• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ความลับแห่งสามก๊ก เล่ม 1 ตอนที่ 2

    บทที่ 2

    ราชวงศ์ฮั่นที่ลุกไหม้

     ตั้งแต่เมื่อวาน สวินอวี้ (ซุนฮก) ยังไม่ได้ออกจากสำนักราชเลขาเลย ตอนนี้ทัพใหญ่ของเฉากง* ปักหลักอยู่ในกวนตู้ ภาระหน้าที่ในการดูแลสวี่ตูและงานสนับสนุนทั้งหมดจึงตกอยู่กับเขา สารจากที่ต่างๆ ถูกพัดเข้ามายังสำนักราชเลขาเล็กๆ แห่งนี้เหมือนเกล็ดหิมะ แทบจะทุกฉบับล้วนประทับตรา ‘รายงานด่วน’ เอาไว้ ต้องให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจแทนเฉากง…นี่เป็นความไว้วางใจ ทั้งยังเป็นภาระหน้าที่อันหนักหน่วง

    ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจักรพรรดิกำลังประชวรหนัก ออกราชโองการไม่ให้ขุนนางเข้าเฝ้า ฎีกาหลายฉบับที่ถวายจักรพรรดิต้องให้เขาเป็นผู้อนุมัติและส่งกลับไปตามสำนักกองการที่เกี่ยวข้อง

    “ใต้หล้าวุ่นวาย บ้านเมืองไม่สงบ…” สวินอวี้ขยี้ตาที่เมื่อยล้าเล็กน้อย เขี่ยไส้ตะเกียงให้สว่างขึ้นอีกนิด กระชับเสื้อคลุมขนสัตว์บนร่างให้แน่นขึ้น การทำงานดึกติดกันหลายวัน ทำให้สุภาพชนที่สง่างามผู้นี้ดูอิดโรย รอยเหี่ยวย่นจางๆ ปรากฏขึ้นตรงหางตาและหน้าผากเงียบๆ เครายาวสีดำเปล่งประกายใต้คางเริ่มม้วนงอ

    สวินอวี้ไม่เพียงเป็นแขนซ้ายแขนขวาของเฉาเชาในด้านการเมืองการปกครอง แต่ยังเป็นราชเลขาธิการของราชสำนัก ตำแหน่งที่สำคัญทั้งสองอย่างนี้ทำให้เขายุ่งง่วน ทั้งต้องแบ่งเบาภาระของเฉาเชา และยังต้องรักษาเกียรติของราชสำนักไว้

    ข้ารับใช้คนหนึ่งเขี่ยเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่ในเตาไม้ไผ่ สะเก็ดไฟที่อ่อนแรงทอประกายวูบก่อนจะดับลง เขาเลื่อนสายตาไปยังสวินอวี้อย่างจนใจ สวินอวี้เหลือบมองอ่างฝนหมึกที่ใกล้จะจับตัวแข็งแวบหนึ่ง ก่อนถอนหายใจและโบกมือ ข้ารับใช้รีบหยิบท่อนฟืนหลายท่อนใส่เข้าไปในเตา หมอบลงกับพื้นและเป่าสุดแรง

    สวินอวี้ไม่ยอมใช้ฟืนอย่างดีที่ได้จากภูเขาในลั่วหยาง ฟืนประเภทนั้นให้ไฟที่แรงพอ แต่จำนวนที่ผลิตได้กลับน้อยยิ่ง ฟืนจำนวนจำกัดไม่กี่ร้อยชั่งที่มีอยู่ล้วนถูกสวินอวี้ส่งต่อไปยังวังหลวงหรือจวนซือคง ฟืนทั่วไปก่อให้เกิดควันได้ง่าย กระทบต่อการอ่านหนังสือตำรา ดังนั้นสวินอวี้จะเติมฟืนก็ต่อเมื่อในห้องหนาวเย็นเกินไปเท่านั้น เขาคิดว่าในเมื่อตัวเองเป็นราชเลขาธิการ ย่อมควรทำตัวเป็นแบบอย่างให้เหล่าขุนนาง

    เปลวไฟแลบออกมาจากเตาทันใด อุณหภูมิในห้องเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สวินอวี้ถูมือไปมา ยื่นมือไปหยิบสารม้วนหนึ่ง กระตุกเชือกที่ผูกด้านนอกอยู่ออกอย่างคล่องแคล่ว เวลานี้เองพลันมีเสียงตะโกนดังมาจากนอกหน้าต่าง สวินอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเงี่ยหูฟัง เขาเป็นคนสำรวมระวัง ที่นี่เป็นวังหลวง โหวกเหวกเสียงดังเช่นนี้ไม่บังควรเลย

    “ไฟไหม้!”

    เสียงตะโกนที่ชัดเจนยิ่งขึ้นดังมาจากข้างนอก พู่กันในมือสวินอวี้สั่นระริก เกือบทำหมึกหยดลงบนซีกไม้ไผ่ที่กางเตรียมไว้ ฤดูหนาวอากาศแห้งข้าวของแห้ง สิ่งก่อสร้างในวังส่วนใหญ่ล้วนเป็นไม้ เกิดเพลิงไหม้ได้ง่ายที่สุด หากไฟไหม้ขึ้นมาย่อมลุกลามต่อเนื่องไปเป็นแถบ มิอาจหยุดยั้ง

    สวินอวี้ลุกขึ้นผลักประตูก้าวเร็วๆ ออกไป พอประตูเปิดออก ลมหนาวนอกประตูถือโอกาสพัดเข้ามา เขาตกตะลึงเมื่อเห็นว่าท่ามกลางลมหนาวที่พัดหวีดหวิว ทิศทางที่เป็นตำหนักบรรทมมีเปลวไฟสูงเสียดฟ้ากำลังลุกโหม เพลิงไหม้ทำให้ท้องฟ้าเกือบครึ่งสว่างโรจน์

    ในวังชุลมุนวุ่นวายไปหมด ทหารเวรที่เฝ้ายามและพลทหารวิ่งไปวิ่งมา ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ทั่วทุกหนแห่งมีแต่เสียงตะโกน บางส่วนวิ่งออกไปนอกวัง บางส่วนวิ่งเข้ามาในวัง เหมือนแมลงวันหัวขาดฝูงหนึ่ง ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทหารในท้องถิ่นและชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาเป็นแรงงานหลวง ไม่เคยได้รับฝึกฝนใดๆ เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้จึงทำอะไรไม่ถูก

    มีเพียงขันทีคนหนึ่งยืนอยู่บนที่สูง ร้องตะโกนเสียงดัง พยายามควบคุมสถานการณ์อันวุ่นวายนี้ไว้ น่าเสียดายที่ไม่มีใครฟังเขา ขันทีกระโดดลงจากแท่นสูง วิ่งออกไปข้างนอกและเกือบชนเข้ากับสวินอวี้ที่เร่งรุดมา

    “จักรพรรดิล่ะ” สวินอวี้คว้าตัวขันทีผู้นั้นและถามเสียงดัง

    ขันทีผู้นั้นรีบตอบ “ฝ่าบาทยังอยู่ในตำหนักบรรทม จางเหล่ากงกงไม่ยอมเปิดประตู ข้าน้อยกำลังจะไปเกณฑ์ทหารยามมาช่วยขอรับ”

    เรื่องนี้ทำเอาสวินอวี้หัวใจสะดุด เขากวาดตามองไปรอบด้านและตวาดถามเสียงดัง “วันนี้ใครอยู่เวร”

    “นายกองฉงขอรับ”

    “เขาอยู่ที่ใด” ขันทียังไม่ทันตอบ ขุนพลสวมชุดเกราะคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามา สวินอวี้จำได้ว่าเขาคือนายกองฉางสุ่ย* ฉงจี๋ จึงถามเสียงเย็นชา “คนของเจ้าล่ะ”

    ฉงจี๋เพิ่งถูกปลุกจากความฝัน หัวสมองยังคงเลอะเลือน ได้ยินสวินอวี้ถามเช่นนี้ จึงคว้าสายรัดหมวกเกราะพลางหอบหายใจ “พวกเขาล้วนอยู่นอกวัง ทหารเฝ้าประตูวังไม่มีรับสั่งไม่กล้าเปิดประตูโดยพลการ”

    “เหลวไหล!หัวหน้าอยู่เวรในวัง ลูกน้องจะอยู่นอกวังได้อย่างไร!” สวินอวี้โกรธจัด “ถ่ายทอดคำสั่งข้า เปิดประตูกลาง ให้พวกเขาเข้ามารักษาความปลอดภัยเดี๋ยวนี้!”

    นายกองฉางสุ่ยเดิมทีสังกัดทัพเหนือ ดูแลรักษาความปลอดภัยในเมืองหลวง เป็นเพียงตำแหน่งที่มีเกียรติแต่ไร้ซึ่งกำลังทหารมานานแล้ว ทหารในมือฉงจี๋ล้วนเป็นทหารที่โอรสสวรรค์รวบรวมได้ระหว่างทางหลังจากลี้ภัยออกจากลั่วหยาง เนื่องจากราชสำนักตอนนี้ยึดหลักความเรียบง่าย จึงแบ่งตำแหน่งหน้าที่ของเว่ยเว่ยกับกวงลู่ซวิน** มาให้เขาส่วนหนึ่ง ให้รับผิดชอบเรื่องการเฝ้ายาม เทียบกับทหารในวังที่กระจัดกระจายตอนนี้แล้ว ทหารภายใต้บังคับบัญชาของฉงจี๋ยังนับว่าค่อนข้างมีความสามารถ เป็นกองกำลังของราชสำนักเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเชื่อถือได้ในสวี่ตู

    ฉงจี๋รีบรับคำสั่งจากไป สวินอวี้คว้าตัวทหารยามอีกหลายคน สั่งให้พวกเขารีบไปรวบรวมลูกน้องของตน จากนั้นไปรวมตัวที่หน้าประตูพระราชฐานชั้นใน เมื่อมีราชเลขาธิการเป็นหัวหน้าควบคุมสถานการณ์ ผู้คนที่ตื่นลนจึงเริ่มคืนสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย

    จากสำนักราชเลขาไปพระราชฐานชั้นในระยะทางใกล้มาก สวินอวี้ก้าวเดินอย่างรวดเร็ว เห็นประตูกรอบเหลืองสองบานยังคงปิดแน่นสนิท ยามนี้เพลิงไหม้รุนแรงขึ้นทุกทีแล้ว เขาอยู่ด้านนอกยังรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อน

    สวินอวี้ร้อนใจดั่งไฟลน แหงนหน้าตะโกน “ข้าคือราชเลขาธิการสวินอวี้ คนเฝ้าประตูคือผู้ใด” ประตูแง้มออกช้าๆ ครึ่งบาน เผยให้เห็นดวงหน้าแก่ชราตื่นลน เขาคือขันทีตำหนักในจางอวี่

    “เป็นราชเลขาธิการสวินหรือ”

    “รีบเปิดประตูเร็วเข้า! เจ้าอยากให้วังหลวงถูกเผาจนวอดวายหรือไร” สวินอวี้ถลึงตาตวาดเสียงดัง

    “เป็นท่านก็ดีแล้ว เป็นท่านก็ดีแล้ว…” จางอวี่เหมือนได้ปลดภาระอันหนักอึ้ง รีบสั่งให้คนเปิดประตู ปากยังบ่นไม่หยุด “ข้าเกรงว่าจะมีคนอาศัยช่วงชุลมุนปองร้ายฝ่าบาท สถานที่อย่างสวี่ตูนี้ หาใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนอย่างท่าน”

    สวินอวี้รู้ว่าตาแก่ผู้นี้ขี้บ่นมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้ไม่สะดวกจะถือสา จึงก้าวเข้าไปในประตูและถาม “ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ใด”

    “ฝ่าบาทกับพระมเหสีหนีออกมาทันเวลา ยามนี้พักอยู่บริเวณป้อมยามด้านข้าง” สวินอวี้เบาใจลง มองเข้าไปข้างใน จุดที่เกิดเพลิงไหม้เป็นตำหนักบรรทมจริงๆ อาคารทั้งหลังถูกเปลวไฟกลืนกินจนสิ้น ควันไฟคลุ้งโขมง ได้ยินเสียงเปรี๊ยะปร๊ะดังเป็นพักๆ ขันทีกลุ่มหนึ่งใช้ไม้กวาดกับผ้าห่มเปียกช่วยกันดับไฟอย่างตื่นตระหนก

    สวินอวี้กวาดตามองรอบหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามว่า “ไฉนในโอ่งจึงไม่มีน้ำ” เขาชี้นิ้วไปยังโอ่งใบใหญ่ที่เรียงรายเป็นแถว โอ่งตรงนั้นเดิมทีควรบรรจุน้ำเต็ม เผื่อจำเป็นต้องใช้ยามเกิดเพลิงไหม้

    จางอวี่ตอบ “น้ำสำหรับซักล้างและอาบในวังล้วนมาจากในโอ่ง บัดนี้อากาศหนาวเหน็บ ทั้งยังขาดคนสำรองน้ำเพิ่ม…”

    เวลานี้ขันทีผู้นั้นพูดแทรก “ทุกหนแห่งในวังล้วนมีหิมะสะสมอยู่ ให้คนต้มหิมะเป็นน้ำ ใช้ยามคับขันไปก่อนได้ขอรับ”

    สวินอวี้มองเขาอย่างชื่นชม สั่งให้ไปจัดการตามวิธีนี้

    เวลานี้ฉงจี๋นำทหารกองหนึ่งรุดเข้ามาอย่างเร่งรีบ สวินอวี้เห็นที่เอวของพวกเขายังห้อยดาบอยู่ก็โมโหทีเดียว “เจ้าเป็นขุนนางเก่าแก่คนหนึ่ง กฎธรรมเนียมแค่นี้ยังไม่รู้ คิดจะปองร้ายฝ่าบาทหรือไร”

    ฉงจี๋หน้าแดง สั่งให้ทหารปลดอาวุธและทิ้งไว้บนพื้น เกิดเสียงดังแกร๊งๆ

    “ช่วยฝ่าบาทก่อน แล้วค่อยดับไฟ” สวินอวี้ตีหน้าขรึมพลางออกคำสั่ง ทหารจึงแบ่งออกเป็นสามกอง กองหนึ่งไปช่วยเหลือขันทีพวกนั้น พยายามไม่ให้เปลวไฟลุกลามไปตำหนักข้างๆ กองหนึ่งไปช่วยเหลือองค์ชายและสนมชายา ยังมีอีกกองที่ตามหลังสวินอวี้กับฉงจี๋รุดไปที่ป้อมยาม

    ป้อมยามเป็นสถานที่พักผ่อนของทหารยาม อยู่ติดกำแพงวังโดยมีทางสายหนึ่งและบ่อน้ำสำหรับซักล้างขวางกั้นอยู่ ในเวลาสั้นๆ นี้ยังไม่ได้รับผลกระทบ หลังเกิดเพลิงไหม้จางอวี่ก็ย้ายจักรพรรดิมาประทับที่นี่ทันที ถึงอย่างไรก็เป็นขันทีเก่าแก่ที่ดูแลความปลอดภัยในวังมาตั้งแต่สมัยหลิงตี้ จึงเปี่ยมด้วยประสบการณ์

    สวินอวี้เห็นจักรพรรดินั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกป้อมยาม ร่างกายห่อคลุมด้วยผ้าแพรผืนหนึ่ง จ้องมองเปลวเพลิงในตำหนักบรรทมอย่างเหม่อลอย พระมเหสีฝูกับถังจียืนอยู่ข้างกายสองฝั่ง มวยผมของทั้งสองหลุดลุ่ย เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย มองดูก็รู้ว่าหนีออกมาอย่างฉุกละหุกเพียงใด

    เขาไม่สนใจธรรมเนียมมารยาท เดินเข้าไปคุกเข่าลงหนึ่งข้าง “กระหม่อมมาปกป้องฝ่าบาทล่าช้า โทษสมควรตายยิ่งนัก” สวินอวี้เงยหน้า เห็นโอรสสวรรค์ใบหน้าขาวซีด ใบหน้ามีรอยขี้เถ้าหลายจุด อเนจอนาถอย่างยิ่ง ในใจขมขื่นเล็กน้อย ย้อนคิดถึงในอดีตตอนโอรสสวรรค์มาถึงสวี่ตูก็มีสภาพทุลักทุเลเช่นนี้เหมือนกัน สวินอวี้รู้สึกตำหนิตัวเองเหลือเกิน

    ยามนี้พระมเหสีฝูเอ่ยว่า “ราชเลขาธิการสวิน รอบด้านนี้ยังปลอดภัยดีอยู่หรือไม่”

    เห็นพระมเหสีฝูไม่รีบร้อนไปจากที่นี่ แต่ถามถึงความปลอดภัยรอบด้านก่อน เป็นการกระทำที่แสดงถึงความสุขุมเยือกเย็น สวินอวี้นึกชื่นชมในใจก่อนก้มศีรษะตอบ “นายกองฉางสุ่ยฉงจี๋อยู่ที่นี่แล้ว มีพวกเขาคอยคุ้มกันย่อมปลอดภัยแน่นอน ขอเชิญฝ่าบาทเสด็จไปสำนักราชเลขา ป้องกันการเกิดเหตุไม่คาดฝันพ่ะย่ะค่ะ”

    สวินอวี้ไม่ทันสังเกตว่าฉงจี๋ข้างหลังเขากับพระมเหสีฝูส่งสายตาให้กันอย่างรวดเร็ว

    “อนุมัติ” หลิวเสียกระแอมไอหลายที ก่อนพูดเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน

    สวินอวี้รู้สึกไม่คุ้นเสียงนี้เลยจึงอดเหลือบมองแวบหนึ่งไม่ได้

    พระมเหสีฝูเอ่ยว่า “ฝ่าบาทยังทรงไม่หายดี ทั้งยังได้รับความตกใจ จำเป็นต้องพักผ่อนอย่างเหมาะสม”

    สวินอวี้รู้ว่าโอรสสวรรค์ป่วยมานานแล้ว ยามนี้หาใช่เวลามาสงสัย จึงให้จางอวี่นำทางข้างหน้า ฉงจี๋นำกองทหารอารักขาซ้ายขวาออกจากเขตพระราชฐานชั้นในอย่างเร่งร้อน

    พอออกไป สวินอวี้พบว่ารอบนอกถูกกองกำลังกลุ่มหนึ่งโอบล้อมจนไม่เหลือช่องว่าง ทหารเหล่านั้นไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเพลิงไหม้ เพียงชี้ทวนยาวในมือไปข้างหน้า สกัดทุกคนที่คิดจะหนีออกจากเขตพระราชวังเอาไว้

    “ใต้เท้าสวิน ผู้น้อยมาช่วยฝ่าบาทล่าช้า” เสียงที่เปี่ยมด้วยพละกำลังดังขึ้น แม้อยู่ท่ามกลางเสียงเอะอะจอแจยังคงได้ยินชัดเจน สวินอวี้รู้ว่านี่คือองครักษ์หยางอู่*เฉาเหริน (โจหยิน)ญาติผู้น้องของเฉาเชา เดิมทีเขาประจำการอยู่ทางใต้ของอำเภอสวี่เซี่ยน ภายหลังทัพเฉาเดินทัพขึ้นเหนือ จึงย้ายเขามาประจำการที่สวี่ตู เป็นกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉาซือคงในสวี่ตู สวินอวี้คำนวณดูแล้ว ตั้งแต่เกิดเพลิงไหม้จนกองทหารของเฉาเหรินรุดมาถึง ใช้เวลาทั้งหมดไม่ถึงสามก้านธูป

    สวินอวี้หันกลับไปอธิบายให้โอรสสวรรค์ฟังเล็กน้อย จากนั้นเดินเข้าไปพูดกับเฉาเหริน “ท่านขุนพลมาเร็วยิ่งนัก”

    เฉาเหรินฉีกยิ้ม “เกิดเรื่องกับโอรสสวรรค์ จะกล้าชักช้าได้อย่างไร” ยามเอ่ยคำพูดนี้ เขายังเหลือบมองจักรพรรดิที่อยู่ข้างหลังสวินอวี้แวบหนึ่ง สายตานั้นมิอาจกล่าวได้ว่าจงรักภักดีหรือเป็นมิตร

    สวินอวี้คล้ายไม่สังเกตเห็นสายตาของเฉาเหรินที่เปลี่ยนไป เขาชี้ทหารองครักษ์ “โอรสสวรรค์ได้รับความตกใจ มิควรให้ทหารใช้อาวุธ รบกวนท่านขุนพลแล้ว”

    เฉาเหรินพยักหน้า สะบัดแส้ม้าในมือ “เก็บดาบ” ทหารในชุดเกราะสีดำพันกว่านายเก็บดาบพกลงฝักอย่างพร้อมเพรียง คล่องแคล่วปราดเปรียว

    กองทหารแยกตัวออกสองฝั่ง เปิดเป็นเส้นทางแคบๆ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้สีหน้าของฉงจี๋ดูไม่ดีนัก เขาให้ลูกน้องล้อมรอบโอรสสวรรค์ เดินไปข้างหน้าช้าๆ ภายใต้การจับจ้องของทหารสกุลเฉา จนกระทั่งจักรพรรดิเข้าไปในสำนักราชเลขาอย่างราบรื่น ฉงจี๋จึงพรูลมหายใจยาว สวินอวี้เห็นท่าทางระแวดระวังของเขาแล้วก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย

    เฉาเหรินไม่รั้งอยู่นานนัก ทหารชุดเกราะจำนวนมากมายขนาดนี้โอบล้อมโอรสสวรรค์ไว้รอบด้าน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกครหาว่าคิดกบฏ รอจนทหารของฉงจี๋ทยอยมาถึงครบแล้ว เฉาเหรินจึงขอตัวกับสวินอวี้เพื่อนำกำลังกลับค่าย ทหารชุดเกราะเหมือนคลื่นน้ำ ไม่นานก็ถอยหายไปหมด

    ในสำนักราชเลขา รอจนจักรพรรดิถูกจัดให้พักผ่อนเรียบร้อยแล้ว สวินอวี้จึงถามไถ่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระมเหสีฝู พระมเหสีฝูเล่าว่าคืนนี้ถังจีนำหญ้าหอมเยี่ยซีมาถวายฝ่าบาท ไม่ระวังทำกระถางกำยานล้ม ทำให้ไฟไหม้ม่านเตียง ขันทีที่ติดตามรับใช้ถังจีสละชีวิตคุ้มกันพวกเขาสามคนออกจากตำหนักบรรทมอย่างปลอดภัย แต่ตัวเองกลับถูกไฟคลอกตายอยู่ข้างใน

    สวินอวี้ไม่ได้แสดงความสงสัยใดๆ กับคำอธิบายนี้ เขาเชิญโอรสสวรรค์กับพระมเหสีพักอยู่ในสำนักราชเลขาชั่วคราว จากนั้นรีบร้อนจากไป สั่งการคนในวังให้ดับไฟต่อ ถังจีด้วยฐานะของตนจึงขอตัวจากไปก่อนแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงโอรสสวรรค์กับพระมเหสี

    ไม่มีใครเข้าใกล้สามีภรรยาที่สูงส่งผู้นี้ มีเพียงขันทีตำหนักในจางอวี่เฝ้าอยู่หน้าประตูสำนักราชเลขา เช็ดน้ำมูกน้ำตาพลางโอดครวญ

    เพลิงไหม้เผาอยู่หนึ่งคืนเต็มจึงดับลง ตำหนักบรรทมและตำหนักข้างรอบด้านถูกเผาจนวอดวายแทบทั้งหมด ท่ามกลางซากปรักหักพังของตำหนักบรรทม พบศพไหม้เกรียมศพหนึ่ง คิดว่าน่าจะเป็นขันทีที่เสียสละชีวิตเพื่อคุณธรรมผู้นั้น

    รอจนฟ้าสว่าง หลิวผิงให้พระมเหสีฝูประคองเดินออกจากสำนักราชเลขา มองไปยังทิศทางของตำหนักบรรทมที่เหลือเพียงซากอย่างเงียบงันไม่พูดจา

    กลยุทธ์นี้ของพระมเหสีฝูกล่าวได้ว่าเด็ดเดี่ยวเป็นที่สุด เพื่อปกปิดอย่างสิ้นเชิงนางตัดสินใจใช้ไฟเผาตำหนักบรรทมทิ้ง เผาศพของหลิวเสียในชุดขันที…เพื่อป้องกันไม่ให้คนเห็นพิรุธ นางถึงขั้นลงมีดตัดอวัยวะเพศของศพด้วยตัวเอง

    หลิวผิงตกตะลึงตาค้าง คิดไม่ถึงว่านางจะทำถึงขั้นนี้

    กษัตริย์ที่สูงส่งผู้นี้จึงสาบสูญไปท่ามกลางเพลิงไหม้อย่างเงียบเชียบ ราชวงศ์ฮั่นมีจักรพรรดิยี่สิบกว่าองค์ แต่ไม่เคยมีใครตายอย่างน่าอนาถ ตายไปโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้เช่นเขา ในชีวิตสิบแปดปีอันสั้นของหลิวเสีย เขาถูกเปลี่ยนมือจากเจ้าครองแคว้นคนหนึ่งไปยังเจ้าครองแคว้นอีกคนหนึ่ง วิตกกังวลและหดหู่อยู่ตลอด ไม่เคยมีเวลาใดที่ได้สัมผัสกับความสง่าน่ายำเกรงของผู้เป็นกษัตริย์เลย ไม่เคยมีเวลาใดที่มีความสุข สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเฝ้ามองต้าฮั่นก้าวไปสู่ความถดถอย เบื้องหลังหลิวเสีย อย่าว่าแต่ศาลบรรพชนเลย แม้แต่ยศหลังตายเขายังไม่มีสิทธิจะได้รับด้วยซ้ำ เพราะเขายัง ‘มีชีวิตอยู่’ คนที่ตายไปเป็นเพียงขันทีที่ไม่มีความสลักสำคัญใดๆ เท่านั้น

    หลิวผิงมองควันที่ม้วนตัวขึ้นเหนือซากปรักหักพัง ไม่รู้ว่านั่นจะนับเป็นวิญญาณของพี่ชายเขาที่ไม่อยากจากไปได้หรือไม่ เขาท่องคาถาปลอบโยนดวงวิญญาณในใจ นั่นเป็นคาถาที่ภิกษุในอำเภอเวินเซี่ยนสอนมา ว่ากันว่าช่วยให้ผู้ตายไปสู่สุคติได้ ภิกษุที่นับถือศาสนาพุทธพวกนี้ คาถาของพวกเขาออกเสียงประหลาด แต่กลับมีพลังที่ทำให้จิตใจคนสงบลง

    พี่ชาย ท่านเป็นคนอย่างไรกันแน่นะเขาคิด ในใจเต็มไปด้วยความกังวลและสับสนกับอนาคต

    พระมเหสีฝูกุมมือเขา พูดเสียงค่อย “ฝ่าบาท ข้างนอกลมเย็น รีบกลับเข้าห้องเถอะ วันนี้มีขุนนางมาเข้าเฝ้าไม่น้อย” เสียงของนางอ่อนโยน แต่กลับแฝงความหมายไว้มากมาย

    ท่องคาถาจบไปท่อนหนึ่ง หลิวผิงจึงเงยหน้า พูดเสียงดังเล็กน้อย “ประคองเรากลับห้อง”

    นับแต่นี้ไป ‘หยางผิง’ กับ ‘หลิวผิง’ ได้ตายไปพร้อมกับหลิวเสียแล้ว คนที่มาแทนที่คือ ‘หลิวเสีย’ คนใหม่

    เวลาเดียวกัน สวินอวี้ยืนอยู่บนกองซากปรักหักพังของตำหนักบรรทม สั่งการให้คนกลุ่มหนึ่งขนย้ายเศษซากและหาข้าวของที่ยังหลงเหลืออยู่ ตามหลักนี่ไม่ควรเป็นงานของราชเลขาธิการ แต่สวินอวี้คิดว่าการเกิดเพลิงไหม้ในวังเป็นเรื่องใหญ่ เขาต้องมาดูด้วยตัวเองจึงจะวางใจ

    ฉงจี๋ถือสมุดเล่มหนึ่ง ตรวจนับจำนวนคนในวัง ศพของขันทีผู้นั้นตั้งอยู่ด้านข้าง ถูกคลุมด้วยผ้าขาว

    เวลานี้คนผู้หนึ่งย่ำซากปรักหักพังเดินเข้ามา ฝีเท้าของเขามั่นคงและแผ่วเบามาก เหมือนงูตัวหนึ่งที่เลื้อยดังสวบสาบ ฉงจี๋ถึงตระหนักตัวตนอีกฝ่ายได้กะทันหันตอนเขาเข้ามาใกล้ ใบหน้าอดเกร็งกระตุกไม่ได้ด้วยตกใจ จึงสบถด่าเสียงเบา จากนั้นเงยหน้ายิ้มแย้ม

    “ใต้เท้าหม่าน ไฉนท่านจึงมาด้วย”

    ผู้มาถึงร่างกายผอมสูง ใบหน้าเป็นสีเหลือง รอยเหี่ยวย่นกระจายเต็มหน้า ทำเอาเครื่องหน้าแทบจะถูกบดบังจนมิด เขาชื่อหม่านฉ่ง (หมันทองหรือบวนทง) ชื่อรองป๋อหนิง ตอนนี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเมืองสวี่ตู รักษาความปลอดภัยภายในเมือง

    ขุนนางเก่าแก่ในลั่วหยางไม่กลัวการต่อสู้กับพรรคพวกของเฉาเชาในราชสำนัก แต่กลับหวาดเกรงบุรุษผู้นี้จนไม่กล้าปริปาก สี่ปีมานี้เขาเหมือนนกเค้าแมวที่วนเวียนอยู่เหนือท้องฟ้าของสวี่ตู ความเคลื่อนไหวในเมืองแห่งนี้ล้วนไม่รอดพ้นสายตา ทำเอาขุนนางเก่าแก่ในลั่วหยางลำบากยิ่งนัก

    ดูเหมือนหม่านฉ่งจะไม่สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของฉงจี๋ เขาประสานมือ เลื่อนสายตาไปยังศพของขันที

    “เขาก็คือขันทีที่ช่วยเหลือฝ่าบาทจนตัวตาย?”

    “ใช่” ฉงจี๋พยายามตอบอย่างสั้นกระชับ

    หม่านฉ่งย่อกายลงด้วยความสนใจ เลิกผ้าขาวขึ้นมุมหนึ่ง แขนที่ไหม้เกรียมจนเป็นสีดำปรากฏให้เห็น ทหารรอบตัวฉงจี๋พากันเบือนหน้าไปทางอื่น หม่านฉ่งกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี ออกแรงกระชากผ้าขาวออกทั้งหมด เถ้าธุลีสีเทาดำฟุ้งตลบขึ้นเหนือศพ ศพไหม้เกรียมปรากฏต่อสายตาของทุกคน นอนสงบนิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาว่างโหวงสองข้างจ้องมองท้องฟ้า ใต้คางเกร็งแน่นคล้ายกำลังพูดบอกอะไร หม่านฉ่งยื่นมือขวาออกไปถูศพช้าๆ ทั้งยังหยิบผงธุลีมาสูดดมที่จมูกเป็นพักๆ ฉงจี๋อดพูดไม่ได้ “ใต้เท้าหม่าน ผู้ตายเป็นใหญ่*ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ตายที่เป็นขุนนางภักดีพลีชีพเพื่อเจ้านาย ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย”

    ฉงจี๋ไม่รู้ถึงเหตุการณ์ในวังเมื่อคืน แต่เขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเบื้องหลังเพลิงไหม้ต้องซุกซ่อนอะไรเอาไว้แน่ จะให้หม่านฉ่งใกล้ชิดกับศพนี้มากเกินไปไม่ได้ หม่านฉ่งไม่ตอบคำถามเขา แต่กลับย้อนถามว่า “เหตุการณ์เมื่อคืนเป็นอย่างไร” วังหลวงแม้มิได้อยู่ในขอบข่ายความรับผิดชอบของหม่านฉ่ง แต่เขามีสิทธิที่จะถาม ฉงจี๋ต้องการดึงความสนใจของเขาออกจากศพ จึงได้แต่เอ่ยปากเล่าเหตุการณ์เพลิงไหม้ให้ฟัง คำบอกเล่าของเขาฟังมาจากพระมเหสีฝูอีกที ไม่แตกต่างจากสิ่งที่สวินอวี้รู้ หม่านฉ่งตั้งใจฟังเรื่องเล่านี้อย่างละเอียด ทั้งยังถามคำถามหลายข้อ ไม่ปล่อยรายละเอียดใดๆ ให้เล็ดลอดไป

    “แบบนี้แสดงว่าเมื่อคืนกองกำลังของนายกองฉงไม่ได้เฝ้ายามอยู่ในวัง แต่ปักหลักอยู่ข้างนอก จนกระทั่งเกิดเพลิงไหม้ จึงรับคำสั่งจากราชเลขาธิการสวิน รีบรุดเข้าวัง”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook