• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่มที่ 1 ตอนที่ 4

    5 of 5หน้าถัดไป

    หลังจากปลาไหลย่างของคาย่า นี่เป็นอาหารแปดคะแนนจานแรกที่ได้เห็น ไม่เพียงมินจุนที่อ้าปากค้างและอยากชิมเท่านั้น แต่เสียงอื้ออึงยังดังมาจากบรรดาผู้เข้าแข่งขันที่อยู่บนชั้นสอง

    “ต้องการคนชิมมั้ย”

    “ที่จริงก็ไม่จำเป็นหรอกนะ หรือนายอยากชิม?”

    โคลอี้แกล้งหยอก มินจุนจึงพยักหน้ารับ โคลอี้จึงใช้ตะเกียบคีบเอ็นหอยและผักกวางตุ้งไต้หวันมาวางลงบนช้อน ยื่นให้มินจุน

    ช่างเป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบอะไรเช่นนี้ รอยบั้งบนเอ็นหอยงดงามราวกับงานแกะสลัก สีเขียวของผักกวางตุ้งไต้หวันก็ช่วยทำให้ความเข้มข้นของซอสแดงละมุนลง พอได้ลิ้มรสชาติก็พบว่าซอสได้ซึมเข้าไปตามรอยบั้งจนทำให้เอ็นหอยชุ่มฉ่ำไปทั้งชิ้น ขนาดมินจุนไม่ค่อยชอบอาหารที่มีรสชาติเข้มข้นก็ยังถึงกับประทับใจในรสชาตินี้ เอ็นหอยมีกลิ่นของทะเลหลงเหลืออยู่อย่างพอดี ไม่รู้สึกคาวเลยสักนิด ผักกวางตุ้งไต้หวันก็ไม่ได้ถูกใส่ลงไปเฉยๆ แต่มันช่วยทำให้รสชาตินุ่มนวลขึ้น ทุกคำที่กัดลงไปตรงส่วนก้านจะมีน้ำของผักไหลออกมาช่วยล้างปาก มินจุนถึงขนาดแปลกใจที่ผักกวางตุ้งไต้หวันเพียงอย่างเดียวจะสามารถช่วยล้างรสชาติที่เข้มข้นของซอสได้

    แต่พอนึกขึ้นได้ว่ารายการแกรนด์เชฟที่ตัวเขาเคยได้ดูในอนาคตไม่มีชื่อของโคลอี้ปรากฏอยู่ในผู้ผ่านเข้ารอบสิบคน เขาก็สงสัยอย่างมาก

    เป็นไปได้ยังไงกัน

    แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งคิดตอนนี้ คิดไปก็ไม่มีทางหาคำตอบได้ มินจุนมองไปที่เต้าหู้อ่อนทอด ตอนนี้น้ำมันคงจะสะเด็ดออกไปจนหมดแล้ว เวลาทำอาหารก็ใกล้จะหมดแล้วเช่นกัน เขาจึงค่อยๆ ย้ายเต้าหู้อ่อนไปวางลงในซอส

     

    [อะเกะดาชิโทฟุ]

    ความสด : 90%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง (เฉลี่ยวัตถุดิบ)

    คะแนน : 7/10

     

    ได้เจ็ดคะแนน เขาเคยคิดว่าถ้าทำได้ระดับนี้ตลอดก็คงจะดี เคยคิดว่ามันเป็นคะแนนที่เหมาะสม แต่ตอนนี้ความรู้สึกยามมองดูตัวเลขนั้นกลับไม่สร้างความพึงพอใจเหมือนที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะนึกถึงปลาไหลย่างของคาย่า และนึกถึงรสชาติที่เข้มข้นของเอ็นหอยราดซอสที่เพิ่งกินไปก่อนหน้านี้

    มินจุนตักเต้าหู้อ่อนทอดหนึ่งชิ้นเข้าปาก สัมผัสที่ขรุขระของแป้งทอด รสของน้ำมันจากตัวแป้งทอด และความกลมกล่อมของเต้าหู้ มันไม่ได้ทำให้เขาพอใจเลย เป็นเพราะรสชาติยังไม่ดีพอหรือเป็นเพราะเจ็ดคะแนนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากันแน่นะ ถ้าไม่ได้มองเห็นคะแนนที่เด้งขึ้นมาจะทำให้เขาพอใจกับเต้าหู้อ่อนทอดจานนี้หรือเปล่า

    “หมดเวลาแล้วครับ ทุกคนกรุณาวางมือด้วย!”

    อลันตะโกนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

    “จะทำการตัดสินทีละทีม โคลอี้ มินจุน มาร์โค่ กรุณานำอาหารของพวกคุณออกมาครับ”

    เมื่ออาหารของทั้งสามคนถูกวางเรียงกัน เอมิลี่ก็ถามขึ้น

    “เต้าหู้อ่อนทอดแบบญี่ปุ่น เอ็นหอยผัดแบบจีน และบิสกิต…เป็นอาหารที่หลากหลายวัฒนธรรมมาก พวกคุณคิดว่ามันจะเข้ากันมั้ยคะ”

    คนที่ตอบคำถามนั้นก็คือโคลอี้

    “ฉันคิดว่ามันเข้ากันดีได้ค่ะ ก็เหมือนกับทีมของฉันที่ต่างเชื้อชาติ แต่ก็เข้ากันได้อย่างดีไงคะ”

    “หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะคะ”

    เอมิลี่พูดทิ้งท้ายแล้วหั่นเต้าหู้อ่อนทอด แป้งติดกับตัวเต้าหู้เป็นอย่างดี ในระหว่างที่หั่นก็ไม่มีแป้งหลุดเละออกมา แค่นี้ก็ทำให้เอมิลี่พอใจไปครึ่งหนึ่งแล้ว อย่างน้อยๆ ก็สำหรับเมนูเต้าหู้อ่อนทอด จากนั้นเอมิลี่ก็ตักเต้าหู้เข้าปากพร้อมซอส ลักษณะการเคี้ยวของเอมิลี่ดูก็รู้ว่าเต้าหู้นั้นทำออกมาได้ดีมาก รสชาติแผ่กระจายไปทั่วปาก ไม่ได้รู้สึกถึงความเลี่ยนของน้ำมันเลยสักนิด ซอสที่ทำจากซีอิ๊วใส่น้ำมะนาวลงไปเล็กน้อยทำให้รู้สึกสดชื่นราวกับกำลังกินสลัดอยู่

    ช่างเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยที่ยอดเยี่ยมมาก ถือว่าทำได้ดีในการแข่งขันระดับมือสมัครเล่นแบบนี้ ความจริงไม่ว่าจะเป็นเต้าหู้แบบไหน ถ้าทำเสร็จใหม่ๆ ก็อร่อยทั้งนั้น แต่การที่จะกักเก็บรสชาติของเต้าหู้เอาไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย เต้าหู้อ่อนทอดของมินจุนจานนี้ถือว่าไร้ที่ติ แม้ไม่ได้มีเทคนิคพิเศษอะไร แต่รักษารสชาติที่เป็นพื้นฐานเอาไว้ได้อย่างดี ซึ่งโจเซฟกับอลันก็คิดแบบเดียวกัน การใส่น้ำมะนาวอาจจะดูเสี่ยง แต่ถ้าใส่ลงไปในปริมาณพอเหมาะก็จะทำให้กลิ่นของซอสอยู่ในขอบเขตที่ไม่ทำลายรสชาติหลัก

    นั่นเป็นการตอกย้ำความคิดของโจเซฟที่ว่ามินจุนเป็นอัจฉริยะในการคิดพลิกแพลงสูตรอาหาร แม้จะไม่ถึงกับเป็นการคิดค้นที่แปลกใหม่นัก แต่สูตรอาหารของมินจุนก็รักษาตัวตนของวัตถุดิบหลักเอาไว้

    อายุเพียงเท่านี้ก็เข้าใจองค์ประกอบของรสชาติแล้วเหรอเนี่ย

    โจเซฟถามเพื่อคลายความสงสัย

    “มินจุน การใส่น้ำมะนาวลงไปเป็นความคิดของใคร”

    “ผมคิดขึ้นมาเองครับ”

    “แล้วเคยลองทำมาก่อนรึเปล่า”

    “เคยครับ มันแปลกเหรอครับ”

    โจเซฟได้แต่เงียบ ไม่ตอบอะไร การจะหาจุดร่วมของรสชาติได้ขนาดนี้หมายความว่าต้องเคยทำอาหารมามากมาย แต่ว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ อายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง ต่อให้ใช้ชีวิตอยู่ในครัวมาตลอดก็น่าจะเป็นไปได้ยากที่จะเคยทำอาหารมามากมายขนาดนั้น

    ระหว่างนั้นเอมิลี่กับอลันก็ตักเอ็นหอยใส่ปาก อร่อยมาก!แม้เอ็นหอยจะมีความอร่อยในตัวเองอยู่แล้ว แต่เมื่อได้กินหลังจากเต้าหู้อ่อนทอดที่ให้รสชาติสดชื่นก่อนหน้านี้ก็ยิ่งทำให้อร่อยกว่าเดิม ลิ้นรับรู้ได้ถึงรสหวานและเค็มของซอสที่ชุ่มอยู่ตามรอยบั้งของเอ็นหอย และสัมผัสหนึบหนับของเอ็นหอยก็ช่วยสร้างความมีชีวิตชีวาขึ้นในปาก ช่างเป็นรสชาติที่กลมกลืนงดงาม โจเซฟผ่อนคลายตัวเองลงเพื่อค่อยๆ ซึมซับรสชาติที่หลงเหลืออยู่ในปาก แม้เขาจะเป็นเชฟอันดับต้นๆ ของโลก แต่ความรู้สึกต่างๆ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งความรู้สึกที่ดึงดูดให้เขามาเป็นเชฟ ความรู้สึกที่อยากกินของอร่อย ซึ่งเอ็นหอยจานนี้ทำให้ทั้งโจเซฟ อลันและเอมิลี่รู้สึกประทับใจมาก

    จานสุดท้ายที่วางอยู่คือมอคค่าบิสกิตที่มีโยเกิร์ตท็อปอัพอยู่ด้านบน มอคค่าบิสกิตรูปสี่เหลี่ยม ทันทีที่กินเข้าไปกลิ่นกาแฟก็กระจายท่ามกลางสัมผัสกรุบกรอบ ในขณะเดียวกันก็มีรสเปรี้ยวของโยเกิร์ตช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นอยู่ในปาก เป็นรสชาติในแบบที่จะไม่สามารถทำออกมาได้เลยหากไม่เข้าใจส่วนประกอบของของหวานเป็นอย่างดี แม้กรรมการจะเข้มงวดขนาดไหนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้กับความอร่อยนี้

    พอเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของกรรมการ มินจุนก็รู้สึกโล่งใจ มอคค่าบิสกิตของมาร์โค่ได้เจ็ดคะแนน ดูจากเลเวลการทำของหวานของมาร์โค่ที่ได้เลเวลเจ็ดแล้วจึงไม่ถือว่าเป็นผลงานที่ผิดพลาด แต่ก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ดี เพราะนอกเหนือจากคะแนนทำอาหารของแต่ละคนแล้วเขาก็ไม่มั่นใจในความกลมกลืนของอาหารสามจานนี้มากนัก

    การชิมยังคงดำเนินต่อไป กรรมการกำลังตรงไปยังอาหารของทีมคาย่า คาย่าทำอาหารเรียกน้ำย่อยซึ่งก็คือแซลมอนทาทากิ*สลัด

     

    [แซลมอนทาทากิสลัด]

    ความสด : 92%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง (เฉลี่ยวัตถุดิบ)

    คะแนน : 8/10

     

    แปดคะแนนเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมเหมือนเคยตามแบบฉบับของคาย่า แต่มินจุนไม่สามารถมองอาหารนั้นด้วยความรู้สึกที่ดีนัก

    “นี่คืออาหารเรียกน้ำย่อยเหรอครับ”

    “ใช่ค่ะ”

    “น่าจะใกล้เคียงกับอาหารจานหลักมากกว่านะ เพราะแค่เห็นก็รู้สึกหนักท้องแล้ว”

    คำพูดของอลันกำลังสื่อคำในใจของมินจุนออกมา พูดให้ตรงเข้าไปอีกก็คือความในใจของทุกคนที่นี่ สู้แล่ปลาแซลมอนออกมาเป็นซาชิมิเลยน่าจะดีกว่า แต่ทาทากินั้นจะให้รสชาติของไฟ มันจึงดูหนักเกินกว่าจะเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย คาย่ามองอลันโดยไม่พูดอะไร สุดท้ายแอนเดอร์สันที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดออกมาราวกับทนไม่ไหว

    “ขอโทษครับ ความจริงแล้ว…”

    “ได้ยินจากทีมงานแล้วว่าพวกคุณทะเลาะกันเรื่องแย่งกันทำจานหลัก การทะเลาะกันในทีมเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่มันส่งผลกระทบมาถึงอาหารด้วยนี่สิ”

    อลันมองแอนเดอร์สันก็จริง แต่ดูก็รู้ว่าเอ่ยถึงคาย่า ทันใดนั้นคาย่าก็ขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบพร่า

    “ไม่ลองกินสักทีล่ะคะ จะได้รู้ว่าอร่อยขนาดไหน”

    เมื่อได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความฉุนเฉียวของคาย่า มินจุนนึกถึงตอนที่เคยดูรายการ เขาจำได้ว่าคาย่าและแอนเดอร์สันที่เป็นตัวเต็งของการแข่งขันมาอยู่ทีมเดียวกัน แต่ผลที่ออกมากลับเละไม่เป็นท่า เหตุผลไม่มีอะไรซับซ้อน นั่นคือสมาชิกในทีมคนหนึ่งรับผิดชอบทำของหวาน แต่แอนเดอร์สันและคาย่าเกิดขัดแย้งกันเรื่องใครจะเป็นคนทำอาหารจานหลัก ผลคือแอนเดอร์สันได้ทำอาหารจานหลัก แต่หลังจากนั้นปัญหาก็อยู่ที่อาหารเรียกน้ำย่อยของคาย่า เธอทำแซลมอนทาทากิสลัดซึ่งไม่รู้ว่าเธอประชดแอนเดอร์สันที่ไม่ยอมเสียสละอาหารจานหลักให้เธอหรือเปล่า

    “ผมกินอาหารจานนี้ไม่ลงจริงๆ และคิดว่ากรรมการคนอื่นก็มีความคิดเหมือนกัน”

    อลันพูดพลางหันไปมองเอมิลี่กับโจเซฟ ทั้งสองจึงพยักหน้าพร้อมกัน แล้วโจเซฟก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเสียดาย

    “คาย่า ทำไมคุณถึงได้ทำอาหารแบบนี้ออกมา คุณรู้จักการทำอาหารเป็นอย่างดี และคุณก็น่าจะรู้ว่าอาหารจานนี้ไม่สามารถเรียกว่าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้เลย ผมคงไม่สามารถชิมหรือวิจารณ์อะไรได้ น่าผิดหวังและสิ้นหวังที่สุด เฮ้อ…”

    โจเซฟถอนหายใจออกมา แม้จะเป็นคำพูดในแง่ร้ายต่อหน้าอาหารที่ได้แปดคะแนน แต่มินจุนก็เข้าใจพวกเขา มันเป็นแบบที่โจเซฟพูดจริงๆ นั่นเป็นอาหารที่ผิดไปจากกติกาที่กำหนด อาหารที่ไม่มีความใส่ใจและไม่นึกถึงคนกินมันก็เป็นแค่อาหารที่เต็มไปด้วยความจองหองและความโกรธก็เท่านั้น

    ต่อให้คาย่าจะมีพรสวรรค์สักแค่ไหน แต่เธอก็ยังคงเป็นแค่เพียงเด็กสาวอายุสิบแปด เป็นเพียงดอกไม้ที่เพิ่งแรกแย้ม ยังไม่บานเต็มที่ จึงยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกในใจของตัวเองได้

    ความเงียบเข้าปกคลุม มินจุนมองแซลมอนทาทากิสลัดจากนั้น สำหรับเขาแล้วมันเป็นอาหารที่เขาไม่สามารถเทียบได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นอาหารที่ไม่มีใครแตะต้อง

    เพราะมัน… ไม่ใช่อาหาร

    มินจุนคิดแบบนั้น ไม่ว่าการปรุงอาหารจานนั้นขึ้นมาจะใช้ประสาทสัมผัสอันละเอียดอ่อนและเทคนิคที่ดีแค่ไหน แต่อาหารที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจของเชฟไม่ควรนำมาวางลงบนจาน ต่อให้อร่อยมากแค่ไหนก็ไม่มีคุณค่า

    “พวกเราไม่กินครับ”

    อลันพูดอย่างเด็ดขาด แต่คาย่ากลับตักปลาแซลมอนเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ จากนั้นก็กลืนแล้วอ้าปากกว้าง

    “อร่อยจะตาย”

    คาย่าพูดออกมาเพียงแค่นั้นแล้วยกจานกลับไป แม้ท่าทางจะแข็งกระด้าง แต่มินจุนสังเกตได้ถึงอาการสั่นเทาราวกับเธอกำลังกลั้นน้ำตา มินจุนคิดว่าคาย่าไม่มีสิทธิ์จะร้องไห้ เพราะเธอเป็นเชฟที่ยอมให้ความรู้สึกและศักดิ์ศรีของตัวเองอยู่เหนืออาหาร

    พื้นฐานของอาหารคอร์สอยู่ที่การประสานกลมกลืนกัน อาหารเรียกน้ำย่อยจะต้องช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารเพื่อชูความโดดเด่นของอาหารจานหลัก แต่คาย่าทำแซลมอนทาทากิสลัดออกมาเป็นอาหารจานเดี่ยวซึ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอาหารคอร์ส ไม่ได้คำนึงถึงอาหารที่กำลังจะเสิร์ฟเป็นจานต่อไปของคอร์สเลย

    แล้วกรรมการก็ชิมอาหารของทีมถัดไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากชิมพร้อมทำสีหน้าราบเรียบ กรรมการก็กลับไปยืนบนแท่นอีกครั้ง

    “โคลอี้ มินจุน มาร์โค่ เชิญออกมาด้านหน้าครับ”

    พอทั้งสามคนก้าวออกมา อลันจึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “รสชาติถือว่าใช้ได้ แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคิดเมนูโดยคำนึงถึงความเป็นอาหารคอร์ส จากเต้าหู้ มาถึงเอ็นหอย แล้วก็บิสกิต เมนูดูไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่รสชาติที่หลงเหลืออยู่ในปากกลับให้ความรู้สึกที่ดีครับ”

    “ขอบคุณค่ะ”

    “ขอบคุณครับ”

    โคลอี้กับมินจุนตอบออกไปพร้อมกัน ส่วนมาร์โค่ก็เหลือบมองทั้งคู่ก่อนจะตอบออกมาทีหลัง

    “ขะ…ขอบคุณครับ”

    โจเซฟมองมาร์โค่แล้วพูดว่า

    “จานที่ยอดเยี่ยมที่สุดน่าจะเป็นของคุณนะ มาร์โค่ โดยปกติแล้วเชฟมักจะชอบเติมนั่นนิดเติมนี่หน่อยลงไปในอาหารของตัวเองเพื่อทำให้มันดูหรูหราขึ้น แต่มอคค่าบิสกิตของคุณไม่มีรสชาติที่มันมากเกินไปเลย ทั้งยังช่วยคลุมรสของเอ็นหอยกับเต้าหู้เอาไว้ แป้งของบิสกิตก็สมบูรณ์มาก คุณใส่รสและกลิ่นที่ลึกซึ้งซึ่งถือว่าได้สอดแทรกความแปลกใหม่ลงไปในอาหารที่เรียบง่าย ขอบคุณครับ”

    “เอ่อ ขอบคุณครับ”

    มาร์โค่สูดจมูกฟืดฟาดก่อนตอบรับ พอมินจุนเหลือบตาไปมองก็พบว่าดวงตาของมาร์โค่แดงก่ำและมีน้ำตาคลออยู่ ช่างเป็นคนที่อ่อนไหวง่ายต่างจากรูปร่างที่ใหญ่โตราวกับยักษ์จริงๆ มินจุนจึงลูบหลังของมาร์โค่เบาๆ ระหว่างนั้นเอมิลี่ก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า

    “ฉันก็ว่าอร่อยค่ะ นอกจากเรื่องอาหารแล้วความสัมพันธ์ที่ดีของพวกคุณก็ดูดีด้วย พวกคุณแสดงให้เห็นว่าเมื่อเชฟกลายมาเป็นทีมเดียวกันจะต้องทำตัวยังไง”

    “ทำได้ดีมาก เชิญขึ้นไปที่ชั้นสองได้!พวกคุณผ่านครับ!”

    พออลันพูดจบ โคลอี้ก็ร้องเสียงดังและโผเข้ากอดมินจุนกับมาร์โค่ แน่นอนว่าแขนของเธอสั้นเกินกว่าจะโอบรอบตัวของมาร์โค่ได้ มินจุนยิ้มอย่างเคอะเขิน แม้จะรู้ว่าโคลอี้มีนิสัยเข้ากับคนอื่นง่าย แต่ก็ไม่คิดว่าจะร่าเริงสดใสได้ถึงขนาดนี้

    แต่บรรยากาศแห่งความดีใจก็ไม่ได้อยู่ภายในห้องนาน ต่อไปถึงเวลาตัดสินทีมคาย่าแล้ว อลันพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความโกรธ

    “โดยส่วนตัวผมคาดหวังกับทีมนี้เอาไว้มาก จึงยิ่งผิดหวังมากตามไปด้วย ผมคิดว่าการทะเลาะกันเพื่อแย่งทำอาหารจานหลักเป็นการกระทำที่ไร้ค่ามาก แต่ผมจะไม่แตะอะไรมากในเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าใครก็คงอยากเป็นตัวเอกกันทุกคน”

    แล้วโจเซฟก็ถอนหายใจก่อนจะพูดว่า

    “การทำอาหารคือการใส่หัวใจของเชฟลงไป คาย่า อาหารของคุณไม่ได้ใส่หัวใจที่ทำเพื่อคนกินลงไปในอาหารเลย เห็นด้วยมั้ยครับ”

    “…ค่ะ”

    คาย่าลังเลก่อนตอบออกมา เธอเหมือนเด็กที่ถูกครูดุ แล้วเอมิลี่ก็เริ่มพูดด้วยสีหน้าท่าทางที่เคร่งเครียดกว่าปกติ

    “พวกเราไม่ได้ชิมอาหารของพวกคุณเพราะมันเป็นอาหารที่ใช้ไม่ได้ ฉะนั้นพวกคุณไม่ผ่านเข้ารอบค่ะ กรุณากลับไปที่เดิม”

    “ขอค้านครับ”

    แอนเดอร์สันยกมือขึ้น

    “ที่ทีมพังไม่เป็นท่าเป็นเพราะการกระทำของคาย่า โลตัสเพียงคนเดียว แต่ทำไมเราอีกสองคนถึงต้องเดือดร้อนไปด้วยครับ”

    “คุณรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม?”

    อลันถามกลับ

    “ครับ ไม่ยุติธรรม ผมผิดที่ทะเลาะกับคาย่าเรื่องทำอาหารจานหลัก แต่พอตกลงกันได้แล้วเธอกลับแสดงนิสัยงี่เง่าออกมา ดังนั้นจึงไม่สมควรที่เราอีกสองจะต้องตกรอบนะครับ”

    “ถูกต้อง”

    อลันตอบไปแบบห้วนๆ พร้อมจ้องแอนเดอร์สันด้วยสายตาเย็นยะเยือก

    “แต่เพราะว่ามันคือการแข่งแบบทีมไง การที่คุณพูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่เคยคิดว่าพวกคุณเป็นทีมเดียวกันเลย”

    “ไม่ว่ายังไงนี่ก็คือการแข่งขันนะครับ ถึงจะอยู่ทีมเดียวกันก็เถอะ ความจริงแล้วก็คือคู่แข่งกันทั้งนั้น!”

    “ผิดแล้ว!การทำอาหารต่างหากคือสารหลัก การแข่งขันคือสารรอง เชฟที่ดีจะต้องนึกถึงความรู้สึกของผู้ร่วมงาน ไม่ใช่แค่แบ่งหน้าที่แล้วก็จบ!ไม่ใช่แค่เสิร์ฟอาหารสามจานโดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย!อาหารคอร์สคืออาหารที่ทุกจานต้องมีความกลมกลืนกัน กรุณาเข้าใจใหม่ด้วย!”

    แอนเดอร์สันได้แต่นิ่งเงียบ ไม่เถียงอะไรสักคำ อลันจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

    “ถือว่าคุณโชคร้าย ทั้งคุณและคาย่าต่างก็มีความโดดเด่นมาก และก็รักในศักดิ์ศรีของตัวเองมากเช่นกัน เหมือนกับการที่หนังเรื่องหนึ่งมีตัวเอกถึงสองคนนั่นแหละ แต่การที่ไม่สามารถก้าวผ่านสถานการณ์ที่โชคร้ายนั่นเป็นเพราะการกระทำของตัวคุณเอง ทำอาหารคอร์สสามจานออกมาแบบชุ่ยๆ แล้วยังคิดว่าตัวเองจะสามารถรอดไปได้คนเดียวอย่างสบายๆ งั้นเหรอ”

    แอนเดอร์สันไม่สามารถตอบได้ ตอนแรกที่เข้าไปคุยกับคาย่าและชวนให้มาอยู่ทีมเดียวกัน แอนเดอร์สันมีความมั่นใจมาก แม้จะทะเลาะกันเรื่องอาหารจานหลัก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าคาย่าจะทำแบบนี้ นั่นเป็นความผิดของเขา?แม้ในใจจะตะโกนก้องว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเอง แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาทำได้เมื่อได้ฟังคำพูดของอลันก็คือปิดปากเงียบเท่านั้น มันไม่ใช่ว่ายอมจำนน แต่เป็นเพราะเขารู้ว่าต่อให้พูดอะไรออกไปก็คงไม่ทำให้กรรมการเปลี่ยนใจได้

    การตัดสินยังคงดำเนินต่อไป ในบรรดาเก้าทีม มีทีมที่ได้รับคำชมเพียงแค่หกทีม ซึ่งหมายความว่ามีทีมที่ไม่ผ่านเข้ารอบทั้งหมดสามทีม มินจุนยืนอยู่บนชั้นสองมองโจเซฟที่กำลังพูดท่ามกลางคนที่ไม่ผ่านเข้ารอบ

    “การที่พวกคุณยังยืนอยู่ตรงนี้เป็นเพราะเหตุผลที่แตกต่างกันไป อาหารคอร์สไม่ได้เรื่อง เทคนิคยังไม่ดีพอ ขาดความร่วมมือร่วมใจกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหน ผลที่ได้ก็ออกมาเหมือนกัน”

    คนที่ไม่ผ่านเข้ารอบได้แต่นิ่งเงียบ ส่วนใหญ่ทำหน้าเบ้ราวกับจะร้องไห้ บางคนก็ทำจมูกฟืดฟาด แต่โจเซฟก็ไม่ใจอ่อน เชฟที่นำอาหารไม่ได้เรื่องออกมาเสิร์ฟนั้นคือเชฟที่ไม่ควรค่าต่อการเห็นใจ

    “ก่อนที่จะประกาศหัวข้อการแข่งขันคัดผู้ตกรอบ มีสิ่งที่ต้องทำก่อนอย่างหนึ่ง นั่นคือให้พวกคุณเลือกพาร์ตเนอร์หนึ่งคนที่จะมาช่วยกันทำอาหาร ส่วนหัวข้อจะขอประกาศให้ทราบหลังจากนั้น”

    คำพูดนั้นทำให้คนที่ไม่ผ่านเข้ารอบหันซ้ายหันขวาแล้วก็เริ่มจับคู่กับคนที่อยู่ข้างๆ ตัวเอง ส่วนใหญ่จะเลือกคนที่เคยเป็นสมาชิกในทีมเดียวกับตน มีเพียงสองคนที่ต้องเลือกอยู่กับสมาชิกของทีมอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าคนที่ไม่ผ่านเข้ารอบมีทั้งหมดเก้าคน จึงต้องเหลือเศษอยู่หนึ่งคน

    ซึ่งก็คือคาย่า

    ไม่มีใครจับคู่กับเธอเลย เพราะพวกเขาได้เห็นนิสัยของเธอจากอาหารคอร์สก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่อยากร่วมทีมกับคนหัวรั้นที่น่าจะทำให้เกิดปัญหาได้ นอกจากนี้ฝีมือของคาย่าก็ไม่ธรรมดา ถ้าเป็นทีมเดียวกันอาจทำให้อาหารของตัวเองดูด้อยลงไปเลยก็ได้ คาย่ามองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่เป็นกังวลเล็กน้อย แต่ก็ฝืนยิ้มแล้วมองไปที่โจเซฟ

    “ฉันทำคนเดียวก็ได้ค่ะ”

    “ขอโทษด้วยนะครับที่ผมปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ขอให้คุณไปเลือกคนที่จะมาเป็นคู่จากในบรรดาผู้ที่ผ่านเข้ารอบไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคู่ของคุณจะยังคงเป็นผู้ผ่านเข้ารอบต่อไปอยู่นั่นเอง ไม่เกี่ยวข้องกับผลของการแข่งขันรอบนี้”

    คำพูดนั้นทำให้คาย่าแหงนมองขึ้นไปที่ชั้นสอง แต่คนที่ผ่านเข้ารอบส่วนใหญ่พากันหลบตา แม้การแข่งรอบนี้จะไม่มีผลต่อการตกรอบของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่อยากลงไปยืนทำอาหารท่ามกลางบรรยากาศที่กดดันอีก สายตาของคาย่ามองไล่ไปเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่คนคนหนึ่ง เธอจ้องมองอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่นๆ

    “ช่วยทีนะ”

    มินจุนหน้าเจื่อนลงทันที

     

    5 of 5หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook