่อวานข้าจับไข้ ตอนนี้ในหัวยังมีเสียงวิ้งๆ อยู่ ถ้าท่านพูดเร็วไป พูดหนักไป ข้าก็จะฟังไม่เข้าใจ”

    ท่านชิวซานรีบขยิบตาให้เกาป๋อเจี่ยน อย่างไรเสียพวกเขามาครั้งนี้ก็นับว่ามีเหตุผลบูดๆ เบี้ยวๆ อยู่ในมือหลายส่วน หากพูดกับตวนมู่ชุ่ยด้วยท่าทีที่นุ่มนวล ต่อให้ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมาย แต่ทำให้ตวนมู่ชุ่ยติดค้างน้ำใจก็นับว่ากำไรแล้ว

    ครั้งนี้เกาป๋อเจี่ยนฉลาดขึ้นแล้วจึงทำตามที่ตวนมู่ชุ่ยบอก สาธยายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนใส่น้ำมันเติมน้ำส้ม**ออกมาอย่างละเอียด เขาเลี่ยงเรื่องหนักเลือกแต่เรื่องเบา เพียงบอกตนพึงพอใจแม่นางผู้หนึ่ง มีประสงค์จะรับไว้เป็นอนุภรรยา ใครเลยจะคาดคิดอาหมีรองแม่ทัพในสังกัดทัพตวนมู่ ไม่ถามความผิดถูก บุกเข้าไปในกระโจมชิงคน ไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ภายใต้สายตามวลชนที่จ้องมองอยู่บารมีและความน่าเชื่อถือของแม่ทัพอันตรธานไปหมดสิ้น คิดไปคิดมา ไม่สู้ปิดผนึกตราประทับส่งคืนกลับไปเสียเช่นนั้น

    ตวนมู่ชุ่ยรู้มานานแล้วว่าเกาป๋อเจี่ยนเป็นคนเช่นไร รู้ว่าถ้าเขาไม่มีเหตุผลเหนือกว่าสักเจ็ดแปดส่วน ไม่มีทางกล้ามาส่ายหัวกระดิกหางแสดงสีหน้าต่อหน้านางแน่ ไม่ว่าเรื่องนี้ความจริงเป็นเช่นไร กว่าครึ่งคงเป็นอาหมีทำผิดกฎข้อห้าม ในใจโทสะพวยพุ่ง แต่ใบหน้ากลับยังคงสงบราบเรียบ “แม่ทัพเกาอย่าเพิ่งใจร้อน ตำแหน่งแม่ทัพของท่าน ท่านอัครเสนาบดีเป็นผู้แต่งตั้ง ใครกล้าไม่เห็นท่านแม่ทัพอยู่ในสายตา ไปเรียกอาหมีมา แม่นางที่นางพากลับมาก็พาตัวมาด้วย”

    ทหารสองนายร้องรับแล้วออกไปนอกกระโจม จั่นเจาในใจพอคาดเดาได้หลายส่วน แต่ไม่กล้ายืนยันและอดนึกเป็นห่วงอาหมีไม่ได้

    ไม่นานอาหมีก็เข้ามา ข้างหลังยังมีสาวใช้สองคนประคองฉีมู่อีหลัวที่ท่าทางเลื่อนลอย นางล้างหน้าล้างตาหวีผมใหม่ เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ใบหน้าหมดจดงดงาม เพียงเสียดายดวงตาทั้งสองดูมืดสลัวไร้ประกายดุจดวงตาของปลาตาย

    จั่นเจาในใจสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ในสมองมีเสียงดังกึกก้องขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เขาเดาว่าหญิงสาวที่เกาป๋อเจี่ยนเอ่ยถึงน่าจะเป็นฉีมู่อีหลัว แต่ยังคงมีความหวังว่าจะโชคดีอยู่สามส่วน เวลานี้เห็นสภาพของฉีมู่อีหลัวก็รู้ว่านางจะต้องถูกข่มเหงแล้วเป็นแน่ แต่ไรมาเขาก็ชิงชังคนที่มั่วโลกีย์อย่างไร้ยางอายข่มเหงรังแกอิสตรีเป็นที่สุด เห็นฉีมู่อีหลัวมีสภาพเช่นนี้ ความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจภายในใจสุดที่จะบรรยายออกมาได้

    ตวนมู่ชุ่ยกล่าวเสียงราบเรียบ “อาหมี แม่นางผู้นี้เมื่อคืนเจ้าพามาจากค่ายแม่ทัพเกาหรือ”

    อาหมีถลึงตาใส่เกาป๋อเจี่ยนด้วยความเคียดแค้นทีหนึ่ง “คุณหนู ท่านไม่รู้ แม่ทัพเกาเขา…”

    ตวนมู่ชุ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าถามเจ้า ใช่หรือไม่ใช่”

    อาหมีตะลึงงัน เห็นตวนมู่ชุ่ยสีหน้าไม่ดี ในใจพลันมีความรู้สึกไม่สบายใจพุ่งขึ้นมาหลายส่วน นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกัดริมฝีปากเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ใช่เจ้าค่ะ”

    “พาออกมาจากในกระโจมของแม่ทัพเกาใช่หรือไม่”

    “…ใช่”

    “แม่นางผู้นี้เป็นนักโทษคนสำคัญที่ทัพตวนมู่เราจับตัวมาหรือ”

    “ไม่…ใช่”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มเยียบเย็น “เจ้าเป็นรองแม่ทัพ มีสิทธิ์อะไรไปเอาตัวคนมาจากกระโจมท่านแม่ทัพ ต่อให้เป็นข้า เป็นแม่ทัพเช่นเดียวกับแม่ทัพเกา มีเรื่องอะไรก็ยังต้องรายงานขอให้ท่านอัครเสนาบดีเป็นผู้ตัดสินใจ ใครให้เจ้ากล้าดีบุกเข้าไปเอาคนมาจากในกระโจม”

    ก่อนหน้านี้อาหมีก็รู้ถึงความหุนหันพลันแล่นที่ตนทำลงไป แต่ไม่รู้สึกว่าหนักหนาเพียงใด เวลานี้ได้ยินคำพูดที่เด็ดขาดเต็มไปด้วยเหตุผลของตวนมู่ชุ่ย และเห็นเกาป๋อเจี่ยนมาเอาเรื่องถึงที่ก็รู้ว่ายากจะยุติเรื่องราวได้ง่ายๆ ก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าดังตึง

    ตวนมู่ชุ่ยยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห “เรื่องนี้ถ้าแพร่ออกไป คนอื่นจะพูดกันว่าทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ในทัพตวนมู่เรากำเริบเสิบสานใช้อำนาจ รองแม่ทัพผู้หนึ่งยังกล้าบุกเข้าไปในกระโจมแม่ทัพ ยังกล้า…”

    เดิมนางคิดจะพูด‘ยังกล้าเอาตัวคนมาจากบนเตียง’พอคิดอีกทียังคงต้องปิดบังความอายให้เกาป๋อเจี่ยน จึงละไว้ไม่เอ่ย “ตราประทับของแม่ทัพเกา ท่านอัครเสนาบดีเป็นผู้มอบให้ ในสายตาของเจ้าไม่มีผู้ใหญ่ผู้น้อยไม่มีท่านแม่ทัพ กระทั่งท่านอัครเสนาบดีก็ไม่มีแล้วหรือ”

    อาหมีถึงรู้ว่าได้ก่อเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว นางโขกศีรษะไม่หยุด หยาดน้ำตาชิงกันไหลออกมา “อาหมีไม่รู้หนักเบา ท่านแม่ทัพได้โปรดลงโทษ”

    ตวนมู่ชุ่ยหันไปมองเกาป๋อเจี่ยน น้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน ไม่มีท่าทีไม่พอใจใดๆ “แม่ทัพเกา อาหมีเป็นคนในชนเผ่าอวี๋ซานของข้า ตั้งแต่เล็กก็คอยดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของข้า ตำแหน่งรองแม่ทัพเป็นเพียงตำแหน่งลอย น้อยครั้งยิ่งที่จะจัดการเรื่องภายนอกทำให้ไม่รู้หนักเบาไม่รู้กาลเทศะ ที่ผ่านมาล่วงเกินท่านแม่ทัพ ข้าต้องขอโทษแทนนางด้วย แม่นางท่านนั้น ท่านพากลับไปเถิด ส่วนอาหมีท่านก็พากลับไปด้วย จะลงโทษอย่างไรก็สุดแท้แต่ท่านแม่ทัพ”

    ก่อนหน้านี้จั่นเจาเพลิงโทสะลุกโชนยากระงับต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีกดข่มไว้ การตั้งคำถามของตวนมู่ชุ่ยและการตอบของอาหมีจึงไม่ได้ฟังชัดเจนเท่าไร เพียงแต่คำพูดในช่วงท้ายสุดนี้กลับได้ยินชัดเจนทุกคำ เขาเงยหน้าขึ้นในทันที ปากโพล่งออกไป “ช้าก่อน!”

    จู่ๆ เขาก็ส่งเสียงขึ้นมา ทุกคนต่างตื่นตะลึง อาหมีหยาดน้ำตานองหน้า ส่งสายตาบอกเขาว่าห้ามบุ่มบ่ามเด็ดขาด ตวนมู่ชุ่ยย่นหัวคิ้วน้อยๆ ทอดถอนใจอยู่ในอกไม่หยุด เกาป๋อเจี่ยนกับท่านชิวซานสีหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย ไม่รู้ว่าผู้ที่จู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมานี้ที่แท้แล้วเป็นใครมาจากที่ใด

    ท่ามกลางความเงียบงันอันผิดปกติ ดวงตาของฉีมู่อีหลัวขยับเล็กน้อย แววตาเหม่อลอยค่อยๆ เบนมาที่ร่างจั่นเจา ริมฝีปากซีดขาวแห้งแตกขยับขมุบขมิบ เอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ “พี่ใหญ่จั่น”

    สาวใช้สองคนที่ประคองนางอยู่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกผลักออกไปอย่างแรง เพียงเห็นฉีมู่อีหลัวเดินโซซัดโซเซพุ่งตรงไปที่จั่นเจา ระหว่างทางจู่ๆ หัวเข่าทั้งสองก็อ่อนยวบลง เกือบจะลงไปคุกเข่ากับพื้น จั่นเจาไม่มีเวลาใคร่ครวญอะไร เพียงก้าวเร็วๆ เข้าไปประคองนางไว้ ฉีมู่อีหลัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ร่างอ่อนระทวยล้มลงไปในอ้อมแขนจั่นเจาแล้วร่ำไห้

    เรื่องเกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันกะทันหัน เกาป๋อเจี่ยนทึ่มทื่ออยู่เป็นนานไม่รู้ควรทำเช่นไร ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ มองไปที่ตวนมู่ชุ่ย “ท่านแม่ทัพ…นี่…”

    ตวนมู่ชุ่ยไม่ได้ยินที่เขาถาม นางมองจั่นเจา กัดริมฝีปากเบาๆ หลุบตาลงซุกซ่อนความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายไม่อาจอธิบายได้ในส่วนลึกของดวงตาไว้ ในน้ำเสียงที่พยายามกดข่มให้ราบเรียบมีความหวั่นไหวที่ผู้อื่นยากจะสังเกตเห็นเจืออยู่

    “แม่ทัพเกา ท่านกลับไปที่ค่ายก่อนเถิด เรื่องนี้…ขอเวลาสักสองวัน ข้าจะต้องให้คำตอบแก่ท่านแน่นอน”

     

    เกาป๋อเจี่ยนไม่ได้เต็มใจจะจากไปนัก แต่เหตุผลที่ว่าควรหยุดแต่พอเหมาะพอสม เขายังนับว่าเข้าใจ

    ออกจากค่ายทหาร เกาป๋อเจี่ยนก็ยกมือขึ้นลูบเหงื่อที่หน้าผากทีหนึ่ง ถามท่านชิวซานด้วยความกังวลใจ “ท่านชิวซาน ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาเช่นนี้ แม่ทัพตวนมู่จะเดือดดาลหรือไม่”

    “ไม่หรอก” ท่านชิวซานให้เขากินยาสงบใจ “แม่ทัพตวนมู่เป็นคนเข้าใจเหตุผล ครั้งนี้เห็นชัดว่าอาหมีผู้นั้นเป็นคนผิด นอกจากนี้ดูจากสถานการณ์เมื่อครู่ นางจัดการเรื่องภายในค่ายของตนยังแทบไม่ทัน ไหนเลยจะมีเวลามาหาเรื่องท่านแม่ทัพ”

    คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ให้กำลังใจเกาป๋อเจี่ยนต่อ “ท่านแม่ทัพ สามารถอดทนได้เป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นขึ้นมาขี่อยู่บนหัว แม่ทัพตวนมู่ฐานะเกริกก้องเรืองอำนาจ ให้เกียรตินางก็แล้วไปเถิด แต่เจ้าแมวเจ้าหมาลูกน้องของนาง ถือดีอะไรมาทำเรื่องไร้เหตุผลต่อท่านแม่ทัพ ท่านไม่พูดออกมา พวกนางอาจเข้าใจว่าท่านแม่ทัพกลัวแล้ว สมควรต้องชักสีหน้าให้พวกนางดูเสียบ้าง”

    เกาป๋อเจี่ยนเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านชิวซานจนแทบหมอบกราบ “ท่านพูดถูก พูดถูกอย่างยิ่ง!”

    เขาทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่งก็ขอคำชี้แนะอย่างระมัดระวัง “สตรีผู้นั้น ข้าควรเอามาหรือไม่ควรเอามาดี”

    ท่านชิวซานหัวคิ้วขมวดแน่น คล้ายกำลังศึกษาค้นคว้าปัญหาโบราณที่แก้ยากอะไร พักใหญ่จึงส่ายหน้าช้าๆ “ยาก!”

    “ยากตรงไหนหรือ” เกาป๋อเจี่ยนถ่อมตนขอคำชี้แนะ

    “ถ้าเอากลับมาได้ วันนี้แม่ทัพตวนมู่ก็ควรปล่อยตัวมาแล้ว ในเมื่อนางไม่ปล่อย ดูท่าวันหน้าก็ไม่มีหวัง ทว่าท่านแม่ทัพไม่ต้องห่วงกังวลไป ในเมื่อแม่ทัพตวนมู่พูดแล้วอีกสองวันจะให้คำตอบท่าน ถึงตอนนั้นย่อมมีผลลัพธ์ออกมา ท่านแม่ทัพไม่เสียเปรียบแน่”

     

    ท่านชิวซานคาดเดาได้ไม่ผิด ตวนมู่ชุ่ย ‘จัดการเรื่องภายในค่ายของตนยังแทบไม่ทัน’ จริงๆ

    นางกวาดสายตาเฉื่อยเนือยมองผ่านฉีมู่อีหลัวที่ร่ำไห้อยู่ในอ้อมอกจั่นเจา แล้วไปหยุดที่ร่างของอาหมี ก่อนแค่นยิ้มคล้ายพูดกับตัวเอง “หวังพึ่งพาพวกเจ้าช่วยเหลือไม่ได้ก็แล้วไปเถิด นี่ยังจะมาเพิ่มปัญหายุ่งยากให้ข้าอีก”

    เสียงของนางเบามาก ทว่าจั่นเจากลับได้ยินชัดเจน ร่างของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย หันหน้ามามองตวนมู่ชุ่ยก็สบเข้ากับสายตาสงบนิ่งเกือบจะเศร้าวังเวงของนางเข้าพอดี

    “ข้าพูดไม่ผิดกระมัง” ตวนมู่ชุ่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา “ข้าขอโทษเกาป๋อเจี่ยน กลัวเขาเอะอะโวยวายใหญ่โตก็จะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาอีก เจ้าอยู่ดีๆ ไยจึงเปิดปาก เจ้าเป็นใครในทัพตวนมู่ เจ้าบอก ‘ช้าก่อน’มีใครฟังหรือ เจ้าต่อกรกับเกาป๋อเจี่ยนได้หรือ ถ้าเรื่องขยายใหญ่โตออกไป ซั่งฟู่สอบถามติเตียนลงมา ไม่ใช่ข้าต้องไปแบกรับอีกหรือ พวกเจ้าแต่ละคนวีรอาจหาญเพียงนี้ เข้าใจว่าฟ้าถล่มลงมาตัวเองเป็นผู้ต้านหรือ ถ้าฟ้าถล่มลงมาจริง ยังไม่ใช่ข้าต้องถูกทับตายก่อน”

    นางพลันรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่มีอารมณ์จะพูดต่อไปอีก เพียงหันหน้าเข้าข้างในกระโจมแล้วโบกมือ “ออกไปให้หมด ไม่ต้องเหลือแม้แต่คนเดียว”

    ถ้านางเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟก็แล้วไป จู่ๆ กลับสงบนิ่ง ใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก คล้ายกำลังพูดเรื่องของคนอื่น ทำให้จั่นเจารู้สึกเจ็บแปลบ นึกเสียใจขึ้นมา

    ท่ามกลางความนิ่งเงียบชะงักงัน คนในกระโจมต่างทยอยล่าถอยออกไป ตอนเดินผ่านข้างกายจั่นเจา อาหมีลังเลว่าควรจะพาฉีมู่อีหลัวไปด้วยหรือไม่ จั่นเจาอ่านความคิดนางออก พยักหน้าน้อยๆ ใช้นิ้วมือสองนิ้วจี้ไปที่จุดหลับด้านหลังลำคอของฉีมู่อีหลัว แล้วลุกขึ้นมอบฉีมู่อีหลัวให้อาหมี

    อาหมีไม่พูดอะไรมาก เพียงสั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างเข้ามาประคองฉีมู่อีหลัว หลังจากเดินไปได้สองก้าวก็พบว่าจั่นเจาไม่ได้ตามมา

    ตอนหันกลับไปมองจั่นเจา จั่นเจาเพียงส่ายศีรษะให้นาง อาหมีออกจะร้อนใจ แต่กลับไม่กล้าพูดจาเสียงดัง เพียงบุ้ยปากไปทางตวนมู่ชุ่ย แสดงเจตนาบอกจั่นเจาว่าอย่าก่อเรื่องอีก

    จั่นเจายิ้มน้อยๆ ส่งสายตาบอกนางให้วางใจ ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

    อาหมีงงงัน พลันคาดเดาว่าเขาคงยังมีคำพูดจะพูดกับตวนมู่ชุ่ย ในใจลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนก้าวออกจากกระโจมไป ด้วยคิดว่าเมื่อคืนจั่นเจาเพิ่งช่วยชีวิตท่านแม่ทัพไว้ ท่านแม่ทัพจะโมโหอย่างไรก็คงไม่ทำอะไรเขา

    ผ่านไปครู่หนึ่ง นอกจากจั่นเจาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนล่าถอยออกไปหมด ในกระโจมเงียบผิดปกติ ตวนมู่ชุ่ยเงยหน้าขึ้น เหม่อมองรอยยับย่นตรงเงื่อนหลังคากระโจมเป็นนานจึงหันหน้ามา หางตาพลันเหลือบไปเห็นในกระโจมยังมีคนอยู่ ในใจตื่นตะลึง ไม่มีเวลาให้คิดอะไร รีบยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่หางตา

    จั่นเจาก้าวช้าๆ เข้ามานั่งลงที่ข้างเตียง ตวนมู่ชุ่ยเงยหน้าขึ้นมองเขา “เจ้าเหตุใดยังไม่ไป”

    ขอบตานางแดงเล็กน้อย หลังผ่านการชะล้างด้วยหยาดน้ำตาแล้วดวงตาของนางก็ดูสดใสขึ้น นางไม่ได้บันดาลโทสะ เรือนผมยาวนุ่มสลวยดุจแพรไหมห้อยระอยู่ข้างแก้ม ร่างทั้งร่างซุกอยู่ในผ้าห่ม ขอบผ้าห่มที่กุ๊นด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีดำหนาปัดระปลายคางนวลเนียนดุจหยกของนางคล้ายประคองใบหน้านางอยู่

    จั่นเจาในใจมีความอ่อนหวานละมุนละไมอย่างประหลาดเอ่อท้นขึ้นมา เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เป็นข้าไม่ดีเอง เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจ”

    ตวนมู่ชุ่ยมองเขาอย่างประหลาดใจ จั่นเจายิ้มน้อยๆ เขาเห็นตัวเองในดวงตาของนาง หลังคากระโจมโปร่งแสงเล็กน้อยช่วยกรองแสงอาทิตย์บางเบาที่สาดส่องลงมา ดูอบอุ่นละมุนละไม ประหนึ่งจิตใจที่สงบนิ่งของเขาในยามนี้

    ท่ามกลางความนิ่งเงียบสงบสุขที่น้อยครั้งจะได้พบพาน เขาพลันนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา ‘เจ้าดีดฉินข้าดีดเซ่อ สามีภรรยามีชีวิตสงบสุขสำราญใจ’*

    “ข้าลืมไปว่าเจ้าเป็นแม่ทัพ แม้จะไม่ใช่กษัตริย์แต่ก็นับว่าดึงผมเส้นเดียวพาสะเทือนไปทั้งตัว**บนล่างซ้ายขวา สี่ด้านแปดทิศ เมืองก็ต้องป้องกัน ชายแดนก็ต้องรักษา กับเบื้องบนก็ไม่อาจต้านกับเบื้องล่างก็ไม่อาจผลัก ข้าลืมไปว่าเจ้ามีเรื่องลำบากมากมาย เป็นข้าไม่ดีเอง” เขาหยุดนิ่งไปเล็กน้อย มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มฝาดฝืนจางๆ “เจ้าพูดถูก ช่วยเหลือไม่ได้ กลับเพิ่มปัญหายุ่งยาก”

    ตวนมู่ชุ่ยตะลึงงันไปชั่วขณะ มองเขาอย่างทึ่มทื่อ อารมณ์ความรู้สึกแปลกประหลาดค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากกระดูกและแทรกซึมไปทั่วร่าง จั่นเจาพูดเช่นนี้นางกลับไม่รู้สึกแปลกแม้แต่น้อย ตรงข้าม คล้ายว่าก่อนหน้าเนิ่นนานมาแล้ว นางก็ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาเช่นนี้ แม้ในช่วงเดือนสิบสองที่หนาวเหน็บ เขาก็เป็นแหล่งที่ให้ความอบอุ่นแก่นาง อิงแอบกันเงียบๆ ก็ลืมเลือนโลกที่สับสนวุ่นวาย ไม่ใส่ใจไยดีต่อสังคมที่โกลาหล

    เป็นนานนางถึงได้ตกใจที่ตนผิดปกติ ช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวก็ตึงเครียดไปทั้งร่าง พยายามกดข่มคลื่นที่โหมทะลักอยู่ในใจ พูดจาหลบเลี่ยงไปเรื่องอื่น “แม่นาง…ผู้นั้น…เป็น…ใคร”

    นางไม่เคยพบฉีมู่อีหลัว ถามเช่นนี้ก็ไม่แปลก

    “นางคือแม่นางฉีมู่”

    “อ้อ”

    หลังจากพูดคุยกันสั้นๆ ก็นิ่งเงียบไปเป็นนานสองนาน ตวนมู่ชุ่ยจึงเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าใช่คิดจะเอาตัวนางไว้หรือไม่”

    “ถ้าไม่ลำบากท่านแม่ทัพล่ะก็…” จั่นเจาเลือกใช้ถ้อยคำอย่างพินิจพิเคราะห์ “แม่นางฉีมู่ไม่ใช่คนเลว นางถูกข่มเหงรังแกเช่นนี้…ข้าไม่อยากให้นางตกไปอยู่ใน…เงื้อมมือของคนอย่างเกาป๋อเจี่ยนจริงๆ”

    ตวนมู่ชุ่ยมองจ้องเขาคล้ายคิดอะไร “จั่นเจา ข้าจำได้ เจ้าเคยบอกกับข้า ก่อนหน้านี้เจ้าซ่อนเร้นกายอยู่อย่างสันโดษ เพิ่งจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไม่นาน ปรารถนาจะสร้างผลงานขึ้นมาในยุคที่สับสนวุ่นวายนี้ ไม่ผิดกระมัง”

    จั่นเจาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ นางก็เปลี่ยนเรื่อง ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ใช่”

    “เจ้ารู้จักแม่นางสกุลฉีมู่มากน้อยเท่าไร เพียงรู้จักกันผิวเผินก็ยินดียืดอกออกเผชิญปัญหาเพื่อนางแล้ว”

    จั่นเจามองสบสายตาคล้ายตั้งคำถามของตวนมู่ชุ่ย ก่อนยิ้มบาง “ก็แค่ช่วยเหลือผู้ประสบอันตรายทุกข์ยากลำบาก ไม่ได้ทำเรื่องผิดบาปไม่มีอะไรต้องละอายใจ”

    ตวนมู่ชุ่ยส่ายหน้าช้าๆ “จั่นเจา อยู่ที่นี่เจ้าไม่มีทางมีชีวิตต่อไปได้ เจ้ากลับไปเสียเถิด ก่อนอายุสิบสาม ข้าอยู่ในราชนิเวศน์ที่ซีฉีมาโดยตลอด คนของชนเผ่าอวี๋ซานและชนเผ่าตวน ท่านอัครเสนาบดีเป็นผู้ดูแลจัดการ จัดสรรให้ไปอยู่ในสังกัดของแม่ทัพต่างๆ ในกองทัพยึดถือเรื่องฐานะวงศ์สกุล พลทหารที่มาจากชนเผ่าตวนและอวี๋ซานฐานะต่ำต้อย พอทำอะไรผิดพลาดหน่อยก็ถูกโบยตีบางครั้งก็ถึงตาย กอปรกับขาดผู้นำชนเผ่า คนที่อัครเสนาบดีส่งให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ปกครองชนเผ่าก็ไม่ใส่ใจไยดีคนในชนเผ่า สถานการณ์ของชนเผ่าอวี๋ซานและชนเผ่าตวนนับวันยิ่งเลวร้าย เดิมทีเป็นชนเผ่าอันดับหนึ่งอันดับสองของซีฉี ภายหลังถึงกับตกอยู่ในสภาพที่แม้แต่ชนเผ่าเล็กชนเผ่าน้อยที่อยู่รอบๆ ก็กล้ามาปล้นสะดมทำร้าย

    ต่อมาในกองทัพเกิดเรื่องขึ้นมา มีพลทหารของชนเผ่าอวี๋ซานคนหนึ่งไม่พอใจที่หัวหมู่โหดร้ายทารุณไร้มนุษยธรรม ขณะโต้เถียงกันได้พลั้งมือสังหารหัวหมู่ตาย ผู้อาวุโสของชนเผ่าที่หัวหมู่ผู้นั้นอยู่ไม่ยินยอมไม่ให้อภัย ผู้ช่วยแม่ทัพในตอนนั้นเพื่อจะให้ผู้อาวุโสของชนเผ่าคลายโทสะ ถึงกับจับพลทหารของชนเผ่าอวี๋ซานไปแขวนคอติดต่อกันสิบสองนาย ในที่สุดก็ทำให้ทหารของชนเผ่าอวี๋ซานลุกขึ้นมาก่อกบฏ ชนเผ่าตวนก็ให้ความช่วยเหลือ ท่านอัครเสนาบดีโยกย้ายกำลังทหารมาอย่างเร่งด่วน ปราบกบฏได้ภายในวันเดียว ควบคุมทหารที่ก่อกบฏกว่าแปดร้อยนายไว้ได้ กำหนดโทษประหารชีวิตในวันรุ่งขึ้น

    เหล่าผู้อาวุโสของชนเผ่าอวี๋ซานและชนเผ่าตวนรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว มีผู้อาวุโสเจ็ดคนเร่งรุดเข้ามาในวังคืนนั้นเลยเพื่อจะขอพบข้า คืนนั้นลมและฝนโหมกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง ฟ้าแลบคำราม ข้าในตอนนั้น…” พูดมาถึงตรงนี้นางพลันฝืนยิ้ม “ข้าในตอนนั้นกำลังเอาใบหม่อนเลี้ยงตัวไหมอยู่กับอี้เจียงบุตรีท่านอัครเสนาบดี ในตำหนักยังมีใยไหมกี่ทอผ้าวางอยู่ ในใจนึกขุ่นเคืองที่พวกเขามาทำให้หมดสนุกจึงสั่งการลงไปว่าไม่ให้พวกเขาคนใดเข้าพบ

    ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดคุกเข่าอยู่นอกตำหนักมาตลอด ตอนกลางดึกข้าหลับไปแล้ว พลันได้ยินเสียงกรีดร้องเศร้ากำสรด หลังจากตกใจตื่นขึ้นมา องครักษ์ก็คุ้มครองข้าออกจากตำหนักมาดู

    เพิ่งออกจากประตูตำหนัก ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็ลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าว่าข้า บอกว่าชนเผ่าใหญ่สองชนเผ่ากำลังจะถูกฆ่าล้าง ข้ากลับไม่ใส่ใจไยดี ไม่คู่ควรแก่การเป็นหัวหน้าชนเผ่า ในใจข้าเดือดดาลยิ่ง ยังย้อนเขาบอกว่าทหารของชนเผ่าก่อเรื่อง ตามเหตุผลสมควรถูกลงโทษ เกี่ยวอะไรกับข้า…

    ผู้อาวุโสท่านนั้นโกรธจนกระทืบเท้าเร่าๆ บอกว่าข้าทอดทิ้งชนเผ่า เอาไว้ก็เป็นภัยพิบัติ ไม่สู้สังหารเสียให้หมดเรื่อง ว่าแล้วเขาก็พุ่งเข้ามาที่ข้า องครักษ์ตวาดให้หยุดหลายครั้ง แต่เขาไม่หยุด สุดท้ายก็เงื้อดาบฟันเอวเขาจนขาด…”

    นางพลันสะอื้น สองมือกำผ้าห่มแน่น ในใจของจั่นเจามีคลื่นโหมซัดสาดดุจพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล ไม่ได้พูดอะไร เพียงยื่นมือไปทาบทับหลังมือนางไว้ พบว่าหลังมือนางสั่นน้อยๆ เขาลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วกุมมือนางไว้แน่น

    ตวนมู่ชุ่ยไม่ได้เงยหน้า “ผู้อาวุโสท่านนั้นหลังจากถูกตัดเอวขาดก็ไม่ได้ตายในทันที เขาใช้สองมือยันพื้น พยายามพาร่างท่อนบนคลานมาหาข้า ด้านหลังมีโลหิตไหลตามเป็นทาง ถูกน้ำฝนชะใส่ ทำให้บริเวณนอกตำหนักคล้ายดั่งธารโลหิต แม้แต่องครักษ์ก็ตะลึงงันไปแล้ว ได้แต่มองเขาคลานเข้ามา จับข้อเท้าข้าไม่ปล่อย…”

    จั่นเจาขอบตาแสบร้อน พลันเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าพูดอีกเลย”

    ตวนมู่ชุ่ยคล้ายไม่ได้ยินเช่นนั้น “ตอนนั้นข้าตกใจจนกรีดร้องด้วยความหวาดผวา เตะขาไม่หยุดคิดจะสะบัดเขาออกไป แต่สะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่หลุด เขามองจ้องข้าเขม็งถึงกับยังพูดได้ เขาบอกข้าว่ากระดูกแก้มขากรรไกรต่างพึ่งพิง ริมฝีปากหายเหงือกฟันก็เหน็บหนาว*ที่คุณหนูยังอยู่ได้ก็เพราะยังมีคนของชนเผ่าอวี๋ซานกับชนเผ่าตวนอยู่ ถ้าชนเผ่าตวนกับอวี๋ซานสูญสิ้น คุณหนูก็จะไม่มีคุณค่าใดๆ ในใจของเจียงจื่อหยาอีก ต่อให้คุณหนูไม่คิดถึงคนในชนเผ่าก็ต้องคิดถึงตัวเอง…

    เขายังพูดอะไรอีกมาก ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว ต่อมาองครักษ์ตั้งสติได้ก็เงื้อดาบฟันเขา โลหิตของเขาสาดกระเซ็นขึ้นมาบนใบหน้าของข้า ข้ามองอะไรก็กลายเป็นสีแดงโลหิตไปหมด…ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสับสนยุ่งเหยิง…

    ภายหลังได้สติกลับคืนมา คำพูดของเขาก็ดังอยู่ในหูตลอดเวลา คล้ายตายแล้วกลายเป็นผีก็ยังพูดกับข้าไม่หยุด ข้าอุดหูไว้ไม่ฟัง แต่เสียงนั่นก็ยังแทรกซอนเข้ามาในสมอง ข้า…”

    นางพูดต่อไปไม่ได้แล้ว คล้ายความรู้สึกในตอนนั้นปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง จั่นเจายื่นแขนออกไปโอบเอวนางนอกผ้าห่ม รั้งตัวนางเข้ามาในอ้อมอก ปลอบโยนนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา

    “ต่อมา ฟ้ายังไม่สว่าง ข้าก็ไปที่ตำหนักของอัครเสนาบดี ขอชีวิตแทนคนในชนเผ่าทั้งแปดร้อยคน อัครเสนาบดีไม่พอใจมาก ประณามคนของชนเผ่าตวนและอวี๋ซานว่ามุทะลุดุดัน ดื้อรั้นยากจะฝึกให้เชื่อฟัง ตอนนั้นข้าก็ไม่รู้เหตุใดถึงคุกเข่าลงกับพื้นทันที ขอให้อัครเสนาบดีมอบคำสั่งทหารให้ข้า นับแต่นี้ไปทหารของชนเผ่าตวนและอวี๋ซานข้าจะเป็นคนควบคุมดูแล ถ้าเกิดเหตุยุ่งยากขึ้นอีก ข้ายินดีรับโทษประหารเอง ตอนนั้นอัครเสนาบดีก็ตะลึงงันไป เขาคิดอยู่เป็นนานสองนาน บอกว่าข้านำทหารไม่ได้ ข้ายืนกรานแล้วยืนกรานอีก เขาไปปรึกษากับซีป๋อโหวผู้นำชนเผ่าโจว ไม่รู้พวกเขาพูดคุยอะไรกัน ตอนกลับมาถึงเห็นชอบแล้ว แต่เขาบอกว่าอำนาจทางทหารของข้าจำกัดอยู่เพียงชนเผ่าตวนกับอวี๋ซานเท่านั้น ข้าไม่อาจเรียกทหารจากชนเผ่าอื่นมาประจำการ ต่อมาชนเผ่าไป่ฉีก็มาเข้าร่วมด้วย แต่ชนเผ่าไป่ฉีเล็กมาก อัครเสนาบดีจึงไม่ได้พูดอะไร ถัดจากนั้นมา…”

    น้ำตาของนางค่อยๆ รินไหล “ข้าก็นำทัพทหารมาตลอด ยกทัพออกรบไม่หยุด ข้ากลัวมากว่าจะรบแพ้ เพราะเมื่อใดที่รบแพ้ ข้าก็กลัวอัครเสนาบดีจะตั้งข้อสงสัยว่าข้านำทหารไม่ได้ กลัวเขาจะเรียกคืนอำนาจทหารไปจากข้า…แต่ภายหลังข้าพบว่าถึงรบชนะแล้วก็ไม่แน่ว่าอัครเสนาบดีจะดีใจ…หยางเจี่ยนบอกกับข้า อัครเสนาบดีไม่ดีใจเพราะกลัวอิทธิพลของชนเผ่าตวนและชนเผ่าอวี๋ซานจะยิ่งใหญ่ขึ้น…ไม่ให้คนรบแพ้ทั้งไม่ให้คนรบชนะ จั่นเจา การศึกเช่นนี้จะรบอย่างไร…”

    นางระงับอารมณ์ไม่อยู่ ฟุบลงไปในอ้อมอกจั่นเจาร้องไห้เสียงดัง จั่นเจาโอบกอดนางไว้แน่น โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว หยาดน้ำตาก็ไหลลงมาบนเส้นผมของนาง

    “มิน่าไม่ให้ข้าตีเมืองฉงเฉิง ย้ายข้ามาอยู่ที่เมืองอันอี้ ต่อให้อิทธิพลของข้ายิ่งใหญ่ขึ้น ข้าก็ไม่มีทางทำให้ซั่งฟู่ต้องลำบากใจ เพราะเหตุใดต้องระแวงข้าอยู่ตลอด…”

    จั่นเจาได้ยินนางพึมพำ “เจียงจื่อหยาเจ้าผีใจแคบผู้นี้ ชนรุ่นหลังยังยกย่องเจ้าเป็นไท่กงวั่ง เจาเลี่ยอู่เฉิงหวังมาโดยตลอด มีเพียงข้าที่รู้ว่าเจ้าเป็นผีใจแคบ…”

    ชนรุ่นหลัง?

    จั่นเจาในใจสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ไม่ทันได้คิดละเอียดก็ขยับขึ้นมานั่งตัวตรง ก้มหน้าลงมองตวนมู่ชุ่ย ในดวงตาของนางมีประกายดุจดวงดาวที่คุ้นเคยยิ่งเคลือบอยู่จางๆ พริบตาเดียวก็จางหายไป จั่นเจาโพล่งขึ้น “ตวนมู่?”

    ตวนมู่ชุ่ยสะท้านไปทั้งร่าง มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่แววตาดูแตกซ่าน จากนั้นก็กลับมาใสกระจ่างดังเดิม นางลุกมานั่งตัวตรงด้วยสัญชาตญาณ ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก หว่างคิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ

    “เมื่อครู่พูดถึง…” นางเม้มริมฝีปากคล้ายพยายามครุ่นคิด “ในช่วงกลียุคเช่นนี้ ผู้เห่อเหิมเหี้ยมเกรียมรอด ผู้อ่อนแอไร้เดียงสาตาย จั่นเจา เจ้าจิตใจดี ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาความเปิดเผยจริงใจและความดีงามนี้ไว้ อย่าเอาแต่คิดจะสร้างผลงานอะไร เข้ามาอยู่กลางลมฝนที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตเช่นนี้ รังแต่จะทำให้สูญเสียกมลสันดานเดิมของตนไป”

    นางนิ่งไปครู่หนึ่ง มุมปากค่อยๆ หยักยกเป็นรอยยิ้มจางๆ “ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ พาอาหมีไปด้วยเถิด หากนางยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าไม่แน่ว่าจะปกป้องนางได้เป็นครั้งที่สอง”

    จั่นเจาไม่ได้พูดอะไร เขาไม่ได้ฟังชัดด้วยซ้ำว่านางพูดอะไร ในสมองของเขามีแต่เสียงอึงอล เพียงคิดอยู่เรื่องเดียว

    เมื่อครู่ตวนมู่ชุ่ยกลับมาแล้ว

     

    ตอนพิเศษ

     

    ตอนที่1แค้นจนแทบบ้า

     

    บางครั้งมนุษย์ก็ถูกเพลิงโทสะอันบ้าคลั่งเข้าครอบงำจนสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ…ชามก็คงไม่ต่างกันกระมัง ตอนแรกลายครามน้อยก็ได้แต่แค้น แค้นตั้งแต่หัวจรดเท้า แค้นอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แค้นจนเมฆลมเปลี่ยนสี เขาเคยคิดว่าจะแค้นจนภูเขากลายเป็นพื้นราบ ฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง

    แน่นอน ความแค้นของลายครามน้อยไม่ใช่เรียบง่ายเพียงแผดเสียงคำราม เอาศีรษะกระแทกพื้น เอากำปั้นทุบกำแพงหรือเอาหน้าอกกระแทกหินให้แหลก ความแค้นของเขาแฝงไว้ด้วยจินตนาการมากมาย และจินตนาการเหล่านี้สรุปได้เป็นประโยคเดียวคือจะให้จั่นเจาตายอย่างไรจึงจะดี

    ลายครามน้อยคิดฉากไว้ให้จั่นเจาดังนี้

     

    ฉากเดินถนน

    เช่น จั่นเจากำลังเดินอยู่บนถนน ทันใดนั้นก็มีก้อนหินหล่นมาจากท้องฟ้า…

    หรืออย่างเช่น จั่นเจากำลังเดินอยู่บนถนน ทันใดนั้นอสนีบาตก็ฟาดลงมา…

    หรืออย่างเช่น จั่นเจากำลังเดินอยู่บนถนน ทันใดนั้นพื้นดินก็แยกออกเป็นหลุมใหญ่…

     

    ฉากดื่มกิน

    เช่น จั่นเจากำลังดื่มน้ำ ทันใดนั้นก็ไอออกมาอย่างรุนแรง สองตาแดงฉาน สุดท้ายก็ประกาศว่าถึงแก่ความตาย…

    หรืออย่างเช่น จั่นเจากำลังกินปลา ทันใดนั้นก้างปลาก็ติดคอ ใบหน้าเขียวก่อนแล้วก็ม่วง ท่านกงซุนส่ายศีรษะติดๆ กัน ทอดถอนใจไม่หยุด ‘ศิษย์ช่วยไม่ได้’

    หรืออย่างเช่น จั่นเจากำลังแทะหมั่นโถว ทันใดนั้นก็ติดคอหายใจไม่ออก บนโต๊ะอาหารไม่มีน้ำชา บ่อน้ำในรัศมีสามสิบลี้แห้งขอด ทางเดินแม่น้ำอุดตัน สวรรค์ยังต้องการกำจัดเจ้า…

     

    ฉากนอนหลับ

    เช่น จั่นเจากำลังหลับสนิท ทันใดนั้นก็มีคนร้ายบุกเข้ามา กวัดแกว่งดาบหัวปีศาจ ประกายดาบวาบผ่าน โลหิตสาดกระเซ็นขึ้นไปบนกำแพงสูง…

    หรืออย่างเช่น จั่นเจากำลังหลับใหล ทันใดนั้นก็มีคนร้ายบุกเข้ามา ในมือถือเชือกมาขดหนึ่ง พันไปรอบลำคอจั่นเจาซ้ายทีหนึ่งขวาทีหนึ่ง ขวาทีหนึ่งซ้ายทีหนึ่ง จากนั้นก็ออกแรงที่ข้อมือรัดให้แน่น…

    หรืออย่างเช่น จั่นเจากำลังไปพบโจวกง*ทันใดนั้นก็มีคนร้ายบุกเข้ามา ในอ้อมแขนอุ้มหมอนมาใบหนึ่ง เอาหมอนอุดไปที่ปากจมูกของจั่นเจาแน่น จั่นเจาถีบเตะวุ่นวาย ในที่สุดก็หมดทางช่วย…

    ยังมีวิธีตายอีกมากมายหลายหลากที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ของลายครามน้อย ถูกงูกัด ถูกสุนัขขย้ำ ถูกไก่จิก เดินพลาดตกลงไปในคูน้ำ ถูกพิษชนิดต่างๆ ที่ไร้ยาถอนพิษ ติดโรคระบาด ถูกผีหลอกตกใจตาย ถูกคนห้อมล้อมมองจนตายเหมือนพานอัน**นอนหลับใหลไม่ฟื้นตื่น อดนอนจนตาย ตายเพราะเบื่ออาหาร ตายเพราะร่างกายขาดสมดุล คลอดบุตรยาก (เอ้อ ลายครามน้อย จั่นเจาไม่อาจตายเช่นนี้ได้) ตายเพราะประสาทแตกซ่าน ทำงานเหน็ดเหนื่อยเกินกำลัง อีกทั้งทางราชสำนักก็ไม่ให้เงินชดเชยช่วยเหลือ ไปทำคดีที่ทะเลทรายเจอพายุทะเลทราย ไปทำคดีที่ชายทะเลเจอพายุหมุน อยู่ที่ศาลไคเฟิงเจอแผ่นดินไหวทั้งมีเพียงห้องที่จั่นเจาอยู่พังทลายลงมา…

    ความโชคร้ายนานัปการของจั่นเจาเป็นสิ่งที่ลายครามน้อยใช้หลอกตัวเอง ทำให้เขาหัวเราะหึๆ อย่างโง่งมทั้งน้ำตา และผ่านช่วงเวลาช่วงแรกที่ยากลำบากที่สุดมาได้ เราเรียกมันว่าแค้นจนแทบบ้า

     

    ตอนที่2ความฝันทาทาบเข้ามาในความเป็นจริง

     

    ลายครามน้อยไม่ใช่ชามธรรมดาใบหนึ่ง เขาเป็นชามที่มีสมองมีความรู้ความสามารถ ด้วยเหตุนี้หลังจากศีรษะที่ร้อนเป็นไฟของเขาเริ่มเย็นลงก็เริ่มตระหนักว่าการลงมือปฏิบัติตามแผนการใหญ่ในการแก้แค้นนั้นดูจะเลือนรางไร้กำหนด

    แม้เขาจะมีความคิดมีอุปนิสัยเป็นของตัวเอง เป็นผู้โดดเด่นในหมู่ชาม แต่เขาไม่มีอำนาจและอิทธิพล ไม่มีเครือข่ายความสัมพันธ์ ต่อสู้ตามลำพังชามเดียว ไม่มีคนหนุนหลัง…พูดให้ถูกต้องก็คือคนหนุนหลังล้มไปแล้ว ดังนั้นการต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับจั่นเจา เขาไม่มีโอกาสที่จะชนะได้เลย

    มือเท้าของเขาไม่คล่องแคล่ว เพลงกระบี่ก็ไม่เชี่ยวชาญ ความสามารถในการคิดหาเหตุผลก็อ่อนด้อย ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือฝีปากค่อนข้างลื่นไหล รู้จักท่องบทกวีไพเราะมีความหมายทำให้หวั่นเอ๋อร์ เสี่ยวเตี๋ยพอใจ ทั้งยังรู้จักจัดงานเลี้ยงใต้แสงเทียนด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งจริงใจ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่อาจทำอันตรายจั่นเจาให้ถึงแก่ชีวิตได้

    สิ่งเดียวที่เขาอาจจะทำได้ก็คือปลุกระดมชามทั่วใต้หล้าขึ้นมา เวลาจั่นเจาจะกินข้าวก็ให้ชามทั้งหลายทำลายตนเองยอมพลีชีพเพื่อผดุงความเป็นธรรม ให้จั่นเจาไม่มีภาชนะใส่ข้าวและหิวตาย…แต่จั่นเจาใช้มือหยิบข้าวกินได้

    ลายครามน้อยคิดพันพัวอุตลุดทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้จนเวลาผ่านไปอีกหลายวัน หลังจากความเดือดแค้นในศีรษะค่อยๆ ลดลงจนเข้าสู่ภาวะปกติ เขาพลันรู้สึกว่าความจริงแล้วเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่อาจโทษจั่นเจาทั้งหมด

    แน่นอน ไม่ว่าอย่างไรจั่นเจาก็ต้องรับผิดชอบ ความรับผิดชอบนี้ตอนแรกเริ่มถูกลายครามน้อยเห็นว่าต้องรับไปทั้งสิบส่วน จากนั้นก็เหลือแปดส่วน จากนั้นก็เหลือห้าส่วน ลดต่ำลงมาเรื่อยๆ ในค่ำคืนที่มีลมหนาวเย็นยะเยียบพัดโชยจนเหลือหนึ่งส่วน ลายครามน้อยพลันรู้สึกว่าความจริงแล้วจั่นเจาก็เป็นคนที่น่าสงสาร พาให้ลายครามน้อยน้ำตาไหลพราก เปล่งถ้อยคำที่มีชื่อเสียงข้ามผ่านยุคสมัยต่อหน้าดวงจันทร์สว่างไสว “ต่างเป็นคนระเหเร่ร่อนในแดนไกล ได้มาพบกันนับเป็นวาสนา ไยต้องใส่ใจว่าแต่ก่อนเคยรู้จักกันหรือไม่”*

    กระทั่งลายครามน้อยท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก ตับกับลำไส้ขาดเป็นชุ่น (ถ้าเขามีลำไส้ล่ะก็) คิดดูแล้วในชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์แล้วจริงๆ ไม่สู้รักษาความสดสวยในปัจจุบันจากไปอย่างใสสะอาด

    ครั้นแล้วลายครามน้อยก็ตัดสินใจจะ…ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารัก!

    จะว่าไปการใช้ภาษาของลายครามน้อยแต่ไรมาก็ไม่ดีนัก ใช้คำว่า ‘ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารัก’ ออกจะไม่ถูกต้อง แต่สำหรับมนุษย์ผู้ปล่อยหัวใจให้ความฝันทาทาบกับความเป็นจริงก็น่าจะพอเข้าใจความอ่อนไหวของลายครามน้อย

    อาจมีบางคนที่ปล่อยให้ความรู้สึกเป็นสิ่งนำพาให้เริ่มสำนึกตัวได้ ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดา แต่ผู้ใฝ่ฝันหาความสะอาดบริสุทธิ์เช่นลายครามน้อยย่อมตัดสินใจจบชีวิตของตนเอง

     

    ตอนที่ 3ตายไม่ได้

     

    หลังจากตัดสินใจจะฆ่าตัวตายบูชารัก ลายครามน้อยก็ลงมือวางแผนการใหญ่สำหรับการฆ่าตัวตายของตน

    ต้องตายอย่างไรจึงจะสวยงาม เต็มไปด้วยอารมณ์แห่งกวี วีรอาจหาญสมศักดิ์ศรี ดึงดูดหัวใจกระชากวิญญาณผู้คน ซื่อสัตย์จงรักภักดี ภูมิฐานมีเกียรติยศ ทำให้ชนรุ่นหลังนำไปเผยแพร่แซ่ซ้องมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอมตะไปชั่วฟ้าดินสลาย

    การทดลองในครั้งแรกของเขาก็คือเผาตัวเอง

    สถานที่ก็เลือกกระท่อมตวนมู่ เขารู้สึกว่าการเลือกสถานที่แห่งนี้มีความหมายอย่างมาก เป็นประจักษ์พยานถึงความผูกพันลึกซึ้งระหว่างนายบ่าวของเขากับตวนมู่ชุ่ย

    เขาหากลีบดอกไม้ ใบสน และใบไม้ต่างๆ มาจำนวนมาก เอามาปูลาดในกระท่อมเป็นเตียงบุปผาที่อ่อนนุ่มหลังหนึ่ง นอกจากนี้ยังเขียนโคลงไว้อาลัยให้กับตนเองบทหนึ่ง

    วรรคแรกคือ ‘เพื่อแทนคุณที่ค้ำจุนขอกระโจนสู่ความตาย’

    วรรคหลังคือ ‘ผูกสัมพันธ์นายบ่าวอีกครั้งในปรโลก’

    วรรคกลางที่ไว้แขวนพาดขวางด้านบนคือ ‘ตายเพื่อบูชารักผู้เป็นนายไม่คับแค้นไม่เสียใจ’

    หลังจากเขียนเสร็จ ลายครามน้อยปลงอนิจจังไปร้อยแปดพันเก้า ไม่ผิดจากคำพูดที่ว่าฉลาดเลิศล้ำทำร้ายตัวเอง รักลึกซึ้งอายุไม่ยืนยาว****คิดไม่ถึงว่าเป็นชามผู้เปรื่องปราดมาตลอดจะต้องมาจบชีวิตในค่ำคืนนี้

    เขาเดินเตร่ไปทั่วกระท่อมเป็นครั้งสุดท้าย บอกลาต้นหญ้าทุกต้นใบไม้ทุกใบที่เคยคุ้นทั้งน้ำตา หลังจากจุดไฟขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาก็นอนลงบนเตียงบุปผาอย่างสงบ สองมือประสานอยู่บนอก

    ไฟลุกไหม้โหมแรงขึ้นทุกที เปรี๊ยะๆ ปร๊ะๆ เปลวไฟร้อนแรงแลบเลียส่องสะท้อนขึ้นไปบนท้องฟ้า พริบตาที่กระท่อมทั้งหลังกลืนหายไปในทะเลเพลิงนั่นเองก็มีเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือดดังขึ้นมา ลายครามน้อยวิ่งออกมาดุจลูกธนูหลุดจากสายรวดเร็วดุจฟ้าผ่าปิดหูไม่ทัน (เพราะทั้งตัวถูกไฟเผาจนดำ เขาจึงดูคล้ายก้อนถ่านรูปชามใบหนึ่ง) จากนั้นมีเสียงดังตูมข้างลำธารใต้สะพานตวนมู่

    หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ลายครามน้อยก็ว่ายกลับขึ้นฝั่งด้วยท่าลูกหมาตกน้ำ

    แน่นอน การทดลองจบชีวิตในครั้งนี้สิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลว

    ทว่าลายครามน้อยหาได้ท้อแท้ใจ หลังจากนั้นครึ่งเดือน ในค่ำคืนที่แสงจันทร์หรุบหรู่คืนหนึ่ง เขาได้หลบเลี่ยงทหารเฝ้าประตูเมือง แอบปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองไคเฟิง

    นี่เป็นค่ำคืนที่เหมาะแก่การฆ่าตัวตายเป็นอย่างยิ่ง ลมพัดผ่าน มีเสียงครวญของไม้ที่เสียดสีกันดังมาจากป่าทึบนอกเมือง คล้ายเสียงกลุ่มภูตผีปีศาจร่ำร้องในยามราตรี

    ลายครามน้อยขยับขาเล็กๆ ของเขา ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้บริเวณขอบกำแพงทีละน้อย แล้วก็อีกทีละน้อย ทีละน้อย

    เขาชะโงกหน้ามองลงไปด้านล่างแล้วก็รีบหดคอกลับเพราะรู้สึกวิงเวียนตาลาย กำแพงเมืองดูเหมือนจะสูงเกินไปแล้ว หรือจะหาที่เตี้ยกว่านี้สักหน่อย เขาลังเลขึ้นมา แล้วยื่นศีรษะไปทางด้านนอก…

    ในเวลานี้เองพลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังกระชั้นถี่ขึ้นมาจากที่ไม่ไกลนัก

    ลายครามน้อยถูกเสียงฝีเท้าม้าที่ดังขึ้นมาทำให้ตกใจสะดุ้งโหยง ขาพลันอ่อนแรง ร่างเสียการทรงตัว…พึงรู้ว่ารูปร่างของเขาเดิมทีก็ไม่ปกติธรรมดาอยู่แล้ว ศีรษะกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของร่างกายและน้ำหนักล้วนมาก ผลจากการเสียศูนย์ก็คือ…

    เป็นดังที่ปรารถนา เขาหกคะเมนหัวทิ่มลงไป…

    จบแล้ว…ดวงตาเท่าเมล็ดถั่วคู่นั้นของลายครามน้อยเบิกค้าง นี่ไม่ใช่รูปแบบการกลับไปเช่นที่เขาฝันไว้ อย่างมากก็เพียงนับว่าเป็นการตายอย่างไม่คาดฝันกระมัง ขาและแขนของลายครามน้อยหดกลับเข้าไปในตัว ในช่วงเวลาที่หวาดกลัวที่สุดยังคงกลับคืนสู่สภาพเดิม ข้างหูมีเสียงลมพัดฮูๆ ทันใดนั้น…

    เขาถูกมือข้างหนึ่งรับไว้อยู่ในกลางฝ่ามืออย่างมั่นคง ตามมาด้วยเสียงตวาดถามด้วยความไม่พอใจ “ผู้ใดกันกล้าลอบทำร้ายข้าท่านไป๋อู่*”

    ลายครามน้อยขวัญหลุดลอยไม่อยู่กับตัว ร่างสงบมั่นคงแล้ว แต่หัวใจทั้งดวงยังอยู่กลางอากาศ ปลิวไปมาตามสายลมที่พัดฮูๆ เพราะถูกคนผู้นั้นตวาดจนตกใจขนหัวลุกชัน เขาแอบเคลื่อนไหวเล็กน้อยไม่ทำให้ใครสังเกตเห็น ค่อยเบิกหนังตาขึ้นน้อยๆ…

    นี่เป็นจอมยุทธ์หนุ่มที่หล่อเหลาผู้หนึ่ง เสื้อขาวยิ่งกว่าหิมะ เส้นผมดำดุจหมึก จมูกดุจดีแขวน*คิ้วยาวพาดเฉียง ลูกนัยน์ตาดุจหยกดำมีแววดื้อรั้นดุดัน ม้าสีขาวอานสีเงิน เผยให้เห็นชัดเจนถึงความสง่างามรักอิสระไม่ถูกผูกมัด…

    ในความทรงจำของลายครามน้อย มีเพียงสองคนที่ทาบติด คนหนึ่งคือเวินกูเหว่ยอวี๋ แต่เพราะนิสัยใจคอโหดร้ายจึงคัดออก ยังมีอีกคนคือจั่นเจา…

    แต่จั่นเจาผู้นี้มีเพียงรูปโฉมภายนอกงาม ความงามด้านจิตใจยังต้องปรับปรุงเพิ่มเติม ไหนเลยจะเหมือน ‘ท่านไป๋อู่’ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ที่งามพร้อมทั้งภายนอกภายใน (น่าฉงนสงสัย ลายครามน้อยมองออกจากตรงไหนว่าท่านไป๋อู่ผู้นี้งามพร้อมทั้งภายนอกภายใน)

    ขณะลายครามน้อยยังจมอยู่ในความหวั่นไหวที่เพียงเห็นหน้าก็เลื่อมใสศรัทธา จู่ๆ ก็มีคนร้องตะโกนจากที่ไกลมาทางด้านนี้ “น้องห้า ไปกันได้แล้ว”

    ‘ท่านไป๋อู่’ขานรับคำหนึ่งแล้วก็โยนชามในมือออกไปส่งๆ ลายครามน้อยพร้อมทั้งหัวใจที่เปี่ยมความเลื่อมใสศรัทธาดวงนั้นลอยตกไปในพงหญ้าข้างทาง

    เสียงฝีเท้าม้าไกลออกไป ลายครามน้อยคลานออกมาจากพงหญ้าโดยมีดาวสีทองหมุนวนอยู่รอบดวงตารอบศีรษะ หน้าผากมีหญ้าติดอยู่สองใบ มือทั้งสองวางทับกันอยู่ที่หน้าอก…ตรงนั้น หัวใจดวงหนึ่งกำลังเต้นตึกตักๆ ไม่หยุด

    จากนั้นก็ท่องบทกวีออกมาบทหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกและความปลื้มปีติยินดี “จอมยุทธ์แคว้นเยียนเจ้าสวมหมวกพราง ดาบอู๋โกววาวประกายน้ำค้างแข็ง อาชาขาวพาดอานเงินวะวับแสง โลดทะยานเร็วแรงดุจสายดาว สิบก้าวพุ่งสังหารหนึ่งคน ทางพันลี้ดั้นด้นไม่อาจกั้น หากถามไถ่เขาผู้นี้คือใครกัน เขาคือท่านไป๋อู่อย่างไรเล่า!”

    ในดินแดนไกลโพ้น ลึกลงไปใต้ดินที่ไม่มีใครรู้ หลี่ไป๋ยอดกวีเจ้าของบทกลอนที่ถูกลายครามน้อยนำมาดัดแปลงได้แต่พลิกตัวอยู่ในหลุมศพ ฝันร้ายตลอดทั้งคืน

    นี่เป็นช่วงที่สาม ตายสองครั้งก็ยังไม่สมปรารถนา ลายครามน้อยพลันไม่อยากตายแล้ว ในเมื่อตายยังไม่กลัว ยังจะกลัวการมีชีวิตอยู่หรือ

     

    ตอนที่ 4มองทะลุเรื่องราวทางโลก

     

    ไม่ตายก็ไม่ได้หมายความว่าจะเที่ยวเตร่หาความสำราญใช้ชีวิตอย่างปกติ ลายครามน้อยรู้สึกว่าตนเองได้กรอกสติปัญญาเข้าไปในสมองและได้สำนึกตัวอย่างถึงแก่นแท้ หลังจากท่องว่าสรรพสิ่งคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือสรรพสิ่งออกมา เขาก็รู้สึกว่าตนไม่มีอะไรให้ห่วงพะวงอีกแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจ…

    ออกบวช!

    นั่นเป็นช่วงพลบค่ำวันหนึ่งที่ฝนโปรยลงมาบางๆ ลายครามน้อยที่ยืนอยู่หน้าประตูวัดต้าเซี่ยงกั๋วมองเห็นอนาคตของตนแล้ว โคมดำ*พระพุทธรูป เกราะปลาไม้ แปดทรัพย์**เขาจะสวดมนต์ทุกวันเพื่อให้ดวงวิญญาณของตวนมู่ชุ่ยได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์…

    เขาอดทนรอจนพระภิกษุสวดมนต์ตอนเย็นเสร็จจึงฉวยโอกาสกลิ้งหลุนๆ เข้าไปตอนปิดประตู พระภิกษุที่มาปิดประตูไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ อ้าปากหาว เตรียมไปเฝ้าโจวกงแล้ว

    ลายครามน้อยไม่ได้นอนทั้งคืน เขาเดินไปเดินมาอยู่ในวัดต้าเซี่ยงกั๋ว ชมสถานที่ที่เขาจะศึกษาเรียนรู้และใช้ชีวิตอีกครึ่งที่เหลืออยู่แห่งนี้ สุดท้ายเขาก็มาถึงวิหารหลัก เห็นพระพุทธรูปประทับอยู่บนแท่นดอกบัวสูง พระพักตร์เคร่งขรึมน่าเกรงขาม นั่งพระบาทซ้อนกัน พระหัตถ์แบออก พระขนงพระเนตรเปี่ยมเมตตา เวทนาสงสารเวไนยสัตว์

    ลายครามน้อยโลหิตเร่าร้อนพลุ่งพล่าน ประสานมือทำความเคารพ “พระพุทธองค์ผู้อยู่เบื้องบน ได้โปรดเมตตาดูแล”

    บนพระนลาฏของพระพุทธรูปมีเส้นดำผุดขึ้นมาสามเส้น…

    ความกังวลใจของพระพุทธองค์ใช่จะไร้เหตุผล ครึ่งคืนหลัง ลายครามน้อยมุดเข้ากุฏิพระไปทีละห้องเพื่อจัดเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ตนเอง ไม่มีใครวัดตัวตัดชุดให้ เขาก็อาศัยลำแข้งของตัวเองกระโดดขึ้นไปบนจีวรพระ กวัดแกว่งกระบี่ยาว ตัดๆ ฟันๆ กรีดๆ เฉือนๆ ปากก็ท่องบ่น “อมิตาภพุทธ บาปกรรมๆ…”

    ภายหลังเหล่าพระภิกษุที่วัดต้าเซี่ยงกั๋วต่างโมโหสุดขีด เสื้อดำของพวกเขาถูกตัดคว้านขาดไปชิ้นหนึ่งอย่างประหลาด คนที่ลงมือก็น่าโมโหยิ่ง ส่วนที่คว้านเอาไปถ้าไม่ใช่ตรงหน้าอกก็เป็นบั้นท้าย ตื่นเช้ามาสะบัดเสื้อ บนล่างสองรูใหญ่มองสบตากันอยู่ไกลๆ พอสวมลงบนตัว เปลือยหน้าอกเปิดก้น นี่มันรูปแบบประเพณีอะไรกัน!

    ขณะพระภิกษุทั้งหลายกำลังเดือดดาลระงับอารมณ์ไม่อยู่ ลายครามน้อยก็กำลังห่อหุ้มร่างด้วยชุดพระภิกษุที่ทำขึ้นเอง ขดตัวตากแดดอยู่ที่มุมกำแพงในสวนผักที่ลานด้านหลัง แสงแดดอบอุ่นยิ่ง เขาสะลึมสะลือใกล้จะหลับ ปากก็ท่อง “สรรพสิ่งคือความว่างเปล่า” สัปหงกแล้วก็ว่า “ความว่างเปล่าคือสรรพสิ่ง” แล้วก็พลิกตัว ทันใดนั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา กล่าวซ้ำๆ บาปกรรมๆ จากนั้นหนังตาก็หลุบลง…

    ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนี้นานวันเข้า ลายครามน้อยก็กลัดกลุ้มยิ่ง คนต่างบอกว่าผู้ออกบวชลำบากยากแค้น ตลอดสิบวันครึ่งเดือนที่เขาเข้าวัดมารอบเอวกลับเพิ่มใหญ่ขึ้น บทสวดมนต์ยังท่องไม่ได้แม้แต่ท่อนเดียว แต่ชนิดและลักษณะของผักในแปลงกลับจดจำได้อย่างครบถ้วน…

    นี่มันเพราะอะไรกันเล่า ลายครามน้อยคิดทบทวน ในฐานะชามที่จิตใจสงบวิเวกมีความต้องการน้อยนิด เขามองทะลุความต้องการทางโลกได้นานแล้ว มุ่งมั่นตั้งใจเข้าสู่ทางธรรม ด้วยความเฉลียวฉลาดของเขาภายในเวลาไม่กี่วันก็น่าจะศึกษาหลักธรรมคำสอนได้อย่างแตกฉาน เป็นบรมครูแห่งยุค เพราะเหตุใดเขากลับซึมเซาไม่มีกะจิตกะใจจะแสวงหาความก้าวหน้า ถ้าตวนมู่ชุ่ยที่อยู่ในปรโลกมีญาณวิเศษรู้เข้าจะเสียใจเพียงใด

    ลายครามน้อยกลัดกลุ้มเป็นที่สุด ในค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์คืนหนึ่ง เขาหาที่ระบายอารมณ์ไม่ได้จึงถอนต้นหอมในแปลงผักขึ้นมาจนเกลี้ยง

    จากนั้นเขาก็นอนหนุนต้นหอมห่มใบ นอนพลิกตัวกลับไปกลับมา แล้วหลับไปท่ามกลางความเลอะเลือน ในฝันเขาเห็นคนผู้หนึ่ง

    คนผู้นั้นใบหน้าราบเรียบดุจผิวน้ำ ตวาดถามเสียงเยียบเย็น ‘ผู้ใดกันกล้าลอบทำร้ายข้าท่านไป๋อู่’

    ลายครามน้อยตกใจตื่นขึ้น

    ครู่เดียวเขาก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ในทางโลกที่สับสนวุ่นวาย เขายังมีเรื่องติดค้างในใจอยู่อีกเรื่องหนึ่ง

    ‘ท่านไป๋อู่’มีบุญคุณช่วยชีวิตเขา มอบชีวิตที่สองให้เขา บุญคุณใหญ่หลวงเช่นนี้จำเป็นต้องตอบแทน จำเป็นอย่างยิ่ง! หาไม่ตวนมู่ชุ่ยก็คงไม่ให้อภัยเขา คนของสำนักซี่ฮวาหลิวยึดถือเรื่องตอบแทนบุญคุณ เมื่อได้รับบุญคุณจากผู้อื่นแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องตอบแทนเป็นเท่าทวี เขาในฐานะคนของสำนักซี่ฮวาหลิวที่ยังเหลืออยู่ การรักษาหน้าตาของสำนักถือเป็นภารกิจที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง!

    เขาจำเป็นต้องไปตอบแทนบุญคุณ หลังจากตอบแทนบุญคุณแล้วจึงจะวางภาระในใจลงได้อย่างแท้จริงและกลับเข้าสู่บวรพุทธศาสนาอีกครั้ง ให้แสงรัศมีของพระพุทธองค์สาดส่อง และนำแสงพระธรรมอันรุ่งโรจน์โชติช่วงเผยแผ่ไปทั่วทั้งใต้หล้า…

    ครั้นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ขณะหมอกบางยังปกคลุม ลายครามน้อยก็ถอดชุดพระภิกษุ สะพายกระบี่ยาวที่เอว แบกสัมภาระห่อใหญ่ ข้างในบรรจุของใช้จำนวนหนึ่งที่เก็บรวบรวมมาได้เมื่อคืน เริ่มต้นการเดินทางเพื่อตามหาผู้มีพระคุณ

    สัมภาระหนักกระแทกก้นเขาดังตุบตับๆ ท่ามกลางเสียงตุบตับที่เป็นจังหวะจะโคน ลายครามน้อยคิดไปเรื่อยเปื่อยว่า ‘ท่านไป๋อู่’ผู้นี้ ที่แท้แล้วคือใครกัน คนผู้นั้นที่มาด้วยกันเรียกเขาว่า ‘น้องห้า’หรือว่าเขายังมีพี่ชายอีกสี่คน ผู้คนมากมายเพียงนี้จะไปหาที่ใดพบได้หนอ

    หมอกหนาขึ้นทุกทีคล้ายเป็นนิมิตหมายว่าหนทางข้างหน้าของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับหมอกหนาเช่นนี้ เสียงตุบตับๆ และเงาร่างของลายครามน้อยค่อยๆ หายลับไปในหมอกหนา…

     

    5 of 5หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook