• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 1 ตอน 1

    [เนื้อหมูส่วนคาง]

    ความสด : 87%

    แหล่งที่มา : ฮเวงซอง เกาหลี

    คุณภาพ : สูง

     

    “เนื้อส่วนคางนี่นา”

    มันเป็นส่วนของเนื้อหมูที่มินจุนชอบที่สุด เพราะมีความหอมมันและรสชาติดีกว่าเนื้อส่วนคอหรือหมูสามชั้น แถมความรู้สึกเวลาเคี้ยวในปากก็จะหนึบกว่าด้วย น่าจะเข้ากับน้ำซุปจัมปงได้ดี แต่ต้องสับ เพราะถ้าไม่สับ สัมผัสพิเศษของเนื้อส่วนคางจะไม่เข้ากันกับเส้น พอคิดได้ดังนั้นเขาก็หยิบมีดออกมาจากที่เสียบหนึ่งเล่มแล้วเริ่มสับอย่างพิถีพิถัน ขั้นตอนการหั่นและสับนั้นเป็นขั้นตอนที่เขาใส่ใจที่สุดในการทำอาหาร คนทั่วไปอาจจะคิดว่าแค่หั่นให้ได้รูปร่างก็พอแล้ว แต่ความจริงแล้วรสชาติและหน้าตาของอาหารนั้นจะแตกต่างกันตามการใช้มีด ถ้ามีดไม่คม เวลาสับเนื้อก็จะไม่ขาดออกจากกัน ทำให้ดูรุ่งริ่งเหมือนเศษผ้าขี้ริ้ว

    พอได้เห็น อาราก็อึ้งจนอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

    “พี่ใช้มีดเก่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

    “เก่งมานานแล้ว”

    มินจุนยิ้มมุมปาก ความจริงแล้วการที่เขาใช้มีดได้ดีขนาดนี้เป็นเพราะเขาทำงานเป็นลูกมือที่ร้านอาหาร วันๆ ได้แต่หั่นหัวหอม สับกระเทียม ตอนนั้นทุกข์ใจอยู่ทุกวัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันมีค่ามาก แต่ถ้าให้กลับไปช่วงนั้นอีกก็คงไม่เอาแล้ว

    หลังสับเนื้อหมูเสร็จมินจุนก็นำไปพักไว้ในชาม แล้วหันมาปอกหอมกับกระเทียม จากนั้นใช้ด้านข้างของมีดกดลงไปที่หอมกับกระเทียมก่อนสับให้ละเอียด ส่วนต้นหอมก็หั่นให้ยาวคล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยว ภาพที่ได้เห็นทำให้อาราถึงกับอ้าปากค้าง แค่สับเนื้อก็เร็วขั้นเทพแล้ว สับหอมกับกระเทียมนี่ยิ่งเร็วสุดๆ ฝีมือไม่ธรรมดาแน่นอน ทั้งเร็วและทั้งชำนาญเหมือนในรายการทีวีเลย

    “แม่! พี่สับเก่งมาก!”

    “เออ”

    อาราตะโกนเสียงดังลั่น แต่ฮเยซอนกลับตอบแบบขอไปทีราวกับรำคาญ แค่สับเก่งมันจะแค่ไหนกันเชียว ระหว่างนั้นมินจุนก็ยกกระทะเหล็กแบบจีนมาวางบนเตาแล้วเทน้ำมันพืชลงไปในปริมาณที่พอเหมาะ เมื่อไฟร้อนได้ที่ก็เอาหอมกับกระเทียมที่สับไว้ใส่ลงไป ทันทีที่ความชื้นได้พบกับน้ำมันอันร้อนระอุ เสียงฉู่ฉ่าก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ดีต่อใจมาก แต่บางครั้งน้ำมันก็กระเด็นมาโดนหลังมือซึ่งเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ข้างๆ กันนั้นเขาตั้งหม้อต้มน้ำรอไว้ การเทน้ำเดือดลงไปบนเครื่องที่เจียวไว้ย่อมดีกว่าเทน้ำเย็น

    กลิ่นหอมกับกระเทียมช่างเตะจมูกดีเหลือเกิน พอเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาลราวกับสีของข้าวติดก้นหม้อเขาก็เอาเนื้อหมูส่วนคางที่สับไว้ลงไปผัด น้ำมันพืชกับน้ำมันจากเนื้อหมูเริ่มผสมเข้ากัน ควันถูกดูดเข้าไปในเครื่องดูดควัน แล้วเนื้อหมูส่วนคางก็กลายเป็นสีเหลืองอ่อน

    จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการใส่พริกป่น มินจุนไม่รอช้า โรยพริกป่นลงไป ตามด้วยซอสหอยนางรม จากนั้นก็หยิบใบหัวผักกาดแห้งใส่ลงไปหนึ่งกำมือ อาราที่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ จึงพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ตะขิดตะขวงใจ

    “มันใช่เหรอ ใส่ใบหัวผักกาดแห้งลงไปแบบนั้นอ่ะ นี่ไม่ใช่ซุปมันฝรั่งซี่โครงหมูซะหน่อย”

    “น่าจะได้นะ”

    “ว่าไงนะ”

    ที่เขาไม่สามารถตอบได้เต็มปากก็เพราะมันเป็นสิ่งที่เขายังไม่เคยทำนั่นเอง แต่เขาคิดว่ากลิ่นของใบหัวผักกาดแห้งน่าจะเข้ากับจัมปงได้เป็นอย่างดี มันอาจจะเป็นจัมปงสไตล์เกาหลีชนิดหนึ่งก็ได้ ใจจริงเขาอยากใส่ผักชีด้วย แต่ติดตรงที่อาราไม่ชอบผักชี และมันอาจจะใกล้เคียงกับอาหารไทยไปเลย

    “พี่ ขอชิมสักคำสิ”

    “แป๊บนึงนะ”

    มินจุนใช้ช้อนตักเนื้อหมูขึ้นมาแล้วยื่นให้ พอได้ลองชิมไปหนึ่งคำ อาราก็ยิ้มร่า

    “หนูชอบอ่ะ”

    “พี่ก็ชอบเหมือนกัน”

    มินจุนชิมหนึ่งคำพร้อมกับพยักหน้าพึงพอใจกับรสชาติที่ได้

    “ไม่ต้องใส่เส้นไม่ต้องใส่น้ำซุป กินเป็นเมนูผัดเฉยๆ ได้เลยนะเนี่ย”

    “ถ้ากินเป็นเมนูผัด พอกินไปเรื่อยๆ มันจะเค็มเกินไป”

    “มันอร่อยจริงๆ นะ”

    มินจุนหันไปมองหม้อที่ต้มน้ำแยกเอาไว้ น้ำกำลังเดือดได้ที่แล้ว เขาจึงยกหม้อแล้วค่อยๆ เทลงกระทะ เสียงฉู่ฉ่าดังขึ้นทันทีแล้วค่อยๆ เงียบลง จากนั้นก็คนสิ่งที่อยู่ในกระทะให้เข้ากัน กลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วบ้าน

    “จะอร่อยมั้ยนะ”

    “คราวหน้าอย่ามาขอให้ทำอีกก็แล้วกัน”

    มินจุนปล่อยให้สิ่งที่อยู่ในกระทะเดือดแล้วหันไปหยิบหัวหอมวางบนเขียง จากนั้นก็ตัดขั้วแล้วหั่นตามแนวขวาง โดยใช้เวลาจัดการหัวหอมหนึ่งหัวแค่สิบวินาทีเท่านั้น จนอาราถึงกับประทับใจและประหลาดใจไปพร้อมกัน

    “จริงๆ แล้วพี่เรียนทำอาหารที่มหาวิทยาลัยใช่มั้ย”

    “นี่คือจะชม?”

    “ก็…แค่ไม่อยากจะเชื่อ พี่ทำอาหารเก่งมาก นี่พี่มินจุนพี่ชายหนูจริงๆ เหรอ”

    มินจุนได้แต่ยิ้มมุมปากเพราะเขาไม่รู้ว่าจะตอบอะไร จะให้ตอบว่าเรียนรู้เองงั้นเหรอ เวลาอยู่บ้านยังไม่ค่อยจะมีเลย แล้วจะให้ไปฝึกทำตอนไหน เขาจึงเลือกที่จะไม่ตอบอะไร

    “เรียบร้อย เอากะหล่ำปลีมาให้หน่อย”

    อาราทำตามคำสั่งโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ มินจุนรับกะหล่ำปลีมาแล้วเริ่มซอยในแนวดิ่ง ถ้ามันใหญ่เกินไปก็อาจจะเอาเข้าปากไม่ได้แถมใช้เวลาเคี้ยวนาน พอเสร็จแล้วก็ใส่กะหล่ำปลีลงไปก่อน รอประมาณหนึ่งถึงสองนาทีแล้วจึงใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวลงไปพร้อมกับหัวหอม

    ก๋วยเตี๋ยวที่ต้มเส้นไปพร้อมกับน้ำซุปแบบนี้ว่าเชมุลกุกซู มีข้อเสียตรงแป้งจากเส้นที่ละลายออกมาจะทำให้น้ำซุปข้น แต่ในทางกลับกันก็มีข้อดีตรงที่แป้งนั่นทำให้รสชาติของเครื่องทั้งหลายรวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แต่โดยส่วนตัวแล้วมินจุนชอบคอนจินกุกซู ก๋วยเตี๋ยวที่ต้มเส้นแยกแล้วค่อยเทน้ำซุปใส่ทีหลังมากกว่า เพราะเขาชอบรสชาติที่นุ่มละมุนของมัน แต่ที่ไม่ทำในตอนนี้ก็ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ‘ขี้เกียจ’

    คอนจินกุกซูมีขั้นตอนการทำมากกว่าสองถึงสามขั้นตอน แต่ถึงกระนั้นรสชาติของเชมุลกุกซูก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคอนจินกุกซูเลย ต่างกันแค่เพียงความชอบเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาเหนื่อยทำ แถมยังลดความยุ่งยากได้อีกต่างหาก

    มินจุนใช้ตะเกียบคลี่เส้นอย่างละเมียดละไมแล้วต้มต่อไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็มีหน้าต่างข้อมูลเด้งขึ้นมา

     

    [จัมปงเนื้อหมูส่วนคาง]

    ความสด : 94%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง (เฉลี่ยวัตถุดิบ)

    คะแนน : 5/10

     

    คะแนนออกมาแค่ห้าเอง แต่ซูเฟล่เลมอนที่ได้หกคะแนนกลับอยู่ในเกณฑ์ที่ทำขายให้คนกินได้เลย แค่ห้าคะแนนเนี่ยกินไปแล้วมันจะโอเคเหรอ เขาตักจัมปงใส่ชามอย่างผิดหวังกับคะแนน

    “เฮ้อ พ่อน่าจะอยู่นะ”

    อาราบ่นพึมพำอย่างเสียดาย แต่พูดไม่ทันขาดคำเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น โชซูย็อบเดินเข้าบ้านมาพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด

    “กลิ่นอะไรเนี่ย ซื้อจัมปงมากินเหรอ”

    “เปล่าค่ะ พี่เค้าทำเอง พ่อรีบมากินเร็ว”

    อาราดึงมือซูย็อบด้วยสีหน้าที่ภูมิใจราวกับตัวเองเป็นคนทำ ซูย็อบมองดูจัมปงที่ถูกจัดเตรียมอยู่บนโต๊ะอาหารแล้วยิ้มกว้างออกมา

    “นี่มินจุนทำเองเหรอ”

    “ว่างๆ เลยลองทำดูครับ”

    มินจุนพูดพลางจัดตะเกียบ ซูย็อบจึงนั่งลงอย่างลังเลราวกับไม่เชื่อว่าจัมปงที่วางอยู่ตรงหน้านั้นเป็นฝีมือของลูกชาย ระหว่างนั้นฮเยซอนเดินมาที่โต๊ะอาหารแล้วก็พูดว่า

    “ตอนกลางวันมินจุนก็ทำขนมที่หน้าตาเหมือนเค้กให้กินด้วย เรียกว่าอะไรนะ ซู…”

    “ซูเฟล่ ซูเฟล่เลมอน”

    “นั่นแหละๆ อยากจะเหลือไว้ให้คุณเหมือนกัน แต่มันมีนิดเดียว ไว้วันหลังให้มินจุนทำใหม่นะ”

    “ทำของแบบนั้นเป็นด้วยเหรอ พ่อชักเริ่มสงสัยแล้ว”

    แล้วมินจุนก็ตบมือ

    “กินกันได้แล้ว เดี๋ยวเส้นจะอืดหมด”

    “โอเค กินกันเถอะ”

    ซูย็อบกุมมือแล้วหลับตาลง ครอบครัวนี้นับถือศาสนาคริสต์จึงถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องขอพรก่อนมื้ออาหาร มินจุนเองก็กุมมือและสวดขอพรเช่นกัน

    ขอให้อร่อยกันนะทุกคน

    ไม่ว่าเชฟจะฝีมือดีหรือได้คะแนนมากแค่ไหน แต่ความสุขของเชฟทุกคนก็คือคำคำเดียว นั่นคือคำชมว่าอร่อย

    ทุกคนหยิบตะเกียบอย่างพร้อมเพรียงแล้วคีบเส้นขึ้นมา เส้นแบนๆ ใสๆ มองผ่านๆ เหมือนกับเส้นลิงกิวนี*จะเรียกว่าพาสต้าจัมปงก็ได้นะ มินจุนแอบยิ้มให้กับความคิดที่แวบเข้ามาในหัว มียุคหนึ่งที่คนนิยมการทำอาหารแบบผสมผสานเช่นนี้

    ความรู้สึกแรกทันทีที่เส้นเข้าไปในปากก็คือรสชาติของพริกป่นที่เผ็ดร้อนจนขึ้นจมูก ในนั้นยังมีรสหวานกับรสเค็ม พร้อมกับกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อหมู อร่อยมาก ไม่แพ้จัมปงในร้านอาหารจีนแถวบ้านเลย

    พอหันไปมองหน้าของสมาชิกในครอบครัว มินจุนก็สัมผัสได้ถึงความพึงพอใจ ต่างคนต่างคีบเส้นขึ้นมาอย่างไม่หยุดมือ ซูย็อบถึงขั้นยกชามขึ้นมาซดน้ำ ภาพนี้ทำให้คนทำชื่นใจมาก แล้วหน้าต่างก็เด้งขึ้นมาอีกครั้ง

     

    [ลูกค้าพอใจกับจัมปงเนื้อหมูส่วนคาง]

     

    ใช้คำว่าลูกค้าอาจจะดูแปลกๆ ไปสักหน่อย แต่มันก็ดีเหมือนกัน มินจุนฉีกยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า

    “อร่อยมั้ยทุกคน”

    “อร่อยไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย รสชาติเหมือนที่กินในร้านอาหารจีนเลยล่ะ”

    “อาจจะต่างกันเล็กน้อยเพราะไม่ได้ใส่อาหารทะเล และยังขาดกลิ่นหอมไหม้ๆ ด้วย”

    ความจริงแล้วกลิ่นไหม้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย เพราะเดี๋ยวนี้มีซอสปรุงรสสำหรับเพิ่มกลิ่นไหม้วางขายอยู่ทั่วไปจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการใช้ไฟแรงๆ เพื่อทำเกิดกลิ่นไหม้อีกต่อไปแล้ว ถึงแม้จะไม่มีซอสหรือใช้ไฟแรงๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีทำกลิ่นไหม้ เพียงเคี่ยวน้ำมันพืชกับน้ำตาลให้ร้อนพอดีๆ แค่นี้ก็จะได้กลิ่นไหม้ออกมาแล้ว อาจจะเป็นวิธีที่ดูฉาบฉวยไปหน่อย แต่ก็ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน วิธีไหนก็ใช้ได้เหมือนกันนั่นแหละ

    จัมปงเป็นอาหารที่มีขั้นตอนการทำที่จุกจิก แถมยังทำกำไรได้ไม่เยอะมากเมื่อเทียบกับราคาต้นทุน ถ้าจะให้เหนื่อยทำกินเองที่บ้าน ขอเลือกสั่งมากินดีกว่า

    “มีอีกมั้ย ของพ่อหมดแล้ว”

    “มีครับ รอแป๊บนึง”

    มินจุนยกกระทะแล้วใช้ทัพพีตักจัมปงใส่ชาม ซูย็อบจึงยิ้มแฉ่งแล้วหันไปพูดกับฮเยซอน

    “มินจุนทำอาหารเก่งกว่าคุณอีกนะเนี่ย”

    “อะไรกัน คราวก่อนคุณยังชมว่าฝีมือฉันสุดยอดอยู่เลยนะ”

    “เอ่อ พูดตรงๆ นะ ของคุณเนี่ยไม่เค็มไปก็จืดไปเลย ไม่มีอะไรพอดี”

    ซูย็อบพูดหยอกพร้อมฉีกยิ้ม แม้ฮเยซอนจะรู้สึกเคือง แต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร เพราะเธอก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องการทำอาหารจริงๆ เธอจึงเลือกที่จะหันไปสะกิดอาราแทน

    “อาราหยุดกินได้แล้ว เดี๋ยวก็อ้วนหรอก”

    “อะไรอ่ะ หนูอยู่แค่มอหกเอง วัยนี้เป็นวัยกำลังกินเลยนะแม่”

    “ไปทำการบ้าน อ่านหนังสือได้แล้ว ไม่รู้เหรอว่าจัมปงมันทำให้อ้วน”

    “รู้แล้ว แต่หนูก็ไม่ได้อ้วนสักหน่อย แม่ดูตัวเองเถอะ ช่วงนี้ดูแน่นๆ นะ”

    มินจุนแอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ

     

    “แข่งรอบคัดเลือกจัดในเดือนมีนาคม…”

    มินจุนจ้องมองข้อมูลบนมือถือที่แสดงวันแข่งขันรอบคัดเลือกของแกรนด์เชฟซึ่งอยู่หลังจากที่เขาปลดประจำการทหารอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาสมัครเข้าเรียนไม่ทันเทอมหนึ่งเลยกำลังรอให้ถึงเทอมสองก่อน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปแข่งขันในเดือนมีนาคมไม่ได้

    เขากรอกใบสมัครแล้วส่งไปทางอีเมล ถ้าให้เฉพาะคนอเมริกันเข้าร่วมการแข่งขันก็คงจะใจร้ายน่าดู แต่โชคดีที่ไม่เป็นอย่างนั้น ทีนี้ก็เหลือแค่บอกพ่อแม่ว่าจะไปเที่ยว

    เขาไม่ค่อยสบายใจนักที่จะต้องโกหก แต่มาลองคิดดูแล้วก็ใช่ว่าจะโกหกไปเสียทั้งหมด ยังไงก็ต้องไปเที่ยวด้วยอยู่แล้ว แค่มีจุดประสงค์อื่นแฝงอยู่เท่านั้นเอง แม้จะไม่สบายใจเท่าไหร่ แต่ช่วยไม่ได้

    มินจุนจ้องมองหน้าจอมือถือด้วยสายตาที่เฉียบคม

    “ถึงจะไม่ชนะ…”

    ไม่สิ

    “ชนะ ต้องชนะ”

    เขาจะคิดถึงความพ่ายแพ้ไม่ได้อีกแล้ว

     

     

    3

    ถนน 92 มหานครนิวยอร์ก

     

    “แกรนด์เชฟ ซีซั่นสาม…ผู้ชนะคือคาย่า โลตัส”

    มินจุนเขียนสิ่งที่พอจำได้ลงบนสมุดบันทึก ซีซั่นสามที่ออกอากาศในปี 2010 นั้นเขาไม่ได้ดูทุกตอน แต่อย่างน้อยก็ยังพอจำไฮไลต์สำคัญได้ จำได้ว่าผู้ชนะเป็นใคร เก่งแค่ไหน ซึ่งผู้ชนะเป็นเชฟที่เขายอมรับมาก น่าจะเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ถูกยกย่องว่าเก่งที่สุดในรายการก็ว่าได้ แถมยังเป็นผู้ชนะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอีกด้วย เธอเป็นคนผิวขาว อายุแค่สิบแปดปีเท่านั้น หน้าตาสะสวย พูดสำเนียงอังกฤษแบบบริติช และการมาจากครอบครัวยากจนทำให้เธอเป็นซินเดอเรลล่าที่สมบูรณ์แบบที่สุด

    แม้การพูดการจาจะมีคำสบถหลุดออกมาบ่อยๆ แต่อาหารที่อยู่บนจานของเธอกลับไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ไม่ได้รับคำชมจากคณะกรรมการ ฝีมือการทำอาหารล้ำเลิศจนแทบไม่น่าเชื่อว่าไม่เคยเรียนทำอาหารมาก่อน แม้แต่ในเกาหลีเองชื่อของ ‘คาย่า โลตัส’ ยังโด่งดังถึงขนาดขึ้นไปอยู่บนคำค้นหาแบบเรียลไทม์เลยทีเดียว

    เราจะล้มเธอได้มั้ยนะ

    แกรนด์เชฟเป็นสงครามของเชฟที่ตัดสินแพ้ชนะจากฝีมือการทำอาหารล้วนๆ ผู้เข้าแข่งขันไม่จำเป็นต้องมีแบ็กกราวนด์ใดๆ แต่คาย่า โลตัสคือบ่อน้ำที่มิอาจวัดความลึกได้ ทำไมถึงต้องเป็นซีซั่นสามด้วยนะ เธอคือปีศาจร้ายที่เขามิอาจต่อกรด้วยได้เลย

    “อาวุธที่เรามีคือระบบกับความรู้ แต่เธอมีพรสวรรค์…”

    แม้จะไม่ได้รู้ทุกเรื่อง แต่มินจุนก็พอจำได้ว่ารายการมีภารกิจในรูปแบบไหนบ้าง ถ้าไปอยู่ในสถานการณ์จริงคงจะทำได้ อย่างภารกิจชิมอาหาร สมมติต้องชิมเครปแล้วให้บอกส่วนผสม เขามั่นใจว่าตัวเองจะรู้ส่วนผสมทุกชนิดอย่างไม่ผิดพลาด และถ้าชิมแล้วเกิดต้องทำมันออกมา เขาก็สามารถทำอาหารที่มีรสชาติเหมือนกันได้ เพราะเขารู้สูตรอาหารที่ตัวเองได้ลองชิม แต่เขาจะรู้เฉพาะอาหารที่มีเลเวลต่ำกว่าเลเวลการชิมของตัวเองเท่านั้น

    และเลเวลของเขาในตอนนี้คือ…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook