• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 3 ตอนที่ 1

    “ท่านแม่ทัพ…”

    เสียงนี้ดังขึ้นมาอย่างฉับพลันกะทันหันดุจงูพ่นพิษฟ่อๆ คลุมเครือไม่ชัดแจ้ง ทำให้ตวนมู่ชุ่ยหวาดกลัวเหงื่อเย็นไหลชุ่มร่าง

    “เจ้าเป็นใครกัน”

    คนผู้นั้นคล้ายทอดถอนใจ “ท่านแม่ทัพไม่ควรมา”

    ตวนมู่ชุ่ยสงบจิตสงบใจ มือข้างหนึ่งแตะไปที่ดอกบัวทะลุใจช้าๆ “เหลวไหล ถ้าไม่ใช่พวกเจ้าใช้เล่ห์เพทุบายของมารร้าย ข้าจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

    “หรือว่าท่านแม่ทัพยังไม่พอใจ” เบ้าตาว่างเปล่าของคนผู้นั้นดำมืดจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง “ท่านแม่ทัพในเวลานี้เรียกได้ว่าต้องการลมก็ได้ลม ต้องการฝนก็ได้ฝน มีพี่น้องในชนเผ่าทุ่มเทกำลังติดตาม มีนายทหารและเหล่าทหารหาญที่สาบานว่าแม้ตัวตายก็จะสนับสนุน ไม่ต้องทุกข์เรื่องตำแหน่งสูง ไม่ต้องทุกข์เรื่องลาภยศการปูนบำเหน็จ อีกไม่กี่วันก็จะได้อยู่เคียงคู่กับคนที่รักกันอย่างจริงใจ ครองคู่กันไปชั่วกาลนาน ความสุขในโลกมนุษย์ ยังจะมีอะไรมากไปกว่านี้ หรือว่าท่านแม่ทัพยังไม่พอใจอีก”

    ตวนมู่ชุ่ยแสร้งเอออออย่างขอไปที “ย่อมพอใจ”

    คนผู้นั้นยิ้มหยัน “พอใจ? ถ้าพอใจ เหตุใดสระน้ำในห้วงลึกที่แต่ไรมาสงบนิ่งจึงเดือดพล่านเช่นนี้ พึงรู้ว่าเรื่องบนโลกถึงจะมีพร้อมทั้งสิบ แต่ก็ยากจะงามพร้อมทั้งสิบ ท่านแม่ทัพลองชั่งน้ำหนักดูเอง จะยอมสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างของท่านในซีฉีเพื่อคนที่ไม่เกี่ยวข้องจริงหรือ”

    “สารเลว!” ตวนมู่ชุ่ยตวาดด้วยความโกรธ หอกติดโซ่พุ่งตรงเข้าไปที่กะโหลกศีรษะคนผู้นั้น เสียงหัวเราะแห้งๆ ดังขึ้นสองคำ คนผู้นั้นละลายหายไปกลางโคลนเลน ตรงจุดที่หายไปน้ำโคลนยิ่งเดือดพล่านรุนแรง ตวนมู่ชุ่ยกัดฟัน ดูเหมือนสิ่งนี้คงฆ่าไม่ตายเป็นแน่ เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างเช่นนี้คงเป็นปีศาจมารร้าย

    “ท่านแม่ทัพ…”

    นางหันหน้ากลับไปช้าๆ ที่ด้านหลังไม่ไกลออกไปเท่าไร คนผู้นั้นยืนด้วยท่าแปลกประหลาด รอบตัวมีน้ำโคลนสีดำไหลหยดไม่หยุด เห็นแล้วอยากอาเจียน

    “ท่านแม่ทัพ…” เสียงคนผู้นั้นค่อยๆ เยียบเย็นน่าสะพรึงกลัว “เพียงหวังว่าท่านแม่ทัพจะทะนุถนอมสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ต้องห่วงพะวงใครอื่นอีก หาไม่ ถ้าปลุกนางตื่นขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมีอยู่ทั้งหมดก็จะกลายเป็นเมฆหมอกสลายไปในพริบตา

    ปลุกนาง…ตื่นขึ้นมา

    ไม่รู้เพราะเหตุใด ตวนมู่ชุ่ยคล้ายมีความรู้สึกบางอย่าง สายตาค่อยๆ เคลื่อนไป สุดท้ายก็จับนิ่งอยู่ที่ร่างสตรีที่หลับใหลอยู่ก้นสระ

    “นางเป็นใคร เพราะเหตุใดข้าต้องปลุกนางให้ตื่นขึ้นมา” ตวนมู่ชุ่ยในใจสับสนว้าวุ่น “นางเป็นอะไรถึงต้องถูกปลุกให้ตื่นขึ้น”

    “นางก็คือท่าน ท่านก็คือนาง ที่นางหลับใหลไม่ตื่นก็เพราะที่นี่คือห้วงลึก ขอเพียงท่านตื่นอยู่ก็พอแล้ว ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อห้วงลึก เพื่อซีฉี เพื่อทุกคนที่ท่านห่วงใยที่ซีฉี ไม่ควรจิตใจว่อกแว่ก ยิ่งไม่ควรย่างเท้าเข้าไปในความคิดความอ่านของนาง ทุกครั้งที่ท่านย่างเท้าเข้าไปหนึ่งส่วน จมลึกเข้าไปหนึ่งส่วน นางก็จะได้สติขึ้นมาหนึ่งส่วน เมื่อถึงช่วงเวลานั้นจริงพลังของห้วงลึกก็จะรั้งนางไว้ไม่อยู่ ท่านเข้าใจหรือไม่”

    ตวนมู่ชุ่ยปวดศีรษะแทบแตก พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “แล้วเวลานี้ตัวนางอยู่ที่ใด”

    คนผู้นั้นหัวเราะฮ่าๆ ร่างพลันแยกเป็นหนวดงวงออกมาเส้นหนึ่ง เลื้อยคดเคี้ยวเข้ามาแตะลงบนบ่าของตวนมู่ชุ่ยเบาๆ กดเสียงกระซิบลงจนต่ำยิ่ง ประหนึ่งหนอนตัวเย็นเฉียบทั้งร่างที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า

    “อยู่ในร่างกายของท่าน นางกับท่านเหมือนตัวกับเงา ไม่เคยแยกจากกัน”

     

    ตวนมู่ชุ่ยตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกมึนงง ศีรษะหนักๆ คล้ายฝันยาวมากเรื่องหนึ่ง แต่กลับจำไม่ค่อยได้ นางเกาะเสาเตียงลุกขึ้นมา ครั้นก้าวเท้าออกไปก็เกือบก้าวพลาด

    อาหมีอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงรีบหยิบเสื้อเกราะของตวนมู่ชุ่ยเดินเข้ามา ไหนเลยจะรู้ว่าตวนมู่ชุ่ยกลับนอนลงไปใหม่แล้ว พอนางขยับเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นตวนมู่ชุ่ยสีหน้าไม่ค่อยดีจึงอดเอ่ยด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรกระมัง”

    ตวนมู่ชุ่ยร้องอืมแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “วันนี้เพลียยิ่งนัก อาหมี เจ้าไปดูการฝึกทหารตอนเช้าหน่อย มีเรื่องอะไรก็มารายงานข้า”

    อาหมีรับคำแล้ววางเสื้อเกราะไว้ที่หัวเตียงอย่างเบามือ แต่เดินออกไปได้สองก้าวก็หันหน้ากลับมา “คุณหนู นึกอยากอาหารหรือไม่ อยากกินอะไรหรือ”

    รออยู่ครู่หนึ่ง ไม่เห็นตวนมู่ชุ่ยตอบอะไร อาหมีเม้มปากแล้วก้าวเท้าเบายิ่งขึ้น ขณะจะออกไปจากกระโจมจู่ๆ ตวนมู่ชุ่ยก็ลุกขึ้นมานั่ง “อาหมี เอาป้ายหยกกับมีดสั้นมาให้ข้า”

    อาหมีรับคำแล้วออกไปหยิบที่ด้านนอก ตอนเอาเข้ามาตวนมู่ชุ่ยก็สวมเสื้อคลุมแล้ว นางใช้มือซ้ายรับป้ายหยกมา มือขวาถือมีดสั้นแกะตัวอักษรลงบนป้ายหยก อาหมีอยู่ด้านข้างช่วยประคองอย่างระมัดระวังพลางเป่าผงหยกที่แกะออกมาเบาๆ

    รูปแบบตัวอักษรนั้นแปลกและซับซ้อน ไม่ได้ใช้กันโดยทั่วไป อาหมีแม้จะรู้ว่าตวนมู่ชุ่ยกำลังแกะตัวอักษร แต่ก็ไม่รู้ว่านางเขียนอะไร ทันทีที่แกะเสร็จตวนมู่ชุ่ยก็เอานิ้วมือเรียวยาวลูบๆ ไปที่ป้ายหยก จากนั้นจึงหยิบผ้าไหมที่ข้างหมอนมาห่อไว้แล้วพูดกับอาหมี “อาหมี หลังฝึกทหารตอนเช้าเสร็จเจ้าไปที่ค่ายของท่านอัครเสนาบดีแทนข้า เอาป้ายหยกนี้มอบให้ท่านแม่ทัพหยางเจี่ยน”

     

    ตอนอาหมีเอาป้ายหยกไปส่งถึงที่ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว หยางเจี่ยนกำลังฝึกปรือวรยุทธ์กับผู้ช่วยแม่ทัพอยู่ที่หน้ากระโจม ครั้นได้ยินว่ามีคนมาจากทัพตวนมู่ก็งงงันเล็กน้อย ก่อนโยนทวนสัมฤทธิ์สามแฉกที่สองข้างเป็นดาบคมวงเดือนไปให้ผู้ช่วยแม่ทัพแล้วกล่าวเสียงหนัก “เชิญ”

    แม้อาหมีจะปฏิบัติต่อตวนมู่ชุ่ยอย่างไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่อยู่เสมอ แต่ก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสานกับหยางเจี่ยน หลังจากพบหน้าก็รีบมอบห่อผ้าไหมให้ หยางเจี่ยนรับมาแกะผ้าไหมออก ครั้นเห็นป้ายหยกก็ร้องอย่างประหลาดใจออกมาคำหนึ่ง ก่อนพูดขึ้น “ห้วงลึก”

    ตอนเอ่ยคำนี้หัวคิ้วเขาก็ขมวดน้อยๆ อดมองไปที่อาหมีไม่ได้ อาหมีรีบบอก “ข้าไม่รู้อะไรเลย วันนี้คุณหนูตื่นขึ้นมาก็ดูแปลกๆ ไม่ได้อธิบายอะไร แล้วก็ให้ข้านำป้ายหยกนี้มาส่ง”

    หยางเจี่ยนยิ้มบาง “ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปก่อนแล้วกัน”

    อาหมีทำความเคารพและล่าถอยออกไป ทว่าเพิ่งจะถึงหน้าประตูกระโจมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังมาจากด้านนอก จึงรีบหลบไปด้านข้าง ครั้นม่านเลิกขึ้นก็เห็นผู้ที่เข้ามาเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงใหญ่ เส้นสายบนใบหน้าคมเข้มราวสลักด้วยมีด คนผู้นี้ก็คือกู่ชาง

    กู่ชางคิดไม่ถึงว่าจะได้พบอาหมีที่นี่จึงมองเข้าไปในกระโจมตามสัญชาตญาณ อาหมีเม้มปากยิ้ม “มีเพียงข้าที่มา คุณหนูของข้าไม่ได้มาด้วย”

    กู่ชางไม่ทันระวังถูกอาหมีเดาใจถูก ได้แต่มองซ้ายมองขวาอย่างเก้อเขินแล้วพูดเรื่องอื่น “เจ้ามาได้อย่างไร แม่ทัพของเจ้าสบายดีหรือ”

    อาหมีชี้มือไปที่ด้านหลัง “ข้ามาส่งสารให้คุณหนู ท่านอยากรู้ก็ไปถามท่านแม่ทัพหยางเจี่ยนก็แล้วกัน” ขณะพูดก็หัวเราะคิกๆ แล้วเลิกม่านเดินออกไป

    กู่ชางยิ้มเจื่อน จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในกระโจม “ตวนมู่มีจดหมายมาหรือ หรือว่าทางเมืองอันอี้มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ”

    หยางเจี่ยนส่ายศีรษะ “จดหมายของตวนมู่มาอย่างมีเลศนัย อยู่ดีๆ เหตุใดนางจึงถามถึงห้วงลึก”

    “ห้วงลึก?” กู่ชางออกจะประหลาดใจ “คืออะไรหรือ”

    “ไม่มีอะไรสำคัญ ห้วงลึกไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในแดนมนุษย์ คนบำเพ็ญเซียนอย่างพวกเราก็เพียงได้ยินมาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับตวนมู่ จู่ๆ ก็ให้คนมาสอบถามถึงเรื่องนี้”

    “แล้วเจ้าตอบไปอย่างไร”

    “อย่างไรเสียวันนี้ก็ไม่มีงาน ข้าให้อาหมีกลับไปที่ค่ายก่อน เย็นกว่านี้อีกหน่อยข้าจะไปที่ค่ายตวนมู่สักครั้ง ถือโอกาสเยี่ยมนางหนูผู้นั้นด้วย” กล่าวจบก็มองกู่ชางอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีคนอยากไปด้วยหรือไม่”

     

    อาหมีกลับมาถึงค่ายก็คิดจะไปรายงานตวนมู่ชุ่ยเรื่องหยางเจี่ยนจะมาเป็นอันดับแรก ไหนเลยจะรู้ พอเข้าไปดูในกระโจม บนเตียงก็มีแต่ความว่างเปล่า เสื้อเกราะยังวางอยู่ที่หัวเตียง แต่ตัวคนหายไปแล้ว

    พอตรวจดูก็พบว่าเสื้อผ้าที่ตวนมู่ชุ่ยสวมใส่ประจำวันมีชุดลำลองหายไปชุดหนึ่งก็คาดเดาได้คร่าวๆ จึงออกจากกระโจมมาถามทหารที่เฝ้าอยู่ด้านหน้า ทำให้รู้ว่าตวนมู่ชุ่ยเพิ่งออกไปก่อนนางกลับมาไม่นาน และไม่ได้บอกว่าจะไปที่ใด เพียงบอกว่าจะไปเที่ยวดูรอบๆ เมืองอันอี้

    อาหมีจนปัญญา ได้แต่สั่งการลงไปให้จัดเตรียมสุราข้าวต้มน้ำแกงข้น ตนเองก็ไม่กล้าไปที่ใดส่งเดช กลัวหยางเจี่ยนมาถึงแล้วในค่ายตวนมู่กระทั่งคนดูแลจัดการก็ไม่มี จะเสียมารยาทเปล่าๆ

    ทางด้านตวนมู่ชุ่ย นางพักผ่อนอยู่ในกระโจมอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ายิ่งพักผ่อนก็ยิ่งอึดอัดกลัดกลุ้มจึงคลุมเสื้อแล้วลุกขึ้นมา ตอนแรกคิดจะสวมเสื้อเกราะ แต่มาคิดอีกที จะออกไปเดินเล่นหากสวมเสื้อเกราะกลับจะสะดุดตา จึงเลือกสวมชุดลำลองและผูกผมลวกๆ ให้ดูไม่เตะตามากนัก

    ตลอดทางที่เดินมา คูเมืองของเมืองอันอี้เล็กจนน่าสงสารอย่างแท้จริง ไม่รู้เพราะระยะหลังมานี้กองทัพซีฉีก็มาตั้งมั่นอยู่ที่นี่หรือไม่ ชาวบ้านในเมืองจึงพากันกลัวหัวหด มีบรรยากาศของความหวั่นหวาดอยู่มาก ตวนมู่ชุ่ยเดินๆ หยุดๆ ไปตามถนนสายหลักในเมือง ค่อยๆ เดินมาถึงหน้าคฤหาสน์ใหญ่หลังหนึ่ง ด้วยคิดว่าคฤหาสน์หลังนี้ดูโอ่อ่า น่าจะเป็นของครอบครัวที่มีเงินและอิทธิพลในเมืองอันอี้

    บังเอิญด้านข้างมีคนเดินผ่านมา ตวนมู่ชุ่ยครึ่งหนึ่งอยากรู้อยากเห็น ครึ่งหนึ่งเพราะไม่มีอะไรทำ จึงถามคนผู้นั้นว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นของใคร คนผู้นั้นสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน พูดออกมาคำหนึ่ง “ของสกุลฉีมู่” จากนั้นก็ไม่ยอมพูดอะไรอีก รีบร้อนจากไป

    ตวนมู่ชุ่ยงงงันอยู่ชั่วขณะ หลังจากนั้นจึงเข้าใจ มิน่า ‘ฉีมู่’สองคำนี้จึงคุ้นหู ที่แท้ก็เป็นครอบครัวผู้สอดแนมที่ย้ายไปให้ทัพเกาป๋อเจี่ยนช่วยจัดการปัญหาที่ตกค้างในภายหลัง

    ขณะคิดเช่นนั้นก็อดจะมองคฤหาสน์ของสกุลฉีมู่มากหน่อยไม่ได้ แต่การมองมากหน่อยในครั้งนี้กลับมองเห็นบางอย่างผิดวิสัย เพราะปล่องไฟในตัวบ้านมีควันจากการหุงหาอาหารลอยเป็นเกลียวออกมา

    ตวนมู่ชุ่ยนึกแปลกใจ บ้านสกุลฉีมู่ไม่ใช่ถูกจับเข้าคุกไปทั้งหมดแล้วหรือ หรือว่ายังมีปลาที่รอดจากแหไปได้

    กลางวันท้องฟ้าสีครามเข้ม ตวนมู่ชุ่ยไม่กลัวคนที่อยู่ในบ้านจะมีการเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติ ผลักประตูเดินเข้าไปอย่างเปิดเผย ประตูนั่นหับเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้ลงกลอน

    ในลานมีแต่ข้าวของทิ้งระเกะระกะ เป็นผลงานยอดเยี่ยมในการบุกเข้าจู่โจมของทัพซีฉีเมื่อสองวันก่อน ตวนมู่ชุ่ยเดินอ้อมข้าวของที่ล้มคว่ำอยู่กลางลานไปอย่างระมัดระวังตรงไปยังห้องครัว

    ในห้องครัวกลับไม่มีคน ที่ท้องเตามีไฟกำลังลุกโชน ท่อนฟืนส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะ หม้อดินเผาบนเตากำลังพ่นไอร้อนฟู่ๆ ออกมา ตวนมู่ชุ่ยนึกอยากรู้อยากเห็นจึงเอื้อมมือไปเปิดฝา มองไปก็เห็นในหม้อมีโจ๊กสีขาวผสมผักกำลังเดือดพล่านอยู่ แต่ลืมไปว่าฝาหม้อก็ถูกเผาจนร้อน นิ้วมือทั้งห้าถูกลวกจนนางสะดุ้งร้องอุทานออกมาคำหนึ่งแล้วรีบปล่อยมือ

    พอก้มลงมองก็เห็นนิ้วมือถูกลวกจนแดงไปหมด ตวนมู่ชุ่ยสะบัดมือเร่าๆ เป่าลมออกจากปากไม่หยุด พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกประตู มีคนหอบไม้ฟืนที่ผ่าแล้วเข้ามา ร่างสวมชุดสีน้ำเงินสะอาดสะอ้าน รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหมดจดหล่อเหลา นัยน์ตาดำลึกล้ำใสกระจ่าง คนผู้นี้ก็คือจั่นเจา

    ทั้งสองคนไม่คิดว่าจะได้เจอหน้ากันที่นี่ ต่างก็ตะลึงงันกันไป

    จั่นเจากวาดสายตาไปรอบๆ เห็นฝาหม้อตกแตกอยู่กับพื้น แล้วเห็นตวนมู่ชุ่ยสะบัดมือเร่าๆ ก็พอจะเดาเรื่องราวได้ รีบโยนฟืนในมือลงไปแล้วก้าวยาวๆ เข้ามาคว้าข้อมือตวนมู่ชุ่ยไว้ “มานี่”

    ตวนมู่ชุ่ยไม่ทันตั้งตัว ถูกเขาดึงก็เดินตามไป ในใจกลับมีความคิดแปลกประหลาดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น จั่นเจาคงไม่ได้คิดว่าข้าจะขโมยโจ๊กของเขานะ

    ขณะคิดฟุ้งไปอยู่นั้นเท้าพลันซวนเซเกือบจะชนจั่นเจา ทว่าจั่นเจาพลันหยุดฝีเท้า เปิดฝาอ่างน้ำที่อยู่ตรงหน้าออกแล้วจับมือตวนมู่ชุ่ยจุ่มลงไปจนถึงข้อศอก

    น้ำในอ่างเย็นเฉียบ บริเวณที่ถูกลวกครั้นแตะถูกน้ำก็รู้สึกแสบแทบทนไม่ไหว ตวนมู่ชุ่ยจะหดมือกลับด้วยสัญชาตญาณ แต่มือข้างนั้นถูกจั่นเจาจับไว้อยู่ จึงดึงกลับไม่ได้

    น้ำในอ่างกระเพื่อมไหวเกิดเป็นระลอกคลื่นน้อยๆ

    จั่นเจากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดีที่โดนลวกไม่มาก ยังไม่พองขึ้นมา แช่มือในน้ำบ่อยๆ อย่าพันแผลเป็นอันขาด คันเพียงใดก็อย่าเกา อีกวันสองวันก็หายแล้ว”

    ตวนมู่ชุ่ยอึ้งจนปากอ้าตาค้าง กระทั่งอาการแสบร้อนที่มือก็ลืมไปแล้ว นางมองจั่นเจาอย่างงงงัน ผิวน้ำค่อยๆ สงบนิ่งลง สะท้อนเงาของคนทั้งสองที่อยู่ใกล้ชิดกันมากจนดูเคลือบคลุมมีเลศนัย

    ในสมองของจั่นเจามีเสียงดังวิ้งด้วยนึกขึ้นได้ เมื่อครู่เขาถึงกับลืมไปแล้วว่านางคือแม่ทัพตวนมู่!

    แม้แต่ตวนมู่ชุ่ยก็รู้สึกได้ว่าร่างของจั่นเจาแข็งค้างไปในทันที เขาค่อยๆ หดมือกลับอย่างอึดอัดขัดเขิน “ท่านแม่ทัพ…แช่อีกสักพัก เมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้ว…ค่อยว่ากัน”

    คำพูดสั้นๆ แค่ไม่กี่คำกลับพูดออกมาอย่างยากลำบาก เขายืนตัวแข็งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งแล้วจึงเดินกลับไปอยู่ข้างประตู ก้มตัวลงเก็บรวบรวมฟืนที่ทิ้งกระจัดกระจายเมื่อครู่ขึ้นมาแล้วเดินไปที่ข้างท้องเตาก่อนนั่งยองเอาฟืนเติมเข้าไป ไม่นานเปลวไฟก็เต้นระริกไหวขึ้นมา ส่องสะท้อนใบหน้าของจั่นเจาจนปรากฏเป็นเส้นสายเค้าโครงหน้าบัดเดี๋ยวมืดบัดเดี๋ยวสว่าง

    โจ๊กใส่ผักในหม้อดินเผาเดือดพล่านมากขึ้น กลิ่นหอมของข้าวเจือกลิ่นเค็มฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง

    “ท่านแม่ทัพกินอาหารแล้วหรือยัง”

    ตวนมู่ชุ่ยไม่คิดว่าเขาจะถามเช่นนี้ จึงตอบไปโดยไม่ได้คิด “ยังเลย”

    “ถ้าไม่รังเกียจว่าสถานที่โกโรโกโส ไม่สู้…กินอาหารก่อนแล้วค่อยกลับ”

    “อา” ตวนมู่ชุ่ยท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่ “ก็คือ…ดื่มโจ๊ก”

    จั่นเจาอมยิ้ม “ถ้ามีเพียงจั่นเจาผู้เดียว ดื่มโจ๊กก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้ารั้งท่านแม่ทัพอยู่กินอาหารด้วยย่อมไม่อาจเรียบง่ายเช่นนี้ ท่านแม่ทัพรอสักครู่ จั่นเจาไปไม่นานก็มา”

    ไม่รอตวนมู่ชุ่ยเอ่ยปาก เขาก็ขยับเสื้อลุกขึ้น เอากระบี่จวี้เชวี่ยวางพิงข้างเตา เดินออกประตูไป

    กระทั่งจั่นเจาเดินไปไกลแล้ว ตวนมู่ชุ่ยจึงได้ตระหนักว่าตนรับปากอะไรไป

    นี่นับเป็นอะไรกัน เมื่อวานยังต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย วันนี้นางกลับวิ่งมาหาจั่นเจาถึงนี่…สองคนต่างมีอัธยาศัยไมตรี ร่วมกินอาหารกลางวันด้วยกันแล้ว

    ตวนมู่ชุ่ยยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกประดักประเดิด ตัดสินใจไม่ได้ในเวลาอันสั้น ขณะนั้นพลันได้ยินเสียงคนดังเอะอะอยู่นอกคฤหาสน์ สอดแทรกด้วยเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับ ในใจพลันเหมือนมีอะไรรัดแน่น ว่ากันตามเหตุผลแล้วเวลานี้กองกำลังทหารที่มาตั้งมั่นอยู่ในเมืองอันอี้มีเพียงเกาป๋อเจี่ยนกับทัพของตน เกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงต้องควบม้าผ่านตัวเมืองในเวลากลางวันเช่นนี้

    ขณะคิดก็ไม่อาจมัวมาคำนึงถึงอะไรมากมาย รีบเดินออกประตูไป มาทันกองทหารเพี่ยวจี้กลุ่มหนึ่งกำลังผ่านไปพอดี ฝุ่นคลีที่ม้าย่ำเหยียบทำให้นางไอออกมา ท่ามกลางฝุ่นควันปลิวคละคลุ้งก็เห็นเงาด้านหลังของคนผู้หนึ่งอย่างชัดเจน จึงตะโกนเรียก “หยางเจี่ยน!”

    ยังไม่ทันสิ้นเสียง ม้าหลายตัวที่อยู่ตรงหน้าก็ส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมกัน หยางเจี่ยนรั้งเชือกบังเหียนหันหน้ามา ยิ้มพลางพูดเสียงดังกังวาน “ตวนมู่ เจ้าอยู่ที่นี่หรือ!”จากนั้นก็หันไปทางกู่ชาง “รับตวนมู่ขึ้นมา กลับไปที่ค่ายด้วยกันเถิด”

    กู่ชางกล่าวยิ้มๆ “เรื่องนี้แน่นอน” ว่าแล้วก็หันหัวม้ากลับ สองขาหนีบท้องม้า ม้าร้องฮี้ออกมาคำหนึ่งแล้ววิ่งกลับมาตามทาง พอใกล้จะถึงตัวตวนมู่ชุ่ย เขาก็โน้มตัวลงมาเล็กน้อยพลางยื่นมือมาให้ตวนมู่ชุ่ย

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มเจ้าเล่ห์ “กู่ชาง ระวังล่ะ”

    กู่ชางเห็นในดวงตาของนางมีประกายประหลาดวิบวับก็รู้ว่าไม่ดีแน่ ขณะคิดจะหดมือกลับ ตวนมู่ชุ่ยกลับเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง นางยื่นมือมาคว้าแขนเขา แทบจะพร้อมกับที่ขาทั้งสองข้างตวัดเกี่ยวขึ้นไปที่อานม้าพลางตวาด “ลงมา!”

    นางออกแรงอย่างพอเหมาะ กู่ชางเองก็ไม่ได้เตรียมพร้อมป้องกันจึงถูกนางกระชากร่วงจากอานม้า หากคิดจะไม่ให้นางขึ้นม้าก็กลัวจะทำให้นางล้มลงไป เขาแอบทอดถอนใจ จำต้องส่งพลังดันนางเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วทิ้งร่างลงสู่พื้นอย่างมั่นคง

    ตวนมู่ชุ่ยประมือชิงม้ามาได้สำเร็จ ในใจก็กระหยิ่มยิ้มย่องยิ่งนัก นางจับเชือกบังเหียนม้านั่งตัวตรง ควบวิ่งไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วจึงรั้งหัวม้ากลับมา คลี่ยิ้มเต็มหน้าให้กู่ชาง

    หยางเจี่ยนหัวเราะพลางส่ายหน้าทอดถอนใจ “ช่างก่อกวน วันหน้าแต่งงานกันแล้วจะไม่แย่หรือ”

    ผู้ช่วยแม่ทัพที่อยู่ด้านข้างก็เข้ามาประสมโรงเฮฮา “ได้ยินว่าท่านอัครเสนาบดีอนุญาตเรื่องการแต่งงานของท่านแม่ทัพตวนมู่กับท่านแม่ทัพกู่ชางแล้ว”

    “ใช่” หยางเจี่ยนพยักหน้า “หลังยึดเมืองฉงเฉิงได้ก็จะจัดงานมงคลนี้แล้ว”

    ผู้ช่วยแม่ทัพผู้นั้นหัวเราะหึๆ หยางเจี่ยนนิ่งไปชั่วขณะ แล้วจึงเอ่ยเสียงดังกังวาน “ตวนมู่ มีเรื่องอะไร กลับไปค่ายก่อนค่อยว่ากัน”

    ตวนมู่ชุ่ยรับคำ กระตุ้นม้าเดินเข้ามา ตอนผ่านข้างกายกู่ชางก็ยื่นมือไปดึงเขาขึ้นมาบนหลังม้า กู่ชางหยิบยืมพลังดึงตัวขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหลังตวนมู่ชุ่ย สองมือโอบผ่านร่างนางไปดึงบังเหียนม้า กล่าวยิ้มๆ “เจ้านั่งให้ดีล่ะ”

    ตวนมู่ชุ่ยแหงนหน้าหัวเราะ “ที่ควรนั่งให้ดีคือเจ้า ถ้าข้าไม่ชอบใจขึ้นมาก็อาจถีบเจ้าลงไปอีก”

    ขณะพูดกันอยู่นั้น ทางหยางเจี่ยนก็เฆี่ยนม้าห้อไปก่อนแล้ว กู่ชางกระตุกบังเหียนไล่ตามหลังไป เพิ่งตามติดไปได้ไม่กี่ก้าวพลันรู้สึกว่าร่างตวนมู่ชุ่ยแข็งทื่อขึ้นมาจึงแปลกใจ ก้มหน้าลงถาม “เป็นอะไรไป”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มค่อนข้างฝืดเฝื่อน “ไม่มีอะไร พี่ใหญ่อยู่ข้างหน้า เราเร่งหน่อยเถิด”

    กู่ชางไม่ได้สงสัยอะไร รีบเตะท้องม้ากระตุ้น ม้าส่งเสียงร้องพุ่งออกไปดุจลูกธนู

    ตวนมู่ชุ่ยสงสัยว่าตนคงมองผิดไป อดหันหน้ากลับไปมองไม่ได้

    ที่ตรงนั้นฝุ่นคลีค่อยๆ จางไป เผยให้เห็นเค้าโครงร่างผอมและเลือนรางของจั่นเจา

     

    อาหมีจัดเตรียมสุราอาหารในค่ายไว้ก่อนแล้ว หลังจากทุกคนเข้านั่งประจำที่ ต่างคารวะสุราพูดคุยสนทนา บรรยากาศครึกครื้น ส่วนตวนมู่ชุ่ยเพราะก่อนหน้านี้ได้พบจั่นเจา แอบตำหนิตัวเองที่รีบร้อนจากมา ตอนนั้นเป็นเพราะได้พบพี่ใหญ่กับกู่ชางจึงตื่นเต้นดีใจจนถึงกับลืมบอกลาเขาไปเลย ครั้นนึกถึงตอนอยู่บนหลังม้าแล้วเห็นเขาหิ้วตะกร้าใบหนึ่ง ในนั้นมีข้าวของอยู่หลายอย่าง ทำให้เขาต้องเหนื่อยเปล่าเช่นนี้ไม่รู้ในใจเขาคิดอย่างไร…

    ชั่วขณะนั้นจะมากน้อยก็รู้สึกกังวล ซึมเซาไม่ค่อยสนุก หยางเจี่ยนถามนางอยู่หลายคำ นางจึงตื่นจากภวังค์ ท่าทางงงงัน “อะไรหรือ”

    หยางเจี่ยนทั้งนึกฉุนและนึกขัน “นางหนู เจ้ากำลังคิดอะไรหรือ วิญญาณโบยบินจากร่างแล้วหรืออย่างไร ข้ากำลังถามเจ้า ป้ายหยกที่ให้อาหมีส่งไปเมื่อเช้า เรื่องเป็นมาอย่างไรกัน”

    “เป็นเพราะเมื่อคืนข้าฝันไป” ตวนมู่ชุ่ยเอามือลูบหน้าผาก หว่างคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อย “บางส่วนก็จำไม่ได้ จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีคนผู้หนึ่งเอาแต่เอ่ยถึงห้วงลึกกับข้า…พี่ใหญ่ ห้วงลึกคืออะไรหรือ”

    หยางเจี่ยนบอกสั้นๆ ง่ายๆ ด้วยท่าทางสบายๆ “หากจะพูดถึงห้วงลึก ย่อมต้องพูดถึงทางนรก แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่นานนม แม้แต่พวกเราที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนก็รู้อะไรไม่มากนัก ตวนมู่ เจ้าจะถามไปไย หรือคิดจะบำเพ็ญเซียนกับข้า”

    ตวนมู่ชุ่ยถลึงตาใส่เขา “ข้าไม่เอาด้วยหรอก”

    หยางเจี่ยนหัวเราะฮ่าๆ “ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเจ้า หากไม่มีพันปีแปดร้อยปีก็ไม่มีทางสยบได้ ข้าว่าเจ้าไม่มีทางบำเพ็ญให้เป็นเซียนได้ แต่ถ้ามอบความเป็นเทพเซียนให้เจ้าล่ะก็ได้”

    ตวนมู่ชุ่ยหัวเราะคิกๆ “มอบให้ได้จริงหรือ พี่ใหญ่ ถ้ามอบให้ได้ล่ะก็ท่านก็มอบให้ข้า ข้าจะได้ไม่ต้องบำเพ็ญเซียนให้ยุ่งยาก”

    หยางเจี่ยนเพียงอมยิ้มแล้วส่ายหัว ดื่มสุรากันไปอีกรอบหนึ่งก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “ตวนมู่ เรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าเมื่อคราวก่อน เจ้าหนุ่มผู้นั้นตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

    ตวนมู่ชุ่ยคิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยถึงจั่นเจา จึงจนคำพูดไปชั่วขณะ ครู่หนึ่งจึงบอก “ภายหลังข้ากับแม่ทัพเกาได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เขาหาใช่ฆาตกรที่สังหารอวี๋ตู ข้า…เลยปล่อยเขาไปแล้ว”

    หยางเจี่ยนตะลึงงันวางจอกสุราลงบนโต๊ะมองจ้องตวนมู่ชุ่ย พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าปล่อยไปแล้ว?”

    “ใช่”

    “เจ้าได้ตรวจสอบฐานะของเขาอย่างแน่ชัดแล้วหรือไม่”

    “เขา…เป็นคนตงอี๋ ไม่มีอะไรพัวพันกับเจาเกอ”

    หัวคิ้วของหยางเจี่ยนค่อยๆ ขมวดมุ่น “เขาบอกว่าเขาเป็นคนตงอี๋ เจ้าได้ส่งคนไปตงอี๋เพื่อตรวจสอบยืนยันหรือไม่”

    ตวนมู่ชุ่ยนิ่งเงียบ เป็นนานจึงเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่”

    ในดวงตาหยางเจี่ยนมีประกายเดือดดาลผุดวาบขึ้น พยายามกดข่มเพลิงโทสะไว้ กล่าวเน้นย้ำทีละคำ “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่ากระบี่ของเขาดูเหมือนเป็นกระบี่จวี้เชวี่ย ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องคิดหาวิธีรั้งเขาไว้ก่อน เจ้าได้ฟังเข้าหูไปหรือไม่”

    ตวนมู่ชุ่ยหลุบตาลง ได้แต่นิ่งเงียบ

    หยางเจี่ยนเพลิงโทสะพวยพุ่งขึ้นมาในใจ เอามือตบโต๊ะ “เจ้ารู้หรือไม่นี่มันเวลาอะไร ต่างโจษจันกันว่าทางเจาเกอส่งยอดฝีมือมา มุ่งสังหารแม่ทัพของซีฉี ต้องสืบค้นจับกุมขนานใหญ่ยังแทบไม่ทัน เจ้ากลับปล่อยคนไปแล้ว”

    ตวนมู่ชุ่ยกัดริมฝีปาก “ข้าเห็นเขา…ไม่เหมือนคนคดในข้องอในกระดูก”

    “ไม่เหมือน?” ครั้งนี้หยางเจี่ยนเดือดดาลจริงแล้ว “ตวนมู่ชุ่ย เจ้าเพิ่งเป็นแม่ทัพวันแรกหรือ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เจ้าดูคนเพียงอาศัยว่าเหมือนหรือไม่เหมือน มีผู้สอดแนมคนใดเขียนป้ายติดไว้บนใบหน้าให้เจ้ารู้บ้าง”

    ตวนมู่ชุ่ยถูกเขาตวาดก็มีโทสะขึ้นมาบ้าง “สรุปก็คือเขาไม่ใช่ ข้าบอกไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ บอกใช่ก็คือใช่!”

    กู่ชางปวดหัวขึ้นมา เขารู้นิสัยของคนทั้งสองดี ตวนมู่ชุ่ยเป็นคนที่ตายก็ไม่ยอมรับผิด หยางเจี่ยนก็ไม่ใช่คนพูดด้วยง่าย สองคนนี้ถ้าต่อสู้กันขึ้นมาก็จะทำให้ปวดหัวยิ่งกว่าไปตีเมืองฉงเฉิงเสียอีก เห็นต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อกัน เขาจึงจำต้องออกมาทำหน้าที่เป็นคนไกล่เกลี่ย

    “ตวนมู่ หยางเจี่ยนทำไปเพราะหวังดีต่อเจ้า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติธรรมดา เจอเรื่องอะไรยังคงรอบคอบระมัดระวังไว้ก่อนเป็นดี คนผู้นั้นไปที่ใดแล้ว ยังอยู่แถวเมืองอันอี้หรือไม่”

    “ไม่อยู่แล้ว” ตวนมู่ชุ่ยปากตอบเขา แต่ตายังมองหยางเจี่ยน “ข้าบอกเขาให้ไปไกลเท่าไรยิ่งดี ถ้าหยางเจี่ยนผู้นั้นมาแล้วจะได้ไม่ไปจับตัวเขากลับมาอีก ไม่ต้องถูกทรมานจนแทบตาย”

    “เจ้า!” หยางเจี่ยนเดือดดาลจนควันแทบพวยพุ่งจากศีรษะ เขาถลึงตามองตวนมู่ชุ่ย เห็นนางสีหน้าเต็มไปด้วยความดื้อรั้น เพลิงโทสะก็แน่นอกไม่มีที่ให้ระบาย จึงยื่นมือไปกวาดจอกสุราบนโต๊ะร่วงหล่นลงไป ยกชายเสื้อคลุมขึ้น ก้าวยาวๆ ออกจากกระโจม

    จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น กู่ชางแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว รีบออกไปเลิกม่านขึ้นก็เห็นหยางเจี่ยนพาทหารคนสนิทควบม้าออกไปไกลแล้ว

    กู่ชางฝืนยิ้ม “ตวนมู่ เจ้าไยต้องทำเช่นนี้ เขาตั้งใจมาเยี่ยม นี่กลับถูกเจ้าทำให้โมโหจากไปแล้ว”

    ตวนมู่ชุ่ยก็ไม่รู้วันนี้ตนเป็นอะไรไป ถึงกับควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ดื่มสุราด้วยความกลัดกลุ้ม กู่ชางปลอบโยนนางด้วยถ้อยคำนุ่มนวลพักหนึ่ง เห็นท้องฟ้ามืดค่ำแล้วก็กำชับนางอีกหลายคำแล้วก็ลาจากไป

     

    ตกค่ำตอนเข้านอน ตวนมู่ชุ่ยยื่นมือไปปลดสายรัดเอว นิ้วมือพลันแตะถูกตะขอ รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เมื่อยกขึ้นมาดูจึงเห็นตรงกลางนิ้วชี้มีตุ่มพองขึ้นมาสองตุ่ม

    ตวนมู่ชุ่ยย่นหัวคิ้ว หยิบเข็มมาสะกิดแตกเอง ฉับพลันนั้นก็นึกถึงคำพูดของจั่นเจาขึ้นมา

    ‘ดีที่โดนลวกไม่มาก ยังไม่พองขึ้นมา แช่มือในน้ำบ่อยๆ อย่าพันแผลเป็นอันขาด คันเพียงใดก็อย่าเกา อีกวันสองวันก็หายแล้ว’

    ไม่รู้จั่นเจาเวลานี้เป็นอย่างไรบ้าง…

    ตวนมู่ชุ่ยนึกถึงโจ๊กสีขาวผสมผักป่าในหม้อดินเผาใบเล็กๆ บนเตานั่น

    ‘ถ้ามีเพียงจั่นเจาผู้เดียว ดื่มโจ๊กก็เพียงพอแล้ว’

    บนร่างของจั่นเจายังมีบาดแผลกระมัง ถึงกินของจืดชืดเพียงนั้น…

    ขณะใจลอยก็คล้ายมองเห็นดวงตาของจั่นเจาที่สงบนิ่ง โอบอ้อมอารี สุภาพถ่อมตนเขามีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าคล้ายกำลังบอกกับนางอีกครั้ง‘แต่ถ้ารั้งท่านแม่ทัพอยู่กินอาหารด้วยย่อมไม่อาจเรียบง่ายเช่นนี้ ท่านแม่ทัพรอสักครู่ จั่นเจาไปไม่นานก็มา’

    ตวนมู่ชุ่ยหงุดหงิดยิ่ง หลังนั่งทึ่มทื่ออยู่เป็นนานก็ตัดสินใจเด็ดขาด โยนเข็มในมือทิ้งแล้วก้าวเร็วๆ ออกไปทางด้านนอก

    ตอนออกประตูเกือบจะชนอาหมีเข้าเต็มรัก อาหมีถามอย่างแปลกใจ “คุณหนู ท่านจะไปที่ใดหรือ”

    “ไปไม่นานก็มา” นางเดินเร็วยิ่ง ยังไม่ทันสิ้นเสียงดีก็เดินไปไกลหลายจั้งแล้ว

    อาหมีรีบบอก “ท่านแม่ทัพ จะให้คนติดตามไปหรือไม่”

    ครั้งนี้กระทั่งเสียงตอบก็ไม่มีแล้ว

    อาหมีถอนหายใจ ตอนเข้าไปดูข้างใน เห็นผ้าห่มและเสื้อขนสัตว์วางกองระเกะระกะ ตรงกลางมีของสิ่งหนึ่งสาดประกายวิบวับ พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นดอกบัวทะลุใจ

    กระทั่งดอกบัวทะลุใจก็ไม่ได้เอาไปด้วย ดูเหมือนคงจะไปไม่ไกลจริงๆ ไปไม่นานก็คงมา

    อาหมีส่ายหน้า ลงมือจัดเก็บที่นอนของตวนมู่ชุ่ย แต่แล้วก็พลันร้องไอ้หยาออกมาคำหนึ่ง ตัวแทบจะกระโดดขึ้นมา

    นางรับปากจั่นเจาว่าจะไปขอร้องให้พวกฉีมู่อีหลัวที่ค่ายเกาป๋อเจี่ยน เหตุใดจึงลืมไปเสียสนิท

     

    ตวนมู่ชุ่ยเดินมาด้วยท่าทางรีบร้อน ทหารเฝ้าประตูค่ายสองนายไม่กล้าถามมาก กระทั่งนางเดินไปไกลแล้วจึงอดพูดงึมงำขึ้นไม่ได้ “ท่านแม่ทัพออกไปยามค่ำคืน เหตุใดจึงไม่เรียกคนติดตามไปด้วย”

    ขณะพึมพำอยู่นั้นอาหมีก็เดินมาถึงอย่างรีบร้อนแล้วออกไปราวลมพัด ทหารทั้งสองนายมองสบตากัน ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีแม่นางอาหมีตามไปด้วย คงไม่เป็นไรแล้ว

    ตวนมู่ชุ่ยรีบร้อนเดินมาได้ระยะหนึ่งก็ถึงถนนสายหลักที่คฤหาสน์สกุลฉีมู่ตั้งอยู่ ไม่มีอะไรผิดปกติจากที่ผ่านมา เมืองอันอี้แห่งนี้พอตกค่ำก็บรรยากาศอึมครึมซึมเซา บนถนนไม่มีเงาร่างคนแม้ครึ่งคน

    ตวนมู่ชุ่ยพลันผ่อนฝีเท้าลง

    ไม่รู้เพราะเหตุใด นางรู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่

    เดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็อดหันหน้ากลับมาไม่ได้ ความมืดที่อยู่ด้านหลังทำให้นางรู้สึกหวั่นหวาด

    ดูเหมือน…จะไม่มีใคร

    ตวนมู่ชุ่ยแอบหัวเราะตนเองที่หวาดระแวงไปทั่ว ขณะจะหันหน้ากลับมา พลันรู้สึกว่ามีเสียงลมผิดปกติ นางปฏิกิริยารวดเร็วยิ่ง ยังไม่ทันเห็นว่าเป็นอะไรก็ย่อตัวกลิ้งหลบไปกับพื้น ตอนเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นประกายดาบดุจสายน้ำ คมดาบเย็นยะเยียบฟาดฟันลงมาตรงจุดที่นางยืนอยู่เมื่อครู่

    ลมหายใจเพิ่งสงบก็มีเสียงกังวานดังมาจากด้านหลัง ตวนมู่ชุ่ยฟังเสียงลมแยกทิศทาง พลิกร่างหมุนตัวหลบอย่างรวดเร็ว หางตาเหลือบไปเห็นโซ่ยาวที่เต็มไปด้วยหนามทองแดงเส้นหนึ่ง ในใจเปลี่ยนจากโกรธเป็นตื่นตระหนก โซ่หนามนี้ใช้สำหรับทำให้ม้าสะดุด ต้องใช้คนสองคนถือ เจตนาฉวยโอกาสจู่โจมตอนสับสนวุ่นวาย ดูจากสถานการณ์แล้วศัตรูของนางในเวลานี้มีถึงสามคน

    ไม่ผิดจากที่คิด คนที่ใช้ดาบเมื่อครู่หมุนตัวกลับแล้วฟาดฟันลงมา ตวนมู่ชุ่ยตวาดออกไป “รนหาที่ตาย” พลางยื่นมือไปคว้าดอกบัวทะลุใจที่เอว

    ทว่านางพบแต่ความว่างเปล่า ชั่วพริบตานั้นความคิดหมุนเร็วรี่ พลันอุทานในใจ…ข้าถึงกับไม่ได้นำดอกบัวทะลุใจมาด้วย!

    ยอดฝีมือต่อสู้กันไหนเลยจะยอมให้เลินเล่อแม้ชั่วขณะ ตวนมู่ชุ่ยสงบจิตใจ พลิกมือดุจดาบ ตรงเข้าฟันข้อมือคนที่ใช้ดาบผู้นั้น คนผู้นั้นหดมือเร็วยิ่ง พลิกดาบกลางอากาศแล้วฟันลงมาที่ร่างกายช่วงล่างของนาง

    ตวนมู่ชุ่ยมองทิศทางของคมดาบได้อย่างแม่นยำ นางพลิกข้อมือกดสันดาบของคนผู้นั้นไว้ทันทีแล้วหยิบยืมพลังใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้น คนผู้นั้นหัวเราะเยาะหยันออกมาคำหนึ่ง ใช้พลังจากตัวกระบี่กระแทกนางออกไปแล้วตวาดเสียงต่ำ “พันร่างนางไว้!”

    ตวนมู่ชุ่ยได้ยินเสียงกังวานดังมาจากด้านหลังอีกครั้ง ในใจรู้ว่าไม่ดีแน่จึงรีบทิ้งร่างลงมา ทว่ายังคงช้าไปก้าวหนึ่ง ร่างกระแทกไปบนโซ่หนามเข้าพอดี หนามทองแดงบนตัวโซ่ปักเข้ามาที่เอวด้านหลัง เจ็บจนนางแทบน้ำตาร่วง นางกัดฟันทน สู้ตายยอมเจ็บอีกครั้ง สองมือจับโซ่หนามเอาไว้แล้วออกแรงกระชาก หนึ่งในคนที่จับโซ่ยืนไม่มั่นคง ถึงกับถูกนางกระชากเข้ามา ตวนมู่ชุ่ยกัดฟันแน่น ลงมือรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด เอาโซ่หนามพันไปรอบคอคนผู้นั้น จากนั้นก็รัดแน่นจนคนผู้นั้นสองตาเบิกถลน พยายามสุดชีวิตเพื่อดึงโซ่หนามที่คอ ตวนมู่ชุ่ยหัวเราะเยาะหยันออกมาคำหนึ่ง ข้อมือออกแรงรัดแน่นขึ้น ทันใดนั้นก็เจ็บปวดที่หัวเข่าอย่างรุนแรง ร่างพลิกหงายล้มลง ขณะร่างร่วงหล่นลงมาอยู่นั้น นางช้อนตามองไปเห็นบนอกไก่หลังคามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ พอก้มลงมองก็เห็นลูกศรทองแดงปักขนนกดอกหนึ่งแทงทะลุหัวเข่าของนาง

    ที่แท้พวกที่มุ่งสังหารนางหาได้มีเพียงสามคน!

    ตวนมู่ชุ่ยตกลงมาอย่างแรง หอบหายใจไม่หยุด คนที่อยู่บนหลังคาใช้วิชาตัวเบากระโดดลงมา ทั้งสามคนเข้าโอบล้อม หนึ่งในนั้นยอบตัวลงดูคนที่ถูกตวนมู่ชุ่ยเอาโซ่หนามรัดคอ จากนั้นก็ส่ายหน้าช้าๆ

    คนที่ลอบยิงธนูโน้มตัวลงมาที่ตวนมู่ชุ่ยแล้วยื่นมือมาบีบปลายคางนาง จับใบหน้านางหันไปทางแสงจันทร์ เอ่ยเสียงหนัก “เป็นนางไม่ผิด”

    พอปล่อยมือก็เห็นตวนมู่ชุ่ยส่งยิ้มสดใสให้เขา

    คนผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจ ยังไม่ทันคิดอะไรได้ช่วงล่างพลันเสียหลัก ตวนมู่ชุ่ยฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันระวังกวาดสองขาออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รัดขาเขาเอาไว้ พลิกตัวเหวี่ยงกดตัวไว้ใต้ร่าง คนผู้นั้นจะลุกขึ้นมา แต่ตวนมู่ชุ่ยกลับลุกเร็วกว่า มือดึงลูกธนูยาวที่หัวเข่าออกมาปักไปบนใบหน้าคนผู้นั้น ครั้งนี้พลังที่ใช้ออกไปรุนแรงดุดันยิ่ง ถึงกับแทงทะลุกะโหลกศีรษะตอกติดจนตายอยู่กับพื้น

    เหตุการณ์อุบัติขึ้นอย่างกะทันหัน สองคนที่อยู่ด้านข้างต่างตั้งตัวไม่ทัน หนึ่งในนั้นก็ไม่พูดอะไรมากอีก เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงไปบนหัวเข่าที่บาดเจ็บของตวนมู่ชุ่ยอย่างแรง ได้ยินเสียงกระดูกขาหักดังกร๊อบ ตวนมู่ชุ่ยกระตุกไปทั้งร่าง เจ็บจนแทบจะหมดสติไป

    คนผู้นั้นบอกอย่างโหดเหี้ยม “ตัดศีรษะนางออกมา!”

    อีกคนหนึ่งรับคำเสียงต่ำ กวัดแกว่งดาบรับแสงจันทร์ ในสมองของตวนมู่ชุ่ยมีเสียงดังอึงอลแทบจะระเบิดออกมา ฉับพลันนั้นนางทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ตะโกนเรียก “จั่นเจา!”

    คนที่กวัดแกว่งดาบตะลึงไปชั่วขณะ ตัวดาบที่สว่างไสวชะงักนิ่งอยู่กลางอากาศ หันไปถามอีกคนด้วยความสงสัย “นางเรียกใครหรือ”

    คนผู้นั้นแค่นเสียงฮึ กดเสียงลงต่ำ “ไม่รู้ ลงมือ อย่าให้เกิดเรื่องอื่นซ้ำซ้อนขึ้นมา!”

    คนที่กวัดแกว่งดาบผู้นั้นพยักหน้าแล้วเงื้อดาบขึ้นอีกครั้ง แต่ขณะจะฟันลงพลันมีพลังมหาศาลพุ่งมาข้างหลัง พลังนั้นทั้งดุดันและรวดเร็ว ไม่รอให้เขาทันได้ตั้งหลัก ตัวก็ถูกกระแทกปลิวไปชนเข้ากับกำแพงด้านข้าง บังเกิดเสียงหนักทึบแล้วก็ร่วงตกลงมา

    อีกคนหนึ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นหวาดหวั่นพรั่นพรึง รีบถอยหลังไปสองก้าว พอมองดูดีๆ เห็นผู้มากำลังหันหลังให้เขาแล้วโน้มตัวลงไปก็สบโอกาสจะเอาโซ่หนามคล้อง ขณะออกแรงที่ข้อมือ โซ่เพิ่งจะกางออกก็พลันรู้สึกว่าเบื้องหน้ามีประกายเยียบเย็นสาดขึ้น จากนั้นในท้องก็เย็นวาบ…

    ในใจเขารู้สึกหวาดหวั่นอย่างประหลาดและค่อยๆ ก้มหน้าลงมอง ถึงสีสันยามราตรีจะมืดทึมแต่ก็ยังคงเห็นรอยดำดุจหมึกรอยหนึ่งบนตัวเสื้อด้านหน้า มีของเหลวไหลออกมาช้าๆ…

    ในที่สุดเขาก็ประคองตัวไม่ไหวล้มลงกับพื้น ภาพสุดท้ายที่เห็นคือตวนมู่ชุ่ยถูกคนผู้นั้นอุ้มขึ้นมา

    สายตาของตวนมู่ชุ่ยมองเขาอยู่ ใบหน้านางซีดขาวเพราะความเจ็บปวด แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มเยาะหยัน

    การลอบสังหารที่วางแผนไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนยังปล่อยให้นางหนีรอดไปได้

     

    จั่นเจาก้าวยาวๆ กลับมาที่คฤหาสน์สกุลฉีมู่ เท้าข้างหนึ่งเตะประตูห้องชั้นในให้เปิดออก จากนั้นจึงวางตวนมู่ชุ่ยที่อยู่ในอ้อมแขนลงบนเตียง

    ในห้องไม่ได้จุดตะเกียง ลมหายใจของตวนมู่ชุ่ยแผ่วเบายิ่ง ดวงตาคู่นั้นเจิดจ้าดำขลับ กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นขึ้นทุกที

    จั่นเจาลุกขึ้นไปจุดตะเกียง มือของเขาสั่นรุนแรง เปลวไฟจากกลักจุดไฟจ่อไม่ถูกไส้ตะเกียง ไม่รู้ใช้เวลาไปเท่าไรถึงได้จุดติดและยกตะเกียงน้ำมันเข้ามาใกล้ตวนมู่ชุ่ย ในหัวสมองของจั่นเจาราวกับมีเสียงลั่นเปรี้ยง เขาขบกรามแน่น ได้แต่ยืนนิ่งไม่ขยับ

    บนร่างของตวนมู่ชุ่ยมีแต่โลหิต โลหิตสดอาบย้อมออกมา บางจุดเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มไปแล้ว ในเวลาอันสั้นเขาแยกแยะไม่ออกว่านางบาดเจ็บที่ใด

    ตวนมู่ชุ่ยเห็นเขาไม่ขยับจึงบอกเสียงแหบแห้ง “ที่ขา ยังมีที่เอว”

    จั่นเจาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แล้วจึงได้สติกลับมา เขาไม่ส่งเสียง ขยับเข้าไปปลดสายรัดเอวของนาง ไหนเลยจะรู้ปมที่ผูกสลับซับซ้อน เขาแกะสะเปะสะปะจนพันกันยุ่ง จึงตัดสินใจเด็ดขาด เอ่ยออกมาคำหนึ่ง “ล่วงเกินแล้ว”

    มีเสียงดังแควก เสื้อถูกฉีกออก

    บาดแผลที่เอวของนางยับเยินไปด้วยโลหิต บางส่วนก็เกาะติดกับเสื้อตัวในจนแยกไม่ออก

    จั่นเจาไม่อาจทนมองอีก เอากระบี่จวี้เชวี่ยหนุนหลังนางไว้ ถ้าเขารู้ว่านางบาดเจ็บที่เอวด้านหลัง เมื่อครู่ก็ไม่ควรวางร่างนางลงไปตรงๆ ตอนเคลื่อนย้ายไม่รู้เพิ่มความเจ็บปวดให้นางอีกเท่าไร

    จากนั้นก็ไปดูหัวเข่าของนาง เสื้อผ้าตัวในก็เกาะติดบาดแผลอีก จั่นเจาตัดออกทีละน้อยอย่างระมัดระวัง ขาของนางบาดเจ็บหนักยิ่งกว่า บนหัวเข่ามีแต่คราบโลหิต เห็นรูธนูรำไร จั่นเจาไม่รู้ว่าบาดเจ็บถึงกระดูกหรือไม่ ขณะยื่นมือไปเช็ดแผล พอจะแตะถูกก็ลังเลอยู่ชั่วขณะ เขามองตวนมู่ชุ่ยแล้วบอก “ท่านแม่ทัพ อดทนหน่อย”

    ถ้ากระดูกแตก แตะลงไปครั้งนี้จะต้องเจ็บปวดยากจะทนไหว

    ตวนมู่ชุ่ยพยักหน้า

    จั่นเจาถอนสายตากลับ พยายามเคลื่อนไหวเบามืออย่างที่สุด ค่อยๆ แตะไปที่รอบหัวเข่าของนาง หุบฝ่ามือช้าๆ เพียงออกแรงเล็กน้อยก็ได้ยินตวนมู่ชุ่ยร้องด้วยความเจ็บปวด ลุกพรวดจากเตียงขึ้นมานั่ง ยื่นมือมาคว้าคอเสื้อด้านหน้าของจั่นเจาแล้วตวาดขึ้น “จั่นเจา ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”

    นางกระทำอย่างกะทันหัน จั่นเจาไม่ทันตั้งตัวจนเกือบจะเสียหลัก มองไปเห็นประกายแสงในดวงตาดำของตวนมู่ชุ่ยดูสับสนยุ่งเหยิงก็รู้ว่านางเจ็บจนสูญเสียสติสัมปชัญญะ จึงยื่นมือไปโอบบ่าของนาง รู้สึกได้ว่าร่างของนางเกร็งเครียดยิ่ง

    ตวนมู่ชุ่ยก็ไม่รู้กำลังถลึงตาใส่ใคร สองมือยิ่งคว้าแน่น ข้อนิ้วแต่ละข้อเกร็งแน่นจนซีดขาว เอาแต่พูดอย่างดุดัน “จั่นเจา ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”

    จั่นเจารู้สึกเศร้าใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่บอกเสียงอ่อนโยน “ได้ เจ้านอนสักตื่นก่อนค่อยฆ่าก็ไม่สาย”

    ขณะพูดก็ค่อยๆ จับนางนอนลงบนเตียง มืออีกข้างหนึ่งก็ยื่นช้าๆ ไปที่คอของนาง ปัดเส้นผมยาวหนานุ่มนั้นไปไว้ข้างหนึ่ง ในที่สุดประกายตาของตวนมู่ชุ่ยก็มืดสลัวลง ตาทั้งสองข้างปิดลงช้าๆ เพียงแต่ปากยังคงไม่ยอมลดละ “ฆ่าเจ้า ฆ่าเจ้าเสีย…”

    จั่นเจาเห็นจอนผมที่ข้างขมับนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในใจก็ปวดร้าวยิ่ง เอาหน้าผากไปแตะกับหน้าผากของนางเบาๆ แนบไปที่ใบหน้านุ่มนิ่มของนาง แต่รู้สึกว่าที่แก้มของนางยิ่งเปียกชื้น ข้างหูเป็นเสียงของนางที่ค่อยๆ แผ่วลง “ฆ่าเจ้า…ฆ่า…”

    จั่นเจาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองไปที่ตวนมู่ชุ่ย กระทั่งตอนหลับใหลไม่ได้สติ ใบหน้านางก็ยังมีกลิ่นอายการเข่นฆ่าสังหารที่เยียบเย็น นิ้วมือยาวแข็งแรงของจั่นเจาแตะไปที่หัวคิ้วนัยน์ตาของนางอย่างอ่อนโยนก่อนก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากเย็นเฉียบของนาง

    ในที่สุดนางก็สงบเงียบลงแล้ว ลมหายใจสม่ำเสมอ ร่างก็ผ่อนคลายลง

    เมื่อแกะมือนางที่ขยุ้มคอเสื้อตนออก ถึงได้พบว่าสองมือของนางก็ยับเยินไปด้วยบาดแผลและโลหิต จั่นเจาวางมือนางลงเบาๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้าวเร็วๆ ออกจากห้องไป

    เพิ่งจะก้าวออกจากธรณีประตูก็พลันรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้ามืดมิด ร่างโงนเงนจนต้องรีบเกาะขอบประตูไว้ จั่นเจาเดินไปทางห้องครัวก่อนสองก้าว คิดไปคิดมาก็รีบเดินกลับมาที่ห้องอีก รื้อหีบค้นตู้อยู่พักหนึ่ง เอาเสื้อสีขาวออกมาฉีกเป็นแถบผ้า หยิบของในอกเสื้อ เอาพวกยาใส่แผลทั้งหมดมาวางกองลงบนเตียง พอจะทำแผลให้นางก็พลันนึกได้ว่ายังไม่ได้ต้มน้ำ จึงต้องไปจัดเตรียมที่ห้องครัวอีก

    ดีที่ตอนนี้ตวนมู่ชุ่ยสลบไสลไม่ได้สติไปแล้ว บาดแผลก็ไม่มีโลหิตไหลอีก

    หลังจากจัดเตรียมเรียบร้อย จั่นเจาก็เอาผ้าชุบน้ำร้อนทำความสะอาดบาดแผลให้นางอย่างเบามือ บาดแผลที่มือและเอวใช้แถบผ้าพันไว้แน่นหนา เพียงแต่ตอนเช็ดบาดแผลที่หัวเข่า หัวคิ้วนางก็ขมวดแน่นขึ้นทุกที เขาทำได้เพียงเข้ากระดูกให้ก่อน ขั้นตอนอื่นที่เหลือไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำได้ จำเป็นต้องส่งตวนมู่ชุ่ยกลับค่ายทหาร

    เพียงแต่การเข้ากระดูก…

    ก็จะต้องเจ็บปวดแสนสาหัสอีกครั้งแล้ว

    จั่นเจาทอดถอนใจ พลันนึกได้ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาช่วยต่อกระดูกให้ตวนมู่ชุ่ย

    ‘จั่นเจา วันหน้าถ้าเจ้าไม่เป็นองครักษ์ที่ศาลไคเฟิง ยังเป็น…หมอต่อกระดูกได้’

    ‘ใช่ จะต้องมีลูกค้าหลั่งไหลมากันมืดฟ้ามัวดิน แต่ละวันได้ทองคำเป็นโต่ว’

    เพียงแต่ลูกค้าที่ว่า เหตุใดครั้งแรกเป็นนาง ครั้งที่สองก็ยังเป็นนาง

    จั่นเจาหลุบตาลง ฝ่ามือทาบไปที่หัวเข่าของนางช้าๆ คลำหาจุดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาทั้งสองพลันเบิกขึ้น ฝ่ามือบีบแน่น

    ตวนมู่ชุ่ยเกร็งไปทั้งร่าง จนถึงกับตื่นขึ้นมา

    จั่นเจาไม่มีเวลาจะมาพูดอะไร รีบเอาแผ่นไม้สั้นสองแผ่นที่เพิ่งผ่ามาประกบเข้าไปที่หัวเข่าของนาง แล้วใช้แถบผ้าพันทบเป็นชั้นๆ จนแน่น เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงได้ถอนหายใจยาว

    ตอนหันหน้ามามองตวนมู่ชุ่ย นางไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย แม้ใบหน้าจะซีดขาวไร้สีเลือด แต่สีหน้าท่าทางกลับสงบนิ่งมาก นัยน์ตาดำคู่นั้นมองจ้องเขานิ่ง ในแววตาที่นุ่มนวลละมุนละไมมีประกายประหลาดที่พูดไม่ถูก

    นางพลันเอ่ยปากเรียกเขา “ท่านแม่”

    ขณะพูดออกมาก็ยื่นมือมาหาเขาด้วย

    หากไม่เพราะเหตุการณ์ในคืนนี้ล่อแหลมอันตรายเช่นนี้ จั่นเจาคงรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

    ก่อนหน้านี้ก็ทำท่าเหี้ยมโหดดุดันจะสังหารเขา มาบัดนี้ก็เรียกเขาว่าอะไรนะ ท่านแม่?

    เขาหาได้อยากเป็น…ท่านแม่ของนาง

    ดีที่ค่ำคืนนี้ต่อให้ตวนมู่ชุ่ยทำเรื่องตลกแปลกประหลาดอะไรออกมา เขาก็ไม่คิดแปลกใจ ตอนนี้จึงเพียงยิ้มน้อยๆ กุมมือตวนมู่ชุ่ยไว้ ถือโอกาสนั่งลงที่ข้างเตียง “ตวนมู่ เจ้าตื่นแล้วหรือ”

    ตวนมู่ชุ่ยไม่ตอบ ยังคงมองเขาด้วยท่าทางแปลกประหลาด นางพลันเอียงหน้ามาเล็กน้อย ในสีหน้าถึงกับมีความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กหญิงตัวน้อยๆ “ท่านแม่”

    จั่นเจาพลันพบว่าความจริงแล้วเขาหาได้เข้าใจตวนมู่ชุ่ยสักเท่าไร

    เขาไม่เคยได้ยินตวนมู่ชุ่ยพูดถึงเรื่องครอบครัวของนาง ทำให้เขาลืมไปอย่างสิ้นเชิง ทุกคนในโลกล้วนมีพ่อแม่ ถึงตวนมู่ชุ่ยจะเป็นเซียนเทพ แต่ก็เคยเป็นคนธรรมดา

    ในช่วงเวลาที่เจ็บปวดอย่างที่สุด อะไรก็ไม่สำคัญแล้ว นางพลันย้อนกลับไปในสมัยเด็ก คิดถึงแต่มารดาขึ้นมา

    จั่นเจาในใจเจ็บปวดรวดร้าว ตามมาด้วยสงสารเห็นอกเห็นใจ ตวนมู่ชุ่ยประคองตัวขึ้นมานั่ง พลันแย้มยิ้มสดใส ค่อยๆ ซุกตัวเข้ามาในอ้อมอกจั่นเจา

    จั่นเจาโอบแขนข้างหนึ่งไปที่บริเวณเหนือเอวของนาง มืออีกข้างหนึ่งลูบไล้เส้นผมเบาๆ น้อยครั้งที่ตวนมู่ชุ่ยจะทำตัวน่ารักอ่อนแอบอบบาง ซุกตัวอยู่เงียบๆ เช่นนี้ เขาอยากจะเอ่ยปากพูดอะไรสักประโยคสองประโยค คิดไปคิดมายังคงไม่พูดดีกว่า เพียงลูบผมนางเบาๆ เวลานี้ที่นางคิดถึงอยู่ในใจคือมารดา ถึงแม้เขาจะมอบอ้อมกอดที่อบอุ่นเช่นเดียวกันให้นางได้ แต่ก็ไม่อาจให้คำปลอบโยนที่อบอุ่นอ่อนโยนเช่นท่านแม่ของนาง

    เขาได้ยินนางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ท่านแม่ ข้าจำได้แล้ว คือสยงเฟย (หมีบิน)”

    ร่างของจั่นเจาพลันแข็งทื่อ รีบก้มหน้าลงมองตวนมู่ชุ่ย นางค่อยๆ หลับตาลงแล้ว แพขนตายาวละเอียดดุจพัด หางตายังมีคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้ง

    จั่นเจาหอบหายใจลำบากขึ้นทุกที หน้าอกสะท้อนขึ้นลงอย่างแรง หัวใจทั้งดวงเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่ในช่องอก

    เมื่อครู่นางพูดว่า…สยงเฟย

    ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้นางยังเป็นแม่ทัพตวนมู่ที่อยู่ในห้วงลึก ต่อให้เป็นเซียนเทพตวนมู่ตัวจริง เขาก็ไม่เคยบอกนางว่าชื่อรองของเขาคือสยงเฟย เพราะนางหาได้มีความอดทนมากพอที่จะมารู้เรื่องพวกนี้ แม้แต่ชื่อยศตำแหน่งราชการที่ยาวเหยียดของเขานางยังเห็นว่าจุกจิกหยุมหยิม เพียงแต่เรียกเขาว่าจั่นเจาๆ

    ถ้าถามนางว่าสยงเฟยคือใคร คาดว่านางคงถลึงตากลับมา ข้าจะรู้ได้อย่างไร

    เหตุใดจู่ๆ นางจึงเอ่ยคำพูดที่ไม่มีที่มาที่ไปประโยคนี้ออกมา

     

    กว่าตวนมู่ชุ่ยจะฟื้นคืนสติกลับมาก็เป็นยามเที่ยงของวันรุ่งขึ้นแล้ว พอลืมตาก็เห็นในกระโจมมีหญิงรับใช้ยืนเรียงเป็นแถว ไม่ไกลจากข้างเตียงหมอที่ติดตามกองทัพสองคนกำลังลดเสียงลงต่ำพูดคุยอะไรกันอยู่ บาดแผลที่ตนได้มาก่อนหน้านี้ถูกพันปิดไว้เรียบร้อยแล้ว

    นางอดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ คิดไปคิดมาก็จะลุกขึ้นมานั่ง มีหญิงรับใช้ตาไวรีบเข้ามาประคอง หญิงรับใช้อีกคนก็เอาผ้าห่มมาหนุนรองแผ่นหลังให้ตวนมู่ชุ่ย

    ตวนมู่ชุ่ยมองไปรอบๆ ถามขึ้น “อาหมีเล่า”

    เพิ่งจะสิ้นเสียงอาหมีก็เลิกม่านเข้ามาพอดี คิดว่าคงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากข้างใน

    ตวนมู่ชุ่ยแสดงท่าทีให้นางเข้ามาใกล้ แล้วให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป จากนั้นจึงเอ่ยถาม “จั่นเจาเป็นคนส่งข้ากลับมาหรือ”

    อาหมีพยักหน้า

    “ไม่ได้สร้างความลำบากให้เขากระมัง ตัวเขาเล่า”

    “พักผ่อนอยู่ในกระโจม”

    ตวนมู่ชุ่ยพยักหน้าน้อยๆ และนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามต่อ “พวกลอบสังหารเมื่อคืน ได้เอาศพกลับมาครบหรือไม่”

    อาหมีผงกศีรษะ “ล้วนแต่แปลกหน้า ในตัวไม่มีสิ่งของอะไร มองลับลมคมในไม่ออก”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มหยัน “คิดว่าคงจะต้องมาจากแดนไกล เมื่อคืนเป็นเพราะข้าขาดการสังเกต ทำให้พวกเขาสบโอกาสเหมาะ”

    อาหมีในใจยังไม่หายหวั่นหวาด “คุณหนู ท่านบาดเจ็บไม่น้อยเลย ดีที่เมื่อคืนเจอจั่นเจาเข้า”

    ตวนมู่ชุ่ยไม่ตอบ พลันนึกอะไรขึ้นได้ “เรื่องที่ข้าถูกลอบสังหาร ได้พูดออกไปหรือไม่”

    อาหมีส่ายศีรษะ “จั่นเจาส่งคุณหนูมาตอนฟ้าใกล้สาง ทหารรักษาการณ์ทั้งด้านนอกด้านในต่างปิดปากแน่น ไม่ได้แพร่งพรายข่าวออกไป”

    ตวนมู่ชุ่ยยิ้มบาง “ทำได้ดี สมควรต้องตัดทอนความน่าเกรงขามของพวกมัน”

    อาหมีหัวเราะพรืดออกมา “คุณหนู ท่านบาดเจ็บเพียงนี้ ที่แท้แล้วใครตัดทอนความน่าเกรงขามของใครกันแน่”

    ตวนมู่ชุ่ยก็หัวเราะ “เจ้าก็ลองปล่อยข่าวออกไป บอกเมื่อคืนมีคนลอบสังหารข้า แต่ละคนล้วนถูกข้าจัดการไปแล้ว”

    หลังจากทั้งสองพูดคุยเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง อาหมีก็ออกมาและไปที่กระโจมด้านขวาที่ค่อนข้างเล็กหลังหนึ่ง จั่นเจานอนตะแคงอยู่บนเตียงหลับไปทั้งเสื้อผ้าชุดเดิม บนตัวเสื้อยังมีคราบโลหิตสีคล้ำติดอยู่ อาหมีลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วจึงเรียกขึ้นเบาๆ “พี่ใหญ่จั่น”

    รออยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นจั่นเจาขานรับ อาหมีจึงยื่นมือไปผลักหัวไหล่เขา จั่นเจาลืมตาทั้งสองขึ้นและลงมือดุจสายฟ้าฟาด พริบตาเดียวก็บีบข้อมือนางไว้แน่น

    อาหมีร้องออกมาด้วยความเจ็บ ในเวลาเดียวกันนั้นจั่นเจาก็ตั้งสติได้รีบถอนมือกลับไป และเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “แม่นางอาหมี ข้าเข้าใจว่า…”

    อาหมีลูบคลำข้อมือ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองจั่นเจา เพียงเอ่ยเสียงแผ่ว “พี่ใหญ่จั่น คุณหนูให้เจ้าเข้าไป”

    จั่นเจางงงัน จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไป อาหมีมองเงาด้านหลังของจั่นเจาพลางกัดริมฝีปากแน่น ระหว่างที่ม่านถูกเลิกขึ้นแล้วปล่อยลงมา ตอนแรกในกระโจมก็สว่างวาบขึ้น ละอองฝุ่นเล็กๆ ปลิวปรายอยู่กลางแสงสว่าง ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกซ่อนเร้นไปอีก

    อาหมียืนอยู่ที่เดิมแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียงช้าๆ ทันใดนั้นนางก็เอาหน้าซุกไปบนที่นอน ขอบตาร้อนผ่าว

    บนที่นอนยังมีกลิ่นอายของจั่นเจาอยู่จางๆ ทั้งอุ่นและมีกลิ่นสมุนไพรไม่รู้ชื่อเจืออยู่ หยาดน้ำตาของอาหมีไหลลงมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ นางแทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองจั่นเจา

    ทำอย่างไรดีหนอนางคิดอย่างใจลอย พี่ใหญ่จั่นฝากฝังข้าให้ช่วยทำเรื่องเรื่องหนึ่ง ข้ากลับทำให้ดีไม่ได้

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook