• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ความลับแห่งสามก๊ก เล่ม 1 ตอนที่ 2

    3 of 3หน้าถัดไป

    “ใช่”

    “แต่คืนนั้นท่านอยู่เวรมิใช่หรือ หัวหน้าเฝ้ายามในวัง แต่ลูกน้องกลับอยู่ข้างนอก เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลนักกระมัง”

    คำถามของหม่านฉ่งทำเอาฉงจี๋ชะงักไป อันที่จริงพระมเหสีฝูเป็นคนสั่งให้เขานำทหารออกไปนอกวัง นางต้องการให้เขายื้อเวลาไว้นานที่สุด เขาไม่รู้เหตุผล แต่ยังคงปฏิบัติตามคำสั่งนี้อย่างภักดี เรื่องนี้จะให้หม่านฉ่งรู้ไม่ได้เป็นอันขาด

    “เนื่องจากในวังคับแคบ คนมากย่อมวุ่นวาย หมู่นี้ฝ่าบาทไม่ค่อยสบาย จึงชอบความสงบมากกว่า” ฉงจี๋อธิบาย จากนั้นขบคิดในใจอย่างรวดเร็วว่ามีช่องโหว่อะไรหรือไม่

    โชคดีที่หม่านฉ่งไม่ได้ซักไซ้รายละเอียดเรื่องนี้ เพียงเอ่ยคำเดียวว่า “ลำบากแล้ว” จากนั้นยืดตัวขึ้น เดินตรงไปหาสวินอวี้ ฉงจี๋มองแผ่นหลังเขาแล้วถอนใจโล่งอก รีบสั่งให้ลูกน้องหามศพออกไป ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาใดๆ อีก

    สวินอวี้กำลังเดินไปเดินมาบนซากปรักหักพัง ใบหน้ามีคราบเขม่าควันเป็นด่างดวง หางตาฉายแววเหนื่อยล้า มีคนนำกระดาษและซีกไม้ไผ่ที่ค้นได้จากกองเถ้าถ่านส่งให้เขาดูเป็นระยะ ของพวกนี้ถูกไฟเผาจนสภาพไม่สมบูรณ์แล้ว แต่ต้องผ่านตาสวินอวี้และได้รับการยืนยันว่าไม่ใช้แล้วเท่านั้น จึงจะโยนทิ้งได้ เพลิงไหม้เมื่อคืนทำให้ม้วนสารในราชสำนักจำนวนมากกลายเป็นเถ้าธุลี ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่เป็นสำเนาคัดลอกที่ขนย้ายมาจากเมืองหลวงเก่าอย่างยากลำบาก เรื่องนี้ทำเอาสวินอวี้ปวดใจยิ่งนัก

    หม่านฉ่งเดินมาข้างกายเขาอย่างเงียบเชียบ ค้อมกายพูด “ราชเลขาธิการสวิน”

    “ป๋อหนิง เจ้ามาแล้วหรือ” สวินอวี้พยักหน้า กับหม่านฉ่งผู้นี้ เขาเคารพและให้เกียรติมาก แต่มิอาจกล่าวได้ว่าชอบ ทั้งสองยืนเคียงไหล่กัน มองซากปรักหักพังเงียบๆ

    “เจ้ามีความเห็นอย่างไรกับเพลิงไหม้ครั้งนี้” สวินอวี้ถามพลางนวดขมับ

    “คำอธิบายจากในวัง ข้าไม่เชื่อแม้แต่น้อย” หม่านฉ่งพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

    ฟังคำพูดหม่านฉ่งแล้ว สวินอวี้ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจ เพียงสะบัดแขนเสื้อเงียบๆ บอกให้ข้ารับใช้รอบด้านถอยออกไป หม่านฉ่งไม่ยืดเยื้อ ตรงเข้าประเด็นสำคัญทันที “หากขันทีผู้นี้ถูกไฟคลอกตาย ก่อนตายควันไฟจะบีบให้เขาหอบหายใจคำใหญ่ ปากของศพควรจะอ้าอยู่ ยังไม่พูดถึงว่าแขนขาทั้งสี่ของเขากางออก แตกต่างจากคนเป็นที่ถูกเผาตายที่แขนขาจะขดงอ เรื่องนี้อธิบายได้เพียงอย่างเดียว ผู้ตายถูกนำเข้ามาในตำหนักบรรทมหลังจากตายแล้ว”

    สวินอวี้ลูบเคราช้าๆ “ป๋อหนิง เจ้าสังเกตได้ละเอียดโดยแท้”

    “ข้าเคยลองด้วยตัวเองแล้ว” หม่านฉ่งตอบง่ายๆ เขารู้ว่าสวินอวี้ไม่ชอบหัวข้อสนทนานี้จึงกลับเข้าประเด็นหลักอย่างรวดเร็ว “เมื่อครู่ข้ายังตรวจสอบหว่างขาของผู้ตาย คลำไม่พบอะไรทั้งนั้น ถูกตัดอย่างสะอาดหมดจด…ความจริงแล้ว ตามกฎระเบียบในวัง ขันทีแค่ต้องตัดองคชาตทิ้งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตัดอัณฑะทั้งสองข้างออกไปด้วย”

    ฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดสวินอวี้ก็มีปฏิกิริยา

    “ข้ามั่นใจว่าผู้ตายต้องไม่ใช่ขันทีของถังจีแน่ แต่เป็นคนอีกคน คนที่พวกเรารู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังนั้นฝ่าบาทถึงได้จุดไฟเผาตำหนักอย่างไม่เสียดาย ทำลายศพกลบเกลื่อนหลักฐาน…แม้ข้าจะยังไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ทั้งยังไม่รู้ว่าฝ่าบาทนำเขาเข้ามาในวังอย่างยากลำบากและฆ่าตายด้วยเจตนาใดก็ตาม” หม่านฉ่งเงียบไปครู่หนึ่งอย่างหาได้ยาก ก่อนจะพูดต่อ “เอาเป็นว่าเบื้องหลังเพลิงไหม้ครั้งนี้ต้องซุกซ่อนอะไรอยู่แน่”

    สวินอวี้ขมวดคิ้วน้อยๆ คำพูดของหม่านฉ่งถูกต้องแม่นยำ เขาเองก็สงสัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่เขาไม่ชอบความรู้สึกของการเห็นโอรสสวรรค์เป็นศัตรูเช่นนี้ ด้วยฐานะที่ปรึกษาที่เฉากงไว้วางใจมากที่สุดและราชเลขาธิการในราชสำนัก เขาต้องอยู่กับความรู้สึกขัดแย้งเช่นนี้มาตลอด

    “ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท ขอพระราชทานโทษที่เกิดเพลิงไหม้ในวังหลวง” หม่านฉ่งพูด

    สวินอวี้มองหม่านฉ่งแวบหนึ่ง รู้ว่าจุดประสงค์ของคนผู้นี้หาใช่อย่างที่พูด ไหล่ทั้งสองของเขาลู่ลงเล็กน้อย ถอนหายใจหนึ่งที “ก็ได้ เจ้าตามข้ามา อย่าพูดส่งเดช”

    ตามธรรมเนียม หม่านฉ่งเป็นเพียงนายอำเภอยศพันตั้น*หากไม่ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า ก็มิอาจเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ตามลำพัง ต้องมีขุนนางระดับสูงอย่างราชเลขาธิการพาไปจึงจะถูกต้องเหมาะสม แม้จะอยู่ในสวี่ตูที่ราชวงศ์ฮั่นเสื่อมถอยถึงเพียงนี้ กฎธรรมเนียมก็ยังคงถูกปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เหมือนเป็นม่านหนาหนักชิ้นสุดท้ายที่ดำรงเกียรติศักดิ์ศรีของราชวงศ์ไว้

    พวกเขาสองคนอำลาฉงจี๋และมุ่งหน้าไปสำนักราชเลขา ระหว่างทางพวกเขาเห็นขุนนางในราชสำนักจำนวนมากถูกทหารองครักษ์กันไว้รอบนอก แต่กลับไม่กล้าจากไป แต่ละคนยืนอยู่ที่เดิมอย่างขึงขัง กระซิบกระซาบกัน ข่าววังหลวงไฟไหม้แพร่ไปทั่วเมืองแล้ว ขุนนางเหล่านี้ต่างรุดมาหน้าวังหลวงอย่างตื่นลน เพื่อแสดงความจงรักภักดีที่บ้างจริงใจบ้างเสแสร้งของตน

    คนเดียวที่ฝ่าแนวป้องกันของทหารหลวงมาได้เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมทอลายคนหนึ่งกับสตรีท้องโตคนหนึ่ง ชายวัยกลางคนประคองหญิงสาว กำลังเดินตัดลานหน้าตำหนักช้าๆ ทว่าร้อนใจ

    “ขุนพลต่ง”

    สวินอี้เร่งฝีเท้าตามไป ผู้มาเป็นขุนพลเชอจี้*ต่งเฉิง (ตังสิน) หลังยุคของหยางเปียว เขาได้กลายเป็นผู้นำขุนนางเก่าในลั่วหยาง อย่างน้อยในด้านตำแหน่งฐานะก็ไม่ด้อยไปกว่าเฉาเชา หลายเดือนก่อนบุตรสาวของเขาต่งกุ้ยเหริน** ตั้งครรภ์ แต่วังหลวงคับแคบเกินไปจริงๆ จึงถูกรับตัวกลับบ้านไปรอคลอด จนกระทั่งตอนเช้าพวกเขาจึงได้ข่าวว่าวังหลวงไฟไหม้ พวกเขาจึงรีบรุดมาทันทีโดยไม่สนใจว่าต่งกุ้ยเหรินกำลังตั้งครรภ์

    ได้ยินเสียงเรียกของสวินอวี้ ต่งเฉิงก็หันกลับมาและเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างเหมาะสม ทั้งแสดงความเป็นมิตร โดยไม่ละเลยความห่วงใยที่มีต่อโอรสสวรรค์ สวินอวี้มองต่งกุ้ยเหรินที่มือข้างหนึ่งประคองท้อง มืออีกข้างถูกบิดาจับไว้แล้วมุ่นคิ้วเอ่ยว่า “กุ้ยเหรินกำลังตั้งครรภ์ ไยต้องลำบากถึงเพียงนี้”

    ต่งเฉิงประคองแขนขวาของบุตรสาว ตอบเสียงเรียบ “เมื่อหนังไม่มีแล้ว ขนจะอยู่ได้อย่างไร ความปลอดภัยของฝ่าบาทย่อมสำคัญกว่าบุตรสาวของข้ามาก พวกเราที่เป็นขุนนางจะมัวแต่คิดถึงเรื่องเล็กจนทำให้เสียการใหญ่ไม่ได้” ต่งเฉิงชอบพูดจากระทบกระเทียบมาแต่ไหนแต่ไร

    สวินอวี้ไม่ได้ถือสาและยิ้มพูด “เมื่อคืนฝ่าบาทไม่ได้เป็นอะไร ตอนนี้พักผ่อนอยู่ในสำนักราชเลขาชั่วคราว ขุนพลต่งไปกับพวกเราดีหรือไม่ ข้าจะให้พวกเขานำเกี้ยวมาให้ต่งกุ้ยเหรินจะได้ไม่กระทบกระเทือนครรภ์”

    “นายกองฉงล่ะ เขาอยู่ที่ใด” เสียงของต่งกุ้ยเหรินแหลมสูง การตั้งครรภ์ทำให้นางหน้าบวมเล็กน้อย ดูเย็นชาขึ้นหลายส่วน “อยู่ดีๆ ตำหนักบรรทมจะเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างไร มีคนชั่วคิดจะปองร้ายฝ่าบาทใช่หรือไม่”

    อยู่ในเขตวังหลวงจะพูดจาส่งเดชเช่นนี้ได้อย่างไร มีบิดาอย่างไรมีบุตรสาวอย่างนั้นโดยแท้ สวินอวี้คิดในใจแต่ปากกลับปลอบโยนว่า “กุ้ยเหรินกังวลเกินไปแล้ว พระมเหสีฝูบอกว่าแค่ไม่ทันระวังกระถางกำยานเท่านั้น หาได้มีเหตุผลอื่น”

    ต่งกุ้ยเหรินได้ยินชื่อพระมเหสีฝูก็แค่นเสียงหยัน “กลับไปบอกพวกฉงจี๋ให้ตรวจสอบให้ดี ดูว่าเป็นความจริงหรือไม่ ตำหนักบรรทมของโอรสสวรรค์ถูกเผาจนวอดวายเช่นนี้ หากเรื่องแพร่ออกไปจะไม่ทำให้ใต้หล้าหัวเราะเยาะเจ้านายของพวกเจ้าหรือ”

    ทุกคำพูดของนางเหน็บแนมเฉาเชา ชักสีหน้าใส่อารมณ์ ต่งเฉิงคงรู้สึกว่าบุตรสาวกล่าวหนักเกินไปแล้วจึงบีบแขนนาง ต่งกุ้ยเหรินหุบปากอย่างไม่สบอารมณ์

    สายตาของต่งเฉิงมองข้ามไหล่สวินอวี้ไป เห็นหม่านฉ่งที่ยืนอยู่ข้างหลัง เปลือกตาก็อดกระตุกไม่ได้ “หม่านฉง ที่แท้เจ้ามาด้วยรึ”

    เผชิญหน้ากับความไร้มารยาทของต่งเฉิง หม่านฉ่งเพียงแต่โค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมและเงียบไว้ เขาไม่สนใจที่จะต่อปากต่อคำกับพ่อลูกคู่นี้โดยไม่จำเป็น

    ความจริงต่งเฉิงเองก็หวาดเกรงอำนาจที่มองไม่เห็นของหม่านฉ่งในสวี่ตูเหมือนกัน แต่ยศขุนพลเชอจี้กับผู้บัญชาการเมืองสวี่ตูที่แตกต่างกันมากทำให้เขารู้สึกเหนือกว่าอีกฝ่าย เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกขัดแย้งทุกครั้งที่เจอหม่านฉ่ง เหมือนเห็นหินข้างทางก้อนหนึ่ง สามารถเหยียบไว้ใต้เท้าอย่างง่ายดาย แต่เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องถูกหินบาดจนเจ็บเท้า

    ทั้งสองสบตากันอย่างรู้ดีแก่ใจและไม่พูดอะไรอีก ไม่นานขันทีสองคนก็หามเกี้ยวหลังหนึ่งเข้ามา เมื่อประคองต่งกุ้ยเหรินขึ้นเกี้ยวแล้ว สวินอวี้กับต่งเฉิงเดินตามเกี้ยวไปยังสำนักราชเลขา หม่านฉ่งเดินตามข้างหลังเงียบๆ

    ในสำนักราชเลขา ถ่านอย่างดีลุกไหม้อยู่ในเตา ภายในห้องเต็มไปด้วยกระแสความอบอุ่น โอรสสวรรค์เอนกายอยู่บนตั่ง ร่างกายคลุมด้วยผ้าแพรผืนหนา พระมเหสีฝูเฝ้าอยู่ด้านข้าง หางตาฉายแววอ่อนล้าเล็กน้อย

    พอต่งกุ้ยเหรินเข้ามาในห้องก็ยกชายกระโปรงเร่งฝีเท้าก้าวไปข้างเตียง ปากพูดสะอึกสะอื้น “ฝ่าบาท! ท่าน ท่าน…”

    พูดได้ครึ่งเดียว ฝีเท้านางก็ชะงักกะทันหัน ดวงตาจับจ้องโอรสสวรรค์บนเตียงและเผยสีหน้าฉงนออกมา

    หลิวเสียกระวนกระวาย ต่งกุ้ยเหรินเป็นคนข้างหมอนที่เคยมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกับหลิวเสียตัวจริง คิดจะปิดบังนางมิใช่เรื่องง่าย

    ฝูโซ่วบอกเขาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าต่งกุ้ยเหรินจะเป็นบททดสอบที่ยุ่งยากที่สุดสำหรับเขา หากนางรู้ว่าโอรสสวรรค์เปลี่ยนคนไปแล้วและตะโกนออกมาต่อหน้าธารกำนัลนั่นย่อมเป็นหายนะครั้งใหญ่ของราชวงศ์ฮั่น

    คิ้วงามของต่งกุ้ยเหรินมุ่นเข้าด้วยกันนิดๆ เอียงศีรษะเล็กน้อย จมสู่ภวังค์แห่งความสงสัย บุรุษตรงหน้าคือสามีของนาง คือโอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์ฮั่นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มีบางอย่างที่ผิดปกติ

    นางลูบหน้าท้องกลมป่องของตัวเอง เหมือนอยากอาศัยสายเลือดในท้องมองหาเบาะแสบางอย่าง

    บางทีแค่นางก้าวเข้าไปอีกก้าวเดียว ก็ทำลายราชวงศ์ฮั่นทั้งหมดได้แล้ว

    ทันใดนั้น โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า หลิวเสียพลันไอสำลักอย่างรุนแรง ทำเอาทุกคนในห้องตกใจสะดุ้ง ฝูโซ่วด้านข้างรีบส่งชาร้อนให้ เขาจิบคำหนึ่งให้พอคอชุ่มก่อนยิ้มพูดด้วยเสียงแหบพร่าอย่างยิ่ง “เส่าจวิน เจ้ามาแล้วหรือ”

    ต่งกุ้ยเหรินได้ยินโอรสสวรรค์เรียกชื่อตนก็เผยสีหน้ายินดีออกมาหลายส่วน ความสงสัยลดลงไปมาก นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พยายามมองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น “ฝ่าบาท ไฉนสีหน้าของท่านจึง…”

    หลิวเสียกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่จู่ๆ ก็ไอออกมาอีกระลอกหนึ่ง ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้า เขาไอจนใบหน้าขาวซีดและจำต้องใช้ผ้าแพรปิดปากปิดจมูกไว้ ต่งกุ้ยเหรินชะงักเท้า พระมเหสีฝูกดหน้าอกหลิวเสียไว้ ลูบเบาๆ พลางตำหนิต่งกุ้ยเหริน “เมื่อคืนฝ่าบาทถูกลมหนาวเข้า เจ้าอย่าเพิ่งพูดมากเลย”

    ต่งกุ้ยเหรินฟังแล้วเลิกคิ้วสูง โวยวายเสียงดัง “เจ้าดูแลฝ่าบาทไม่ทั่วถึงเอง อย่าได้มาโทษข้า!”นางใช้สองมือเท้าเอว ดูเหิมเกริมเป็นพิเศษ

    พระมเหสีฝูยิ้มน้อยๆ “น้องสาวเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแต่ห่วงสุขภาพของฝ่าบาท หาได้คิดเรื่องอื่น”

    คำพูดนี้เหมือนเข็มในปุยฝ้าย ต่งกุ้ยเหรินอดเดือดดาลไม่ได้ “ห่วงใยฝ่าบาทอะไรกัน! แม้แต่ตำหนักบรรทมยังถูกเผาจนวอดวาย เจ้าช่างห่วงใยได้ดีจริงๆ ข้าว่าเจ้าก็เหมือนเฉาเชานั่นแหละ รังเกียจที่ฝ่าบาทมีชีวิตยืนยาวเกินไป!”

    พอต่งกุ้ยเหรินเอ่ยคำพูดนี้ออกมาทุกคนในสำนักราชเลขาก็ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางเป็นสตรีที่ต่งเฉิงถวายให้โอรสสวรรค์ตอนอยู่ลั่วหยาง ปากไม่มีหูรูดมาแต่ไหนแต่ไร หากไม่เพราะหลายปีมานี้ราชวงศ์ฮั่นเผชิญความยากลำบากและความเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องอื่น เกรงว่าผู้หญิงแบบนี้คงถูกกำจัดทิ้งในการต่อสู้แย่งชิงในวังไปนานแล้ว

    หลิวเสียลอบเลื่อมใส คำพูดง่ายดายไม่กี่คำของฝูโซ่วประสบความสำเร็จในการเบี่ยงเบนความสนใจของต่งกุ้ยเหรินและคนอื่นๆ ไม่ให้สนใจฐานะของเขาอีก หลิวเสียถอนหายใจโล่งอก แต่ยังไม่ทันได้เช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากออก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าในห้องยังมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องตนอยู่ สายตาคู่นี้เย็นชาคมกริบชวนให้รู้สึกหวาดหวั่น

    สายตานั่นเป็นคนที่อยู่ข้างหลังสวินอวี้ แม้อีกฝ่ายจะก้มศีรษะอย่างนอบน้อม แต่หลิวเสียรู้ว่าเมื่อครู่นี้เขาต้องแอบเงยหน้าขึ้นมามองตนแน่ แค่แวบเดียวเท่านั้นก็ทำให้หลิวเสียเย็นวาบที่หลัง

    ยามนี้พระมเหสีฝูลุกขึ้นยืนพูดกับต่งเฉิงเสียงเย็น “ขุนพลต่ง ท่านสั่งสอนธรรมเนียมในราชสำนักให้บุตรสาวอย่างนี้หรือ บัดนี้เชื้อสายมังกรยังไม่คลอดออกมาก็กำแหงถึงเพียงนี้แล้ว วันหน้าจะเป็นอย่างไร”

    ต่งเฉิงตำหนิบุตรสาวด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ ต่งกุ้ยเหรินเบ้ปากอย่างน้อยใจ ไม่อำลาหลิวเสีย หมุนตัวออกจากสำนักราชเลขาไปทันที ต่งเฉิงไม่มีเวลาไปไล่ตามนาง หันไปคารวะจักรพรรดิ “กระหม่อมอบรมไม่ดี ขอฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

    หลิวเสียพูด “ช่างเถอะ เส่าจวินกำลังตั้งครรภ์ย่อมฉุนเฉียวไปบ้าง ให้สาวใช้สองสามคนคอยตามนาง อย่าให้เกิดความผิดพลาดใดๆ เป็นอันขาด”

    สั่งการเสร็จเรียบร้อย เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ยิ้มพูดกับทุกคน “แล้วทุกท่านล่ะ มาพบข้าเช้าตรู่เช่นนี้ เห็นได้ว่าล้วนแต่จงรักภักดี”

    สวินอวี้ หม่านฉ่งรีบถวายบังคม พูดพร้อมกับต่งเฉิง “ทำให้ฝ่าบาทได้รับความตกพระทัย เป็นความผิดของพวกกระหม่อม จึงตั้งใจมาขอรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”

    หลิวเสียโบกมืออย่างใจกว้าง “เพลิงไหม้ในตำหนักบรรทมไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดทั้งนั้น บางทีสวรรค์อาจต้องการตักเตือนจึงทำให้เกิดลางบอกเหตุนี้ บางทีเราอาจต้องพิจารณาตัวเอง”

    ขุนนางทั้งหลายต่างโล่งอก จักรพรรดิจัดให้เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ เช่นนั้นหลายอย่างย่อมจัดการง่ายขึ้น

    หลิวเสียพูดช้ามาก พยายามขบคิดว่าหลิวเสียตัวจริงพูดจาอย่างไร เขาเพิ่งแสร้งไอสำลักทำให้เสียงเปลี่ยนไป ประกอบกับเพิ่งหายจากการป่วยหนัก เอ่ยคำพูดทีละคำออกมาช้าๆ จึงไม่มีใครสงสัย คำพูดเหล่านี้ล้วนหารือกับพระมเหสีฝูมาก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้จึงยังไม่มีพิรุธใดๆ

    เวลานี้ต่งเฉิงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท วังหลวงเป็นที่พำนักอาศัยของโอรสสวรรค์ มิอาจไม่ระวัง กระหม่อมเห็นว่าควรตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน ศึกษาความผิดพลาดเพื่อเป็นบทเรียนต่อไป”

    สวินอวี้ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ชำเลืองมองต่งเฉิงแวบหนึ่งอย่างตกใจ โอรสสวรรค์ตัดสินเรื่องนี้ไปแล้ว ต่งเฉิงผู้เป็นพ่อตายังจะสร้างประเด็นขึ้นมา ไม่รู้มีเจตนาใด

    ฟังคำต่งเฉิงแล้ว หลิวเสียก็สะดุ้งในใจเช่นกัน ความลับเบื้องหลังเพลิงไหม้ในตำหนักบรรทมจะให้คนตรวจสอบอย่างชัดเจนได้อย่างไร เขาเหลือบมองพระมเหสีฝูแวบหนึ่ง พระมเหสีฝูไม่แสดงสีหน้าใดๆ เพียงใช้มือขวากดไหล่เขาเบาๆ หลิวเสียจิตใจสงบลงเล็กน้อย ถามว่า “เหตุใดท่านต่งจึงกล่าวเช่นนี้”

    ต่งเฉิงพูด “ตำหนักบรรทมไฟไหม้หาใช่เรื่องเล็ก ควรคัดเลือกขุนนางใหญ่ในราชสำนักสักสองสามคนตรวจสอบวังหลวง จัดระเบียบทหารองครักษ์ป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก”

    สวินอวี้คิดในใจ ต่งเฉิงต้องการอาศัยเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้ลงมือกับระบบทหารหลวงในวัง แต่ทหารหลวงอยู่ภายใต้การควบคุมของขุนนางเก่าจากลั่วหยางมาตลอด เขาทำแบบนี้มิเท่ากับทำลายกำลังของตัวเองหรือ คิดเช่นนี้แล้วสวินอวี้ก็อดชำเลืองมองต่งเฉิงไม่ได้ พระญาติของโอรสสวรรค์ผู้นี้มีสีหน้าซื่อตรงและจงรักภักดี มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ

    “ไม่ทราบว่าขุนพลต่งมีความเห็นอย่างไร” สวินอวี้ไม่รีบแสดงจุดยืน แต่กลับถอยเพื่อรุก อยากดูว่าต่งเฉิงวางแผนอะไรอยู่กันแน่

    ต่งเฉิงใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ไท่ฉาง* สวีฉิว อวี้สื่อจงเฉิง** ต่งเฟิน กวงลู่ซวินหวนเตี่ยน สามคนนี้ล้วนเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมทีเดียว”

    ได้ยินชื่อสามคนนี้แล้ว สวินอวี้กับฝูโซ่วขยับมุมปากพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไท่ฉางดูแลพระราชพิธี อวี้สื่อจงเฉิงมีหน้าที่ตรวจสอบขุนนางทั้งหลาย กวงลู่ซวินควบคุมดูแลทหารตำหนักหลวง การเลือกสามคนนี้มาจัดระเบียบในวังหลวงไม่มีจุดใดให้ตำหนิเลย แต่ในสายตาของคนที่รู้เรื่องวงใน เรื่องนี้มีความหมายแฝงที่น่าขุดคุ้ยทีเดียว ต่งเฟินกับหวนเตี่ยนล้วนเป็นขุนนางเก่าแก่สมัยอยู่ลั่วหยาง ไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว ส่วนไท่ฉางสวีฉิวผู้นั้นเดิมทีเป็นขุนนางเลื่องชื่อในสมัยจักรพรรดิหลิงตี้ ภายหลังถูกหยวนซู่(อ้วนสุด) กึ่งเชื้อเชิญกึ่งลักพาตัวไปเมืองโซ่วชุน ครั้นหยวนซู่แพ้พ่าย ขุนนางผู้นี้ยอมเสี่ยงภัยนำตราแผ่นดินตกทอดมาไว้ในมือและส่งกลับสวี่ตูเป็นระยะทางพันลี้…ตั้งแต่ตราแผ่นดินถูกซุนเจียน (ซุนเกี๋ยน) นำไปที่ลั่วหยาง ผ่านไปหลายปี ในที่สุดก็กลับคืนสู่ราชวงศ์ฮั่นอีกครั้ง นับเป็นเรื่องใหญ่ที่โด่งดังไปทั่วหล้าในตอนนั้น ไม่ว่าเฉาเชาหรือหลิวเสียล้วนได้หน้าอย่างยิ่ง

    ดังนั้นสวีฉิวจึงทำตัวเป็นนกสองหัวระหว่างเฉาเชากับราชวงศ์ฮั่น จัดการความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายได้ไม่เลว มีเขาอยู่ก็สามารถลดทอนอำนาจของพวกขุนนางฝ่ายลั่วหยาง ทำให้เฉาเชามิอาจจับผิดได้ ขณะเดียวกันยังรักษาอิทธิพลของราชวงศ์ฮั่นไว้ได้ด้วย

    จำต้องบอกว่าการวางหมากอย่างสวีฉิวลงมาเป็นการเดินหมากที่ยอดเยี่ยมทีเดียว สวินอวี้อดคิดไม่ได้ว่าก่อนออกมาพ่อตาของโอรสสวรรค์ผู้นี้จะต้องเตรียมรายชื่อไว้ก่อนแล้วแน่ ไฟไหม้เมื่อคืน เช้าวันนี้เขาก็โยนรายชื่อพวกนี้ออกมา ตอบสนองรวดเร็วจนน่าคิด

    สายสนกลในเรื่องนี้หลิวเสียไม่รู้แม้แต่น้อย พระมเหสีฝูก็มิอาจชี้แนะเขาต่อหน้าทุกคน จึงได้แต่แสร้งทำเป็นครุ่นคิด เกรงว่าจะพูดอะไรผิด เวลานี้ต่งเฉิงหันไปชำเลืองมองหม่านฉ่งแวบหนึ่งและยิ้มพูด “โบราณว่าไว้ ในวังและนอกวัง เมื่อภายนอกไม่สงบ ภายในย่อมไม่เป็นสุข ข้าว่าเชิญป๋อหนิงมาร่วมด้วยอีกคนดีกว่า จัดระเบียบทั้งในและนอกสวี่ตูให้เรียบร้อย แบบนี้จึงจะเป็นกลยุทธ์ที่รอบคอบ”

    สวินอวี้ฟังแล้วถอนหายใจ วกวนไปมารอบหนึ่ง ในที่สุดก็เปิดเผยความจริงออกมา เจตนาของเขา สุดท้ายก็อยู่ตรงนี้เอง

    หม่านฉ่งเทียบกับขุนนางใหญ่สามคนก่อนหน้านี้ ยศตำแหน่งต่างกันเกินไป หากนำสี่คนมาเปรียบเทียบกัน เขาต้องด้อยกว่าแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากทหารหลวงในวังแล้ว แม้แต่การรักษาความปลอดภัยในสวี่ตูยังต้องถูกจัดระเบียบใหม่ด้วย พวกขุนนางฝ่ายลั่วหยางย่อมยื่นมือเข้าไปในกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู อาศัยโอกาสนี้ก่อเรื่อง

    ยามเผชิญหน้ากับการเชื้อเชิญด้วย ‘ความหวังดี’ ของต่งเฉิง หม่านฉ่งหน้าไม่เปลี่ยนสี พูดอย่างสุขุม “น้อมปฏิบัติตามพระประสงค์ของฝ่าบาท” เขาโยนปัญหาไปที่หลิวเสีย

    หลิวเสียลำบากใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ราชเลขาธิการสวิน ท่านมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้”

    สวินอวี้ตอบ “คำพูดของขุนพลต่งไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสม เพียงแต่นี่เป็นเรื่องใหญ่ยังคงต้องจัดการอย่างระมัดระวัง มิสู้รอให้เฉาซือคงกลับมาก่อนค่อยตัดสินใจพ่ะย่ะค่ะ” เขาคิดในใจว่าคำพูดนี้เปิดเผยชัดเจนมากพอแล้ว พวกเจ้ายุติแค่นี้เถอะ

    ตั้งแต่จักรพรรดิต้าฮั่นย้ายมาประทับที่สวี่ตู อำนาจและคำสั่งทั้งหมดล้วนมาจากจวนบัญชาการของเฉากง ราชสำนักแทบจะไร้ความหมาย ขุนนางเก่าจากลั่วหยางจนปัญญาจึงชอบนำตำแหน่งขุนนางมาเป็นเดิมพันในมือ กระตือรือร้นที่จะต่อสู้ทุกวิถีทาง แต่สวี่ตูเป็นศูนย์รวมอำนาจของเฉาเชา แข็งแกร่งรัดกุมเหมือนถังเหล็กใบหนึ่ง พวกเขาคิดจริงๆ หรือว่าอาศัยแค่ตำแหน่งกลวงๆ ที่ไร้อำนาจในราชสำนักจะคานอำนาจกับเฉากงได้

    สวินอวี้พยายามหยุดยั้งขุนนางภักดีที่ ‘เฉลียวฉลาด’ เหล่านี้ไม่ให้ทำเรื่องโง่เขลา แต่พวกเขามักจะไม่เข้าใจ

    เมื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้งระหว่างขุนนางใหญ่สองคน หลิวเสียไม่รู้จะตอบอย่างไรถึงจะเหมาะสม ได้แต่แอบชำเลืองมองพระมเหสีฝู พระมเหสีฝูส่ายหน้า หลิวเสียไม่รู้ว่าความหมายของนางคืออย่ารับคำ หรือว่าอย่าปฏิเสธ จึงอดไม่ได้ที่จะทำหน้าลังเล

    ต่งเฉิงพูดอีก “เฉาซือคงอยู่ห่างไกลถึงกวนตู้ มีภารกิจทางทหารติดพัน เรื่องในราชสำนักล้วนมอบหมายให้ใต้เท้าสวินเป็นผู้ดูแลทั้งหมดแล้วมิใช่หรือ แล้วจะมีความกังวลเบื้องหลังอีกได้อย่างไร”

    คำพูดนี้เจือแววเสียดสี สวินอวี้ฟังแล้วหว่างคิ้วฉายรอยยิ้มขื่นเหมือนเวทนา ข้อเสนอของต่งเฉิงแม้จะเหลวไหล แต่กลับเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผล มิอาจปฏิเสธได้ง่ายดาย

    หลิวเสียคิดในใจ ในเมื่อต่งเฉิงเป็นขุนนางเก่าจากลั่วหยาง ทั้งยังเป็นพ่อตาของตน ย่อมต้องช่วยเหลือพวกเดียวกันอยู่แล้ว จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จัดการตามข้อเสนอของขุนพลต่งก็แล้วกัน ราชเลขาธิการสวิน เจ้าลำบากหน่อยนะ”

    ต่งเฉิงยินดีปรีดารีบคุกเข่าขอบพระทัย สวินอวี้ถูกจักรพรรดิขานชื่อได้แต่คุกเข่ารับพระบัญชา หลิวเสียยังคิดจะพูดให้กำลังใจหม่านฉ่งที่อยู่หลังสวินอวี้สองสามคำ แต่เห็นใบหน้าเยียบเย็นของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ล้มเลิกความคิด

    หลังจากบรรลุเป้าหมาย ต่งเฉิงค่อนข้างกระหยิ่มใจ เขาหมุนคอหลายทีเหมือนเพิ่งชนะสงคราม พระมเหสีฝูดีดพนักเก้าอี้ของหลิวเสียทีหนึ่ง หลิวเสียพลันนึกถึงคำพูดที่นางกำชับเขาก่อนหน้านี้จึงกระแอมไอและเอ่ยว่า “ขุนพลต่ง อย่าทำให้เราผิดหวังในตัวเจ้า”

    คำพูดธรรมดาเช่นนี้กลับสร้างปฏิกิริยาแปลกประหลาดกับต่งเฉิง เขาตอบเสียงดัง “แม้ร่างกายต้องแหลกสลาย กระหม่อมก็จะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เขาใช้สองมือยันพื้นเหมือนพยัคฆ์หมอบ ทั่วร่างเปี่ยมด้วยกลิ่นอายความฮึกเหิม

    หลิวเสียคิดในใจ ขุนพลต่งผู้นี้ใช้คำพูดรุนแรงเกินไปหน่อยหรือไม่ หาไม่แล้วหรือเพราะพวกเขาพูดกันคนละเรื่อง หม่านฉ่งมองแผ่นหลังของต่งเฉิงจากด้านหลังอย่างสนใจ ในหัวผุดความคิดเดียวกับหลิวเสีย

    จักรพรรดิกับขุนนางทักทายกันอีกหลายคำ การเข้าเฝ้าครั้งนี้ก็ยุติลง รอจนขุนนางทั้งหลายออกจากสำนักราชเลขาแล้ว พระมเหสีฝูปล่อยม่านมุกและพูดกับหลิวเสีย “ฝ่าบาททรงทำผิดอย่างหนึ่ง เมื่อครู่ท่านไม่ควรให้การสนับสนุนขุนพลต่งเร็วถึงเพียงนั้น”

    หลิวเสียไม่เข้าใจเล็กน้อย “ต่งเฉิงเป็นขุนนางที่ภักดี สวินอวี้กับหม่านฉ่งเป็นขุนนางโฉดชั่ว ข้าควรช่วยเหลือคนดี ไม่ช่วยเหลือคนเลวมิใช่หรือ”

    พระมเหสีฝูส่ายหน้า “เรื่องในราชสำนัก มิอาจแบ่งแยกด้วยคำว่าดีชั่วได้ ท่าทีของโอรสสวรรค์จะเปิดเผยออกมาง่ายๆ ไม่ได้ หาไม่แล้วผู้ที่มีเจตนาไม่ดีย่อมคิดฟุ้งซ่านได้มากมาย”

    “หรือว่าคำพูดที่ข้าพูดกับขุนพลต่งยังแฝงความนัยอะไรไว้อีก” หลิวเสียถาม

    “เจ้าจะรู้เอง” พระมเหสีฝูตอบ จากนั้นมองซ้ายมองขวา “ทว่า…ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาคุยเรื่องนั้น”

    หลิวเสียไม่พอใจเล็กน้อย “ในเมื่อข้าเป็นโอรสสวรรค์ ยังมีเรื่องอะไรต้องปิดบังข้าอีกหรือ”

    พระมเหสีฝูค้อมเอวลงเหน็บชายผ้าห่มให้จักรพรรดิอย่างขะมักเขม้น จากนั้นตบๆ แก้มเขาเหมือนมารดาที่กำลังรับมือกับเด็กดื้องอแง พูดเสียงอ่อนโยน “นั่นเป็นคาถาคำหนึ่ง คาถาที่ทำให้สวี่ตูตกอยู่ในความวุ่นวายได้”

    หลังจากต่งเฉิงออกจากสำนักราชเลขาก็พบต่งกุ้ยเหรินรอเขาอยู่หน้าประตู ทั้งสองอำลาสวินอวี้กับหม่านฉ่ง ก่อนขึ้นรถม้าต่งเฉิงยังพูดกับคนสนิทที่ติดตามรถม้าว่า “ไปเชิญนายกองฉงกับขุนพลหวังมา วันนี้ข้าฉลองวันเกิด อยากเชิญพวกเขามาสนทนาที่จวนสักหน่อย”

    คนสนิทรับคำสั่งจากไป ต่งกุ้ยเหรินที่นั่งอยู่ในรถถามอย่างแปลกใจ “บิดา วันเกิดท่านเดือนแปดมิใช่หรือ

    ต่งเฉิงมองบุตรสาวแวบหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ โดยไม่ตอบอะไร

    ต่งกุ้ยเหรินพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว วันนี้ข้ารู้สึกว่าฝ่าบาทแปลกๆ”

    “หืม? เป็นเพราะยังประชวรอยู่กระมัง” ต่งเฉิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ

    ต่งกุ้ยเหรินมุ่นคิ้วขบคิด ยังคงหาคำพูดที่เหมาะสมมาอธิบายไม่ได้ “ไม่ เหมือนว่า…เปลี่ยนไปเป็นอีกคนอย่างไรอย่างนั้น”

    “ต้องเป็นเพราะเจ้าถูกฝูโซ่วยั่วโมโหจนเลอะเลือนแน่ วันหน้าอย่าขี้หึงถึงเพียงนี้อีก” ต่งเฉิงยิ้มลูบหัวบุตรสาว ต่งกุ้ยเหรินเหยียดปากสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างดื้อรั้น ต่งเฉิงเก็บรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว ลูบห่วงทองแดงตรงสายคาดเอวของตัวเองเบาๆ สายตาเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว

    หลังมองส่งรถม้าของต่งเฉิงออกจากวังหลวง สวินอวี้ก็ถอนสายตากลับมา “ป๋อหนิง เจ้าคิดว่าอย่างไร”

    หม่านฉ่งเอียงคอเล็กน้อย เหมือนงูที่เพิ่งตื่นจากจำศีลฤดูหนาว “ข้อมูลใหม่ที่ได้ไม่มี แต่ยืนยันการคาดเดาอย่างหนึ่งได้อย่างคาดไม่ถึง”

    สวินอวี้ไม่ได้ถามว่าการคาดเดานั้นคืออะไร เพียงเอามือไพล่หลัง มองตรงไปข้างหน้า กำชับอย่างเป็นกังวล “เรื่องนี้ต้องจัดการโดยเร็ว เฉาซือคงอยู่แนวหน้าสถานการณ์ตึงเครียด แนวหลังจะวุ่นวายไม่ได้เด็ดขาด”

    ได้ฟังคำสวินอวี้แล้ว หม่านฉ่งก็โค้งกายคำนับอย่างนอบน้อมและตอบว่า “ก่อนจากไปจี้จิ่ว* มีคำสั่งไว้แล้ว ใต้เท้าไม่ต้องเป็นกังวล”

    สวินอวี้มุ่นคิ้ว ชื่อนี้ทำให้เขาทั้งวางใจแต่ก็ไม่สบายใจเล็กน้อยเช่นกัน แม้ตอนนี้คนผู้นั้นจะไม่อยู่ในสวี่ตู แต่อิทธิพลอันแข็งแกร่งยังคงอยู่

    “เขาพูดอะไร” สวินอวี้ถาม

    “สวี่ตูต้องการความวุ่นวายครั้งใหญ่”

     

    จวนของต่งเฉิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสวี่ตู เดิมทีเป็นคฤหาสน์ของเศรษฐีในเหอเน่ยคนหนึ่ง ลักษณะเป็นเรือนสองชั้นที่เข้าออกได้สี่ทิศ หรูหราโอ่โถงมาก

    ยามนี้ในโถงกลาง พวกข้ารับใช้กำลังยุ่งกับการจัดเก็บถ้วยชามจากงานเลี้ยงที่เละเทะ บนโต๊ะเล็กหลายตัวยังเหลืออาหารอยู่มาก ดูแล้วแขกที่มาไม่ใส่ใจอาหารนัก ไม่ได้กินอะไรเยอะ

    ด้านหลังโถงกลางเมื่อเดินผ่านเฉลียงทางเดินและสวนดอกไม้ขนาดเล็กไป ข้ารับใช้ในชุดดำหลายคนบ้างแฝงตัวบ้างยืนอย่างเปิดเผยอยู่ในลานบ้าน ตรงเข้าไปอีกเป็นเรือนชั้นในของขุนพลเชอจี้ ภายในเรือนชั้นใน นอกจากต่งเฉิงแล้วยังมีคนอีกสามคน พวกเขาไม่ได้คุกเข่าอยู่บนพรมเหมือนเวลาหารือราชกิจตามปกติ แต่พร้อมใจล้อมอยู่ข้างกายต่งเฉิง สีหน้าเคร่งเครียดทีเดียว

    ในมือต่งเฉิงถือเข็มขัดหยกรูปแบบงดงามหรูหรา เข็มขัดหยกคล้ายถูกของแหลมกรีด ตรงขอบเผยให้เห็นซับในสีขาว สายตาของคนทั้งสามที่มองเข็มขัดหยกเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง

    “…หมายความว่าก่อนเกิดเพลิงไหม้ในวังเมื่อคืน ฝูโซ่วให้ลูกน้องของเจ้าถอยออกไปนอกวังหรือ” ต่งเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

    ฉงจี๋ผงกศีรษะ เขาเพิ่งรุดมาจากการจัดการตำหนักหลวงที่ถูกไฟไหม้ ร่างกายยังคงมีกลิ่นเขม่าควัน ตามหลักแล้ววังหลวงไฟไหม้เขามีความผิดไม่น้อย แต่ที่น่าแปลกคือไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิหรือสำนักราชเลขาล้วนไม่ร้อนใจสืบสาวเอาความ ตอนนี้จึงยังไม่มีใครคุมตัวเขา

    เขาเล่าเหตุการณ์เพลิงไหม้เมื่อคืนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ฟังดูแล้วเห็นชัดว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่วางแผนไว้ล่วงหน้า แต่เหตุใดจักรพรรดิต้องทำอย่างนี้ด้วย พวกเขาคิดว่าตนเป็นขุนนางที่ภักดี แต่บางครั้งกลับคาดเดาความคิดเจ้านายไม่ออก

    “ฝ่าบาททรงทำอะไร แต่ไรมาล้วนมีเหตุผลของพระองค์…” ต่งเฉิงครุ่นคิด จู่ๆ ก็หัวเราะฮ่าๆ “เพลิงไหม้ครั้งนี้ ไหม้ได้ดี!”

    สามคนที่เหลือมองเขาอย่างประหลาดใจ ไม่เข้าใจความหมายที่สื่อ

    ต่งเฉิงสะบัดสายคาดเอวในมือ เอ่ยว่า “เพลิงไหม้เมื่อคืนเป็นกำลังช่วยเหลือที่ฝ่าบาททรงมอบให้พวกเรา ก็เหมือนราชโองการสายคาดเอวอันนี้ เป็นราชโองการลับของฝ่าบาท เป็นจุดเปลี่ยนอย่างหนึ่ง”

    “ความหมายของท่านขุนพลคือ?” ฉงจี๋เบิกตาโต เขาคาดเดาบางอย่างได้รางๆ

    ต่งเฉิงชูนิ้วขึ้น “โจรเฉายึดครองสวี่ตูมาหลายปี อำนาจฝังรากลึก ใช่ว่าคนทั่วไปจะสั่นคลอนได้ง่ายๆ เพลิงไหม้ครั้งนี้เป็นการฟันถังเหล็กให้เกิดรอยแยก ทำให้พวกเรามีโอกาสขยับตัวและพลิกสถานการณ์”

    เขาเห็นหลายคนทำหน้าไม่เข้าใจจึงอธิบายต่อ “วันนี้ฝ่าบาททรงรับปากแล้ว ให้สวีฉิวเป็นหัวหน้า ต่งเฟินกับหวนเตี่ยนเป็นผู้ช่วย ให้สามขุนนางใหญ่จัดระเบียบทหารในวังและกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตู โอกาสของพวกเรามาถึงแล้ว”

    “แต่หม่านฉ่งจะยอมรับแต่โดยดีหรือ” ฉงจี๋ถามอย่างเป็นกังวล หม่านฉ่งกับกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูในมือเขาเป็นอย่างไร เขารู้แจ้งแก่ใจดี ต่อสู้ทั้งในที่ลับและที่แจ้งมาสี่ปี น้อยครั้งที่ขุนนางเก่าจากลั่วหยางจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ

    ต่งเฉิงหรี่ตา “เขาจะยอมรับหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ วุ่นวายถึงจะดี ตอนนี้โจรเฉาต้องระวังหยวนเซ่า (อ้วนเสี้ยว) ทางเหนือ ป้องกันหลิวเปี่ยว (เล่าเปียว) ทางใต้ สวี่ตูเป็นรากฐานของเขาย่อมปล่อยให้วุ่นวายไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นพวกเราจึงต้องทำให้สวี่ตูโกลาหลวุ่นวายถึงจะมีโอกาส เพลิงไหม้ในวังหลวงเป็นกลยุทธ์แรกในการผลักดันเรื่องนี้ของฝ่าบาท ตอนนี้พวกเราจะใช้กลยุทธ์ที่สอง”

    เขาหันไปหาแขกอีกคน คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำ แม้จะสวมชุดคลุมยาวผ้าธรรมดาแต่กลับมิอาจปกปิดกลิ่นอายเฉียบคมได้

    “ขุนพลหวังฝู ความเคลื่อนไหวในกองทัพเป็นอย่างไร”

    หวังฝูกำลังครุ่นคิด ครั้นได้ยินต่งเฉิงถามจึงรีบยืดตัวตอบ “เมื่อวานพื้นที่ใกล้เคียงสวี่ตูมีโจร ทั้งยังปล้นฆ่าขุนนางที่เดินทางผ่าน ตอนนี้กองทหารที่รักษาการณ์อยู่ในเมืองครึ่งหนึ่งถูกเติ้งจั่นโยกย้ายออกไปจับโจรแล้ว ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่กระจายอยู่ทั่วเมืองคอยเฝ้าระวัง ส่วนกองทหารของขุนพลเฉาเหรินปักหลักอยู่ทางใต้ยังไม่มีการเคลื่อนไหว”

    ฉงจี๋พูดแทรก “หากสวี่ตูเกิดการเปลี่ยนแปลง กองทหารของเฉาเหรินใช้เวลาสามก้านธูปก็รุดเข้ามาในเมืองได้แล้ว” แรงกดดันหนักหน่วงของกองทหารองครักษ์ในคืนนั้น ทำให้เขาจำได้แม่นยำเป็นพิเศษ

    ต่งเฉิงส่งเสียง “อืม” พูดเสียงเรียบ “เฉาเหรินไม่ใช่ปัญหา” เขาถามหวังฝู “หากจำเป็น ภายในคืนหนึ่งพวกเรารวบรวมกำลังได้เท่าไร”

    หวังฝูตอบ “จำนวนสามร้อย”

    ต่งเฉิงหลับตาคิดคำนวณ “ยังคงน้อยไปหน่อย…”

    หวังฝูลำบากใจเล็กน้อย ชี้แจงว่า “สามร้อยคนนี้ล้วนเป็นทหารและลูกศิษย์ของข้า มากกว่านี้คนอื่นจะสงสัยได้”

    “หากสวี่ตูเกิดความวุ่นวายจริง ปล่อยกำลังสามร้อยคนนี้ออกไป เกรงว่าคงไม่มีผลอะไรทั้งนั้น เจ้าต้องคิดหาหนทางใหม่ ไม่ว่าอย่างไรต้องมีกองกำลังในเมืองสักห้าร้อยคน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงราชวงศ์ฮั่นและแผ่นดิน ขุนพลหวังเจ้าต้องใส่ใจมากกว่านี้” ต่งเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ หวังฝูกลับปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างประหม่า ผงกศีรษะรับคำ สั่งสอนหวังฝูเสร็จ ต่งเฉิงลืมตากะทันหัน หันไปมองคนที่สาม “อู๋ซั่ว ตอนนี้หลิวเสวียนเต๋อ*อยู่ที่ใดแล้ว”

    คนที่สามยืนอยู่ในเงามืดมาตลอด เมื่อได้ยินต่งเฉิงเรียกชื่อตนจึงก้าวออกมาหนึ่งก้าว หยิบแผ่นไม้ครึ่งชิ้นออกจากอกเสื้อ ส่งให้ต่งเฉิง “เสวียนเต๋อกงข้ามอำเภอตงเออมาแล้ว วันมะรืนจะเข้าสู่มณฑลสวีโจว (ชีจิ๋ว)”

    พอเอ่ยถึงชื่อนี้บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด ต่งเฉิงกระดกมุมปาก พูดกึ่งเสียดสี “เขาเดินทางเร็วเหมือนเช่นที่ผ่านมา ช่างเถอะ ขอเพียงเขาก่อเรื่องในสวีโจว ดึงความสนใจของทัพเฉาไปทั้งหมด พวกเราย่อมลงมือที่สวี่ตูได้อย่างเต็มที่”

    ฉงจี๋ลังเล “ต่งกง หลิวเสวียนเต๋อผู้นี้ไว้ใจได้จริงๆ หรือ หากเขาเปลี่ยนใจกะทันหัน หันหลังไปอำเภอเซียงหยางแทน พวกเราย่อมพ่ายแพ้ราบคาบ”

    ต่งเฉิงยิ้มเย็นพูด “กับคนประเภทนี้ พวกเราไม่จำต้องใช้เหตุผล แค่ให้เขารู้ว่ามีผลประโยชน์ให้ตักตวงก็พอ สวีโจวเป็นเนื้อก้อนใหญ่ที่วางอยู่ตรงนั้น ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่หวั่นไหว” ต่งเฉิงลูบสายคาดเอวเส้นนั้น พูดอย่างฮึกเหิม “แผ่นดินกว้างใหญ่ทว่าขุนนางที่ภักดีช่างน้อยนิด ความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทมีแค่พวกเราก็พอแล้ว คนอื่นๆ เป็นเพียงหมากเท่านั้น”

    ทั้งสี่คุกเข่าลงพร้อมกัน แสดงความเคารพต่อสายคาดเอวด้วยธรรมเนียมที่ขุนนางพึงปฏิบัติต่อกษัตริย์ จากนั้นต่งเฉิงลุกขึ้นเก็บสายคาดเอวลงในอกเสื้ออย่างระวัง หันไปหยิบตราประทับส่วนตัวบนโต๊ะขึ้นมา “วันนี้หม่านฉงสงสัยข้าแล้ว ดังนั้นหลายวันนี้ข้าจะเคลื่อนไหวส่งเดชไม่ได้ เรื่องในราชสำนักย่อมมีข้ากับใต้เท้าต่งเฟินและใต้เท้าหวนเตี่ยนคอยจัดการ แต่แผนการลับๆ ของเรายังต้องมีคนอีกคนช่วยข้าจัดการ”

    ทุกคนต่างมองหน้ากัน ต่งเฉิงเป็นผู้นำกลุ่มขุนนางเก่าจากลั่วหยาง หากเขาลงมือมิได้ยังจะมีใครอีกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการบัญชาการเรื่องนี้

    ทุกคนยังไม่ทันได้ถาม ทันใดนั้นประตูไม้ถูกคนผลักเปิดจนส่งเสียงเอี๊ยด คนหนุ่มคนหนึ่งบุกเข้ามา เขากวาดตามองรอบด้านก่อนหัวเราะเสียงเบา “ทุกท่านเดิมพันกันอยู่ที่นี่ วางแผนการลับจะเอาเปรียบเฉาซือคง เรื่องดีเช่นนี้ไฉนจึงไม่เรียกข้าเล่า”

    คนในห้องไม่มีใครไม่ตกใจ ที่นี่เป็นจวนขุนพล ยอดฝีมือรอบด้านทั้งในที่ลับและที่แจ้งอย่างน้อยก็สิบกว่าคน แล้วไฉนคนตัวโตเช่นนี้จึงบุกเข้ามาได้ หวังฝูมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วที่สุด ประกายเยียบเย็นวูบขึ้น เขาชักมีดสั้นที่เอวออกมาจ่อลำคอผู้เข้ามา ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นสุขุมไม่หวาดหวั่น เพียงชมว่า “เมืองหลวงเล่าลือว่า ‘หวังไวจางช้า ตงฟางไม่ธรรมดา’ ดาบเร็วของขุนพลหวัง ว่องไวดุจสายฟ้าจริงๆ”

    เวลานี้อู๋ซั่วกับฉงจี๋จำผู้เข้ามาได้แล้ว ต่างร้องขึ้นพร้อมกัน “เจ้าคือ…เต๋อจู่**?”

    หวังฝูอึ้งไป “หยางเต๋อจู่? หยางซิว (เอียวสิ้ว) บุตรชายของใต้เท้าหยางเปียวใช่หรือไม่” มีดสั้นในมือคลายออก

    หยางซิวทำหน้าไม่ยี่หระประสานมือเข้าด้วยกัน “เป็นผู้น้อยเอง”

    ต่งเฉิงโยนตราประทับในมือให้หยางซิว “เต๋อจู่เจ้าบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว บุกเข้ามาโดยไม่ให้คนรายงานก่อน หากไม่เพราะขุนพลหวังรอบคอบ เจ้ามิต้องตายโดยไม่เป็นธรรมรึ”

    หยางซิวรับตราประทับและผูกไว้ที่เอว “ข้าเดิมพันว่าขุนพลหวังจะลงมืออย่างเหมาะสม เห็นชัดว่าเดิมพันถูกแล้ว”

    หวังฝูจ้องคนหนุ่มที่ใจกล้าบ้าบิ่นผู้นี้โดยพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ ได้แต่เก็บมีดสั้นกลับเข้าที่เดิม

    ต่งเฉิงคล้องแขนหยางซิวและแนะนำคนให้เขารู้จักทีละคน สามคนคารวะตอบ แต่ในใจกลับกระวนกระวายเล็กน้อย

    ในเมื่อเป็นบุตรชายของอดีตไท่เว่ยหยางเปียวก็ย่อมเชื่อถือได้ เพียงแต่คนหนุ่มผู้นี้ทำอะไรไม่จริงจัง ปากเต็มไปด้วยคำภีร์การเดิมพัน ให้ควบคุมบัญชาการเรื่องนี้นับว่าไม่น่าวางใจนัก อู๋ซั่วถือว่าตนเป็นคนเฉลียวฉลาดที่สุดรองจากต่งเฉิง เมื่อเห็นหยางซิวอย่างนี้จึงอดขมวดหัวคิ้วมุ่นไม่ได้

    หยางซิวกวาดตามองรอบด้านพลางแย้มยิ้ม แต่แล้วสีหน้าพลันขรึมลง “ขุนนางทุกท่านมีใจจงรักภักดีต่อบ้านเมือง เพียงแต่ยังขาดอุบายในรายละเอียด” ทุกคนเห็นเขาโต้แย้งออกมาเช่นนี้ต่างก็ประหลาดใจ หยางซิวใช้นิ้วเคาะโต๊ะ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “รอบจวนสกุลต่งนี้มีสายสืบของกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูอยู่ไม่รู้เท่าไร พวกท่านปลอมตัวเดินทางมาที่นี่ หากถูกหม่านฉ่งสืบทราบฐานะจะทำอย่างไร”

    อู๋ซั่วแค่นเสียงเย็น “คุณชายหยางกังวลเกินไปแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นความลับทีเดียว คนนอกรู้เพียงว่าพวกข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อฉลองวันเกิดให้ขุนพลต่งเท่านั้น ไร้ซึ่งหลักฐาน พวกเขาจะเอาผิดอะไรได้”

    หยางซิวยิ้มน้อยๆ “กองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูเคยต้องการหลักฐานเสียที่ไหน หากข้าเป็นหม่านฉ่ง จะฉวยโอกาสสังหารพวกท่านระหว่างทางกลับจวนคืนนี้ เดิมพันกระดานใหญ่ครั้งนี้ย่อมหายไปในพริบตา”

    “สังหารขุนนางใหญ่ในราชสำนัก? เขากล้าทำอย่างนั้นรึ!”

    “เทียบกับปล่อยให้สวี่ตูวุ่นวาย ค่าตอบแทนแค่นี้พวกเขาจ่ายไหว”

    หยางซิวชี้ประเด็นสำคัญอย่างเย็นชา สามคนที่เหลือต่างเงียบไม่พูดจา หยางซิวถือตราประทับเล่นในมือ นิ้วมือเรียวยาวหมุนมันอย่างคล่องแคล่วเหมือนกำลังเล่นลูกเต๋าอยู่

    จวบจนตอนนี้การต่อสู้ระหว่างเฉาเชากับขุนนางเก่าจากลั่วหยางยังคงอยู่ใต้น้ำ ฝ่ายแรกกุมอำนาจทหารแต่เพียงผู้เดียว ฝ่ายหลังมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า ต่างฝ่ายต่างหวาดระแวงกัน ดังนั้นพวกที่อยู่ระดับสูงจึงยังไม่มีอะไร การต่อสู้จำกัดอยู่ในราชสำนักเท่านั้น

    แต่ทุกคนในที่นี้กระจ่างแจ้งดีแก่ใจ หากเกิดภัยคุกคามที่แน่นอนและส่งผลกระทบต่อรากฐานของเฉาเชา เป็นต้นว่าแผนการที่พวกเขากำลังหารือกันอยู่นี้ คนผู้นั้นต้องใช้วิธีการรุนแรงในการแก้ไขปัญหาแน่ คิดถึงตรงนี้แผ่นหลังของทั้งสามพลันมีเหงื่อเย็นไหลไม่หยุด

    “ตามความคิดของคุณชาย ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี” อู๋ซั่วถามอย่างไม่แสดงอารมณ์ เขาสังเกตเห็นว่าต่งเฉิงไม่พูดอะไรเลย รู้ว่าต้องมีอะไรต่อจากนี้แน่

    หยางซิวหยิบของห้าชิ้นออกมาจากอกเสื้อ วางลงบนโต๊ะทีละชิ้น กลิ่นคาวเลือดรุนแรงคละคลุ้งไปทั่วห้องทันที

    หวังฝูมุ่นคิ้ว เขาคุ้นเคยกับกลิ่นนี้ดี

    นั่นเป็นนิ้วโป้งของคนห้าคน ดูจากรอยเลือดตรงแผล นั่นเป็นนิ้วที่เพิ่งถูกตัดออกมา “ครั้งนี้ข้าจัดการแทนทุกท่านแล้ว สายสืบทั้งหมดห้าคน ต่งกงที่จริงหม่านฉ่งให้ความสำคัญกับวันเกิดของท่านมากจริงๆ” ชายหนุ่มที่ขาวกระจ่างจนดูอ่อนแอเล็กน้อยพูดเสียงเรียบเรื่อย คล้ายกำลังบอกเล่าเรื่องธรรมดาสามัญ ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงพรึงเพริด ไม่รู้เจ้าของนิ้วโป้งทั้งห้านี้จะมีชะตากรรมอย่างไร “คืนนี้มีผู้มาร่วมงานวันเกิดของต่งกงทั้งหมดยี่สิบกว่าคน สายสืบห้าคนนี้เฝ้าอยู่ตรงทางออกข้างนอกทุกทางตลอดเวลา ลอบนับจำนวนคน ดูว่าคนกลุ่มใดบ้างที่ออกมาเป็นกลุ่มสุดท้าย” หยางซิวกวาดตามองฉงจี๋ อู๋ซั่วและหวังฝูด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ทำเอาพวกเขารู้สึกขนลุก “โชคดีที่พวกเขายังไม่ทันกลับไปรายงานก็ถูกข้าสกัดไว้ก่อน ดังนั้นตอนนี้หม่านฉ่งจึงยังไม่รู้ว่าขุนนางที่มาร่วมงานวันเกิดใครบ้างที่มีส่วนร่วมในการใหญ่ของต่งกง”

    พูดถึงตรงนี้หยางซิวก็ส่ายหน้า ใบหน้าฉายความเสียดาย “น่าเสียดายที่การทำเช่นนี้เป็นการดื่มพิษดับกระหาย คืนนี้พวกเราจะปลอดภัย แต่อย่างช้าเช้าวันพรุ่งนี้หม่านฉ่งก็จะรู้ การตายของสายสืบทั้งห้าคนจะทำให้เขาสนใจเรื่องภายในจวนสกุลต่งมากกว่าเดิม หากกองกำลังรักษาเมืองสวี่ตูคิดจะตรวจสอบต้องหาความจริงได้แน่นอน”

    ทุกคนต่างรู้ว่าหยางซิวไม่ได้พูดเกินจริง

    หยางซิวรวบนิ้วเข้าด้วยกัน กำตราประทับแน่น สายตาเยียบเย็น “ดังนั้นก่อนที่เสวียนเต๋อกงจะยึดสวีโจวได้ ขอให้ใต้เท้าทุกท่านปฏิบัติตามคำชี้แนะของข้า อย่าได้ผิดไปแม้แต่น้อย”

    จากนั้นหยางซิวเริ่มแจกแจงบอกทีละขั้นตอนอย่างละเอียดชัดเจน เป็นระเบียบไม่สับสน เขารอบคอบถึงขั้นวางแผนว่าประเดี๋ยวตอนพวกเขาออกจากจวนสกุลต่งจะหลบเลี่ยงสายตาคนอย่างไร ทุกคนต่างเลื่อมใสชื่นชม ผู้คนเล่าลือว่าบุตรชายของหยางเปียวมากด้วยความสามารถ บัดนี้ได้เห็นกับตา เป็นดังว่าจริงๆ

    ครึ่งชั่วยามให้หลัง หยางซิวก็แจกแจงรายละเอียดสุดท้ายเสร็จ ยามนี้พระจันทร์ลอยเด่นกลางท้องนภาแล้ว ทุกคนจึงพากันกล่าวลา แต่ละคนออกจากจวนขุนพลเชอจี้พร้อมความคิดในใจ รอจนทุกคนจากไปหมดแล้ว ต่งเฉิงสั่งข้ารับใช้ยกน้ำชาที่ต้มไว้กับถ้วยทรงข้อไผ่สองใบออกมา บอกให้หยางซิวนั่งลงฝั่งตรงข้าม

    “ใต้เท้าไท่เว่ยยังสบายดีหรือไม่” ต่งเฉิงใช้กระบวยทองแดงตักน้ำชา รินใส่ถ้วยของหยางซิว

    หยางซิวตอบ “สองวันก่อนบิดาออกไปผ่อนคลายข้างนอก เพิ่งกลับมาเมื่อวาน ตอนนี้เขาสบายใจมาก ปลงได้เสียแล้ว ท่องเที่ยวไปในป่าเขาลำธารทุกวัน”

    ต่งเฉิงฟังแล้วอดถอนใจไม่ได้ “หยางไท่เว่ยหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว แต่กลับทิ้งพวกเราไว้ที่นี่ให้จัดการต่ออย่างเหนื่อยยาก”

    “ผู้มีความสามารถย่อมเหนื่อยยาก อีกอย่าง หลานชายมาช่วยท่านเดิมพันแล้วนี่ไง” หยางซิวจิบชาร้อนคำหนึ่ง รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว ยิ้มเช็ดมุมปาก “หากมีเหล้าเหลืองอีกสักหน่อย ประกอบกับลูกเต๋าเสี่ยงโชคอีกสักชุด ย่อมดีเป็นที่สุด”

    ต่งเฉิงหัวเราะเสียงดัง “เจ้านี่ลืมคำว่าเหล้ากับการพนันไม่ได้เลย ไม่รู้จริงๆ ว่าคนสุขุมจริงจังอย่างหยางไท่เว่ย ไฉนจึงมีบุตรชายที่แปลกประหลาดอย่างเจ้าได้”

    ทั้งสองพูดคุยเรื่อยเปื่อยอีกหลายคำ น้ำชาในกาค่อยๆ พร่องไปกว่าครึ่ง ต่งเฉิงพลันถามว่า “เต๋อจู่ เจ้าคิดว่าลงมือครั้งนี้มีโอกาสชนะเท่าไร”

    หยางซิวไม่เสียเวลาคิด ตอบทันทีว่า “จากสถานการณ์ตอนนี้ เกินครึ่งน่าจะเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ”

    “หืม? เพราะเหตุใด” หนังตาของต่งเฉิงยกขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

    “เสวียนเต๋อกงชื่อเสียงโด่งดังก็จริง แต่วิธีการทำศึกกลับไม่ได้เรื่อง อาศัยเขาดึงกำลังหลักจากทัพเฉาเกรงว่าการใหญ่ยากจะสำเร็จ…”

    หยางซิวพูดช้าลง ปลายนิ้วเรียวยาวชี้ไปทางทิศใต้ ริมฝีปากผลิยิ้มเจิดจ้า “ด้วยความระวังรอบคอบของฝ่าบาทกับขุนพลต่ง ย่อมไม่มีทางฝากเดิมพันทั้งหมดไว้ที่หลิวเสวียนเต๋อ คิดว่าคงมีแผนการอื่นอีกกระมัง”

    ต่งเฉิงหัวเราะเสียงดัง ไม่พูดอะไรอีก สองมือประคองถ้วยชา ไอร้อนกรุ่นของน้ำชาทำให้ใบหน้าเขาเลือนรางไม่ชัดเจน

     

    หวังฝูหลังออกจากจวนต่งเฉิงแล้ว ในใจก็ว้าวุ่นยิ่งนัก ด้านหนึ่งเป็นเพราะตัวเองทำงานไม่เต็มที่จนถูกต่งเฉิงตำหนิ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะแผนการครั้งนี้ทำให้เขากระวนกระวายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

    สังหารโจรเฉา สี่คำนี้ยามปฏิบัติขึ้นมาจริงๆ ใช่ว่าจะง่ายดายเหมือนการคัดอักษรลี่ หวังฝูคิดว่าตัวเองไม่ได้มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นอย่างเข้มข้นถึงเพียงนั้น เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง เข้ามาอยู่ในกองทัพเพื่อหาเลี้ยงปากท้องเท่านั้น เหตุใดจึงถูกดึงเข้ามาในน้ำวนที่ซับซ้อนและอันตรายถึงเพียงนี้ได้…ตัวเขาเองก็ยากจะหาคำตอบ ทว่าตอนนี้มิอาจหันหลังกลับได้แล้ว

    หวังฝูโบกมือหมายจะปัดความคิดว้าวุ่นนี้ออกไป เขากุมเชือกบังเหียนเบาๆ ปล่อยให้ม้าเดินช้าๆ ไปบนถนนเล็กแคบที่อยู่ติดกับจวนสกุลต่ง สองข้างทางเป็นบ้านเรือนเล็กเตี้ยของชาวบ้าน ใต้ชายคาเป็นสีดำทั้งแถบ แทบจะชนหัวเขาอยู่แล้ว ตอนนี้กฎห้ามสัญจรยามวิกาลเริ่มขึ้นแล้ว ชาวบ้านทั่วไปล้วนอยู่ในบ้านตัวเอง รอบด้านเงียบสงัด นี่เป็นการจัดการของหยางซิว สามารถหลบเลี่ยงสายตาคนได้ดีที่สุด ในเมื่อหยางซิวบอกว่าถนนสายนี้ ‘สะอาด’ มาก ก็คงเป็นเช่นนั้นจริง

    พอหนึ่งคนหนึ่งม้าเดินมาถึงกลางถนน หวังฝูพลันรู้สึกว่าข้างหลังมีไอสังหารดุดันปรากฏขึ้น เพียงครู่เดียวก็หายไป หวังฝูตอบสนองรวดเร็ว จังหวะที่หันกลับมา มีดสั้นในมือก็กลายเป็นดาวตกสายหนึ่ง พุ่งไปยังมุมหนึ่งของบ้านเรือนชาวบ้าน เสียงโลหะกระทบกันดังแกร๊ง มีดสั้นถูกอะไรไม่รู้ดีดกระเด็นออกมา ปักเฉียงอยู่บนกำแพงดิน

    หวังฝูลอบตกใจเล็กน้อย เมื่อครู่เขาเขวี้ยงมีดออกไปกะทันหัน ลงมือว่องไวยิ่ง แต่อีกฝ่ายกลับต้านทานไว้ได้อย่างง่ายดาย

    “ผู้มาเป็นใคร” เขาตวาดถามเสียงทุ้ม สองตาจ้องไปยังกำแพงอย่างว่องไวดุจสายฟ้าอย่างที่ฝึกฝนมานานปี แต่กลับไม่ตระหนักถึงความเคลื่อนไหวใดๆ คนที่ซุ่มอยู่รับมีดบินของเขาและเปลี่ยนตำแหน่งอย่างเงียบเชียบ ซ่อนตัวอยู่ในความมืดอีกครั้ง หากไม่เพราะไอสังหารเมื่อครู่นี้เปิดเผยออกมา เกรงว่าคนผู้นั้นประชิดเข้ามาข้างหลังแล้วตนยังไม่รู้ตัว

    คิดถึงตรงนี้หวังฝูก็เหงื่อแตกพลั่ก ทั้งตัวเย็นวาบ เขาสูดหายใจลึกชักกระบี่พกออกจากซองกระบี่ข้างตัวม้า กำด้ามกระบี่แน่น ทำท่าตั้งรับ

    เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นข้างหู เหมือนเม็ดทรายจำนวนมากที่ปลิวอยู่กลางสายลม แหบพร่าและแข็งทื่อ “ขุนพลหวังไม่ต้องตกใจ ข้ารับคำสั่งจากคุณชายหยาง คุ้มกันพวกท่านจากไปอย่างลับๆ” เสียงนั้นล่องลอยไม่แน่นอนยากจะระบุตำแหน่ง หวังฝูมองไปรอบด้านแต่กลับหาที่มาของเสียงไม่พบ จึงไม่กล้าคลายความระแวดระวังแม้แต่น้อยและลอบคิดในใจ ที่แท้เป็นคนของหยางซิว สายสืบห้าคนนั้นคงถูกนักฆ่าที่เคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบผู้นี้จัดการกระมัง

    เห็นหวังฝูยังคงทำท่าเหมือนเผชิญกับข้าศึก เสียงนั้นจึงคล้ายจะเปลี่ยนทิศทาง “ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงของกระบี่เร็วสกุลหวังมานาน สกุลหวังกับคุณชายจางและตงฟางอันซื่อโด่งดังทั่วหล้า เห็นท่านขุนพลแล้วจึงเกิดความคิดอยากเอาชนะ คิดไม่ถึงว่าท่านขุนพลจะรู้ตัวทันที นับถือนับถือ”

    หวังฝูตอบ “ผู้น้อยฝีมือย่ำแย่ เทียบกับพี่ชายหวังเยวี่ยแล้วห่างไกลกันนัก…ไฉนสหายจึงไม่ปรากฏตัวออกมาสนทนากันเล่า”

    เงียบไปครู่หนึ่ง เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่กลับตอบไม่ตรงคำถาม “เชิญท่านขุนพลรีบกลับจวนเถอะ ป้องกันมิให้เกิดปัญหาใดๆ”

    หวังฝูคิดจะพูดอะไรอีก แต่เสียงนั้นหายไปแล้ว ลมกลางคืนเยียบเย็นพัดผ่านข้างหู เหลือหวังฝูอยู่บนถนนเล็กที่คับแคบและมืดสลัวแห่งนี้คนเดียว ครั้งนี้เขามั่นใจว่าเงาร่างคล้ายวิญญาณนั้นจากไปแล้วจริงๆ

    ยามนี้เวลานี้ สภาพจิตใจของหวังฝูย่ำแย่กว่าเดิม เขาไม่เชื่อว่านักฆ่าแถวหน้าอย่างนี้จะเปิดเผยร่องรอย ‘โดยบังเอิญ’ ดังนั้นนี่จึงมิใช่การพบกันโดยบังเอิญ แต่เป็นการข่มขู่ การบอกเป็นนัยอย่างชัดเจน

    หวังฝูเชื่อว่าหลังจากอู๋ซั่วกับฉงจี๋กลับไปก็ต้อง ‘ค้นพบ’ ตัวตนของนักฆ่าผู้นั้นด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไปเช่นกัน พอคิดถึงตอนที่ชายหนุ่มคนนั้นหยิบนิ้วเปื้อนเลือดทั้งห้าออกมาเรียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หวังฝูก็รู้สึกหนาวสันหลัง คนประเภทนี้ไม่มีทางไว้ใจคนอื่นอย่างแท้จริง ทว่าตนกำลังวางแผนการลับร่วมกับคนผู้นี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่

    บางทีตั้งแต่เมื่อครู่ตอนอยูในเรือนชั้นใน อีกฝ่ายก็เห็นความหวั่นไหวของเขาแล้วกระมัง หวังฝูอดคิดเยาะหยันตัวเองไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองถลำลึกลงไปมากกว่าที่คิด

    สวี่ตูเดือนสิบสองอากาศหนาวเหน็บ ลมเหนือเย็นเยียบเหมือนมีดแล่เนื้อที่เผาติง* กำแน่นในมือ ก่อนจะแทงเข้าไปอย่างแม่นยำ อาศัยความเฉียบบางของใบมีดแทรกเข้าไปในกล้ามเนื้อทุกส่วนของเมืองหลวงแห่งนี้อย่างดื้อรั้นยืนกราน หวังฝูกระชับชุดคลุมยาวห่อหุ้มตัวเองอย่างมิดชิด ปล่อยให้ม้าเดินไปเรื่อยๆ ตลอดทางพลางขบคิดอย่างว้าวุ่นใจ ไม่ตระหนักถึงเส้นทางที่มุ่งหน้าไปแม้แต่น้อย ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เขาเงยหน้าและพบว่าตัวเองถูกม้าพามาหน้าสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งที่เงียบสงบ

    นี่เป็นบ้านไม้เรียบง่ายหลังหนึ่ง ตั้งอยู่เดี่ยวๆ หน้าประตูมีดอกเหมยที่ตัดออกมาเสียบอยู่ก้านหนึ่ง ดอกไม้ดอกเล็กบนก้านผลิบานท่ามกลางลมหนาว ยามนี้แสงไฟในบ้านดับไปแล้ว คิดว่าคนข้างในคงเข้านอนแล้ว หวังฝูมองไปยังบ้านไม้ กระแสความอบอุ่นผุดขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว ที่นี่เป็นที่พักอาศัยของถังจีภรรยาของจักรพรรดิเส่าตี้หลิวเปี้ยน หลังจากทรงรับตัวนางมาสวี่ตูก็จัดให้นางพักในสถานที่สงบเงียบแห่งนี้ ปกติแม้แต่รถม้ายังไม่ค่อยเห็น บัดนี้ใกล้เข้ายามสองแล้ว ที่นี่จึงยิ่งเงียบสงัดไร้เสียง หวังฝูไม่ได้เคาะประตู เพียงยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างนอกมองหน้าต่างสีดำเคลือบเงาบานนั้นเงียบๆ จินตนาการถึงดวงหน้าสงบยามหลับใหลของสตรีผู้นั้น เขารู้จักหญิงสาวผู้นี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนตอนอยู่ฉางอัน ตอนนั้นหวังฝูยังเป็นจอมยุทธ์ที่เดินทางไปทั่ว ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์หลี่เจวี๋ย กัวซื่อ (กุยกี) ก่อกบฏพอดี เขาถูกกักอยู่ในเมือง หญิงสาวคนหนึ่งมาหาเขาบอกว่าตัวเองชื่อถังอิงและบอกว่าหลี่เจวี๋ยจะบังคับแต่งนางเป็นภรรยา หวังว่าหวังฝูจะช่วยพานางหลบหนีออกจากฉางอัน ทั้งยังมอบปิ่นทองคำกับเครื่องประดับมีค่าหลายชิ้นให้เขาเป็นค่าตอบแทน

    หวังฝูรับคำไหว้วานนี้ ทั้งสองผ่านพ้นอุปสรรคมากมายมาด้วยกัน ในที่สุดก็หนีออกจากฉางอันได้…หวังฝูถึงขั้นถูกหลี่เจวี๋ยฟันดาบหนึ่งเพราะเหตุนี้ ระหว่างหลบหนีเงาร่างแบบบางทว่าแข็งแกร่งของถังอิงค่อยๆ ประทับอยู่ในใจของเขาอย่างลึกซึ้ง

    ในที่สุดเมื่อเขาตัดสินใจเปิดเผยความรู้สึกในใจ หญิงสาวกลับหายตัวไป

    หวังฝูที่สิ้นหวังไปหาสกุลเฉาในมณฑลเหยี่ยนโจว อาศัยวิชายุทธ์ของตนกลายเป็นขุนพล ภายหลังโอรสสวรรค์ย้ายมาสวี่ตู ออกราชโองการตามหาภรรยาม่ายของจักรพรรดิเส่าตี้หลิวเปี้ยน ภารกิจนี้ถูกมอบหมายให้หวังฝู ให้อย่างไรหวังฝูก็คิดไม่ถึงว่าถังจีผู้นั้นจะเป็นถังอิงหญิงสาวที่ตนเฝ้าคิดถึง

    ขุนพลสกุลเฉาคนหนึ่งกับชายาม่ายของโอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์ฮั่น หวังฝูรู้ว่าเรื่องนี้แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีจุดจบ เว้นเสียแต่จะเกิดกบฏครั้งใหญ่เหมือนในฉางอัน…หวังฝูเลื่อนสายตาไปยังพระราชวังหลวงไกลออกไปและยิ้มหยันตัวเอง เบนหัวม้าออกและจากไปเงียบๆ เขานึกขึ้นได้แล้วว่าตอนแรกเหตุใดตนจึงเข้ามามีส่วนร่วมในแผนการนี้

    ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้ราชวงศ์ฮั่นกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง แต่มิใช่เพื่อฝ่าบาทท่านเขาคิด

     

    3 of 3หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook